ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 662 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 13221 - 13240 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13221 | ร่างพระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๑ เพื่อให้กระทรวงศึกษาธิการสามารถจัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพในระดับหลักสูตรประกาศนียบัตรเตรียมอาชีวศึกษา ซึ่งเป็นการจัดการศึกษาสายอาชีวศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นได้ อันจะเป็นทางเลือกแก่เด็กและเยาวชนในการศึกษาต่อ และเป็นการเตรียมการผลิตและพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะวิชาชีพ และช่วยในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพและประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง รวมทั้งเป็นการรองรับหลักสูตรประกาศนียบัตรเตรียมอาชีวศึกษา พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่มีสถานศึกษาสายอาชีวศึกษาได้จัดการเรียนการสอนตั้งแต่ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๐ และนักเรียนที่เข้าเรียนในหลักสูตรดังกล่าวจะจบการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ในประเด็นเกี่ยวกับการกำหนดหลักสูตรสายอาชีวศึกษา การปรับปรุงหน้าที่และอำนาจของสถาบันการอาชีวศึกษาเกี่ยวกับการอนุมัติการให้ประกาศนียบัตร ควรให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ และร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ควรปรับปรุงให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามความในร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการเกลี่ยอัตรากำลังให้สอดคล้องกับจำนวนผู้เรียนในสายสามัญและสายอาชีวศึกษาที่เพิ่มขึ้น ควรมีการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรประกาศนียบัตรเตรียมอาชีวศึกษา ควรมีการดำเนินการแก้ไขกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ และควรให้มีกลไกในการสร้างการมีส่วนร่วมจากผู้ประกอบการในการร่วมออกแบบและสนับสนุนการพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ด้านการประกอบวิชาอาชีพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13222 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยกระทรวงมหาดไทยเห็นชอบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และได้ดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารจัดการในการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยหรือขยะมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ออกหลักเกณฑ์ วิธีการให้โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าจากมูลฝอยจ่ายเงินหรือประโยชน์ตอบแทนแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยออกประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การจัดการมูลฝอย พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการเกี่ยวกับการคัดแยก เก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย และกำหนดหลักเกณฑ์ให้โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าจากมูลฝอยจ่ายเงินหรือประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว ส่วนข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดการของเสียอันตรายและของเสียไม่อันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน และการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะได้รับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13223 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลองครักษ์ ตำบลศีรษะกระบือ ตำบลบางลูกเสือ ตำบลพระอาจารย์ ตำบลบางสมบูรณ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก และตำบลดอนเกาะกา ตำบลสิงโตทอง ตำบลหมอนทอง ตำบลบางน้ำเปรี้ยว อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลองครักษ์ ตำบลศีรษะกระบือ ตำบลบางลูกเสือ ตำบลพระอาจารย์ ตำบลบางสมบูรณ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก และตำบลดอนเกาะกา ตำบลสิงโตทอง ตำบลหมอนทอง ตำบลบางน้ำเปรี้ยว อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ดังกล่าวเป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินค่าทดแทน เข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนและส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างเพื่อขยายทางหลวงชนบท นย. ๓๐๐๑ ได้ทันตามกำหนดเวลา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13224 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและรัฐเอริเทรีย | กต | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๔๔๔ (ค.ศ. ๒๐๑๘) ในส่วนการยกเลิกการดำเนินมาตรการลงโทษต่อรัฐเอริเทรียและการดำเนินมาตรการลงโทษเกี่ยวกับสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย โดยมีสาระสำคัญ (๑) ยกเลิกมาตรการลงโทษทั้งหมดต่อรัฐเอริเทรีย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาไม่พบหลักฐานที่แน่ชัดว่ารัฐเอริเทรียสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบั่นทอนเสถียรภาพของสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและภูมิภาค รวมทั้งในช่วงปี ๒๕๖๑ รัฐเอริเทรียได้ดำเนินกิจกรรมส่งเสริมสันติภาพในหลาย ๆ ด้านด้วย และ (๒) ต่ออายุมาตรการลงโทษสำหรับสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบและความรุนแรงในสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วยมาตรการลงโทษทางอาวุธ การห้ามเดินทาง การอายัดทรัพย์สิน และการห้ามนำเข้าถ่านไม้ (ไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด) รวมทั้งต่ออายุข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรการลงโทษทางอาวุธจะไม่มีผลบังคับใช้ในกรณีการขนส่งอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อการพัฒนากองกำลังรักษาความมั่นคงแห่งชาติของสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย เป็นต้น ออกไปจนถึงวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ๒. กรณีที่ UNSC ได้รับรองข้อมติเพื่อคงไว้ซึ่งมาตรการลงโทษต่อสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้องเป็นประจำทุกปี และเนื้อหาของข้อมติใหม่มิได้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของมาตรการลงโทษที่มีอยู่เดิม เห็นควรให้ความเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา แต่หากกรณีที่ UNSC จะรับรองข้อมติเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษต่อสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย เห็นควรให้ความเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติและปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียให้ทันสมัยตามข้อมูลในเว็บไซต์ของสหประชาชาติ (https://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/751) ทั้งนี้ สหประชาชาติจะปรับปรุงรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการลงโทษภายใต้หัวข้อ “Sanctions List Materials” เป็นระยะ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13225 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับรัฐลิเบีย | กต | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๔๔๑ (ค.ศ. ๒๐๑๘) เกี่ยวกับรัฐลิเบีย โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการต่ออายุมาตรการให้อำนาจรัฐสมาชิกตรวจสอบเรือในทะเลหลวง เพื่อป้องกันการลักลอบส่งออกทรัพยากรปิโตรเลียมจากรัฐลิเบียออกไปจนถึงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ การเน้นย้ำมาตรการห้ามเดินทางและอายัดทรัพย์สิน รวมถึงการเรียกร้องให้รัฐสมาชิกรายงานต่อสหประชาชาติ (United Nations : UN) เกี่ยวกับการดำเนินการของรัฐสมาชิกภายใต้มาตรการห้ามเดินทางและอายัดทรัพย์สินของข้อมติฯ ที่เกี่ยวข้อง ๒. กรณีที่ UNSC ได้รับรองข้อมติเพื่อคงไว้ซึ่งมาตรการลงโทษแก่รัฐลิเบียเป็นประจำทุกปี และเนื้อหาของข้อมติมิได้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของมาตรการลงโทษที่มีอยู่เดิม เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามข้อมติดังกล่าวไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา แต่หากกรณีที่ UNSC จะรับรองข้อมติเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการการลงโทษต่อรัฐลิเบีย เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามข้อมติ UNSC เกี่ยวกับรัฐลิเบีย ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติและปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษต่อรัฐลิเบีย โดยเฉพาะรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ต้องถูกมาตรการลงโทษ (ห้ามเดินทางและอายัดทรัพย์สิน) ให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็บไซต์สหประชาชาติ (https://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/1970) รวมทั้งแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อ UN ต่อไป ทั้งนี้ UN จะปรับปรุงรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการลงโทษภายใต้หัวข้อ “Sanction List Materials” เป็นระยะ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13226 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามบันทึกความตกลงในการจัดตั้งศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาของซีมีโอ | ศธ | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำและลงนามบันทึกความตกลงในการจัดตั้งศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาของซีมีโอที่ประเทศไทย [Memorandum of Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Southeast Asian Ministers of Education Organization on the Establishment of the SEAMEO Regional Centre for STEM Education (SEAMEO STEM-ED) in Thailand] และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามในบันทึกความตกลงฯ รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม (ยังไม่ได้กำหนดวันลงนาม เนื่องจากจะต้องเวียนร่างบันทึกความตกลงฯ ให้ประเทศสมาชิกเห็นชอบก่อน) โดยเนื้อหาของร่างบันทึกความตกลงฯ ระบุถึงสถานที่ตั้งของศูนย์ฯ อำนาจหน้าที่ของศูนย์ฯ รวมถึงการบริหารจัดการ และงบประมาณในการจัดตั้งและสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์ฯ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น พิจารณาจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณสำหรับเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และเหมาะสม รวมถึงผลประโยชน์ที่ได้รับ และการลดภาระงบประมาณของรัฐบาลในระยะยาว และพิจารณากำหนดกิจกรรมของศูนย์ฯ ให้ครอบคลุมถึงสะเต็มศึกษาในการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเพิ่มทักษะแรงงานสะเต็มและสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต พ.ศ. .... และพิจารณาประเด็นด้านการประชาสัมพันธ์วัตถุประสงค์และการดำเนินงานของศูนย์ฯ โดยมุ่งเน้นคนรุ่นใหม่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทั่วถึงและชัดเจน รวมทั้งการนำเสนอการอบรมและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านสะเต็มศึกษาผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่สนใจอย่างทั่วถึง เป็นต้น ไปดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13227 | การประชุมคณะทำงานร่วมไทย-เมียนมา ในการเตรียมการส่งผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมากลับประเทศ ครั้งที่ 2 | กต | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการประชุมคณะทำงานร่วมไทย-เมียนมา ในการเตรียมการส่งผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมากลับประเทศ ครั้งที่ ๒ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุม ๒ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างเอกสารสรุปผลการหารือของการประชุมคณะทำงานร่วมไทย-เมียนมา ในการเตรียมการส่งผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมากลับประเทศ ครั้งที่ ๒ และ (๒) ร่างเอกสารแนวทางในการส่งผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาที่พิสูจน์สัญชาติแล้วจากประเทศไทย ซึ่งจะมีการรับรองในการประชุมคณะทำงานร่วมไทย-เมียนมา ในการเตรียมการส่งผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมากลับประเทศ ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๕-๖ มีนาคม ๒๕๖๒ ณ จังหวัดเชียงราย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารสรุปผลการหารือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13228 | รายงานความคืบหน้าและการนำเสนอวีดีทัศน์การนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวมาใช้กับผู้กระทำความผิด (Electronic Monitoring: EM) | ยธ | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวมาใช้กับผู้กระทำความผิด (Electronic Monitoring : EM) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติ ได้ทำสัญญาเช่าอุปกรณ์ EM จำนวน ๔,๐๐๐ เครื่อง พร้อมระบบที่เกี่ยวข้องกับบริษัท สุพรีม ดิสทิบิวชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นเงินทั้งสิ้น ๗๔,๔๗๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลา ๒๑ เดือน (มกราคม ๒๕๖๒-กันยายน ๒๕๖๓) และได้จัดอบรมเจ้าหน้าที่ให้มีความรู้ในการนำอุปกรณ์ EM มาใช้และได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ให้แก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ๒. กรมคุมประพฤติเริ่มนำอุปกรณ์ EM มาใช้ติดตามตัวกับผู้กระทำความผิด ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๒ โดยมีเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ควบคุมการติดตามตัวด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring Center) ทำหน้าที่เฝ้าระวัง ตรวจสอบ ติดตาม ดูแลตลอด ๒๔ ชั่วโมง โดยผลการดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑-๑๕ มกราคม ๒๕๖๒ มีผู้ถูกคุมประพฤติติดตั้งอุปกรณ์ EM ตามคำสั่งศาลแล้ว รวมจำนวนทั้งสิ้น ๑๖๖ ราย โดยระยะเวลาที่ศาลสั่งติดอุปกรณ์ EM ส่วนใหญ่เป็นระยะเวลา ๑๕ วัน ๓. จากการติดตามประเมินผลเบื้องต้นพบว่า ผู้ถูกคุมความประพฤติสามารถปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้น มีความเคารพกฎระเบียบ ระมัดระวังตนเอง มีระเบียบวินัยตระหนักถึงความปลอดภัยมากขึ้นและไม่กล้าทำผิดอีก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13229 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่ฯ | ศธ | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๘๕๗,๖๖๖,๕๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่ เพื่อสร้างกำลังคนที่มีสมรรถนะสูง สำหรับอุตสาหกรรม New Growth Engine ตามนโยบาย Thailand 4.0 และการปฏิรูปการอุดมศึกษาไทย ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก ได้แก่ (๑) ควรพิจารณาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๑ ที่เห็นชอบโครงการดังกล่าว และให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เสนอความเห็น เช่น ควรทบทวนการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่มีการดำเนินการอยู่แล้วในภาพรวมทั้งหมดเพื่อประกอบการพิจารณาปรับปรุง ยกเลิก เพิ่มเติม หรือขยายขนาดโครงการที่มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลตามบริบทที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต และพิจารณาการร่วมสมทบค่าใช้จ่ายจากภาคเอกชนหรือผู้เข้ารับการอบรม ตลอดจนการจัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงานรายกิจกรรม ความเชื่อมโยงกับกรอบคุณวุฒิวิชาชีพ แผนขับเคลื่อนและติดตามผล และแผนรองรับผู้สำเร็จการศึกษา เป็นต้น (๒) ควรมีกลไกในการวางแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน ตั้งแต่การรับสมัคร การจัดทำแผนการรองรับการทำงานของผู้สำเร็จการศึกษาไปจนถึงการติดตามประเมินผลเชิงผลลัพธ์ โดยกำหนดตัวชี้วัดร่วมกับสถาบันการศึกษา เพื่อให้การขับเคลื่อนมีความเป็นรูปธรรมและสามารถวัดผลสัมฤทธิ์ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และ (๓) การผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพสูงดังกล่าว ควรพิจารณาให้ครอบคลุม ๑๒ อุตสาหกรรมเป้าหมาย และสอดคล้องกับความต้องการบุคลากรในพื้นที่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) รวมทั้งให้ความสำคัญกับสถาบันการศึกษา และสถานประกอบการ ที่อยู่ในพื้นที่ EEC และพื้นที่ใกล้เคียงเป็นอันดับต้น ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13230 | ร่างเอกสารผลลัพธ์และเอกสารที่เกี่ยวข้องในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษด้านขยะทะเล | ทส | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์และเอกสารที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๔ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน (Bangkok Declaration on Combating Marine Debris in ASEAN Region) ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบ (Endorsement) จากที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษด้านขยะทะเล ก่อนที่จะนำเสนอในที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๓๔ ในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๒ ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เพื่อให้การรับรองต่อไป (๒) ร่างกรอบปฏิบัติการอาเซียนว่าด้วยขยะทะเล (ASEAN Framework of Action on Marine Debris) ที่จะถูกรับรอง (Adoption) ในที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษด้านขยะทะเล (๓) ร่างแถลงข่าวร่วม (Joint Media Statement) และ (๔) ร่างบทสรุปประธาน (Chair’s Summary) เป็นเอกสารสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษด้านขยะทะเล ที่จะจัดขึ้นในวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ให้การรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน (Bangkok Declaration on Combating Marine Debris in ASEAN Region) ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๔ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์และเอกสารที่เกี่ยวข้องในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13231 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2562 ครั้งที่ 1 | กค | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ อนุมัติตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ตามมติที่ประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๒ ในการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ ๒๓,๐๑๘.๘๑ ล้านบาท จากเดิม ๑,๘๒๘,๑๑๙.๑๘ ล้านบาท เป็น ๑,๘๕๑,๑๓๗.๙๙ ล้านบาท และการบรรจุโครงการพัฒนาหรือโครงการเพิ่มเติมในการปรับปรุงแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๑ จำนวน ๖ โครงการ เช่น โครงการเงินกู้เพื่อรองรับการดำเนินงานของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ในการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) รวมถึงให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่ SMEs รายย่อยตามนโยบายรัฐบาลอื่น ๆ (ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) โครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) และโครงการจัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๔๘๙ คัน (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) เป็นต้น รวมทั้งให้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๔ แห่ง ได้แก่ การเคหะแห่งชาติ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่มีสัดส่วนความสามารถในการหารายได้เทียบกับภาระหนี้ของกิจการ (Debt Service Coverage Ratio : DSCR) ต่ำกว่า ๑ สามารถกู้เงินใหม่และบริหารหนี้เดิมภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ โดยให้รัฐวิสาหกิจทั้ง ๔ แห่งดังกล่าวรับความเห็นของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ เช่น ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเร่งรัดการดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรให้ชัดเจนและสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยกระจายภาระหนี้ให้สอดคล้องกับการจัดหารายได้ของหน่วยงานและความสามารถในการจัดสรรงบประมาณเพื่อการชำระหนี้ในแต่ละปี เป็นต้น ไปดำเนินการด้วย ๑.๒ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้ต่างประเทศจากแหล่งเงินกู้ทางการ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังให้กู้ต่อแก่กรุงเทพมหานครจำนวนไม่เกิน ๑๕,๐๒๕.๕๒ ล้านบาท โดยเป็นวงเงินกู้ต่อเดิมของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเพื่อรับโอนทรัพย์สินและหนี้สินของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ รวมทั้งเป็นผู้ดำเนินการเกี่ยวกับสัญญาเงินยืม จำนวนไม่เกิน ๔,๑๒๒.๒๘ ล้านบาท และเรียกเก็บเงินยืมที่ไม่มีดอกเบี้ยกับกรุงเทพมหานคร ๑.๕ รับทราบแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้และการชำระคืนเงินกู้ที่กระทรวงการคลังให้กู้แก่กรุงเทพมหานคร และแนวทางการชำระคืนเงินตามสัญญาเงินยืมระหว่างกระทรวงการคลังกับกรุงเทพมหานคร ๒. ให้กระทรวงการคลัง คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ควรกำกับ ติดตาม และเร่งรัดกระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้ รวมทั้งควรติดตามและเร่งรัดการดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาองค์กรและแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจกลุ่มดังกล่าวให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อลดภาระความเสี่ยงทางการเงินของรัฐบาลในอนาคต เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13232 | ขออนุมัติดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม 3 สถานี (สถานีพระราม 6 สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี ได้แก่ สถานีพระราม ๖ สถานีบางกรวย-กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี ในกรอบวงเงิน ๑๐,๒๐๒.๓๘ ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สำหรับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ รฟท. ขอบรรจุแผนการกู้เงินไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นต้น ทั้งนี้ ให้ รฟท. ดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตลอดจนกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. อนุญาตให้ รฟท. กู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) เพื่อดำเนินโครงการฯ และให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. ดำเนินการขอบรรจุแผนการกู้เงินไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง เช่น (๑) ให้ รฟท. จัดทำแผนธุรกิจ จัดทำแผนบริหารความเสี่ยง จัดทำแนวทาง open access ให้ผู้ประกอบการรายอื่นใช้ทางรถไฟได้ กำหนดรูปแบบการจัดการเดินรถให้มีประสิทธิภาพ จัดทำแผนการใช้ประโยชน์พื้นที่ตามแนวเส้นทางและสถานีรถไฟ จัดทำแผนเชื่อมต่อโครงข่ายคมนาคม จัดระบบการบริหารจัดการการจราจรและรักษาความปลอดภัยในพื้นที่จอดแล้วจร (๒) ให้ รฟท. ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) เพื่อพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีและสนับสนุนการใช้บริการของโครงการฯ แทนการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล (๓) ให้ รฟท. เร่งรัดดำเนินโครงการฯ ในช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และ (๔) ให้ รฟท. ดำเนินการก่อสร้างเส้นทางรถไฟโดยไม่กีดขวางทางไหลของน้ำ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13233 | การปรับเพิ่มเงินลงทุนและเปลี่ยนแปลงรายละเอียด โครงการโรงไฟฟ้าเพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 4 - 7 | พน | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการเปลี่ยนแปลงกำลังผลิตไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าเพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าแม่เมาะ เครื่องที่ ๔-๗ จากเดิม ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้ง ๖๐๐ เมกะวัตต์ เป็น ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้ง ๖๕๕ เมกะวัตต์ และให้ กฟผ. ปรับเงินลงทุนโครงการฯ จากเดิมที่ได้รับอนุมัติเงินลงทุน ๓๖,๘๑๑ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๑,๑๕๐ ล้านบาท สรุปวงเงินลงทุนรวมเป็นจำนวนเงิน ๓๗,๙๖๑ ล้านบาท เพื่อให้การเบิกจ่ายของ กฟผ. ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ จะต้องไม่นำวงเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวมาคำนวณผลตอบแทนการลงทุนในโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการใด ๆ กฟผ. ควรพิจารณาดำเนินโครงการอย่างรอบคอบ และหากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการ จะต้องตรวจสอบขั้นตอนดำเนินการให้สอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนและถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด รวมทั้งในการดำเนินโครงการลงทุนในอนาคต กฟผ. ควรกำกับดูแลการลงทุนให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด โดยหาก กฟผ. จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการที่เป็นสาระสำคัญ กฟผ. ต้องเร่งนำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงพลังงานกำกับดูแล กฟผ. ให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง การตรวจสอบและจัดเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามแผน/โครงการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ) อย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13234 | การโอนใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนนานาชาติเชียงใหม่ให้แก่มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย | กต | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๖ (เรื่อง โรงเรียนนอกกฎหมายของ ดร. คิงส์ จังหวัดเชียงใหม่) จากเดิม “...ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนนี้” เป็น “...ให้กระทรวงการต่างประเทศมีอำนาจในการโอนใบอนุญาตดังกล่าวให้แก่มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทยได้” ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบคุณสมบัติของมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทยให้ถูกต้องเป็นไปตามนัยมาตรา ๒๑ และมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการโอนใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการกำกับและติดตามการดำเนินการเรียนการสอนของโรงเรียนนานาชาติเชียงใหม่อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนเป็นไปตามกรอบและทิศทางตามที่กฎหมายกำหนด โดยไม่เกิดปัญหาและผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติหรือวัฒนธรรมของประเทศหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13235 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายธีรพล สุขมาก) | สธ | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายธีรพล สุขมาก ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลทุ่งสง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13236 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี 2560 | กค | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี ๒๕๖๐ มีรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจทั้งสิ้น จำนวน ๕๔ แห่ง ประกอบด้วย ๒ ระบบ ได้แก่ (๑) ระบบการบริหารจัดการองค์กร ผลการประเมินในภาพรวม รัฐวิสาหกิจมีคะแนนเฉลี่ยที่ ๓.๐๖๔๔ คะแนน เพิ่มขึ้น ๐.๑๔๑๓ คะแนน เมื่อเปรียบเทียบกับปี ๒๕๕๙ เนื่องจากผลการดำเนินการตามนโยบายของรัฐวิสาหกิจเป็นไปตามเป้าหมายมากขึ้น และ (๒) ระบบการประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) ผลการประเมินในภาพรวม รัฐวิสาหกิจมีคะแนนเฉลี่ยที่ ๓.๘๕๙๙ คะแนน ลดลง ๐.๑๒๕๙ คะแนน เนื่องจากไม่สามารถบริหารแผนลงทุนได้ตามเป้าหมาย รวมถึงผลสำรวจ Employee Engagement ที่มีระดับลดลง ทั้งนี้ คณะกรรมการประเมินผลงานรัฐวิสาหกิจได้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะจากรายงานผลการประเมินผลฯ เพิ่มเติม เช่น การวางแผนยุทธศาสตร์องค์กร การกำกับดูแลกิจการที่ดี การเสริมสร้างทรัพยากรด้านดิจิทัล การสร้างเสริมนวัตกรรม และการวางแผนบุคลากร เป็นต้น และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะจากการประเมินผลฯ อย่างเคร่งครัดต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การเตรียมความพร้อมในการกำหนดบทบาทและทิศทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี การเร่งสรรหาผู้บริหารสูงสุดที่ยังว่างอยู่ และการส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจมีบทบาทในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติที่ชัดเจนมากขึ้น และสามารถเร่งรัดการลงทุนและวางแผนการลงทุนร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชนที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดกำกับรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อให้รัฐวิสาหกิจขับเคลื่อนการดำเนินงานขององค์กรให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยไม่ควรให้มีการปรับลดเป้าหมายตัวชี้วัดในระหว่างรอบการประเมิน เพื่อให้การประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจสามารถสะท้อนประสิทธิภาพในการดำเนินงานขององค์กรได้อย่างแท้จริง พร้อมทั้งพิจารณากำหนดมาตรการให้ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจมีส่วนร่วมรับผิดชอบในกรณีที่รัฐวิสาหกิจมีผลการประเมินไม่เป็นไปตามเกณฑ์เป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13237 | ขอความเห็นชอบให้สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศจัดการศึกษาในประเทศไทย (Asian Institute of Hospitality Management, In Academic Association With Les Roches) | ศธ | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ Asian Institute of Hospitality Management, In Academic Association With Les Roches (เลส์โรช) สมาพันธรัฐสวิส เข้ามาจัดการศึกษาในประเทศไทย ในหลักสูตรปริญญาตรีสาขาการบริหารธุรกิจการโรงแรม (Bachelor of Business Administration in Global Hospitality Management) โดยจัดตั้งใน ๒ พื้นที่ คือ จังหวัดชลบุรีและกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับอุตสาหกรรมการโรงแรมและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็น ๑ ใน ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพของพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกซึ่งมีความเห็นในประเด็นการสร้างความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาของรัฐในประเทศกับสถาบันดังกล่าว การสร้างโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาให้กับคนทุกกลุ่ม และการจัดให้มีศูนย์การฝึกอบรมระยะสั้นด้านการบริการและการท่องเที่ยว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13238 | การรับรองร่างปฏิญญา 3R กรุงเทพ ว่าด้วยการป้องกันมลพิษจากขยะพลาสติกโดยใช้หลักการ 3R และเศรษฐกิจหมุนเวียน | ทส | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการร่างปฏิญญา 3R กรุงเทพ ว่าด้วยการป้องกันมลพิษจากขยะพลาสติกโดยใช้หลักการ 3R และเศรษฐกิจหมุนเวียน มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ด้านนโยบายร่วมกันของผู้แทนประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก เพื่อส่งเสริมการนำหลักการ 3R และเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ในการดำเนินงานเพื่อลดมลพิษจากขยะพลาสติก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้าน 3R ในประเทศไทย รวมทั้งเป็นการสร้างหุ้นส่วนความร่วมมือระหว่างประเทศ และองค์กรที่เกี่ยวข้อง อันจะนำไปสู่การพัฒนา ปรับปรุงระบบบริหารจัดการขยะมูลฝอยในประเทศให้ครบวงจร ทันสมัย และเป็นไปตามหลักสากล ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิเศษร่างปฏิญญาฯ ในการประชุมระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสด้าน 3R ของประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ ๙ (The Ninth Regional 3R Forum in Asia and the Pacific) ระหว่างวันที่ ๔-๖ มีนาคม ๒๕๖๒ ณ โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน กรุงเทพมหานคร ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13239 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนมกราคม 2562 | นร11 | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ สิ้นเดือนมกราคม ๒๕๖๒ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความก้าวหน้ายุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศ การติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ การสร้างการรับรู้และขยายหุ้นส่วนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ และการดำเนินงานในระยะต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13240 | แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายพีระพล พูลทวี) | ศธ | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายพีระพล พูลทวี ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
.....