ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 663 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 13241 - 13260 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13241 | การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (นายประเสริฐ ภัทรดิลก) | กค | 26/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายประเสริฐ ภัทรดิลก เป็นกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย แทน นายนพพร เทพสิทธา ที่มีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13242 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ (ศาสตราจารย์ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์) | ศธ | 26/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบกรณี นายณรงค์ศักดิ์ ภูมิศรีสอาด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการในคณะกรรมการสภาการศึกษา พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากลาออก เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ และเห็นชอบแต่งตั้ง ศาสตราจารย์ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนผู้ที่ลาออก ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒) เป็นต้นไป และให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสภาการศึกษาในครั้งต่อไปให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13243 | ความคืบหน้าโครงการจัดสร้างสวนป่า "เบญจกิติ" | กค | 26/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการจัดสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ว่า คณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ได้มีการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ มีมติเห็นชอบกรอบกระบวนการดำเนินงานจัดสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” (Timeline) โดยให้รวมการออกแบบสวนป่า การรื้อถอน และการจัดสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ ๒ และระยะที่ ๓ ไว้ในคราวเดียวกัน ซึ่งการยาสูบแห่งประเทศไทยได้ปรับแผนการส่งมอบพื้นที่ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการอำนวยการฯ ดังกล่าว โดยจะทยอยส่งมอบพื้นที่ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ และจะส่งมอบพื้นที่ให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓ ซึ่งกรมธนารักษ์จะสามารถรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและก่อสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ ๒ และระยะที่ ๓ คู่ขนานกับการส่งมอบพื้นที่ โดยจะดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกแบบรายละเอียดได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ๒๕๖๒ และจะก่อสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๔ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๔
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13244 | มาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ | นร | 26/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศไทยในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การจัดซื้อและการส่งมอบน้ำมันปาล์มจากเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร จำนวนรวม ๑๖๐,๐๐๐ ตัน เพื่อให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยนำไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าแล้วเสร็จครบถ้วนตามเป้าหมายที่กำหนดไว้โดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13245 | การส่งเสริมการใช้ยางพาราเป็นวัสดุสำคัญในการก่อสร้าง/ปรับปรุงถนน | นร05 | 26/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงชนบท เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้าง/ปรับปรุงเส้นทางคมนาคมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถนนสายรองที่เชื่อมต่อถนนสายหลักไปยังหมู่บ้านและชุมชนต่าง ๆ โดยให้มุ่งเน้นใช้ยางพาราเป็นวัสดุสำคัญในการก่อสร้าง/ปรับปรุงถนนดังกล่าว เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้น้ำยางพาราในประเทศให้เพิ่มขึ้นและสร้างสมดุลของราคายางพาราให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13246 | ขออนุมัติดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต - มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 26/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง สายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในกรอบวงเงิน ๖,๕๗๐.๔๐ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สำหรับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ รฟท. ขอบรรจุแผนการกู้เงินไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นต้น ทั้งนี้ ให้ รฟท. ดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตลอดจนกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. อนุญาตให้ รฟท. กู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) เพื่อดำเนินโครงการฯ และให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. ดำเนินการขอบรรจุแผนการกู้เงินไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง เช่น (๑) ให้ รฟท. จัดทำแผนธุรกิจ จัดทำแผนบริหารความเสี่ยง จัดทำแนวทาง open access ให้ผู้ประกอบการรายอื่นใช้ทางรถไฟได้ กำหนดรูปแบบการจัดการเดินรถให้มีประสิทธิภาพ จัดทำแผนการใช้ประโยชน์พื้นที่ตามแนวเส้นทางและสถานีรถไฟ จัดทำแผนเชื่อมต่อโครงข่ายคมนาคม จัดระบบการบริหารจัดการการจราจรและรักษาความปลอดภัยในพื้นที่จอดแล้วจร (๒) ให้ รฟท. ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) เพื่อพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีและสนับสนุนการใช้บริการของโครงการฯ แทนการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล (๓) ให้ รฟท. เร่งรัดดำเนินโครงการฯ ในช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และ (๔) ให้ รฟท. ดำเนินการก่อสร้างเส้นทางรถไฟโดยไม่กีดขวางทางไหลของน้ำ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ้านปทุม อำเภอสามโคก ตำบลบางพูด ตำบลสวนพริกไทย อำเภอเมืองปทุมธานี และตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ้านปทุม อำเภอสามโคก ตำบลบางพูด ตำบลสวนพริกไทย อำเภอเมืองปทุมธานี และตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่อสร้างทางเชื่อมระหว่างทางหลวงชนบท อย.๕๐๔๒ กับสถานีรถไฟ ทางรถไฟ และย่านสถานีรถไฟ ตามโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13247 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใน เป็นอาคาร คสล. 7 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 6,184 ตารางเมตร (โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ตำบลเวียง อำเภอเมือง เชียงราย จังหวัดเชียงราย 1 หลัง | สธ | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใน เป็นอาคาร คสล. ๗ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๖,๑๘๔ ตารางเมตร (โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ๑ หลัง จากวงเงิน ๑๓๒.๐๖ ล้านบาท เป็นวงเงิน ๑๔๕.๒๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามนัยมาตรา ๓๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13248 | ผลการเยือนภูมิภาคคันไซ ประเทศญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) | กต | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนภูมิภาคคันไซ (จังหวัดโอซากา จังหวัดวากายามะ และจังหวัดเกียวโต) ประเทศญี่ปุ่น ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ระหว่างวันที่ ๓๐ มกราคม-๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามผลการเยือนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเยือนจังหวัดโอซากา เมื่อวันที่ ๓๐-๓๑ มกราคม ๒๕๖๒ รองนายกรัฐมนตรีฯ และคณะได้เข้าร่วมสัมมนาการลงทุนในหัวข้อ “Thailand : Advancing ASEAN-Japan Partnership” โดยมีนักลงทุนจากจังหวัดโอซากาและจังหวัดอื่น ๆ ในภูมิภาคคันไซเข้าร่วมกว่า ๕๐๐ คน โดยรองนายกรัฐมนตรีฯ ได้กล่าวสุนทรพจน์ ได้แก่ การย้ำความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นในระดับท้องถิ่น การแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของจังหวัดโอซากาและภูมิภาคคันไซซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้นของญี่ปุ่น และจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอด G20 ในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๒ และมหกรรม World Expo 2025 ในปี ๒๕๖๘ และการสร้างความมั่นใจต่อเสถียรภาพทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของไทยในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญในระยะต่อจากนี้ โดยเฉพาะภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป โดยรัฐบาลชุดใหม่จะยังสานต่อนโยบายทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่สำคัญต่อไป ๒. การเยือนจังหวัดวากายามะ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๒ รองนายกรัฐมนตรีฯ และนายโยชิโนบุ นิสะกะ ผู้ว่าราชการจังหวัดวากายามะ ได้หารือและเห็นพ้องกันที่จะผลักดันความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น ในระดับท้องถิ่น เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจผ่านการเรียนรู้จุดแข็งของกันและกัน โดยขณะนี้จังหวัดวากายามะอยู่ระหว่างการจัดทำบันทึกความเข้าใจกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมของไทย ซึ่งเน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องเขินกับจังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทย ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีฯ แสดงความพร้อมที่จะช่วยผลักดันความร่วมมือต่าง ๆ และขอให้จังหวัดวากายามะช่วยพิจารณาแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือในด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่จังหวัดวากายามะมีจุดแข็ง เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถของเกษตรกรและท้องถิ่นของไทย ๓. การเยือนจังหวัดเกียวโต เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ รองนายกรัฐมนตรีฯ และนายทาคาโทชิ นิชิวาคิ ผู้ว่าราชการจังหวัดเกียวโต ได้หารือและเห็นพ้องกันที่จะกระชับความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น ในระดับท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของกันและกัน โดยต่อยอดจากความร่วมมือที่จังหวัดเกียวโตมีกับไทย ได้แก่ ความร่วมมือด้านเมืองอัจริยะกับจังหวัดเชียงใหม่และการแลกเปลี่ยนนักเรียนนักศึกษาระหว่างกัน ความร่วมมือในด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรม การส่งเสริมการลงทุนของเอกชนจากจังหวัดเกียวโตในไทย โดยเฉพาะในสาขาชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ การส่งเสริมให้แรงงานไทยไปทำงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของจังหวัดเกียวโต และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้สถาบันการศึกษาของจังหวัดเกียวโตไปจัดตั้งสำนักงานในไทย โดยรองนายกรัฐมนตรีฯ ได้เชิญผู้ว่าราชการจังหวัดเกียวโตและนักลงทุนของจังหวัดเกียวโตเยือนไทยเพื่อเข้ามาศึกษาศักยภาพและโอกาสการดำเนินธุรกิจในไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13249 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (รองเลขาธิการ) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (นางสาวปราณี เก้าเอี้ยน) | ปง | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวปราณี เก้าเอี้ยน ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13250 | แต่งตั้งผู้แทนกระทรวงการคลังเป็นกรรมการในคณะกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค (นายธิบดี วัฒนกุล) | มท | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายธิบดี วัฒนกุล ผู้แทนกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการในคณะกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค แทน นางสาวเยาวนุช วิยาภรณ์ ผู้แทนกระทรวงการคลังเดิม ที่ลาออกเนื่องจากเกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13251 | ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร) | คค | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเงินเดือน ๓๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งค่าตอบแทนพิเศษประจำปีและสิทธิประโยชน์อื่นที่ผู้รับจ้างจะได้รับตามที่กระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ตามมติคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ ๑๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๒ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้าง แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้ เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ลาออกจากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13252 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ในกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (จำนวน 4 คน 1. นายทวีศักดิ์ วาณิชย์เจริญ ฯลฯ) | กก | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้
๑. นายทวีศักดิ์ วาณิชย์เจริญ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการท่องเที่ยว ๒. นายอนันต์ วงศ์เบญจรัตน์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายสันติ ป่าหวาย ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพลศึกษา ๔. นายปัญญา หาญลำายวง ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13253 | ผลการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ | กห | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ และการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๑๔ ของรองนายกรัฐนมตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเข้าเยี่ยมคำนับสมเด็จอัคคมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงแนวทางการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเพื่อหมุนเวียนและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจระหว่างกัน อันมีแนวโน้มเติบโตและต้องพึ่งพาอาศัยกันมากขึ้น โดยเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องเพิ่มโอกาสและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการสนับสนุนการค้า การลงทุน และการไปมาหาสู่ระหว่างกันมากขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องจัดสร้างและเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมขยายและเปิดจุดผ่านแดนร่วมกันเพิ่มขึ้น และเชื่อมโยงการท่องเที่ยวระหว่างกัน ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นถึงความสำคัญของกลไกการประชุมในทุกระดับ เพื่อเพิ่มพูนความสัมพันธ์และความร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ของชาติที่มีร่วมกัน ๒. การเข้าเยี่ยมคำนับ สมเด็จพิชัยเสนา เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมราชอาณาจักรกัมพูชา โดยทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศมีความใกล้ชิดแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งในระดับรัฐบาลและกองทัพ และเห็นพ้องที่จะพัฒนาความร่วมมือระหว่างกองทัพในประเด็นด้านการรักษาความมั่นคงทางบกและทางทะเลให้มากยิ่งขึ้น โดยกำหนดให้มีการประชุมผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นประจำทุกปี พร้อมทั้งเปลี่ยนพื้นที่ที่เคยเป็นพื้นที่ขัดแย้งให้กลับมาเป็นพื้นที่ที่พัฒนาร่วมกัน โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนจันทบุรี และตราด-โพธิสัตว์ ไพลิน และพระตะบอง ซึ่งจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) อันเป็นกลไกสำคัญที่จะนำไปสู่พรมแดนแห่งมิตรภาพ เสถียรภาพ และผลประโยชน์ร่วมกัน ๓. การประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๑๔ ที่ประชุมได้หารือและทบทวนผลการปฏิบัติงานตามบันทึกการประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๑๓ โดยทั้งสองฝ่ายตระหนักและยึดมั่นถึงความตกลงระหว่างกันในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่บริเวณแนวชายแดน พร้อมทั้งยืนยันเจตนารมณ์ที่จะไม่นำปัญหาเขตแดนมามีผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ และงดการกระทำที่จะละเมิดเขตแดน รวมทั้งได้เห็นชอบที่จะขยายความความร่วมมือด้านความมั่นคงและการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดนและพัฒนากลไกใหม่ร่วมกันทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี พร้อมทั้งเร่งรัดเชื่อมต่อทางรถไฟ ไทย-กัมพูชา และยกระดับจุดผ่านแดนที่ตกลงร่วมกัน ๔ จุด ในพื้นที่ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี บ้านท่าเส้น จังหวัดตราด ช่องสายตะกู จังหวัดบุรีรัมย์ และบ้านเขาดิน จังหวัดสระแก้ว รวมถึงผลักดันการยกระดับกลไกความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อยุติแหล่งผลิตยาเสพติด และทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ การก่ออาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ และการจับกุมผู้กระทำผิดที่หลบหนีของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นพ้องที่จะสนับสนุนการเชื่อมโยงเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษบริเวณจังหวัดสระแก้วกับจังหวัดบันเตียเมียนเจย และจังหวัดตราดกับเกาะกง การผลักดันการค้าชายแดนให้ได้ตามเป้าหมายมูลค่า ๑๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๖๓ และการร่วมมือพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งในด้านสาธารณสุข การศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมของประชาชนในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13254 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2561 ทั้งปี 2561 และแนวโน้มปี 2562 | นร11 | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๑ ทั้งปี ๒๕๖๑ และแนวโน้มปี ๒๕๖๒ โดยภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๑ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๑ ขยายตัวร้อยละ ๓.๗ เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๓.๒ ในไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อปรับผลของฤดูการออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๑ ขยายตัวจากไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๑ ร้อยละ ๐.๘ (QoQ_SA) รวมทั้งปี ๒๕๖๑ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๔.๑ เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๔.๐ ในปี ๒๕๖๐ และเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ ๖ ปี สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๒ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๕-๔.๕ โดยมีแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาคครัวเรือน การปรับตัวดีขี้นอย่างต่อเนื่องของการลงทุนภาคเอกชน การเร่งตัวขึ้นของการลงทุนภาครัฐ การเพิ่มขึ้นของแรงขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยว และการเปลี่ยนแปลงทิศทางการค้า การผลิต และการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งช่วยลกผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของไทยให้ถูกต้อง ชัดเจน และต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเกี่ยวกับโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจและกลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในภาพรวม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13255 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านเศรษฐกิจ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลังและฝ่ายความมั่นคง เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาค่าเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีอัตราสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13256 | ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเร่งรัดเสนอหนังสือสัญญาที่่ต้องเสนอขอความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามมาตรา 178 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (แนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 14/2562 เป็นพิเศษ ครั้งที่ 15/2562 เป็นพิเศษ และครั้งที่ 16/2562 เป็นพิเศษ) | นร | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติเกี่ยวกับระเบียบวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๔/๒๕๖๒ เป็นพิเศษ วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๑๕/๒๕๖๒ เป็นพิเศษ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ และครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๒ เป็นพิเศษ วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ๒. ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเร่งรัดเสนอหนังสือสัญญาที่ต้องเสนอขอความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อคณะรัฐมนตรีภายในวันอังคารที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ เพื่อให้การเสนอหนังสือสัญญาดังกล่าวต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13257 | การดำเนินงานเกี่ยวกับข้อพิพาทของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย | นร | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง แนวทางดำเนินการเกี่ยวกับข้อพิพาทของหน่วยงานของรัฐ) ให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติว่า ในกรณีหน่วยงานของรัฐที่มีข้อพิพาทตามสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองเป็นคดีเดียวหรือหลายคดีในประเด็นเดียวกันหรือเกี่ยวเนื่องกัน เช่น กรณีคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคม (การทางพิเศษแห่งประเทศไทย) แล้วมีคำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งนำไปสู่การฟ้องคดีในศาลปกครองสูงสุด โดยผลของคำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ นั้น ให้หน่วยงานของรัฐต้องชดใช้ค่าเสียหายหรืออื่นใด ให้หน่วยงานของรัฐนั้นอาจดำเนินการเจรจาต่อรองกับคู่พิพาทเพื่อบรรเทาความเสียหายของรัฐและให้เกิดความเป็นธรรมแก่ราษฎรได้ นั้น ในกรณีของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยซึ่งมีข้อพิพาทเกี่ยวกับการชำระเงินค่าชดเชยรายได้ให้แก่บริษัทเอกชน จึงมีมติให้กระทรวงคมนาคม (การทางพิเศษแห่งประเทศไทย) เร่งรัดการเจรจากับคู่กรณีให้เป็นที่ยุติโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กำกับดูแลด้วย และให้กระทรวงคมนาคม (การทางพิเศษแห่งประเทศไทย) รายงานความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13258 | มาตรการและข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต | กค | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง มาตรการและข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไปด้วย ดังนี้
๑. ข้อเสนอแนะเพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการเพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต เรื่อง “การบูรณาการป้องกันการทุจริตของโครงการภาครัฐ (โดยการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน)” โดยเห็นควรให้มีการประเมินผลโครงการออกเป็น ๓ ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นวางแผนก่อนดำเนินโครงการ ขั้นการดำเนินโครงการ และขั้นสรุปผลหลังการดำเนินโครงการ โดยประเมินผลกระทบและผลสำเร็จของงานว่าเป็นไปตามเป้าหมายการป้องกันการทุจริตหรือไม่ กรณีนี้ได้มีพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๐ แล้ว โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวได้มีมาตรการกีดกันหรือปราบปรามการทุจริตของโครงการภาครัฐ เช่น มาตรา ๑๑ บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐจัดทำแผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปี และประกาศเผยแพร่ในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลางและหน่วยงานของรัฐ และให้ปิดประกาศโดยเปิดเผย ณ สถานที่ปิดประกาศของหน่วยงานของรัฐนั้น และมาตรา ๖๖ บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐประกาศผลผู้ชนะการจัดซื้อจัดจ้างหรือผู้ได้รับการคัดเลือกและเหตุผลสนับสนุน เป็นต้น ๒. มาตรการป้องกันการทุจริตจากการใช้ระบบการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) โดยเห็นควรยกเว้นมิให้นำการจัดจ้างด้วยวิธีการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ มาใช้ในงานก่อสร้างทุกประเภท ไม่ว่างานก่อสร้างนั้นจะมีลักษณะของงานซับซ้อนหรือมีเทคนิคเฉพาะหรือไม่ก็ตาม โดยที่ระเบียบดังกล่าวได้ถูกยกเลิกตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ แล้ว โดยกรมบัญชีกลางได้พัฒนาระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐทุกขั้นตอนต้องดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐให้มีความทันสมัย ทัดเทียมมาตรฐานสากล เพิ่มความโปร่งใส ลดโอกาสในการสมยอมราคากันในการเสนอราคาของผู้ค้า และก่อให้เกิดการแข่งขันอย่างแท้จริง ๓. ข้อเสนอแนะจากงานศึกษาวิจัย เรื่อง โครงการศึกษาประเด็นทางกฎหมายที่เป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตที่มีผลกระทบในภาพรวม โดยเฉพาะของเอกชน เช่น ควรกำหนดมาตรการเสริมเพื่อป้องกันการทุจริตเชิงนโยบาย โดยเฉพาะให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้าง และควรมีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้ทันสมัยและรองรับต่อการจัดซื้อจัดจ้างต่าง ๆ เป็นต้น โดยกรมบัญชีกลางได้นำข้อเสนอแนะดังกล่าวมาบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13259 | รัฐบาลราชอาณาจักรกัมพูชาเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม แห่งราชอาณาจักรกัมพูชาประจำประเทศไทย (นายอูก ซอร์พวน) | กต | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้ง นายอูก ซอร์พวน (Mr. Ouk Sorphorn) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายลง วิซาโล (Mr. Long Visalo) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13260 | การปรับโอนพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ จากระบบ HS 2012 เป็นระบบ HS 2017 ของบัญชีกฎถิ่นกำเนิดสินค้า เฉพาะรายสินค้า ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี อาเซียน - ออสเตรเลีย - นิวซีแลนด์ | พณ | 18/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับโอนพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ จากระบบ HS 2012 เป็นระบบ HS 2017 ของบัญชีกฎถิ่นกำเนิดสินค้าเฉพาะรายสินค้า (Product Specific Rules : PSRs) ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (ASEAN-Australia-New Zealand Free Trade Area : AANZFTA) เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ดำเนินการให้กฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า ภายใต้ AANZFTA ในระบบ HS 2017 มีผลใช้บังคับภายในประเทศต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปรับโอนพิกัดควรยึดตามพันธกรณีภายใต้ข้อตกลงเดิม โดยหากมีการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมพิกัดจำเป็นต้องกำหนดให้มีกระบวนการในการเจรจากับคู่ภาคีใหม่ เพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกันก่อนการดำเนินการตามกระบวนการภายในประเทศตามพันธกรณีของความตกลงการค้าเสรีนั้น ๆ และควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการรับทราบอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....