ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1560 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 31181 - 31200 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31181 | ร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... | กษ | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้จัดตั้งการยางขึ้นเรียกว่า “การยางแห่งประเทศไทย” เรียกโดยย่อว่า “กยท.” เป็นนิติบุคคล มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบดูแลการบริหารจัดการยางพาราของประเทศทั้งระบบอย่างครบวงจร บริหารจัดการเกี่ยวกับการเงินกองทุนพัฒนายางพารา ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางพารา จัดให้มีการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย พัฒนา และเผยแพร่ข้อมูลและสารสนเทศเกี่ยวกับยางพารา ส่งเสริม สนับสนุน และให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางและผู้ประกอบกิจการยาง ด้านวิชาการ การเงิน การผลิต การแปรรูป การอุตสาหกรรม การตลาด การประกอบธุรกิจ ดำเนินการให้ระดับราคายางพารามีเสถียรภาพ และดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกแทนและการปลูกใหม่ ๑.๒ กำหนดแหล่งที่มาของทุนของ กยท. และแหล่งที่มาของรายได้ของ กยท. รวมทั้งกำหนดให้รายได้ที่ กยท. ได้รับจากการดำเนินงานให้ตกเป็นของ กยท. สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ กำหนดให้ทรัพย์สินของ กยท. และกองทุนไม่อยู่ในความรับผิดชอบแห่งการบังคับคดี และ กยท. มีอำนาจในการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้ จำหน่าย และจัดหาประโยชน์จากทรัพย์สินของ กยท. ๑.๓ กำหนดให้มีคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย มีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ กยท. และให้คณะกรรมการเป็นผู้แต่งตั้งและกำหนดอัตราเงินเดือนของผู้ว่าการโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี โดยผู้ว่าการมีหน้าที่บริหารกิจการของ กยท. และมีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้าง ๑.๔ กำหนดให้ผู้ที่จะได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกแทนตามพระราชบัญญัตินี้ต้องเป็นเกษตรกรชาวสวนยางที่มีต้นยางอายุกว่ายี่สิบห้าปีขึ้นไป หรือต้นยางทรุดโทรมเสียหายหรือต้นยางได้ผลน้อยตามหลักเกณฑ์ที่ กยท. กำหนด ๑.๕ กำหนดให้ผู้ที่ไม่มีสวนยางมาก่อนและมีที่ดินเป็นของตนเองไม่น้อยกว่าสองไร่ขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกใหม่ และให้เกษตรกรชาวสวนยางและผู้ประกอบกิจการยางที่ประสงค์จะขอรับการส่งเสริม สนับสนุน และความช่วยเหลือในด้านวิชาการ การเงิน การแปรรูป การอุตสาหกรรม การตลาด และการดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องกับยางพาราขอรับการส่งเสริมตามแบบและวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด ๑.๖ กำหนดให้จัดตั้งกองทุนขึ้นใน กยท. เรียกว่า “กองทุนพัฒนายางพารา” มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนายางพารา ๑.๗ กำหนดให้บุคคลซึ่งส่งยางพาราออกนอกราชอาณาจักรต้องเสียค่าธรรมเนียมให้ กยท. การกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและการยกเว้นค่าธรรมเนียมจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน และหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราค่าธรรมเนียมให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ๑.๘ กำหนดสัดส่วนในการจัดสรรเงินกองทุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และให้การบริหารและจัดสรรเงินจากกองทุนเป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ๑.๙ กำหนดให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชี ทำการตรวจสอบรับรองบัญชีและการเงินทุกประเภทของ กยท. ๑.๑๐ กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ กยท. และกำหนดให้ กยท. ทำรายงานปีละครั้งเสนอต่อรัฐมนตรี ๒. เพื่อให้ร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายและเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยางอย่างยั่งยืน ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของสมาคมหรือสถาบันที่เกี่ยวข้องกับชาวสวนยางและผู้ประกอบกิจการยางในการเสนอรายชื่อบุคคลที่เหมาะสมและได้รับการยอมรับเข้าร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย และในการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนายางพารา ควรให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรรายย่อยและสถาบันเกษตรกรให้สามารถผลิตและแปรรูปยางพาราที่มีคุณภาพและจำหน่ายได้ในราคาที่เหมาะสม ควบคู่กับการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการตลาดยางพาราตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ การส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางไปสู่สินค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสและมีมูลค่าสูง รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยางในทุกระดับเพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมยางในระยะต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31182 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลกุดป่อง และตำบลชัยพฤกษ์ อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย พ.ศ. .... | คค | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลกุดป่อง และตำบลชัยพฤกษ์ อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลกุดป่อง และตำบลชัยพฤกษ์ อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย เพื่อขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๑๓๘ กับทางหลวงชนบท ลย. ๔๐๐๙ บริเวณบ้านท่าข้าม เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31183 | รายงานการใช้งบลงทุนกรณีฉุกเฉินของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2554 [การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)] | นร | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการใช้งบลงทุนกรณีฉุกเฉินของรัฐวิสาหกิจประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ [การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)] ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. คณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้เห็นชอบให้ กฟภ. เพิ่มเติมงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติกรณีฉุกเฉิน วงเงินดำเนินการ ๗๘๔.๒๗ ล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ทำให้ กฟภ. ได้รับผลกระทบในหลายพื้นที่จำเป็นต้องเร่งแก้ไข ซ่อมแซม และจัดหาอุปกรณ์ไฟฟ้าทดแทนของเดิมให้สามารถจ่ายไฟฟ้ากลับคืนให้แก่ผู้ใช้ไฟและผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ ซึ่งคณะทำงานฟื้นฟูระบบการจ่ายไฟภายในสถานีไฟฟ้าเพื่อเตรียมการจ่ายไฟหลังสถานการณ์น้ำลดของ กฟภ. ได้ตรวจสอบแล้ว พบว่า อุปกรณ์ไฟฟ้าได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก เช่น สวิตซ์เกียร์ หม้อแปลง รีเลย์ เป็นต้น นอกจากนี้ สถานีไฟฟ้าที่ได้รับความเสียหายต้องก่อสร้างใหม่ทดแทนสถานีเดิม ได้แก่ สถานีไฟฟ้าบางพระครูภายในนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และสถานีไฟฟ้าบางกะดีภายในสวนอุตสาหกรรมบางกระดี จังหวัดปทุมธานี รวมทั้งสถานีไฟฟ้าที่ต้องดำเนินการซ่อมแซมและปรับปรุง รวมทั้งสิ้น ๑๖ สถานี ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถจ่ายไฟฟ้ากลับคืนให้แก่ผู้ใช้ไฟและผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ ๒. คณะกรรมการบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้เห็นชอบให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ใช้งบลงทุนกรณีฉุกเฉิน วงเงินดำเนินการจำนวน ๓๖๓.๕๐ ล้านบาท เพื่อจัดหาอุปกรณ์ชุมสาย สื่อสัญญาณ ข่ายสาย และอุปกรณ์การกำลัง ทดแทนของเดิมที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการให้บริการของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) จึงมีความจำเป็นต้องเร่งจัดหาอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อให้การบริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
31184 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันตามมาตรา 23 วรรคสี่ สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 (รายการเช่าอาคารเพื่อเป็นที่ทำการ สำนักงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานซิดนีย์) | กก | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเกินกว่าวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ สำหรับการเช่าอาคารที่ทำการ ททท. สำนักงานซิดนีย์ จากเดิม ๓๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นเงิน ๓๖,๖๔๗,๖๐๐ บาท ดังนี้ ๑.๑ ค่าเช่าปีที่ ๑ (วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕) จำนวน ๖,๗๑๗,๐๐๐ บาท ๑.๒ ค่าเช่าปีที่ ๒ (วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖) จำนวน ๗,๐๒๒,๒๐๐ บาท ๑.๓ ค่าเช่าปีที่ ๓ (วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗) จำนวน ๗,๓๑๐,๖๐๐ บาท ๑.๔ ค่าเช่าปีที่ ๔ (วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘) จำนวน ๗,๖๓๑,๗๐๐ บาท ๑.๕ ค่าเช่าปีที่ ๕ (วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙) จำนวน ๗,๙๕๖,๑๐๐ บาท ๒. สำหรับงบประมาณส่วนที่ต้องใช้เพิ่มเติมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๕๑๗,๐๐๐ บาท ให้ ททท. ปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มาดำเนินการ และส่วนที่ต้องใช้เพิ่มเติมในการผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๙ จำนวน ๕,๑๓๐,๖๐๐ บาท ให้ ททท. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
31185 | ร่างกฎกระทรวงสถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว พ.ศ. .... | พน | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงสถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดบทนิยามคำว่า “สถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว” “อาคารบริการ” “เขตสถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว” “เขตบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว” “บริเวณอันตราย” เป็นต้น ๑.๒ กำหนดลักษณะและระยะปลอดภัยของสถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่บรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลวให้แก่ยานพาหนะทางบกที่ติดตั้งถังก๊าซรถยนต์ ระยะห่างจากสถานที่สำคัญ ๆ กำหนดจุดเริ่มต้น ระยะห่างระหว่างทางเข้าและทางออกสำหรับยานพาหนะ และกำหนดเขตพื้นที่ห้ามก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอื่นใด ๑.๓ กำหนดหลักเกณฑ์การตั้งถังเก็บและจ่ายก๊าซ การวางระบบท่อก๊าซ การติดตั้งอุปกรณ์เข้ากับถังเก็บและจ่ายก๊าซ หัวจ่ายก๊าซและสายหัวจ่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว การตั้งตู้จ่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวในสถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว ๑.๔ กำหนดให้บรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลวลงในถังก๊าซรถยนต์ได้ไม่เกินร้อยละ ๘๕ ของความจุของถังก๊าซรถยนต์ กำหนดห้ามบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลวลงในถังก๊าซหุงต้มภายในสถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว กำหนดวิธีปฏิบัติในการบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลวจากถังขนส่งก๊าซทางบก ๑.๕ กำหนดบริเวณอันตรายของสถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการก๊าซปิโตรเลียมเหลวยื่นหนังสือขอรับการตรวจสอบและหนังสือรับรองการปฏิบัติจากผู้ทดสอบและตรวจสอบ เมื่อติดตั้งระบบไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้า และระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าเสร็จแล้ว ๑.๖ กำหนดระบบการป้องกันและระงับอัคคีภัยในสถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว วิธีปฏิบัติเมื่อก๊าซปิโตรเลียมเหลวรั่ว กำหนดห้ามกระทำการใด ๆ ที่อาจเกิดเปลวไฟหรือประกายไฟในสถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว กำหนดให้ติดตั้งเครื่องส่งเสียงดังเมื่อก๊าซปิโตรเลียมเหลวรั่วไว้ที่บริเวณที่ตั้งถังเก็บและจ่ายก๊าซและบริเวณตู้จ่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวอย่างน้อยบริเวณละหนึ่งเครื่อง ๑.๗ กำหนดเขตสถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลวของสถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ได้รับอนุญาตแล้ว ก่อนกฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้ถือเป็นเขตบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลวตามกฎกระทรวงนี้ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดทิศทางลมเพื่อตรวจสอบทิศทางของการแพร่กระจายของก๊าซปิโตรเลียมเหลวกรณีเกิดการรั่วไหล การกำหนดแผนปฏิบัติกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินซึ่งมีรายละเอียดของแผนอพยพประชาชนไปอยู่ในที่ปลอดภัย และการซ้อมแผนฉุกเฉินตามที่กฎหมายกำหนดเพื่อป้องกันผลกระทบต่อประชาชนผู้มาใช้บริการและผู้อยู่อาศัยโดยรอบ รวมทั้งการกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการตรวจทดสอบความปลอดภัยของถังเก็บก๊าซและอุปกรณ์ส่วนควบที่เกี่ยวข้อง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ นอกจากนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการสถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลวทราบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ และวิธีการในการประกอบกิจการให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนด และสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ที่ผู้ประกอบการสถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลวพึงมีตามกฎหมาย การจัดทำระบบการติดตามประเมินผลการบังคับใช้ระเบียบดังกล่าว และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้บริการทราบเกี่ยวกับช่องทางในการร้องเรียนกรณีสถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลวไม่ได้มาตรฐาน รวมทั้งจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นและร่วมหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อร่างกฎกระทรวงฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31186 | ร่างพระราชบัญญัติความลับทางการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติความลับทางการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๕ ดังนี้
๑. ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการความลับทางการค้า โดยกำหนดให้คณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการโดยตำแหน่งและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สำหรับกรรมการโดยตำแหน่งประกอบด้วยข้าราชการประจำของหน่วยงานที่รับผิดชอบและมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับพระราชบัญญัติความลับทางการค้าฯ โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานกรรมการ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นรองประธานกรรมการ อธิบดีกรมวิชาการเกษตรและเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ๒. ยกเลิกลักษณะต้องห้ามของกรรมการตามมาตรา ๑๗ ๓. แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับวาระการดำรงตำแหน่ง เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขโครงสร้างของคณะกรรมการ และกำหนดเพิ่มเติมให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระดำเนินงานต่อไปจนกว่ากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ๔. แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ วิธีการประชุมของคณะกรรมการ และกำหนดให้กรรมการเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมโครงสร้างของคณะกรรมการ ๕. แก้ไขเพิ่มเติมบทกำหนดโทษในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่ในการดูแลรักษาความลับทางการค้า และผู้เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัตินี้ โดยยกเลิกอัตราโทษขั้นต่ำ เพื่อให้ศาลสามารถใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษได้ตามความหนักเบาของลักษณะการกระทำความผิด และใช้ดุลพินิจในการรอการลงอาญาได้ในกรณีที่ศาลลงโทษจำคุกไม่เกินสามปี ตามมาตรา ๕๖ แห่งประมวลกฎหมายอาญา และลดอัตราโทษในมาตรา ๓๔ เป็น “จำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” รวมทั้งปรับปรุงอัตราโทษในมาตรา ๓๕ เป็น “จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
|
|||||||||||||||||||||||||||
31187 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "กระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำความผิด" | สสป | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "กระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำความผิด" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงยุติธรรมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงบประมาณ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอแนะด้านครอบครัว สังคม เช่น รัฐบาลควรให้การสนับสนุนสถาบันครอบครัวและให้ความสำคัญในการเลี้ยงดูบุตร เช่น การเพิ่มระยะเวลาในการลาคลอดให้มากขึ้น ควรสนับสนุนงบประมาณโครงการศูนย์ส่งเสริมความสัมพันธ์สถาบันครอบครัว ให้มีการขยายผลสู่ทุกตำบล นโยบายการปราบปรามยาเสพติดของหน่วยงานภาครัฐควรทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ควรสนับสนุนงบประมาณผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สถาบันหลักในชุมชน ได้แก่ บ้าน วัด โรงเรียนอย่างทั่วถึงและเพียงพอ และควรส่งเสริมให้สถาบันการศึกษากำหนดให้เด็กและเยาวชนมีกิจกรรมเข้าค่ายจริยธรรมและคุณธรรมตามหลักศาสนาทุกภาคการศึกษา รวมทั้งมีการควบคุมสื่อสาธารณะที่เผยแพร่ภาพความรุนแรงทางกายภาพ จิตใจ สิ่งลามกอนาจาร ที่ส่งผลกระทบให้เด็กและเยาวชนเลียนแบบในทางที่ผิด เป็นต้น ๒. ข้อเสนอแนะด้านข้อกฎหมาย เช่น ควรแก้ไขพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ เรื่องการปล่อยตัวชั่วคราว ให้เป็นไปตามหลักกฎหมายเดิมที่ให้ส่งตัวเด็กและเยาวชนไปสถานพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชนภายใน ๒๔ ชั่วโมง ควรมีการแก้ไขกฎหมายในประเด็นองค์ประกอบที่เข้าร่วมการสอบสวนโดยให้ลดจำนวนเจ้าพนักงาน ซึ่งอาจจะเป็น พนักงานอัยการ หรือนักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ คนใดคนหนึ่ง ควรพิจารณาตามมูลเหตุแห่งความผิดเพื่อง่ายต่อการนัดสอบสวนซึ่งเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาในทางปฏิบัติ แต่ต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายในการคุ้มครองเด็กและเยาวชนมิให้ถูกสอบสวนโดยมิชอบด้วย และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำความผิดประกอบด้วยศาลเยาวชนและครอบครัว สำนักงานอัยการสูงสุด และกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ได้มีการศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิธีการดำเนินการ ขั้นตอน และวิธีปฏิบัติของผู้ปฏิบัติงาน และตัวเด็กและเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำความผิด ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เป็นต้น ๓. ข้อเสนอแนะด้านการบริหารจัดการ องค์กร บุคลากร งบประมาณ เช่น รัฐบาลควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนโดยประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ควรส่งเสริมและให้การสนับสนุนการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนอย่างจริงจัง ควรจัดสร้างสถานแรกรับเด็กและเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนให้ครอบคลุมทุกจังหวัด ควรสนับสนุนงบประมาณอย่างเต็มที่ให้กับหน่วยงานของรัฐที่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำความผิด ควรสนับสนุนงบประมาณให้กับกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนให้เพียงพอกับการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาระบบการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน และควรให้ภาคเอกชนที่เข้ามาสนับสนุนกิจกรรมเกี่ยวกับการบำบัดแก้ไขฟื้นฟูเด็กและเยาวชนกระทำความผิดในสถานพินิจและศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนได้รับแรงจูงใจในการลดภาษีที่สูงขึ้น Corporate Social Responsibility (CSR) เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
31188 | กรอบการเจรจาการบินเพื่อจัดทำความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ | คค | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบการเจรจาการบินเพื่อจัดทำความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ กรอบการเจรจาการบินฯ ระบุว่า การเจรจาจัดทำความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศควรสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทย กฎหมาย ข้อบังคับภายในประเทศ รวมถึงข้อเสนอแนะ แนวทางขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง และยึดหลักการต่างตอบแทนระหว่างไทยและรัฐภาคี โดยมุ่งให้เกิดประโยชน์โดยรวมสูงสุดแก่ประเทศไทย ซึ่งโดยทั่วไปการตกลงจะเป็นในรูปแบบการเจรจาการบินหรือการโต้ตอบทางหนังสือ โดยจัดทำเป็นเอกสาร ๓ ประเภทหลักในการตกลงและใช้ประกอบกัน ซึ่งครอบคลุมประเด็นหลัก ดังนี้
๑. ความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ ระบุหลักการกว้าง ๆ เป็นกรอบในการกำกับดูแล และเป็นกรอบในการพิจารณาอนุญาตสายการบินของรัฐภาคีในการทำการบินระหว่างกัน โดยระบุข้อบทต่าง ๆ เช่น การให้สิทธิ การกำหนดสายการบินและการอนุญาตดำเนินการ การเพิกถอน พักใช้ และจำกัดใบอนุญาตดำเนินการ การบังคับใช้กฎหมาย ใบพิกัดเส้นทางบิน เป็นต้น ซึ่งข้อบทในความตกลงฯ หลักนี้ โดยทั่วไปจะไม่ได้แก้ไขปรับปรุงบ่อยนัก ๒. บันทึกความเข้าใจ เป็นเอกสารระบุการตกลงเพิ่มเติมเรื่องสิทธิการบินต่าง ๆ ที่สายการบินของแต่ละฝ่ายจะได้รับ หรือการตกลงเสริมจากความตกลงฯ หลัก เช่น สิทธิความจุความถี่ สิทธิรับขนการจราจร เส้นทางบิน การแจ้งแต่งตั้งสายการบินที่กำหนด ความร่วมมือของสายการบิน ซึ่งสาระในบันทึกความเข้าใจนี้จะมีการปรับปรุงแก้ไขอยู่เป็นระยะ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ พัฒนาการของตลาด กฎหมาย หรือนโยบายของรัฐภาคีที่เกี่ยวข้อง ๓. หนังสือโต้ตอบระหว่างเจ้าหน้าที่การเดินอากาศ หรือระหว่างรัฐบาลของภาคีที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขความตกลงฯ หลัก แก้ไขบันทึกความเข้าใจ โดยการโต้ตอบเป็นลายลักษณ์อักษร หรือเพื่อยืนยันการตกลงเรื่องต่าง ๆ ข้างต้น ภายหลังจากมีการเจรจาแล้ว เพื่อให้มีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการ |
|||||||||||||||||||||||||||
31189 | กรอบการเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงด้านการขนส่งทางบกระหว่างไทย - ลาว - จีน | คค | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบการเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงด้านการขนส่งทางบกระหว่างไทย - ลาว - จีน เพื่อใช้เป็นกรอบการเจรจาในการดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Cross Border Transport Agreement : CBTA) ระหว่างไทย - ลาว - จีน ที่จุดผ่านแดนเชียงของ - ห้วยทราย (ไทย - ลาว) และจุดผ่านแดนบ่อเต็น - โมฮาน (ลาว - จีน) ในระหว่างที่แต่ละประเทศยังไม่สามารถให้สัตยาบันภาคผนวกและพิธีสารแนบท้ายความตกลงฯ ที่ได้ลงนามไปแล้ว เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารระหว่างกัน และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยกรอบการเจรจาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ สิทธิการจราจร การอนุญาตให้มีการประกอบการขนส่งทางถนนของสินค้าและบุคคลระหว่างไทย - ลาว - จีน ตามแนวเส้นทางเศรษฐกิจเหนือ - ใต้ และให้มีการยอมรับผู้ประกอบการขนส่งซึ่งได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่รับผิดชอบของแต่ละภาคี ๑.๒ การอำนวยความสะดวกพิธีการข้ามแดน การยอมรับการตรวจพร้อมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และตั้งเป้าหมายให้มีการตรวจสอบสินค้าเพียงครั้งเดียวต่อไปในอนาคต ๑.๓ การขนส่งบุคคลข้ามแดน การนำหลักเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกมาใช้สำหรับการขนส่งบุคคลข้ามแดน ๑.๔ การขนส่งสินค้าข้ามแดน การยกเว้นการจัดเก็บภาษีศุลกากรสำหรับสินค้า หรือคอนเทนเนอร์ที่ติดตราประทับศุลกากรที่ใช้ในการขนส่งผ่านแดน สำหรับการขนส่งสินค้าอันตรายจะอนุญาตเป็นกรณี ๆ ไป และการให้สิทธิพิเศษในการตรวจปล่อยสินค้าเน่าเสียง่ายข้ามแดน ๑.๕ การยอมรับรถ การยอมรับใบอนุญาตขับรถในประเทศซึ่งกันและกัน ๑.๖ บทเบ็ดเตล็ด การกำหนดอัตราค่าบริการการขนส่งให้เป็นไปตามกลไกตลาด การจัดตั้งคณะทำงานร่วมไทย - ลาว - จีน เพื่อควบคุมและติดตามการปฏิบัติตามความตกลงฯ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเจรจาความตกลงฯ ควรให้ความสำคัญกับความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงาน ณ ด่านพรมแดน พนักงานขับรถ ภาคเอกชน รวมถึงชุมชนที่อยู่ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจของทั้งสามประเทศให้มีความเข้าใจในระเบียบปฏิบัติตามความตกลงฯ รวมถึงภาษาที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างกัน เพื่อให้เกิดความมั่นใจในความปลอดภัยสำหรับการขนส่งระหว่างประเทศ และเห็นควรให้คณะกรรมการขนส่งผ่านแดนและการขนส่งข้ามแดนแห่งชาติ ของกระทรวงคมนาคม ในฐานะ National Transport Facilitation Committee ของไทย มีบทบาทในการประสานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการอนุญาตให้มีการขนส่งสินค้าอันตราย นอกจากนี้ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการศึกษาและติดตามประเมินผลทั้งกรอบแนวทางการพัฒนาความร่วมมือ การเจรจาตามข้อตกลง ปัญหาอุปสรรคของการดำเนินการและปัจจัยแห่งความสำเร็จ เพื่อเป็นแนวทางในการเจรจาความตกลงในรายละเอียดหรือปรับปรุงข้อตกลงเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ และเพื่อประโยชน์ในการกำหนดรูปแบบการเจรจาและการทำความตกลงฯ ในเส้นทางอื่น ๆ ตามแนวทางการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31190 | ข้อเสนอแนวทางการพัฒนางานอาสาสมัครไทย | พม | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอแนวทางการพัฒนางานอาสาสมัครไทย และให้คณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ (ก.ส.ค.) นำไปดำเนินการโดยประสานงานกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยข้อเสนอแนวทางการพัฒนางานอาสาสมัครไทย มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ส่งเสริมการเป็นอาสาสมัคร โดยการเสริมสร้างให้เกิดจิตสำนึกในการเป็นอาสาสมัครในทุกระดับ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนในสถาบันการศึกษา บุคลากรในหน่วยงานของรัฐ ภาคธุรกิจและภาคเอกชน ให้มีกลไกความร่วมมือระหว่างองค์การอาสาสมัครกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนงานดังกล่าว การเพิ่มจำนวนอาสาสมัครประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานสาธารณภัย และในงานเฉพาะทาง เช่น การดูแลคนพิการ ผู้สูงอายุ ผู้รับบริการในสถานสงเคราะห์ การให้สวัสดิการ ส่งเสริมขวัญกำลังใจ และยกย่องให้เกียรติอาสาสมัครอย่างเท่าเทียมกัน เป็นระบบและครบวงจร ๑.๒ พัฒนาความรู้ความสามารถของอาสาสมัคร โดยการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ การจัดทำจริยธรรมในงานอาสาสมัคร การถอดบทเรียนค้นหาต้นแบบที่ดีในการทำงานอาสาสมัคร การจัดทำหลักสูตรอบรมอาสาสมัครและการบริหารจัดการงานอาสาสมัคร การจัดตั้งสถาบันการจัดการและการอบรมอาสาสมัครเพื่อสังคม การส่งเสริมมาตรฐานการปฏิบัติงานของอาสาสมัคร การส่งเสริมงานวิจัยงานอาสาสมัคร รวมทั้งให้มีการจัดทำรายงานการประเมินมูลค่างานอาสาสมัครที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ ๑.๓ พัฒนาองค์กรและบุคลากร โดยการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานอาสาสมัครและกับทุกภาคส่วน การส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้ามาส่งเสริมงานอาสาสมัคร และให้มีแหล่งทุนที่เพียงพอ หรือจัดตั้งกองทุนในการสนับสนุนการดำเนินงานอาสาสมัคร ๑.๔ สร้างเครือข่าย โดยการส่งเสริมให้เกิดการรวมตัวกันของอาสาสมัครในทุกประเภทและทุกระดับ จัดตั้งศูนย์อาสาสมัครแห่งชาติและจังหวัด โดยให้มีกลไกการบริหารจัดการอาสาสมัครและมีรูปแบบคณะกรรมการในการบริหารจัดการที่ชัดเจน และให้มีผู้แทนอาสาสมัครเข้าไปมีส่วนร่วมในกลไกและเวทีการพัฒนาด้านต่าง ๆ ๑.๕ ส่งเสริมการสื่อสารและรณรงค์สาธารณะ โดยการพัฒนาระบบฐานข้อมูลอาสาสมัคร เพิ่มช่องทางการเผยแพร่และการสื่อสารข้อมูลกิจกรรมงานอาสาสมัครและระหว่างอาสาสมัครด้วยกันเอง และการส่งเสริมให้มีการสื่อสารเผยแพร่งานอาสาสมัครในสื่อกระแสหลัก ๑.๖ ส่งเสริมความร่วมมือกับต่างประเทศ โดยพัฒนาความร่วมมือระหว่างอาสาสมัครไทยกับอาสาสมัครชาวต่างประเทศที่เข้ามาเป็นอาสาสมัครในประเทศไทย การส่งเสริมให้คนไทยไปเป็นอาสาสมัครในต่างประเทศ สร้างกลไกความร่วมมือด้านอาสาสมัครระหว่างประเทศทั้งในรูปแบบทวิภาคีและพหุภาคี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวทีอาเซียน ๒. สำหรับการจัดตั้งสถาบันการจัดการและการอบรมอาสาสมัครเพื่อสังคม ศูนย์อาสาสมัครแห่งชาติและจังหวัด และการจัดตั้งกองทุนในการสนับสนุนการดำเนินงานอาสาสมัคร ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านอาสาสมัคร ควรเป็นการทำงานในภาพกว้าง โดยบูรณาการการทำงานกับทุกภาคส่วน รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และต้องมีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในภารกิจที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอยู่แล้ว และเป็นการเสริมงานในภาพกว้างที่แต่ละหน่วยงานได้ดำเนินการอยู่แล้วให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31191 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2553 - 2557 (เพิ่มเติม) ณ เดือนธันวาคม 2554 | คค | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ (เพิ่มเติม) ณ เดือนธันวาคม ๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ (เพิ่มเติม) ประกอบด้วย ๑.๑ แผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๑๑ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๘๗,๕๒๙.๐๐ ล้านบาท (รัฐบาลรับภาระ ๘๔,๐๒๔.๐๐ ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) รับภาระ ๓,๕๐๕.๐๐ ล้านบาท) ได้แก่ โครงการปรัปปรุงทางรถไฟ ระยะที่ ๕ วงเงิน ๘,๕๐๘.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงทางรถไฟ ระยะที่ ๖ วงเงิน ๖,๗๗๙.๐๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย วงเงิน ๑๑,๓๔๘.๐๐ ล้านบาท โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า น้ำหนักกดเพลาสูงสุด ๒๐ ตัน/เพลา จำนวน ๑๓ คัน วงเงิน ๒,๑๔๕.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย วงเงิน ๒๓,๖๗๑.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงสะพาน จำนวน ๑,๔๓๔ แห่ง วงเงิน ๑๒,๑๖๗.๐๐ ล้านบาท โครงการอาณัติสัญญาณไฟสี จำนวน ๒๒๔ แห่ง วงเงิน ๑๑,๓๕๘.๐๐ ล้านบาท โครงการจัดหาและติดตั้งเครื่องกั้นถนนและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑,๒๘๔ แห่ง วงเงิน ๕,๔๕๖.๐๐ ล้านบาท งานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ ระยะทาง ๑,๖๔๙ กิโลเมตร วงเงิน ๔,๗๓๗.๐๐ ล้านบาท โครงการสร้างโรงรถจักรแก่งคอย วงเงิน ๑,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท และโครงการสร้างโรงรถศรีราชาและหน่วย ๑๐ ลาดกระบัง วงเงิน ๓๖๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ โครงการที่จะต้องดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและจัดทำรายงานการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นรายโครงการ จำนวน ๑๐ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๘๙,๒๗๙.๐๐ ล้านบาท (รัฐบาลรับภาระ ๖๘,๓๑๐.๐๐ ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทยรับภาระ ๒๐,๙๖๙.๐๐ ล้านบาท) ได้แก่ โครงการก่อสร้างทางคู่สายลพบุรี - ปากน้ำโพ ระยะทาง ๑๑๘ กิโลเมตร โครงการก่อสร้างทางคู่สายมาบกะเบา - นครราชสีมา ระยะทาง ๑๓๒ กิโลเมตร โครงการก่อสร้างทางคู่สายนครราชสีมา - ขอนแก่น ระยะทาง ๑๘๕ กิโลเมตร โครงการก่อสร้างทางคู่สายนครปฐม - หนองปลาดุก - หัวหิน ระยะทาง ๑๖๕ กิโลเมตร โครงการก่อสร้างทางคู่สายประจวบคีรีขันธ์ - ชุมพร ระยะทาง ๑๖๗ กิโลเมตร โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าทดแทน GE จำนวน ๕๐ คัน โครงการ Refurbish รถจักร จำนวน ๕๖ คัน โครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่ สำหรับให้บริการเชิงพาณิชย์ จำนวน ๑๑๕ คัน โครงการก่อสร้างสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง ICD แห่งที่ ๒ และโครงการติดตั้งระบบโครงข่ายโทรคมนาคม ๑.๓ การก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ จำนวน ๑๑๔ แห่ง วงเงิน ๑๙,๐๑๒.๕๐ ล้านบาท ได้แก่ การก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ ของกรมทางหลวง จำนวน ๘๒ แห่ง วงเงิน ๑๖,๕๕๐.๐๐ ล้านบาท กำหนดแผนการก่อสร้างในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒๕ แห่ง ซึ่งได้ดำเนินการสำรวจและออกแบบแล้วเสร็จ โดยจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ ของกรมทางหลวงชนบท อยู่ระหว่างการพิจารณาทบทวนการเสนอขอปรับแผนการดำเนินงานและกรอบวงเงินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามจุดตัดทางรถไฟในส่วนของกรมทางหลวงชนบททั้งหมด เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ทั้งนี้ กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการออกแบบรายละเอียดแล้วเสร็จ ๑๔ แห่ง และมีแผนงานที่จะดำเนินการก่อสร้างในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑ แห่ง ซึ่งอยู่ระห่วางขั้นตอนการประกวดราคา ๒. การพิจารณาแหล่งเงินทุนเพื่อดำเนินโครงการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของ รฟท. ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ (เพิ่มเติม) กระทรวงคมนาคมได้ขอรับการจัดสรรเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) โดยมีกรอบวงเงินกู้ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๗ วงเงินรวม ๑๔๐,๖๘๖.๔๓๓ ล้านบาท โดยเป็นวงเงินกู้ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๓๐,๒๖๐.๐๓๐ ล้านบาท (รฟท. จำนวน ๒๔,๗๐๕.๐๓๐ ล้านบาท กรมทางหลวง จำนวน ๕,๓๖๐.๐๐๐ ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท จำนวน ๑๙๕.๐๐๐ ล้านบาท) ซึ่งในเบื้องต้นได้รับการจัดสรรเงินกู้ดังกล่าว วงเงินรวม ๗,๖๒๗.๒๓๖๐ ล้านบาท ในส่วนของ รฟท. ได้แก่ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัยต่อการเดินรถ และโครงการติดตั้งเครื่องกั้นถนนเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมได้แจ้งให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรแหล่งเงินที่เหมาะสมสำหรับในส่วนที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรเงินกู้ให้กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และ รฟท.
|
|||||||||||||||||||||||||||
31192 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศย | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ พ.ศ. ๒๕๒๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๓๒ เพื่อให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดเทิง สำหรับคดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงซึ่งเกิดในท้องที่อำเภอขุนตาล อำเภอเชียงของ อำเภอพญาเม็งราย และอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31193 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 2/2555 | นร | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กยอ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ ตามที่คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยเสนอ โดยให้รับข้อสังเกตและความเห็นของคณะกรรมการ กยอ. เรื่องการพิจารณาทบทวนการประเมินความเสี่ยงของพื้นที่ซึ่งจะมีผลต่ออัตราเบี้ยประกันภัย ไปประกอบการพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานของกองทุนฯ ต่อไป ๑.๒ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรม และมอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์พร้อมทั้งกำหนดแนวทางปฏิบัติในเรื่องของโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยให้เกิดความชัดเจนและถูกต้องตามข้อกฎหมาย แล้วรายงานผลให้คณะกรรมการ กยอ. ทราบต่อไป ๑.๓ เห็นชอบประเด็นการศึกษาเพื่อจัดทำรายละเอียดของยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ด้านการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งรูปแบบการทำงานของที่ปรึกษา ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอ และมอบให้ฝ่ายเลขานุการดำเนินการจัดทำข้อกำหนดโครงการ (Term of Reference) และดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษาต่อไป รวมทั้งเห็นชอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการ จำนวน ๖๐ ล้านบาท โดยให้ฝ่ายเลขานุการประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณต่อไป และให้ฝ่ายเลขานุการเร่งนำเสนอเรื่องแผนงานการลงทุนพัฒนาระบบรางให้คณะกรรมการ กยอ. พิจารณา โดยไม่ต้องรอการศึกษาในภาพรวม ๑.๔ ให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) โดยคณะอนุกรรมการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำรับไปดำเนินการศึกษาประเมินความเป็นไปได้แบบเร่งด่วน (Rapid Assessment) ถึงความเหมาะสมของรูปแบบและวิธีการดำเนินงานของการจัดตั้งองค์กรขับเคลื่อนภารกิจและบูรณาการยุทธศาสตร์การฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำต่อไป โดยให้รับข้อสังเกตเรื่องการสนับสนุนให้ภาคเอกชนและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปจัดทำรายละเอียดของยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศและข้อกำหนดการศึกษาที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน และประสานงานกับสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานของสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (สกยอ.) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
31194 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญติดตาม เร่งรัด ประเมินผลการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ วุฒิสภา เรื่อง รายงานผลการติดตาม เร่งรัด ประเมินผลการแก้ไขปัญหาและการพัฒนา จังหวัดชายแดนภาคใต้ | สว | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญติดตาม เร่งรัด ประเมินผลการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ วุฒิสภา เรื่อง รายงานผลการติดตาม เร่งรัด ประเมินผล การแก้ไข และการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และผลการดำเนินตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ เสร็จแล้ว โดยในส่วนของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการถ่ายโอนภารกิจการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้แก่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) แล้ว กระทรวงยุติธรรมจึงติดตามรายงานผลการดำเนินการจาก ศอ.บต. มาเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
31195 | ญัตติการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย รวม 8 ญัตติ | สผ | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบญัตติ เรื่อง ญัตติการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย รวม ๘ ญัตติ และผลการดำเนินการตามญัตติดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
31196 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี โครงการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554) | กษ | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัย ดินโคลนถล่ม คลื่นลมแรงเกิดคลื่นเซาะชายฝั่งในพื้นที่ภาคใต้ของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย) โครงการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงได้รับเงินงบกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๗,๕๓๐,๔๐๐ บาท เพื่อดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยทะเลในเขตพื้นที่อนุญาตบริเวณอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครอบคลุมพื้นที่ ๔ อำเภอ คือ อำเภอกาญจนดิษฐ์ ไชยา ดอนสัก และท่าฉาง พื้นที่รวม ๑๔,๘๖๑.๔๖ ไร่ จำแนกเป็นพื้นที่เลี้ยงหอยแครง ๑๒,๘๕๕.๘๖ ไร่ พื้นที่เลี้ยงหอยนางรม ๑,๘๕๒.๔๐ ไร่ และพื้นที่เลี้ยงหอยแมลงภู่ ๑๕๓.๒๐ ไร่ โดยได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ๒. รายละเอียดของการดำเนินโครงการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีดังนี้ ๒.๑ ทำความสะอาดแปลงหอยโดยใช้จุลินทรีย์ในการบำบัดดินบริเวณเลี้ยงหอยในเขตพื้นที่อนุญาต และเก็บซากหอยตายและวัสดุเจือปนอันเนื่องจากภาวะอุทกภัยในบริเวณพื้นที่อนุญาต จำนวน ๑๔,๙๖๑.๔๖ ไร่ ๒.๒ เฝ้าระวังคุณภาพน้ำและดินในแหล่งเลี้ยงหอยทะเล โดยเก็บตัวอย่างน้ำและดินเพื่อตรวจวิเคราะห์ในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังฟื้นฟู ครอบคลุมพื้นที่ ๔ อำเภอ คือ อำเภอกาญจนดิษฐ์ ๖ จุด อำเภอไชยา ๔ จุด อำเภอดอนสัก ๒ จุด และอำเภอท่าฉาง ๔ จุด ๒.๓ จัดสร้างแหล่งพ่อแม่พันธุ์หอยทะเล ๒.๔ จัดทำแหล่งพ่อแม่พันธุ์หอยแครง โดยคราดทำความสะอาดแปลงเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์หอยแครง จัดซื้อลูกพันธุ์หอยแครง จำนวน ๑๐,๐๐๐ กิโลกรัม หว่านหอยแครงพร้อมทั้งทำป้ายห้ามทำการประมงและแนวเขตพ่อแม่พันธุ์หอยแครง ๒.๕ จัดทำแหล่งพ่อแม่พันธุ์หอยนางรม โดยจัดซื้อลูกพันธุ์หอยนางรม จำนวน ๓๐,๐๐๐ ตัว พร้อมทั้งติดตาหอยและปักแนวเขต
|
|||||||||||||||||||||||||||
31197 | ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2554 - 2556) ภายใต้แผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ พ.ศ. 2552 - 2556 | มท | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖) ภายใต้แผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ ๓ ปีฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีแผนงาน/โครงการได้รับงบประมาณ จำนวน ๔๑ แผนงาน/โครงการ เป็นเงิน ๒๗๐.๘๘๔๕ ล้านบาท ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๓๑ แผนงาน/โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๔ แผนงาน/โครงการ และไม่ได้รายงานผลการดำเนินการ จำนวน ๖ แผนงาน/โครงการ ๒. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีแผนงาน/โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ ๓ ปีฯ ที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ จำนวน ๒๒๘ แผนงาน/โครงการ งบประมาณ ๒,๖๓๐.๒๘๑๗ ล้านบาท โดยมีแผนงาน/โครงการได้รับงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๕ แผนงาน/โครงการ เป็นเงิน ๓๖๙.๐๖๑๑ ล้านบาท ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและลดผลกระทบ จำนวน ๑๑ แผนงาน/โครงการ งบประมาณที่ได้รับ จำนวน ๓๐๐.๖๓๐๐ ล้านบาท ยุทธศาสตร์ด้านการเตรียมพร้อมรับภัย จำนวน ๒ แผนงาน/โครงการ งบประมาณที่ได้รับ จำนวน ๕๕.๐๐๐๐ ล้านบาท และยุทธศาสตร์ด้านการจัดการหลังเกิดภัย จำนวน ๒ แผนงาน/โครงการ งบประมาณที่ได้รับ จำนวน ๑๓.๔๓๑๑ ล้านบาท ๓. กรณีแผนงาน/โครงการที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ หน่วยงานได้มีการปรับแผนการดำเนินงานเป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๐ โครงการ ขอรับการสนับสนุนจากงบประมาณอื่น จำนวน ๗ โครงการ เจียดจ่ายจากงบประมาณปกติมาดำเนินโครงการ จำนวน ๒ โครงการ และขอใช้งบประมาณเหลือจ่ายจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มาดำเนินโครงการ จำนวน ๑ โครงการ |
|||||||||||||||||||||||||||
31198 | ขอความเห็นชอบในการขอเปิดสถานกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำจังหวัดขอนแก่น | กต | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเปิดสถานกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำจังหวัดขอนแก่น โดยมีเขตกงสุลครอบคลุม ๒๐ จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี หนองคาย นครพนม สกลนคร อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ มุกดาหาร มหาสารคาม ชัยภูมิ เลย กาฬสินธุ์ บึงกาฬ ยโสธร ร้อยเอ็ด หนองบัวลำภู และอำนาจเจริญ เพื่อแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของความสัมพันธ์หุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มีพลวัตอย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31199 | รัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย | กต | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง อู ตีน์ วีน์ (U Tin Win) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน อู อ่อง เต็ง (U Aung Thein) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31200 | แผนงานส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติในระดับพื้นที่ | มท | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนงานส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติในระดับพื้นที่ และให้ทุกส่วนราชการให้ความร่วมมือและเป็นเจ้าภาพร่วมในการดำเนินการกับกระทรวงมหาดไทย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยแผนงานส่งเสริมการปกครองฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักเกิดแรงบันดาลใจ จิตสำนึก และร่วมกันในการธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ และเกิดความเข้าใจในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างถูกต้อง เพื่อสร้างสังคมแห่งความสงบสุข ปรองดองและสมัครสมานสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยมีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้
๑. เสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันของประชาชนในชาติให้ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการสร้างจิตสำนึกความเป็นชาติ ความรู้สึกหวงแหนความเป็นชาติในการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ เป็นการเผยแพร่ความเข้าใจที่ถูกต้องในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดย ๑.๑ จังหวัดโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแกนหลักในการบูรณาการส่วนราชการ และหน่วยงานในพื้นที่เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจไปสู่ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ ผู้ปกครองท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ) ผู้บริหารและสมาชิกสภาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา กลุ่มอาสาสมัคร องค์กรภาคประชาชน และประชาชนทั่วไปในพื้นที่ ๑.๒ ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ สอดแทรกเนื้อหาเข้าไปในหลักสูตรการฝึกอบรมประชุมสัมมนาในทุกระดับที่ส่วนราชการและหน่วยงานรัฐจัดขึ้น ๒. การสร้างความตระหนักและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการน้อมนำแนวพระราชดำริในด้านต่าง ๆ ไปสู่การปฏิบัติให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนในชาติมีความตระหนักในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประเทศไทย โดยจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแกนหลักในการบูรณาการส่วนราชการและหน่วยงานในพื้นที่จังหวัด ๒.๑ ร่วมเผยแพร่และสร้างความตระหนักให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ ผู้ปกครองท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ) ผู้บริหารและสมาชิกสภาขององค์กรปกครองท้องถิ่น เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา กลุ่มอาสาสมัคร องค์กรภาคประชาชนและประชาชนทั่วไปในพื้นที่ ได้รับรู้และตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประชาชนในพื้นที่จังหวัด ๒.๒ ส่งเสริมและขยายผลการดำเนินการตามแนวพระราชดำริในพื้นที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ๒.๓ ให้มีศูนย์เรียนรู้พระราชกรณียกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์ในทุกอำเภอเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเพื่อให้เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไปได้เรียนรู้และเกิดความตระหนักในคุณูปการของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประชาชนในทุกพื้นที่ |
.....