ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1561 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 31201 - 31220 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31201 | การจัดตั้งทุนหมุนเวียนของหน่วยงานของรัฐ | กค | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการดำเนินการตามความเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียน ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการขอจัดตั้งกองทุนการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ของกระทรวงยุติธรรม (สถาบันนิติวิทยาศาสตร์) และการขอจัดตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติ ของสำนักนายกรัฐมนตรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการโดยเร็วต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. กรณีกระทรวงยุติธรรม (สถาบันนิติวิทยาศาสตร์) คณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีข้อสังเกตว่าการดำเนินการไม่เป็นไปตามกรอบคู่มือการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของทางราชการ โดยขาดความชัดเจนในสาระสำคัญด้านการบริหารงานในรูปแบบทุนหมุนเวียน เช่น การกำหนดแหล่งที่มาของรายได้ไม่ชัดเจน รวมทั้งมีลักษณะพึ่งพิงจากเงินงบประมาณเป็นหลัก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสถานะและการบริหารงานของกองทุนการตรวจพิสูจน์ฯ ในอนาคต และการกำหนดโครงสร้างผู้รับผิดชอบในการบริหารกองทุนการตรวจพิสูจน์ฯ และกลุ่มเป้าหมายของผู้รับบริการกองทุนการตรวจพิสูจน์ฯ ยังขาดความชัดเจนเป็นรูปธรรม จึงไม่เห็นควรให้จัดตั้งกองทุนการตรวจพิสูจน์ฯ พร้อมทั้งมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ ๑.๑ ควรทบทวนรูปแบบในการบริหารจัดการกองทุนการตรวจพิสูจน์ฯ เนื่องจากแนวทางการจัดตั้งเป็นทุนหมุนเวียนจะไม่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินการตามเจตนารมณ์แห่งร่างพระราชบัญญัติการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... ๑.๒ กรณีที่มีเหตุผลความจำเป็นในการดำเนินงานตามสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฯ สามารถถือปฏิบัติตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ ซึ่งจะมีความเหมาะสมและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ๑.๓ ทบทวนและปรับปรุงสาระสำคัญในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งกองทุนการตรวจพิสูจน์ฯ ในร่างพระราชบัญญัติฯ ก่อนนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามลำดับต่อไป ๒. กรณีสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการกลั่นกรองฯ ไม่มีประเด็นพิจารณาความเหมาะสมของการจัดตั้งกองทุนพัฒนาฯ เนื่องจากมีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาฯ โดยบรรจุในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภาก่อนมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การบริหารงานกองทุนพัฒนาฯ เกิดประโยชน์ต่อทางราชการได้อย่างแท้จริงและสอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาล คณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีข้อเสนอแนะประกอบการพิจารณา ดังนี้ ๒.๑ ในร่างพระราชบัญญัติฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มาตรา ๓๒ (๓) บัญญัติให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายของกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนในชื่อ “กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี” วงเงินจำนวน ๑,๗๒๐ ล้านบาท ดังนั้น การพิจารณายกร่างระเบียบที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องกำหนดชื่อกองทุนให้มีความสอดคล้องกับสาระสำคัญในร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อมิให้เป็นอุปสรรคในการเบิกจ่ายเงินกองทุนพัฒนาฯ ในอนาคต ๒.๒ ในร่างกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการบริหารกองทุนพัฒนาฯ ควรต้องถือปฏิบัติตามกรอบคู่มือการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของทางราชการ เช่น การจัดทำรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๗๐ และทุนหมุนเวียนที่จัดตั้งขึ้นแล้วต้องเข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานของกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เป็นต้น ๒.๓ เพื่อให้การดำเนินการของกองทุนพัฒนาฯ เป็นส่วนหนึ่งในการบูรณาการสนับสนุนการดำเนินงานเชิงสังคมของรัฐ ควรมีข้อกำหนดที่ชัดเจนในร่างกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารกองทุนพัฒนาฯ ในประเด็นของเจตนารมณ์ หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ และอำนาจหน้าที่การบริหารกองทุนพัฒนาฯ เป็นต้น ๒.๔ เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคล จึงมีข้อจำกัดในการทำนิติกรรม สัญญา หรือดำเนินการเกี่ยวกับภาระผูกพันของกองทุนพัฒนาฯ ดังนั้น การกำหนดโครงสร้างการบริหารจัดการโดยเฉพาะในระดับภูมิภาค จึงควรต้องกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาฯ ๒.๕ โครงสร้างการบริหารกองทุนพัฒนาฯ มีรูปแบบบริหารจัดการในลักษณะคณะกรรมการที่มีความซับซ้อน อีกทั้งจำเป็นต้องมีการรองรับการดำเนินงานในระดับท้องถิ่น จังหวัด และภูมิภาคครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ ดังนั้น จึงควรที่จะต้องมีการกำหนดอำนาจหน้าที่การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละภาคส่วนอย่างชัดเจนสอดคล้องกันอย่างเป็นระบบ ๒.๖ โดยที่กองทุนพัฒนาฯ เป็นทุนหมุนเวียนตามนัยกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง ฉะนั้น ในส่วนที่เกี่ยวกับการจ่ายและการเก็บรักษาเงินกองทุน จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดไว้ในกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องสำหรับจัดตั้งกองทุนพัฒนาฯ เนื่องจากสามารถถือปฏิบัติตามนัยมาตรา ๑๓ แห่งกฎหมายเงินคงคลัง ซึ่งกำหนดให้กระทรวงการคลังพิจารณารายละเอียดที่เกี่ยวข้องในการรับเงิน การจ่ายเงิน และการเก็บรักษาเงิน เป็นต้น ๒.๗ เนื่องจากกองทุนพัฒนาฯ มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพสตรี เพิ่มบทบาท สร้างสวัสดิภาพและสวัสดิการสตรี รวมทั้งมุ่งเน้นการลงทุนเพื่อสร้างงาน สร้างรายได้และพัฒนาอาชีพให้แก่กลุ่มสตรีในทุกระดับ อันเป็นภารกิจที่มีความจำเป็นและมีความสำคัญในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จึงควรกำหนดกรอบระยะเวลาการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาฯ เบื้องต้นในช่วงระยะเวลา ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - พ.ศ. ๒๕๕๙) ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการติดตามประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาฯ และเพื่อช่วยให้รัฐบาลสามารถประเมินภาระทางการคลังเพื่อการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้กองทุนพัฒนาฯ ตลอดจนการทบทวนสถานภาพของกองทุนพัฒนาฯ ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น |
||||||||||||||||||||||||
31202 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาชลหารพิจิตร เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาชลหารพิจิตรเป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... จำนวน ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองด่าน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองด่าน จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลบางบ่อ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ถึงกิโลเมตรที่ ๑๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองลำปลาทิว เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองลำปลาทิว จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่แขวงกระทุ่มราย เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร ถึงกิโลเมตรที่ ๑๗.๕๐๐ ในท้องที่แขวงลาดกระบัง เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
||||||||||||||||||||||||
31203 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลคำพราน ตำบลแสลงพัน อำเภอวังม่วง และตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | กษ | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลคำพราน ตำบลแสลงพัน อำเภอวังม่วง และตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลคำพราน ตำบลแสลงพัน อำเภอวังม่วง และตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
31204 | ผลการเจรจากับสหภาพยุโรป เรื่อง การกำหนดโควตาภาษีนำเข้าสินค้าสัตว์ปีกแปรรูปของสหภาพยุโรป | พณ | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างข้อตกลงโควตาภาษีสินค้าสัตว์ปีกแปรรูประหว่างไทยกับสหภาพยุโรป (Agreement in the form of an exchange of letters between the European Union and Thailand pursuant to Article XXVIII of the General Agreement on Tariffs and Trade (GATT) 1994 relating to the modification of concessions with respect to processed poultry meat provided for in the EU Schedule annexed to GATT 1994) โดยสาระสำคัญของร่างข้อตกลงฯ สหภาพยุโรปตกลงที่จะจัดสรรโควตารายประเทศให้แก่ไทยในรายการสินค้าสำคัญ อาทิ เนื้อไก่แปรรูปที่มีสัดส่วนเนื้อมากกว่าร้อยละ ๒๕ แต่ไม่เกินร้อยละ ๕๗ ในปริมาณ ๑๔,๐๐๐ ตัน และเป็ดแปรรูปปรุงสุกที่มีสัดส่วนเนื้อมากกว่าร้อยละ ๕๗ ในปริมาณ ๑๓,๕๐๐ ตัน สำหรับสินค้าที่มีปริมาณการค้าน้อย ไทยได้รับจัดสรรโควตารายประเทศในระดับตั้งแต่ ๑๐ ตัน - ๒,๑๐๐ ตัน โดยสหภาพยุโรปจะใช้อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๑๐.๙ และอัตราภาษีนอกโควตา ๒๗๖๕ ยูโรต่อตัน สำหรับสินค้าเกือบทุกรายการ ยกเว้นสำหรับเนื้อเป็ดแปรรูปดิบที่มีสัดส่วนเนื้อมากกว่าร้อยละ ๕๗ จะใช้อัตราภาษีในโควตา ๖๓๐ ยูโรต่อตัน ทั้งนี้ สินค้าที่จะนำเข้าภายใต้โควตาดังกล่าวจะต้องมีใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าซึ่งออกให้อย่างไม่เลือกปฏิบัติโดยหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ของประเทศไทยประกอบการนำเข้า และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างข้อตกลงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงพาณิชย์หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เพื่อพิจารณาดำเนินการแก้ไขร่างข้อตกลงฯ ดังกล่าวได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ตลอดจนนำเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่วาระการประชุมรัฐสภา สมัยสามัญนิติบัญญัติ เพื่อให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการแจ้งสหภาพยุโรป เพื่อให้ข้อตกลงข้างต้นมีผลผูกพัน ตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๑.๒ ให้เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบรัสเซลส์ หัวหน้าคณะผู้แทนไทยประจำสหภาพยุโรป หรือผู้แทน เป็นผู้แทนไทยลงนามในร่างข้อตกลงฯ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนาม ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรติดตามการบริหารโควตานำเข้าสินค้าสัตว์ปีกแปรรูปของสหภาพยุโรป เพื่อนำไปสู่การหารือร่วมกันในกรณีที่เกิดผลกระทบต่อผู้ส่งออกไทยได้อย่างทันท่วงที และให้ความสำคัญกับการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับทั้งจากการเปิดเสรีการค้าและการเปลี่ยนแปลงข้อผูกพันทางการค้าที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ก่อนที่จะแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันตามข้อตกลง ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปดำเนินการให้ประชาชนเข้าถึงรายละเอียดของข้อตกลงฯ และในกรณีที่การปฏิบัติตามข้อตกลงฯ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนหรือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมจะต้องดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็ว เหมาะสม และเป็นธรรม ตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยด้วย ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31205 | ความตกลงของผู้ถือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับกองทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียน | กค | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบความตกลงของผู้ถือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับกองทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียน (Shareholders Agreement Relating to the ASEAN Infrastructure Fund) และเอกสารการเข้าร่วม (Form of Instrument of Accession) ที่แนบท้ายความตกลงฯ ซึ่งคาดว่าจะมีการลงนามในเอกสารดังกล่าวในช่วงการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน [ASEAN Finance Ministers’ Meeting (AFMM)] ครั้งที่ ๑๖ ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา และคาดว่าจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งแรก (Inaugural AIF meeting) ในช่วงการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ ๑๕ ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ โดยในส่วนของประเทศไทยจะร่วมซื้อหุ้นในกองทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียน [ASEAN Infrastructure Fund (AIF)] จำนวน ๑๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๔๕๐ ล้านบาท) แบ่งเป็น ๓ งวด งวดละ ๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑๕๐ ล้านบาท) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยไม่ต้องนำความตกลงดังกล่าวเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบ เนื่องจากเงินที่ประเทศไทยจะนำไปลงในกองทุน AIF เป็นเงินเพียง ๑๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเงินที่จะนำไปลงในกองทุน AIF งวดแรก จำนวน ๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว ดังนั้น ความตกลงฯ จึงไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนเข้าร่วมการลงนามในเอกสารการเข้าร่วมดังกล่าวและสามารถผูกพันวงเงินลงทุนในกองทุน AIF ในส่วนของประเทศไทย เป็นเงินจำนวน ๑๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคญในความตกลงฯ ให้ผู้ลงนามสามารถใช้ดุลพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในเอกสารการเข้าร่วมที่แนบท้ายความตกลงฯ |
||||||||||||||||||||||||
31206 | สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเสนอขอแต่งตั้งกงสุลใหญ่ประจำจังหวัดขอนแก่น | กต | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสิงคำ แก้ววิไลวัน (Mr. Singkham Keovilayvanh) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวประจำจังหวัดขอนแก่น โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดต่าง ๆ ทั้งหมดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย สืบแทน นายสีสะหวาด ดนละวันดี (Mr. Sisavath Donlavandy) ซึ่งครบวาระการปฏิบัติหน้าที่ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
31207 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเที่ยว พ.ศ. .... | กก | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเที่ยว พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดคุณสมบัติผู้ขอรับการขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเที่ยว ๒. กำหนดให้ผู้ประสงค์จะเป็นผู้นำเที่ยวต้องยื่นคำขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเที่ยวตามแบบที่นายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์กลางกำหนด พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่กำหนด ๓. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการตรวจสอบความถูกต้องของคำขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเที่ยว ๔. กำหนดให้การขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเที่ยวสำหรับผู้ซึ่งเป็นผู้นำเที่ยวอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ จะต้องผ่านการรับรองเป็นหนังสือจากสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว หรือสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว หรือสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย หรือหน่วยงานหรือองค์กรอื่นที่คณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์กำหนด
|
||||||||||||||||||||||||
31208 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลถ้ำใหญ่ อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลถ้ำใหญ่ อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลถ้ำใหญ่ อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีแนวเขตปฏิรูปที่ดินบางส่วนอยู่ในพื้นที่ที่ควรสงวนไว้ไม่นำไปปฏิรูปที่ดิน และร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้แม้จะประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกาได้ก็ตาม แต่สมควรที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมต้องประสานกับกรมป่าไม้โดยยังไม่เข้าไปดำเนินการในพื้นที่ที่กรมป่าไม้ได้สงวนไว้ จนกว่าจะทำความตกลงให้เป็นที่ยุติก่อนเข้าดำเนินการปฏิรูปที่ดินในพื้นที่ดังกล่าว รวมทั้งให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและหาข้อยุติให้ได้เสียก่อนที่จะเสนอร่างพระราชกฤษฎีกามาดำเนินการ เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาความล่าช้าในการตรวจพิจารณาอีกต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
31209 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการกำหนดเครื่องแบบพิเศษสำหรับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน และกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. .... | รง | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการกำหนดเครื่องแบบพิเศษสำหรับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน และกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดลักษณะ ชนิด และประเภทเครื่องแบบพิเศษสำหรับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน และกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าว ๒. กำหนดให้เครื่องแบบพิเศษพนักงานเจ้าหน้าที่ชายและพนักงานเจ้าหน้าที่หญิง ประกอบด้วยเครื่องแบบตรวจปฏิบัติการคุ้มครอง เครื่องแบบป้องกันและปราบปราม เครื่องแบบปฏิบัติงานตรวจสอบควบคุม และเครื่องแบบปฏิบัติงานประจำด่านตรวจคนหางาน ๓. กำหนดส่วนของเครื่องแบบของพนักงานเจ้าหน้าที่ชายและพนักงานเจ้าหน้าที่หญิง ประกอบด้วยแบบของหมวก เสื้อ กางเกง เข็มขัด และรองเท้า ๔. กำหนดลักษณะของอินทรธนูและวิธีประดับอินทรธนูสำหรับตำแหน่งประเภทต่าง ๆ ๕. กำหนดให้อธิบดีกรมการจัดหางานเป็นผู้กำหนดว่าการแต่งเครื่องแบบพิเศษแบบใดจะแต่งในโอกาสใด
|
||||||||||||||||||||||||
31210 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย พ.ศ. .... | รง | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้นายจ้างซึ่งมีสารเคมีอันตรายไว้ในครอบครองต้องจัดทำบัญชีรายชื่อสารเคมีอันตราย พร้อมทั้งแจ้งจำนวน ปริมาณ และรายละเอียดข้อมูลต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจำนวน ปริมาณ และข้อมูลความปลอดภัยของสารเคมีอันตราย ให้นายจ้างแจ้งต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย ๒. กำหนดให้นายจ้างจัดให้มีการปิดฉลากที่เป็นภาษาไทยไว้ที่หีบห่อ บรรจุภัณฑ์ ภาชนะบรรจุ หรือวัสดุห่อหุ้มสารเคมีอันตราย และให้นายจ้างจัดให้มีป้ายเพื่อเตือนอันตราย ปิดประกาศหรือจัดทำป้ายแจ้งข้อความเกี่ยวกับอันตราย และมาตรการป้องกันอันตรายให้ชัดเจน ณ สถานที่ทำงานของลูกจ้างหรือสถานที่ที่เกี่ยวกับสารเคมีอันตราย ๓. กำหนดการคุ้มครองความปลอดภัยเกี่ยวกับการจัดสถานที่และอุปกรณ์เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยในบริเวณที่ลูกจ้างทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย และห้ามนายจ้างมิให้ยินยอมหรือปล่อยปละละเลยลูกจ้างหรือบุคคลใดเข้าพักสถานที่ดังกล่าว ๔. กำหนดวิธีการเก็บรักษา การบรรจุ และการถ่ายเทสารเคมีอันตราย ประกอบด้วยการกำหนดสภาพและคุณลักษณะของสถานที่เก็บรักษาสารเคมีอันตราย วิธีการเก็บรักษา การบรรจุ ตลอดจนการถ่ายเทสารเคมีอันตราย ๕. กำหนดหน้าที่นายจ้างให้ปฏิบัติเกี่ยวกับการขนถ่าย เคลื่อนย้าย หรือขนส่งสารเคมีอันตราย ๖. กำหนดให้นายจ้างจัดการและกำจัดสารเคมีอันตรายด้วยวิธีการที่ปลอดภัย ๗. กำหนดหน้าที่ให้นายจ้างจัดให้มีระบบป้องกันและควบคุมสารเคมีอันตราย จัดให้มีการตรวจวัดวิเคราะห์ระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตราย พร้อมส่งรายงานผลการตรวจวัดให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย ๘. กำหนดให้นายจ้างจัดให้มีการประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพของลูกจ้างในกรณีที่มีการใช้สารเคมีอันตราย และส่งรายงานการประเมินให้แก่อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย ๙. กำหนดให้นายจ้างที่มีสารเคมีอันตรายไว้ในครอบครองจัดทำรายงานการประเมินความเสี่ยง และจัดทำแผนปฏิบัติการกรณีมีเหตุฉุกเฉินของสถานประกอบกิจการ รวมทั้งจัดให้มีการฝึกอบรมลูกจ้างที่เข้าไปควบคุมและระงับเหตุอันตรายในกรณีที่สารเคมีอันตรายรั่วไหล ฟุ้งกระจาย เกิดอัคคีภัย หรือเกิดการระเบิด นายจ้างต้องสั่งให้ลูกจ้างทุกคนที่ทำงานในบริเวณนั้นหรือบริเวณใกล้เคียงหยุดทำงานทันที
|
||||||||||||||||||||||||
31211 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ. .... | รง | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดคำนิยามคำว่า อาคาร เพลิงประเภท เอ เพลิงประเภท บี เพลิงประเภท ซี เพลิงประเภท ดี วัตถุระเบิด และวัตถุไวไฟ ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ๒. กำหนดให้นายจ้างจัดให้มีการจัดระบบป้องกันและระงับอัคคีภัยในสถานประกอบกิจการ การฝึกซ้อมดับเพลิง การอพยพหนีไฟ ตลอดจนการฝึกอบรมการดับเพลิง ๓. กำหนดให้นายจ้างจัดให้มีเส้นทางหนีไฟ ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ และป้ายบอกทางหนีไฟ ๔. กำหนดให้นายจ้างจัดให้มีระบบน้ำดับเพลิงและอุปกรณ์ประกอบเพื่อใช้ในการดับเพลิง เครื่องดับเพลิง และการจัดระบบน้ำดับเพลิงอัตโนมัติ ๕. กำหนดให้นายจ้างจัดให้มีการป้องกันอัคคีภัยจากแหล่งเกิดการกระจายตัวของความร้อน ประกอบด้วยการป้องกันแหล่งต่าง ๆ เช่น เครื่องยนต์หรือปล่องไฟ การแผ่รังสี การสะสมของไฟฟ้าสถิต การเชื่อมหรือตัดโลหะ ๖. กำหนดวิธีการดำเนินการเกี่ยวกับวัตถุไวไฟและวัตถุระเบิดให้มีความปลอดภัย ๗. กำหนดวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการกำจัดของเสียที่ติดไฟได้ง่าย ประกอบด้วยการทำความสะอาด การเก็บรวบรวม และการกำจัดของเสียที่ติดไฟได้ง่าย ๘. กำหนดให้นายจ้างจัดให้มีระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า ประกอบด้วยการจัดระบบป้องกันสำหรับอาคารที่มีวัตถุไวไฟหรือวัตถุระเบิด สิ่งก่อสร้างหรือภาชนะที่มีความสูง เช่น ปล่องไฟ หอคอย เสาธง ถังเก็บสารเคมี การป้องกันผลกระทบจากฟ้าผ่าเข้าสู่ระบบไฟฟ้าของอาคาร ๙. กำหนดวิธีการดำเนินการเกี่ยวกับความปลอดภัยจากอัคคีภัยและการรายงาน ประกอบด้วยการอบรมผู้มีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย การจัดทำแผนและการฝึกซ้อมดับเพลิงหนีไฟ และการรายงานผลการฝึกซ้อม
|
||||||||||||||||||||||||
31212 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2554 | ทส | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานมติการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ จำนวน ๘ เรื่อง ดังนี้
๑. การปรับแก้ไขขอบเขตพื้นที่ที่ให้ใช้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการปรับแก้ไขมาตรการข้อ ๓ (๒) ของประกาศกระทรวงฯ เป็น “๓ (๒) พื้นที่ภายในแนวเขตควบคุมอาคารที่อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๓ ตามขอบเขตพื้นที่ที่เคยใช้กฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๔๖” ๑.๒ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. .... และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) นำร่างประกาศกระทรวงฯ เสนอคณะรัฐมนตรีตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๕๕ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๒. การปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ที่ประชุมมีมติ ๒.๑ เห็นชอบการยกเลิกข้อ ๑.๒ ของประกาศกระทรวงฯ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และดำเนินการออกประกาศกระทรวงฯ ต่อไป ๒.๒ เห็นชอบการยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่ ๑๑/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยข้อร้องเรียนสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ๒.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย สผ. พิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่มเติมภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ทำหน้าที่ให้ความเห็นทางวิชาการ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ และนำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบ และเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามในประกาศกระทรวงฯ ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ๓. ร่างแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนฯ โดยให้กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจัดส่งข้อคิดเห็นเพิ่มเติมให้ สผ. เพื่อนำไปพิจารณาปรับปรุง (ร่าง) แผนฯ ให้เกิดความสมบูรณ์ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ๔. ร่างแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติให้กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจัดส่งข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ให้ สผ. ภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อประสานให้กรมควบคุมมลพิษปรับแก้ไขร่างแผนฯ ให้เกิดความสมบูรณ์ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ๕. กรอบการเจรจาของประเทศไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลในการพัฒนามาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านการจัดการสารปรอท ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกรอบการเจรจาฯ โดยให้กรมควบคุมมลพิษปรับแก้ไขประเด็นหลักภายใต้กรอบการเจรจาฯ ข้อ ๓ เป็น “การคำนึงถึงหลักการความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างโดยคำนึงถึงศักยภาพของแต่ละประเทศ (Common but Differentiated Responsibilities and Respective Capabilities)” และตัดคำว่า “หลักการอื่นที่สอดคล้องกับพันธกรณีตามอนุสัญญา สนธิสัญญา หรือข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี” และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ นำกรอบการเจรจาฯ ที่ปรับแก้ไขแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๖. การกำหนดอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เทศบาลเมืองบ้านพรุ จังหวัดสงขลา เทศบาลเมืองแสนสุข จังหวัดชลบุรี เทศบาลตำบลบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เทศบาลเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร เทศบาลเมืองเบตง จังหวัดยะลา เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ที่ประชุมมีมติ ๖.๑ เห็นชอบอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองบ้านพรุ เทศบาลเมืองแสนสุข เทศบาลตำบลบางคล้า เทศบาลเมืองยโสธร เทศบาลเมืองเบตง เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา และเมืองพัทยา เป็นอัตราค่าบริการแบบขั้นต่ำ - ขั้นสูง รวมทั้งอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองนครพนม เป็นอัตราค่าบริการแบบอัตราเดียว ๖.๒ ให้เทศบาลเมืองบ้านพรุ เทศบาลเมืองแสนสุข เทศบาลตำบลบางคล้า เทศบาลเมืองยโสธร เทศบาลเมืองเบตง เทศบาลเมืองนครพนม เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา และเมืองพัทยา ดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการจัดเก็บอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอย ๗. โครงการระบบรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑) แนวเส้นทางมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ ของสำนักงาน นโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวเส้นทางรถไฟทางเลือกที่ ๑/๓ ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น โครงการระบบรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑)ฯ ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน และให้รับข้อเสนอแนะของคณะกรรมมการผู้ชำนาญการฯ ในประเด็นการออกแบบทางหนีภัยภายในอุโมงค์และการกู้ภัยในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน การออกแบบปล่องระบายอากาศให้สอดคล้องกับสภาพสิ่งแวดล้อมด้านบนของอุโมงค์ และการออกแบบสะพานรถไฟให้มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม รวมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในประเด็นการบริหารจัดการชุมชนที่อาศัยอยู่ตามแนวเส้นทางโครงการฯ เพื่อป้องกันปัญหาการบุกรุกพื้นที่ การจัดให้มีทางข้ามทางรถไฟบริเวณที่มีชุมชนอยู่หนาแน่น และการกำหนดความกว้างของขนาดรางรถไฟให้เกิดความชัดเจนโดยคำนึงถึงโครงข่ายทางรถไฟในภูมิภาคต่อไปด้วย ๘. โครงการระบบรถไฟฟ้ารางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑) แนวเส้นทางนครปฐม - ชุมทางหนองปลาดุก - หัวหิน ของ สนข. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับแนวเส้นทางรถไฟในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น โครงการระบบรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑)ฯ ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ และรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ในประเด็นการออกแบบสถานีหัวหินที่เป็นสถานีใหม่ให้มีสถาปัตยกรรมที่แสดงเอกลักษณ์ของท้องถิ่น และไม่บดบังหรือลดความสวยงามและความสง่างามของสถานีรถไฟหัวหินเดิม และให้ความสำคัญกับการออกแบบแนวเส้นทางรถไฟเพื่อลดผลกระทบต่อการระบายน้ำ
|
||||||||||||||||||||||||
31213 | รายงานการแก้ไขปัญหาการเล่นการพนัน "หวยหุ้น" | มท | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานความคืบหน้าการดำเนินการปราบปรามการเล่นการพนัน “หวยหุ้น” โดยจังหวัดต่าง ๆ ได้รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการปราบปรามการเล่นการพนัน “หวยหุ้น” แล้ว จำนวน ๓๕ จังหวัด ซึ่งในจำนวนนี้มี ๒๒ จังหวัด (จังหวัดขอนแก่น ชุมพร เชียงใหม่ นครนายก นครพนม น่าน บึงกาฬ ประจวบคีรีขันธ์ ปัตตานี เพชรบุรี แพร่ พระนครศรีอยุธยา แม่ฮ่องสอน ยโสธร ร้อยเอ็ด ระนอง ราชบุรี เลย ลำพูน สระบุรี สิงห์บุรี และอ่างทอง) ไม่มีผู้มีพฤติการณ์ต้องสงสัยว่าเล่นการพนัน “หวยหุ้น” ส่วนอีก ๑๓ จังหวัด (จังหวัดกระบี่ กาญจนบุรี ชลบุรี ชัยภูมิ ตาก ภูเก็ต ศรีสะเกษ สกลนคร สระแก้ว สุราษฎร์ธานี อุบลราชธานี อุดรธานี และอุตรดิตถ์) มีผู้มีพฤติการณ์ต้องสงสัยในฐานะเจ้ามือ จำนวน ๑๐๒ คน ในฐานะผู้เดินโพย จำนวน ๒๙๒ คน จับกุมดำเนินคดีในฐานะเจ้ามือ จำนวน ๔ คน ในฐานะผู้เดินโพย จำนวน ๔๔ คน และเลิกพฤติการณ์แล้วในฐานะเจ้ามือ จำนวน ๒๔ คน ในฐานะผู้เดินโพย จำนวน ๕๓ คน
|
||||||||||||||||||||||||
31214 | แผนแม่บทกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2555 - 2564 | พณ | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการจัดทำแผนแม่บทกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๔ เพื่อกำหนดเป็นกรอบนโยบายด้านการพาณิชย์ของประเทศในช่วง ๑๐ ปี โดยกำหนดยุทธศาสตร์สำคัญ ๆ ได้แก่ การสร้างขีดความสามารถให้ผู้ประกอบการและวิสาหกิจ (Smart Enterprise) สู่การเป็น Trading Nation การใช้อาเซียนเป็นฐานไปสู่เวทีโลก (ASEAN One) การยกระดับประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่า (Value Creation Economy) การสร้างสภาพแวดล้อมภายในประเทศที่เอื้อต่อการแข่งขันและเป็นธรรม (Pro Competitive Environment) และการส่งเสริมและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการค้า (New Trade Infrastructure) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายการพาณิชย์ที่เสนอไว้ในแผนแม่บทกระทรวงพาณิชย์ฯ ควรพิจารณาแก้ไขโดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง การรักษาผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และในการนำแผนลงสู่การปฏิบัติควรเน้นเรื่องการบูรณาการดำเนินงานร่วมกันอย่างแท้จริงของทุกภาคส่วน โดยกำหนดหน่วยงานเจ้าภาพที่ชัดเจน มีกลไก/ระบบการติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามแผนที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ และผลักดันให้มีการนำผลการติดตามและประเมินผลที่ได้มาใช้ในการทบทวน ปรับปรุงแผน/การดำเนินงานเป็นระยะ รวมทั้งเผยแพร่ผลดังกล่าวให้ผู้เกี่ยวข้องและสาธารณชนได้รับทราบเพื่อรับฟังความคิดเห็น นอกจากนี้ ควรพิจารณาทบทวนตัวชี้วัดที่ชัดเจนสามารถชี้วัดเป้าหมายของการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ได้อย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31215 | การนำเสนอรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนภายในประเทศภายใต้กลไก Universal Periodic Review (UPR) ของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ | กต | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการนำเสนอรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยภายใต้กลไก Universal Periodic Review (UPR) เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๔ ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมี ๓ ประเด็นหลัก ได้แก่ กระบวนการจัดทำรายงาน UPR เป็นไปอย่างเปิดกว้างและโปร่งใส ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย ความก้าวหน้าของไทยในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ทั้งการที่ไทยเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนจำนวนมาก การมีกรอบกฎหมายและกลไกด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อคุ้มครองสิทธิของกลุ่มเปราะบางและกลุ่มชายขอบ ทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น และประเด็นท้าทายด้านสิทธิมนุษยชนและการแก้ไขปัญหาในบริบทของไทย ได้แก่ สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการโยกย้ายถิ่นฐานและการค้ามนุษย์ โดยประเทศไทยได้รับข้อเสนอแนะจากประเทศต่าง ๆ จำนวน ๑๗๒ ข้อ และสามารถยอมรับข้อเสนอแนะได้เลย จำนวน ๑๐๐ ข้อ ซึ่งเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับท่าทีและการดำเนินการของไทยอยู่แล้ว สำหรับข้อเสนอแนะอีก ๗๒ ข้อ ไทยขอนำกลับมาพิจารณาโดยมีกำหนดที่จะต้องแจ้งท่าทีต่อข้อเสนอแนะดังกล่าวให้ที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๑๙ ทราบในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ๑.๒ เห็นชอบท่าทีไทยต่อข้อเสนอแนะ จำนวน ๗๒ ข้อ และเหตุผลประกอบข้อเสนอแนะ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำเอกสารสรุปท่าทีไทยเพื่อส่งให้สหประชาชาติภายในวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่สหประชาชาติกำหนดโดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีก ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการจัดทำรายงานประเทศภายใต้กลไก UPR เป็น “คณะกรรมการกำกับดูแลการจัดทำรายงานประเทศและติดตามการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะภายใต้กลไก UPR” โดยมีปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่ในการติดตามความคืบหน้าในการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ไทยให้การรับรอง รวบรวมและประมวลข้อมูลดังกล่าวเพื่อเตรียมการจัดทำรายงานในช่วงครึ่งเทอมแรก (ในอีกประมาณ ๒ ปีข้างหน้า) และการจัดทำและนำเสนอรายงาน UPR ของไทยในรอบที่สองในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ต่อไป ๑.๔ ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ในคณะกรรมการกำกับดูแลการจัดทำรายงานประเทศและติดตามการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะภายใต้กลไก UPR จัดทำแผนการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะและคำมั่นที่เกี่ยวข้อง โดยหารือกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามความเหมาะสม เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการฯ โดยกระทรวงการต่างประเทศจะได้นำมาจัดทำเป็นแผนปฏิบัติการตามข้อเสนอแนะและคำมั่น UPR ในภาพรวม โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวให้เกิดผลดีต่อประชาชนภายในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการตอบรับข้อเสนอแนะในการเข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย เนื่องจากประเทศไทยกำลังรื้อฟื้นกระบวนการพิจารณาในเรื่องดังกล่าว ในขั้นตอนการดำเนินการในระยะต่อไปจำเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบถึงประเด็นเรื่องสิทธิของรัฐในการกำหนดเงื่อนไขให้คนต่างด้าวลี้ภัยในดินแดนของตน และความเสี่ยงของประเทศไทยที่อาจต้องยอมรับอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไว้เป็นการล่วงหน้า ตามที่ได้บัญญัติไว้ในอนุสัญญาฯ เพราะอาจจะมีผลเชื่อมโยงไปถึงการเรียกร้องให้ถอนข้อสงวน ข้อ ๒๒ ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กด้วย และในการจัดทำแผนปฏิบัติการและติดตามการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะและคำมั่น UPR ในภาพรวม ซึ่งจะต้องดำเนินการผ่านคณะกรรมการกำกับดูแลการจัดทำรายงานประเทศและติดตามการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะภายใต้กลไก UPR เห็นควรให้มีการประสานงานร่วมกันระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในคณะกรรมการฯ โดยใกล้ชิดบนพื้นฐานของการคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศไทยในภาพรวมทั้งในด้านความมั่นคง ด้านสิทธิมนุษยชน และด้านภาพลักษณ์ของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31216 | การแต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงศึกษาธิการ) | ศธ | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางอ่องจิต เมธยะประภาส ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผน (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
31217 | ขอทบทวนองค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ | พณ | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการทบทวนองค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. “รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการ” เป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานกรรมการ” ๒. “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายภูมิ สาระผล) กรรมการ” เป็น “อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นกรรมการ” ๓. “ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (พันตรี นพ.ดร. วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ) กรรมการ” เป็น “เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นกรรมการ
|
||||||||||||||||||||||||
31218 | รายงานประจำปี 2553 ของการกีฬาแห่งประเทศไทย | กก | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ของการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ซึ่งคณะกรรมการ กกท. ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ โดยรายงานดังกล่าวเป็นการรายงานผลการดำเนินงานของ กกท. ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ประกอบด้วย ผลผลิตที่ ๑ องค์กรกีฬาเพื่อความเป็นเลิศบริหารจัดการกีฬาได้อย่างมีมาตรฐาน ผลผลิตที่ ๒ องค์กรกีฬาอาชีพบริหารจัดการได้อย่างมีมาตรฐาน และผลผลิตที่ ๓ กกท. เป็นศูนย์กลางการให้บริการที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้บริการและการพัฒนากีฬาของประเทศ การรายงานผลการดำเนินงานด้านกองทุน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๔ กองทุน ได้แก่ กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ กองทุนการศึกษาของนักกีฬา กองทุนกีฬามวย และกองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพ รวมทั้งการรายงานแผนการดำเนินงานและงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||
31219 | กรอบการเจรจาความตกลงด้านมาตรฐานและการตรวจสอบรับรองภายใต้คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านมาตรฐานและคุณภาพของอาเซียน กรอบการเจรจาความตกลงด้านมาตรฐานและการตรวจสอบรับรองรายสาขา รวม 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์ และความตกลงว่าด้วยการปรับระบบด้านกฎระเบียบและ การควบคุมบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน | อก | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบการเจรจาความตกลงด้านมาตรฐานและการตรวจสอบรับรองภายใต้คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านมาตรฐานและคุณภาพของอาเซียน กรอบการเจรจาความตกลงด้านมาตรฐานและการตรวจสอบรับรองรายสาขา รวม ๖ กลุ่มผลิตภัณฑ์ และความตกลงว่าด้วยการปรับระบบด้านกฎระเบียบและการควบคุมบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน รวม ๓ ฉบับ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กรอบการเจรจาความตกลงด้านมาตรฐานและการตรวจสอบรับรองภายใต้คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านมาตรฐานและคุณภาพของอาเซียน เป็นแนวทางในการเจรจาจัดทำความตกลงด้านมาตรฐานและการตรวจสอบรับรองภายใต้คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านมาตรฐานและคุณภาพของอาเซียน ครอบคลุม ๖ กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยา ผลิตภัณฑ์ยาแผนโบราณและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยานยนต์และชิ้นส่วน และผลิตภัณฑ์ยาง ซึ่งปัจจุบันการดำเนินงานในเรื่องมาตรฐานและการตรวจสอบรับรองในกลุ่มอาเซียนยังคงใช้แตกต่างกันอยู่อันถือเป็นอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า การลดอุปสรรคดังกล่าวอาจทำได้โดยการเจรจาร่วมกันเพื่อปรับมาตรฐานเข้าหากันตามแนวทางมาตรฐานสากล เช่น มาตรฐาน ISO (International Organizational for Standardization) สำหรับผลิตภัณฑ์ทั่วไป มาตรฐาน IEC (International Electrotechnical Commission) สำหรับผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และมาตรฐาน UNECE (United Nations for Economic Commission for Europe) สำหรับผลิตภัณฑ์ยานยนต์และชิ้นส่วน รวมทั้งการปรับระบบการตรวจสอบรับรองให้เป็นที่ยอมรับได้ซึ่งกันและกัน ๑.๒ กรอบการเจรจาความตกลงด้านมาตรฐานและการตรวจสอบรับรองรายสาขา ภายใต้คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านมาตรฐานและคุณภาพของอาเซียนอีก ๖ กลุ่มผลิตภัณฑ์ จะดำเนินการโดยใช้สาระสำคัญของกรอบการเจรจาฯ ตามข้อ ๑.๑ เป็นแนวทางร่วมกัน โดยอาจมีเนื้อหาสาระทางวิชาการเฉพาะด้านเพิ่มเติมในแต่ละความตกลงรายสาขาตามบริบทและความเหมาะสมของแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์แตกต่างกันไป ๑.๓ ความตกลงว่าด้วยการปรับระบบด้านกฎระเบียบและการควบคุมบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๓.๑ วัตถุประสงค์เพื่อรับผลทดสอบและใบรับรองบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการนำเข้าและส่งออกสินค้าดังกล่าวระหว่างประเทศอาเซียน โดยมิต้องตรวจสอบซ้ำ ๑.๓.๒ หากประเทศสมาชิกอาเซียนจะออกกฎระเบียบหรือมาตรฐานบังคับใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้ความตกลงนี้ ต้องเป็นไปเพื่อการปกป้องผู้บริโภคตามเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง ประกอบด้วยด้านความปลอดภัย ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านการรบกวนทางคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งสอดคล้องกับหลักการขององค์การการค้าโลก และมิได้มีข้อจำกัดหรือห้ามในเรื่องของการคุ้มครองผู้บริโภคในด้านอื่น ๑.๓.๓ กระบวนการอนุญาตเป็นไปตามขั้นตอนปกติของหน่วยงานที่รับผิดชอบ ๒. เมื่อรัฐสภาเห็นชอบตามความตกลงว่าด้วยการปรับระบบด้านกฎระเบียบและการควบคุมบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียนแล้ว ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนว่าประเทศไทยได้ดำเนินการเสร็จสิ้นตามกระบวนการภายในแล้ว เพื่อให้ความตกลงว่าด้วยการปรับระบบด้านกฎระเบียบและการควบคุมบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียนมีผลใช้บังคับต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
31220 | สาธารณรัฐประชาชนจีนเสนอขอแต่งตั้งกงสุลใหญ่ประจำจังหวัดสงขลา | กต | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสวี่ หมิงเลี่ยง (Mr. Xu MINGLIANG) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำจังหวัดสงขลา โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดสงขลา ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี พังงา ภูเก็ต กระบี่ นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส สืบแทน นางหวัง ชั่นเฟิน (Mrs. Wang Canfen) ซึ่งครบวาระการปฏิบัติหน้าที่ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
.....