ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1558 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 31141 - 31160 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31141 | การจัดการประชุม World Economic Forum on East Asia 2012 | นร | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอว่า ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม World Economic Forum on East Asia 2012 ระหว่างวันที่ ๓๐ พฤษภาคม - ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จะเป็นการประชุมแบบ Private Session (ผู้เข้าร่วมการประชุมจะได้รับเชิญเป็นการเฉพาะเท่านั้น) แบ่งออกเป็น ๕ หัวข้อ ประกอบด้วย การประชุมสุดยอดด้านการท่องเที่ยว (Tourism Summit) การประชุมสุดยอดด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT Summit) การประชุมด้านสุขภาพ (Health) การประชุมด้านการเกษตร (Agriculture) และการประชุมด้านพลังงาน (Energy) โดย World Economic Forum (WEF) ประสงค์จะเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประชุมสุดยอดในแต่ละหัวข้อทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมร่วม (Co - Chair) ซึ่งในส่วนของการประชุมสุดยอดด้านการท่องเที่ยวและการประชุมสุดยอดด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้ตอบรับเป็น Co - Chair แล้ว ทั้งนี้ เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งรัดจัดทำคำสั่งคณะกรรมการระดับชาติของไทยเพื่อเตรียมการจัดการประชุมดังกล่าว โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ แทนคำสั่งเดิมโดยเร็ว เพื่อให้คณะกรรมการและคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องสามารถขับเคลื่อนงานได้อย่างต่อเนื่องโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
31142 | ปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ | นร | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับเรื่อง ปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนืออันเนื่องมาจากการเผาป่าและพื้นที่เพาะปลูกในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ รวม ๘ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน ซึ่งส่งผลให้ค่ามลพิษในอากาศสูงเกินกว่ามาตรฐานสากลและมีผลกระทบอย่างสูงต่อสภาพแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยด่วน เพื่อบูรณาการแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาและเร่งรัดดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้รณรงค์ชี้แจงข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนทราบและให้ความร่วมมือในการป้องกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
31143 | นายกรัฐมนตรีนำคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศและคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเข้าเฝ้าฯ | นร | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ นายกรัฐมนตรีได้นำคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) เข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลรายงานเกี่ยวกับแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ซึ่งมีเรื่องสำคัญที่จะต้องเร่งรัดดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
๑. ปัญหาอุทกภัยมีสาเหตุสำคัญ คือ ความเสื่อมโทรมและการบุกรุกทำลายป่าไม้ โดยเฉพาะป่าไม้ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำ ซึ่งนอกจากจะทำให้ไม่สามารถเก็บกักน้ำตามแหล่งต้นน้ำลำธารตามธรรมชาติแล้วยังทำให้เกิดการกัดเซาะผิวดินและเกิดปัญหาดินโคลนถล่มด้วย จึงควรเร่งดำเนินการปลูกป่าในพื้นที่ต้นน้ำลำธาร โดยปลูกไม้ ๒ ประเภท ปลูกสลับกัน คือ ไม้เนื้ออ่อนที่โตเร็วแต่อาจจะยึดเกาะผิวดินได้น้อย และไม้เนื้อแข็งที่เป็นไม้มีคุณภาพและมีรากที่ลึกสามารถยึดเกาะผิวดินได้ดีกว่า ทั้งนี้ หากปลูกไม้แต่เพียงประเภทใดประเภทหนึ่งก็อาจจะไม่สามารถบรรลุถึงวัตถุประสงค์ที่จะฟื้นฟูแหล่งต้นน้ำได้ ๒. ปัญหาการบริหารจัดการในการกักเก็บและระบายน้ำออกจากเขื่อนจะต้องบริหารจัดการบนพื้นฐานด้านข้อมูลทางวิชาการ โดยการปล่อยน้ำจะต้องปล่อยอย่างสม่ำเสมอ และต้องคำนึงถึงการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะแก่การเพาะปลูกของเกษตรกรและการใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้สอดคล้องกับสภาวะอากาศและภัยแล้งที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ ควรมีการทบทวนปริมาณน้ำที่ปล่อยออกจากเขื่อนหลักทุก ๆ เดือน ให้อยู่ในอัตราที่เหมาะสมและสามารถรองรับอุทกภัยได้ ๓. ปัญหาการระบายน้ำทางฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานครที่จะต้องเร่งรัดแก้ไขอุปสรรคที่กีดขวางคูคลองที่จะระบายน้ำ โดยเฉพาะทางฝั่งตะวันตกที่จะใช้แก้มลิงบริเวณคลองสนามชัย/มหาชัยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยระบายน้ำในช่วงเวลาน้ำขึ้นและน้ำลงของระดับน้ำทะเล รวมทั้งปัญหาทางฝั่งตะวันออกที่มีโรงงานขนาดเล็กที่ก่อสร้างขึ้นในช่วงหลังและกีดขวางทางน้ำ ซึ่งอาจจะขยายการระบายน้ำในแนวลึก หรือใช้ท่อลอดเพื่อเร่งระบายน้ำไปสู่สถานีระบายน้ำชายทะเล เช่น สถานีระบายน้ำบริเวณใต้สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น ๔. ปัญหาการบุกรุกทำลายป่าในปัจจุบันมีความรุนแรงมากขึ้น รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่แสวงประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ และละเลยในการแก้ไขฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าไม้ หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจึงต้องเร่งดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||
31144 | การจัดงานแสดงสินค้า OTOP และผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพ | นร | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดจะจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดภูเก็ต วันที่ ๑๙ - ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ นั้น เห็นควรที่จะให้มีการจัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพและสินค้าฮาลาล ตลอดจนสินค้าของเครือข่ายวัฒนธรรมในพื้นที่ในช่วงการจัดการประชุมดังกล่าว รวมทั้งจัดให้มีคลินิกช่วยเหลือผู้ประกอบการเพื่อให้คำปรึกษาแนะนำข้อมูลและองค์ความรู้ต่าง ๆ เช่น การปรับปรุงคุณภาพสินค้า การออกแบบบรรจุภัณฑ์ การหาช่องทางการตลาด การหาแหล่งสนับสนุนทางการเงิน และการให้คำปรึกษาทางกฎหมาย เป็นต้น ให้แก่ผู้ประกอบการในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ที่เกี่ยวข้องด้วย โดยมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรับเรื่องนี้ไปประสานและดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
31145 | แนวทางการแก้ไขปัญหาการชุมนุมเรียกร้อง | นร | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาการชุมนุมเรียกร้อง ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีเกิดการชุมนุมเรียกร้องในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบในเรื่องที่มีผู้ชุมนุมเรียกร้องและหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับเหตุการณ์ฯ ดังกล่าว ติดตามสถานการณ์โดยประสานงานด้านการข่าวอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (กองบัญชาการตำรวจสันติบาล) และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นต้น และลงพื้นที่เกิดเหตุเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาให้เป็นที่ยุติโดยเร็ว ๑.๒ กรณีเกิดการชุมนุมเรียกร้องในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกิดเหตุการณ์เป็นผู้รับผิดชอบติดตามสถานการณ์และดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาให้เป็นที่ยุติโดยเร็ว และในกรณีที่ยังไม่สามารถชี้แจงทำความเข้าใจให้ยกเลิกการชุมนุมได้ ให้ควบคุมดูแลไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมออกนอกพื้นที่จังหวัดด้วย ทั้งนี้ กรณีเหตุการณ์ชุมนุมใดเป็นเรื่องสำคัญ อ่อนไหว หรืออาจมีผลกระทบสูงให้ผู้รับผิดชอบ (ตามข้อ ๑.๑ และ ๑.๒) รีบรายงานข้อมูลให้นายกรัฐมนตรีและผู้บังคับบัญชาระดับสูงทราบโดยด่วนในโอกาสแรก ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติต่อไป ทั้งนี้ ให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๔๕ และวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๔๕ (เรื่อง หลักการและแนวทางการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในการชุมนุมเรียกร้อง) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
31146 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนดงเจน จังหวัดพะเยา พ.ศ. .... | นร | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนดงเจน จังหวัดพะเยา พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลดงเจน และตำบลแม่อิง อำเภอภูกามยาว จังหวัดพะเยา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31147 | รัฐบาลสาธารณรัฐฮอนดูรัสเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย | กต | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางมาร์เลเน บิเยลา เด ตัลบอตต์ (Mrs. Marlene Villela de Talbott) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐฮอนดูรัสประจำประเทศไทยคนแรก โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงโตเกียว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31148 | รัฐบาลโรมาเนียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย | กต | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายกรูเอีย ชาโคทา (Mr. Gruia Jacota) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งโรมาเนียประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายราดู กาบรีเอล มาเตเอสกู (Mr. Radu Gabriel Mateescu) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31149 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดสระบัว ตำบลสระบัว กิ่งอำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์ ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... | พศ | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดสระบัว ตำบลสระบัว กิ่งอำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์ ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนที่วัด วัดสระบัว ตำบลสระบัว กิ่งอำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์ ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๒๒๖ สายชุมพวง - บรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๑๙ (สตึก) ตอนแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๗๔ (ทางพาดพุทไธสง) - สตึก ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31150 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์ วัดศรีโคมคำ ตำบลเวียง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... | พศ | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์ วัดศรีโคมคำ ตำบลเวียง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดศรีโคมคำ ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๒๙๐ (บางส่วน) ตำบลเวียง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา เนื้อที่ ๒ งาน ๙.๙๐ ตารางวา และโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ วัดศรีโคมคำ ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๖๐ (บางส่วน) ตำบลเวียง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา เนื้อที่ ๑ ไร่ ๑๕.๗๐ ตารางวา ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑ สายกรุงเทพมหานคร - แม่สาย (เขตแดน) ตอนวัดบุญยืน - บ้านแท่นดอกไม้ ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31151 | การช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกข้าวนาปี ครั้งที่ 2 เพื่อเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 การขยายระยะเวลาการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ปลูกข้าว และการช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกข้าวนาปีที่มีนาหลายแปลงสามารถใช้สิทธิรับเงินเยียวยาและการจำนำข้าวในที่นาคนละแปลง | กษ | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยคณะกรรมการฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ปลูกข้าว ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม - ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งเก็บเกี่ยวและขายข้าวแล้วตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๔ - ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ในอัตราตันละ ๑,๔๓๗ บาท ในวงเงินงบประมาณ ๕๗.๙๔ ล้านบาท โดยการช่วยเหลือเยียวยาที่คณะรัฐมนตรีมีมติไปแล้ว และที่จะอนุมัติเพิ่มเติม ให้พิจารณาช่วยเหลือเกษตรกรเป็นรายแปลง โดยการช่วยเหลือเยียวยารายแปลงดังกล่าวต้องไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ๑.๒ เห็นชอบให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ใหม่ เป็นครั้งที่ ๒ และยกเลิกการใช้สิทธิการช่วยเหลือเยียวยา ให้สามารถใช้สิทธิเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ได้ โดยให้เกษตรกรใช้ใบรับรองเดิมที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวรอบที่ ๑ ไว้แล้ว โดยให้กำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน และตัวเกษตรกรเองรับรองว่าเป็นข้าวที่เกษตรกรเพาะปลูกจริงตามพื้นที่ที่ปลูกใหม่ในครั้งที่ ๒ และให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หักเงินจากบัญชีเกษตรกรที่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาก่อนจ่ายเงินจำนำข้าวเปลือกตามที่เกษตรกรยินยอม ๑.๓ เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. จ่ายเงินให้แก่เกษตรกร จำนวน ๑๑,๗๐๑ ราย ที่มีที่นาหลายแปลง ซึ่งมีการเก็บเกี่ยวข้าวในเดือนสิงหาคม - กันยายน ๒๕๕๔ และเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ เป็นต้นไป โดยแปลงที่เก็บเกี่ยวข้าวในช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน ๒๕๕๔ เกษตรกรแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการช่วยเหลือเยียวยา ส่วนแปลงที่เก็บเกี่ยวข้าวในช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ได้นำผลผลิตเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี โดยเป็นที่นาคนละแปลงและไม่ซ้ำซ้อนกัน สำหรับเกษตรกร จำนวน ๓,๓๐๘ ราย ที่มีที่นาหลายแปลงแต่เก็บเกี่ยวข้าวในช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน ๒๕๕๔ ทั้งหมดที่ ธ.ก.ส. แจ้งว่ามีชื่อเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ให้ ธ.ก.ส. ตรวจสอบข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง ถ้าเกษตรกรได้เข้าร่วมโครงการรับจำนำแล้ว ไม่ควรจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยา เนื่องจากเป็นที่นาแปลงเดียวกัน ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระคืนต้นทุนเงินและดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. ให้ครบถ้วนต่อไป ๑.๔ อนุมัติในหลักการให้เกษตรกรใช้สิทธิเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือเยียวยาและโครงการรับจำนำได้ กรณีเป็นที่นาคนละแปลง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมการเกษตร) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการสำรวจเกษตรกรที่มีที่นาหลายแปลงซึ่งได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ทั้งประเทศ เพื่อให้การเยียวยาช่วยเหลือเกษตรกรมีความทั่วถึงและเป็นระบบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ส่วนการจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระหนี้คืนต้นทุนเงินและดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. ให้ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ในครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ โดยค่าบริหารโครงการฯ ของ ธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ ๒.๕ ต่อปี และค่าชดเชยต้นทุนเงินของ ธ.ก.ส. ในอัตราดอกเบี้ย FDR + 1 ซึ่งในปัจจุบันเท่ากับร้อยละ ๓.๔ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์กำกับติดตามการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการตรวจสอบข้อมูลการขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวและพื้นที่ปลูกข้าวให้ถูกต้องและไม่เกิดปัญหาการใช้สิทธิซ้ำซ้อน รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานเกี่ยวข้องรายงานยอดวงเงินที่จะต้องใช้สำหรับการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในครั้งนี้ให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทราบด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31152 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสวนดุสิต พ.ศ. .... | ศธ | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ง
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสวนดุสิต พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้มหาวิทยาลัยสวนดุสิตเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ มีฐานะเป็นนิติบุคคล อยู่ในกำกับของรัฐและไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ กฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณหรือกฎหมายอื่น ๑.๒ กำหนดให้มหาวิทยาลัยเป็นสถาบันทางวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง ๑.๓ กำหนดให้มหาวิทยาลัยแบ่งส่วนงานออกเป็น สำนักงานสภามหาวิทยาลัย ส่วนงานวิชาการ ส่วนงานอื่น ๆ และให้การจัดตั้ง การรวม การยุบเลิกส่วนงานจัดทำเป็นประกาศของมหาวิทยาลัยและประกาศในราชกิจจานุเบกษา เว้นแต่การแบ่งส่วนงานเป็นหน่วยงานภายในให้ทำเป็นข้อบังคับของมหาวิทยาลัย ๑.๔ กำหนดให้มหาวิทยาลัยมีรายได้ส่วนหนึ่งจากเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นรายปี เงินกองทุนที่รัฐบาลหรือมหาวิทยาลัยจัดตั้งขึ้น และรายได้หรือผลประโยชน์จากกองทุนดังกล่าว รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ๑.๕ กำหนดให้บรรดาอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการให้หรือซื้อด้วยเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยหรือแลกเปลี่ยนกับทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยเป็นกรรมสิทธิ์ของมหาวิทยาลัย ให้ทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยที่ใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการศึกษา วิจัยไม่อยู่ในข่ายแห่งการบังคับคดี ๑.๖ กำหนดให้มีสภามหาวิทยาลัย ประกอบด้วยนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการโดยตำแหน่ง กรรมการอื่น และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และให้สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๗ กำหนดให้มีสภาวิชาการ สภาคณาจารย์และพนักงาน และคณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัย โดยมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด และให้องค์ประกอบ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มาหรือการแต่งตั้ง วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง ตลอดจนการประชุม เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย ๑.๘ กำหนดให้มีอธิการบดีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด และรับผิดชอบการบริหารงานของมหาวิทยาลัย กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม โดยให้อธิการบดีมีอำนาจและหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๙ กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษาและการวิจัย ตลอดจนการประเมินการดำเนินงานของมหาวิทยาลัย ๑.๑๐ กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการการบัญชี และการตรวจสอบทางบัญชีและการเงินของมหาวิทยาลัย ๑.๑๑ กำหนดให้ตำแหน่งทางวิชาการ คณาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์พิเศษ รองศาสตราจารย์พิเศษ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ อาจารย์พิเศษ ๑.๑๒ กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการให้ปริญญาและเครื่องหมายวิทยฐานะ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรตัดข้อความในมาตรา ๔ ตอนท้ายที่กำหนดว่า “...ยังคงได้รับจัดสรรงบประมาณตามกฎหมายว่าด้วยวิธีงบประมาณ” ออก เนื่องจากมาตรา ๑๓ วรรคสอง ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าให้รัฐบาลจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปให้แก่มหาวิทยาลัยโดยตรง และในการยกร่างพระราชบัญญัติฯ ควรยึดถือมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๖ เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่จะออกนอกระบบที่กำหนดหลักการกลางที่จะบัญญัติไว้ในร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐทุกฉบับเป็นแนวทางในการยกร่าง เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการให้มหาวิทยาลัยที่เป็นส่วนราชการของรัฐเปลี่ยนสภาพเป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่เป็นส่วนราชการและอยู่ในกำกับของรัฐ จะทำให้มหาวิทยาลัยสามารถบริหารงานทางด้านการเงินและการบริหารจัดการทั่วไปได้อย่างคล่องตัวขึ้น แต่ไม่ควรเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษาให้แก่ผู้ปกครองและนักศึกษาเกินสมควร และเห็นควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบงบประมาณที่เอื้อต่อการวางแผนและการประเมินผลระบบต้นทุนการจัดการศึกษาของสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาเพื่อนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ในการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการจัดการศึกษาเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและประหยัดอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31153 | ความช่วยเหลือจากต่างประเทศในการบรรเทาอุทกภัยในประเทศไทย และสารแสดงความห่วงใยจากมิตรประเทศ | นร | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานผลการพิจารณากรณีกระทรวงการคลังจะเสนอเรื่องเกี่ยวกับมาตรการทางภาษีอากรเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของกระทรวงการคลัง โดยไม่ต้องนำเสนอคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) ก่อน นั้น ดำเนินการได้โดยไม่ต้องแก้ไขคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๓๐/๒๕๕๔ เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการและกลไกการปฏิบัติงานฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย โดยสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาเห็นว่า คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ๒๓๐/๒๕๕๔ ได้แต่งตั้ง กฟย. และกำหนดอำนาจหน้าที่ของ กฟย. ไว้กว้าง ๆ มิได้กำหนดให้ กฟย. มีอำนาจดำเนินการเกี่ยวกับมาตรการทางภาษีอากรเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยไว้เป็นการเฉพาะ ประกอบกับคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๓๐/๒๕๕๔ เป็นคำสั่งของนายกรัฐมนตรี ดังนั้น เมื่อคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กระทรวงการคลังเสนอเรื่องการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับมาตรการทางภาษีอากรเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยต่อคณะรัฐมนตรีโดยตรงโดยไม่ต้องนำเสนอ กฟย. พิจารณาก่อน และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวมิได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของ กฟย. ในเรื่องดังกล่าวไว้เป็นการเฉพาะ กระทรวงการคลังจึงเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยตรงตามมติคณะรัฐมนตรีได้โดยไม่ต้องแก้ไขคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๓๐/๒๕๕๔ แต่อย่างใด
|
|||||||||||||||||||||||||||
31154 | การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามข้อผูกพันองค์การการค้าโลก (WTO) | กษ | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเปิดตลาดสินค้าเกษตร (สินค้าหอมหัวใหญ่ เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง) ตามมติคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ สินค้าหอมหัวใหญ่ ตามข้อผูกพันองค์การการค้าโลก ให้เปิดตลาดนำเข้าปี ๒๕๕๕ - ปี ๒๕๕๗ ปริมาณในโควตาปีละ ๖๐๐ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๗ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๔๒ ๑.๒ สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ ตามข้อผูกพันองค์การการค้าโลก ให้เปิดตลาดนำเข้าปี ๒๕๕๕ - ปี ๒๕๕๗ ปริมาณในโควตาร้อยละ ๓.๑๕ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๒๑๘ ๑.๓ สินค้ามันฝรั่ง ตามข้อผูกพันองค์การการค้าโลก ให้เปิดตลาดนำเข้าปี ๒๕๕๕ - ปี ๒๕๕๗ โดยหัวพันธุ์มันฝรั่ง ให้เปิดตลาดไม่จำกัดจำนวน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐ (ตามข้อผูกพันร้อยละ ๒๗) และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ ส่วนหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ให้เปิดตลาดปริมาณในโควตาปีละ ๓๖,๐๐๐ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๗ และนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ ๒. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเพิ่มเติม ๒.๑ ขอแก้ไขหนังสือคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ด่วนที่สุด ที่ กษ ๑๓๐๔/๒๗๐ ลงวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ดังนี้ ๒.๑.๑ หน้า ๒ ข้อ ๓.๓ (๓) จากเดิม “(๓) ราคาขายหัวพันธุ์มันฝรั่งพันธุ์โรงงานไม่เกินกิโลกรัมละ ๓๕ บาท โดยกำหนดราคารับซื้อขั้นต่ำในฤดูแล้ง กิโลกรัมละ ๘.๙๐ บาท และฤดูฝน กิโลกรัมละ ๑๔.๐๐ บาท” เป็น “(๓) ราคาขายหัวพันธุ์มันฝรั่งพันธุ์โรงงานไม่เกินกิโลกรัมละ ๓๕ บาท โดยกำหนดราคารับซื้อขั้นต่ำในฤดูแล้ง กิโลกรัมละ ๙.๙๐ บาท และฤดูฝน กิโลกรัมละ ๑๔.๐๐ บาท” ๒.๑.๒ หน้า ๓ ข้อ ๓.๔ (๒) จากเดิม “(๒) ทำสัญญารับซื้อผลผลิตหัวมันฝรั่งสดจากเกษตรกร โดยกำหนดราคารับซื้อขั้นต่ำในฤดูฝน (ก.ค. - ธ.ค.) กิโลกรัมละ ๑๔ บาท และฤดูแล้ง (ม.ค. - มิ.ย.) กิโลกรัมละ ๘.๙๐ บาท” เป็น “(๒) ทำสัญญารับซื้อผลผลิตหัวมันฝรั่งสดจากเกษตรกร โดยกำหนดราคารับซื้อขั้นต่ำในฤดูฝน (ก.ค. - ธ.ค.) กิโลกรัมละ ๑๔ บาท และฤดูแล้ง (ม.ค. - มิ.ย.) กิโลกรัมละ ๙.๙๐ บาท” ๒.๒ การเปิดตลาดสินค้าเกษตร (สินค้าหอมหัวใหญ่ เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง) ตามที่ได้เสนอในครั้งนี้ ขอเปลี่ยนแปลงให้เปิดตลาดนำเข้าปี ๒๕๕๕ - ปี ๒๕๕๗ เป็นไปตามเดิมที่ได้เปิดนำเข้าปี ๒๕๕๒ - ปี ๒๕๕๔ โดยในส่วนของสินค้าหอมหัวใหญ่ที่เสนอขอเปิดตลาดนำเข้าปี ๒๕๕๕ - ปี ๒๕๕๗ ปริมาณในโควตาปีละ ๖๐๐ ตัน นั้น ให้เปลี่ยนเป็นไปตามเดิมที่เปิดตลาดนำเข้าตามข้อผูกพันฯ ในโควตาปีละ ๓๖๕ ตัน |
|||||||||||||||||||||||||||
31155 | ขอความเห็นชอบการกู้เงินในประเทศ เพื่อเป็นแหล่งเงินลงทุนสำหรับแผนงานระยะยาวของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กู้เงินภายในประเทศภายในกรอบวงเงิน ๒,๙๓๐ ล้านบาท เพื่อการลงทุนในแผนสนับสนุนการดำเนินงานระยะที่ ๓ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน ทั้งนี้ ให้ กฟภ. รับไปดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ที่กำหนดให้การกู้เงินในประเทศดังกล่าวในแต่ละปี กฟภ. จะต้องเสนอความต้องการกู้เงินให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินต่อคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเพื่อบรรจุโครงการเงินกู้ไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
31156 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 บังคับในท้องที่บางแห่งในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลกลัดหลวง และองค์การ บริหารส่วนตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. .... | มท | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ บังคับในท้องที่บางแห่งในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลลัดหลวง และองค์การบริหารส่วนตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ บังคับในท้องที่บางแห่งในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลกลัดหลวง และองค์การบริหารส่วนตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี เพื่อประโยชน์ในด้านการควบคุมเกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัย การสาธารณสุข การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31157 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พ.ศ. .... | มท | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลอรัญประเทศ บางส่วนของตำบลบ้านใหม่หนองไทร บางส่วนของตำบลป่าไร่ บางส่วนของตำบลฟากห้วย และบางส่วนของตำบลท่าข้าม อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31158 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเขาย่า อำเภอศรีบรรพต และตำบลชะมวง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเขาย่า อำเภอศรีบรรพต และตำบลชะมวง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเขาย่า อำเภอศรีบรรพต และตำบลชะมวง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการเข้าดำเนินการปฏิรูปที่ดินในพื้นที่ทับซ้อนกับเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี หรือพื้นที่จำแนกออกจากเขตป่าไม้ถาวรที่มอบให้กรมที่ดินไปดำเนินการ ให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประสานงานกับกรมพัฒนาที่ดิน กรมป่าไม้ และกรมที่ดิน เพื่อให้ได้ข้อยุติเสียก่อนที่จะเข้าดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการก่อนเข้าไปดำเนินการในพื้นที่ด้วย ๓. ให้ทุกหน่วยงานรับความเห็นของเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า ในการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดิน หรือร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องกำหนดแนวเขตที่ดินเพื่อดำเนินการในลักษณะเช่นเดียวกับร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินต่อคณะรัฐมนตรี บางครั้งพื้นที่ในการดำเนินการยังไม่เป็นที่ยุติว่าอยู่ในพื้นที่ที่ควรสงวนไว้ไม่ให้นำไปปฏิรูปที่ดินหรือไม่ หรือทับซ้อนกับแนวเขตที่ได้มีการกำหนดไว้เป็นพื้นที่ดำเนินการตามกฎหมายอื่น เช่น พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ เป็นต้น หรือไม่ ซึ่งจะมีปัญหาในการตรากฎหมายและปัญหาในการดำเนินการ เมื่อกฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับแล้ว ดังนั้น เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาดังกล่าว ก่อนเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี หน่วยงานเจ้าของเรื่องต้องประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติเสียก่อนว่าแนวเขตในการดำเนินการตามร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นแนวเขตที่สามารถเข้าดำเนินการได้ และไม่ทับซ้อนกับแนวเขตที่ได้มีการกำหนดไว้เป็นพื้นที่ดำเนินการตามกฎหมายอื่น
|
|||||||||||||||||||||||||||
31159 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการศูนย์การเรียนรู้สำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล | ศธ | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการศูนย์การเรียนรู้สำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล (ครั้งที่ ๖) ข้อมูล ณ วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ กระทรวงศึกษาธิการได้มอบหมายให้ศูนย์การศึกษาพิเศษร่วมมือกับโรงพยาบาลจัดศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล จำนวน ๔๓ ศูนย์การเรียน สามารถให้บริการทางการศึกษาแก่เด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๓ - กันยายน ๒๕๕๔ เฉลี่ยเดือนละประมาณ ๒,๓๐๐ คน โดยได้รับการสนับสนุนจากงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๔ แผนงานขยายโอกาสและพัฒนาการศึกษา ผลผลิตที่ ๔ เด็กพิการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานและการพัฒนาสมรรถภาพ เป็นค่าตอบแทนครูศูนย์การเรียนฯ จำนวน ๑๑๒ อัตรา จำนวนเงิน ๖,๔๔๙,๑๘๔ บาท และการประชุมสัมมนาโครงการศูนย์การเรียนฯ จำนวนเงิน ๓๙๑,๐๗๖ บาท ส่วนการนิเทศ กำกับ ติดตาม ประเมินผล และสื่อการเรียนการสอน จำนวนเงิน ๓,๒๒๖,๔๖๐ บาท ไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31160 | รายงานผลการดำเนินการจากงบกลางเพื่อให้จังหวัดและส่วนราชการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ของกระทรวงแรงงาน | รง | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานผลการดำเนินการจากงบกลางเพื่อให้จังหวัดและส่วนราชการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย โดยกระทรวงแรงงานได้รับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณดังกล่าวให้จังหวัดเพื่อใช้ในการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัย รวม ๔ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร ปทุมธานี นนทบุรี และนครปฐม เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น ๙๙,๘๒๙,๙๑๒ บาท โดยยอดการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๕ จำนวน ๗๗,๑๐๔,๑๗๖.๘๗ บาท สรุปผลการดำเนินงานจำแนกรายจังหวัด ดังนี้
๑. จังหวัดสมุทรสาคร ได้รับการสนับสนุนงบกลาง จำนวน ๑ ครั้ง เป็นเงิน ๗,๖๐๔,๖๙๓ บาท เพื่อใช้ในแผนงานการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและกำจัดขยะในพื้นที่อำเภอกระทุ่มแบน และอำเภอเมือง โดยมีกิจกรรมการจ้างแรงงานกำจัดขยะ การจัดซื้ออุปกรณ์ทำความสะอาด การจัดซื้ออาหารกล่องให้ผู้ประสบภัย การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง และการเช่ายานพาหนะรับส่งผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่น้ำท่วม ผลการดำเนินงานสามารถจ้างงานผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ได้ จำนวน ๒,๗๗๒ คน ผู้ประสบอุทกภัยได้รับค่าตอบแทน รวมเป็นเงิน ๑,๕๘๗,๓๐๐ บาท และประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์จากกิจกรรมดังกล่าว จำนวน ๘๐,๔๘๔ คน ๒. จังหวัดปทุมธานี ได้รับการสนับสนุนงบกลาง จำนวน ๒ ครั้ง เป็นเงิน ๑๗,๙๕๔,๔๕๑ บาท โดยครั้งที่ ๑ ใช้ในแผนงานการทำความสะอาดและกำจัดขยะ โดยมีกิจกรรมการกำจัดขยะและทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ การแก้ปัญหาน้ำท่วมขัง ฟื้นฟูโรงงาน บ้านและสวน การซ่อมแซมพื้นที่สาธารณะ ในพื้นที่ ๖ ตำบล คือ ตำบลหลักหก เชียงรากใหญ่ บ่อเงิน คลองพระอุดม และคูขวาง รวม ๓ อำเภอ คือ อำเภอเมือง สามโคก และลาดหลุมแก้ว ผลการดำเนินงานสามารถจ้างงานผู้ประสบภัยในพื้นที่ได้ จำนวน ๔๕๐ คน ผู้ประสบอุทกภัยได้รับค่าตอบแทน รวมเป็นเงิน ๖๘๒,๕๐๐ บาท ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์จากกิจกรรมดังกล่าว จำนวน ๗๘,๐๕๐ คน สำหรับครั้งที่ ๒ ใช้ในแผนงานทำความสะอาด กำจัดขยะ และแผนงานซ่อมแซมสถานที่สาธารณประโยชน์ ในพื้นที่อำเภอลาดหลุมแก้ว รวม ๗ ตำบล คือ ตำบลคูขวาง คูบางหลวง หน้าไม้ บ่อเงิน ระแหง คลองพระอุดม และลาดหลุมแก้ว อยู่ระหว่างดำเนินการ ๓. จังหวัดนนทบุรี ได้รับการสนับสนุนงบกลาง จำนวน ๑ ครั้ง เป็นเงิน ๖,๐๓๓,๐๐๐ บาท เพื่อใช้ในแผนงานทำความสะอาดและกำจัดขยะเพื่อชุมชน การจ้างแรงงานทำความสะอาด เก็บกวาด ล้างสถานที่สำคัญและพื้นที่สาธารณะ ในพื้นที่ ๙ ตำบล คือ ตำบลบางไผ่ บางรักน้อย ศาลากลาง บางขนุน บางขุนกอง มหาสวัสดิ์ บางสีทอง ปลายบาง และบางใหญ่ รวม ๓ อำเภอ คือ อำเภอเมือง บางกรวย และบางใหญ่ อยู่ระหว่างดำเนินการ ๔. จังหวัดนครปฐม ได้รับการสนับสนุนงบกลาง รวม ๒๔ ครั้ง เป็นเงิน ๖๘,๒๓๗,๗๖๘ บาท เพื่อใช้ในแผนงานต่าง ๆ ประกอบด้วย ครั้งที่ ๑ - ๒๓ ได้แก่ แผนงานการสัญจรของผู้ประสบภัยที่น้ำท่วมขัง ๕ แผนงาน ในพื้นที่อำเภอพุทธมณฑล และสามพราน แผนงานการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง ๑๓ แผนงาน ดำเนินการในพื้นที่อำเภอพุทธมณฑล นครชัยศรี บางเลน และดอนตูม แผนงานการทำความสะอาดและกำจัดขยะ ๖ แผนงาน ดำเนินการในพื้นที่อำเภอสามพราน นครชัยศรี และดอนตูม แผนงานการซ่อมแซมพื้นที่สาธารณะ ๓ แผนงาน ดำเนินการในพื้นที่อำเภอบางเลน และสามพราน และแผนการบริหารจัดการ ๑ แผนงาน ดำเนินการในพื้นที่ ๗ อำเภอ ผลการดำเนินงานสามารถช่วยให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ได้ จำนวน ๒,๕๑๒ คน ผู้ประสบอุทกภัยได้รับค่าตอบแทน ๑,๔๐๑,๑๕๐ บาท ประชาชนได้รับประโยชน์ จำนวน ๕๙๐,๒๘๔ คน สำหรับครั้งที่ ๒๔ ใช้ในแผนงานการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง และซ่อมแซมพื้นที่สาธารณะ ในพื้นที่อำเภอบางเลน รวม ๔ ตำบล คือ ตำบลไทรป่า ไผ่หูช้าง บางปลา และดอนตูม อยู่ระหว่างดำเนินการ
|
.....