ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1554 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 31061 - 31080 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31061 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดส้วมที่ต้องด้วยสุขลักษณะในร้านจำหน่ายอาหารและหรือเครื่องดื่มและสถานีบริการการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงหรือก๊าซสำหรับยานพาหนะ พ.ศ. .... | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดส้วมที่ต้องด้วยสุขลักษณะในร้านจำหน่ายอาหารและหรือเครื่องดื่มและสถานีบริการการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงหรือก๊าซสำหรับยานพาหนะ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ๒. กำหนดให้ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๖) ออกตามความในพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ ๓. กำหนดให้ส้วมต้องมีสุขลักษณะตามที่กำหนด ได้แก่ ขนาดพื้นที่ภายในห้องส้วม ระยะดิ่ง ช่องระบายอากาศ แสงสว่าง ความลาดเอียง น้ำใช้และความสะอาดของน้ำใช้ อุปกรณ์สำหรับชำระล้าง ระบบดักกลิ่นของที่ปัสสาวะ อ่างล้างมือ แบบของโถส้วม ท่อระบายอุจจาระ และท่อระบายก๊าซ รวมทั้งระบบกำจัดสิ่งปฏิกูล ๔. กำหนดให้เจ้าของร้านจำหน่ายอาหารและหรือเครื่องดื่มซึ่งจัดสถานที่ไว้สำหรับบริการลูกค้าได้ในขณะเดียวกันไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน และเจ้าของสถานีบริการการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงหรือก๊าซสำหรับยานพาหนะ ต้องจัดให้มีส้วมที่ต้องด้วยสุขลักษณะซึ่งเปิดให้ใช้บริการได้ตลอดระยะเวลาที่ให้บริการ และต้องจัดให้มีเครื่องสุขภัณฑ์ตามจำนวนอันสมควร แต่ต้องไม่น้อยกว่าอัตราที่กำหนดไว้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31062 | ขออนุมัติกำหนดตำแหน่งเพิ่มใหม่ | สธ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่งพิจารณาข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการจัดสรรตำแหน่งเพิ่มใหม่ เพื่อบรรจุบุคคลตามคำขอของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อบรรจุทุนรัฐบาล ๓ สายงาน (แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) จำนวน ๒,๖๖๖ อัตรา เป็นการเร่งด่วน ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ยกเว้นหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ [เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖)] ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ เป็นการเฉพาะราย ๑.๒ ในระยะเร่งด่วนเห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขนำตำแหน่งที่ว่างอยู่ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๕๒๑ อัตรา ไปบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาล ๓ สายงาน (แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) ที่สำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ก่อน ส่วนที่เหลือให้จัดสรรตำแหน่งเพิ่มใหม่ จำนวน ๒,๑๔๕ อัตรา เพื่อบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาลดังกล่าว ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ที่เห็นว่า อัตรากำลังใหม่ดังกล่าวให้กระทรวงสาธารณสุขกำหนดเป็นอัตราที่ตรึงไว้สำหรับการบรรจุนักเรียนทุนคู่สัญญาเพื่อปฏิบัติงานในสถานบริการสุขภาพในโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และสถานบริการสุขภาพทุกระดับในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้กระทรวงสาธารณสุขรายงานการบรรจุแต่งตั้งนักศึกษาคู่สัญญาที่ได้รับการบรรจุในครั้งนี้ไปยังคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ไปดำเนินการด้วย ๑.๓ ในระยะต่อไปเห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาภาพรวมอัตรากำลังทั้งระบบเพื่อวางระบบการบริหารอัตรากำลังและการวางแผนกำลังคนของกระทรวงให้การจัดการภารกิจบริการสุขภาพมีคุณภาพและประสิทธิภาพ และให้สำนักงาน ก.พ. เร่งรัดผลการศึกษาแนวทางการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจการบริการด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อจะได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามเงื่อนไขที่สำนักงาน ก.พ. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐกำหนด |
|||||||||||||||||||||||||||
31063 | ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพกรณีผู้ที่เคยรับโทษให้จำคุกถูกจำกัดสิทธิในการเข้ารับราชการ) | สม | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพกรณีผู้ที่เคยรับโทษให้จำคุกถูกจำกัดสิทธิในการเข้ารับราชการ โดยกลุ่มองค์กรที่ใช้พระราชบัญญัติหรือระเบียบที่กำหนดให้การต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเป็นลักษณะต้องห้ามในการเข้ารับราชการโดยไม่มีการกำหนดข้อยกเว้น เช่น ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ข้าราชการการเมือง ข้าราชการทหาร เป็นต้น ควรมีการพิจารณาทบทวนปรับปรุงและแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายแต่ละฉบับให้สอดคล้องกับมิติด้านสิทธิและเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และพันธกรณีระหว่างประเทศ ที่ให้การคุ้มครองและรับรองไว้ โดยไม่เป็นการจำกัดสิทธิของผู้ที่เคยได้รับโทษจำคุกและมีความเป็นธรรม รวมทั้งควรมีการพิจารณาถึงความเหมาะสมในการประกอบอาชีพด้วย โดยในการกำหนดข้อยกเว้นอาจมีการกำหนดกรอบระยะเวลาให้กับผู้ที่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในการสมัครสอบเข้ารับราชการ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกให้สามารถใช้สิทธิในการสมัครเข้ารับราชการและสามารถกลับตนเป็นคนดีเพื่อทำประโยชน์ให้แก่สังคมและประเทศชาติต่อไป ทั้งนี้ ในการพิจารณาดำเนินการดังกล่าวควรที่จะได้มีการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายและระเบียบในเรื่องนี้สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทอื่น ตลอดจนพนักงานรัฐวิสาหกิจด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเป็นมาตรฐานเดียวกัน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการกำหนดลักษณะต้องห้ามของบุคคลในการข้ารับราชการตามกฎหมายต่าง ๆ ย่อมต้องเป็นไปตามความจำเป็นและเหมาะสมของข้าราชการประเภทนั้น ๆ อันเป็นลักษณะตามข้อยกเว้นตามมาตรา ๒๙ ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่กระทบกระเทือนถึงสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพอันมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไปโดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับกับกรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง และไม่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๐ ของรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ การกำหนดลักษณะต้องห้ามดังกล่าวเป็นการกำหนดโดยพระราชบัญญัติซึ่งรัฐสภาได้พิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมแล้ว ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
31064 | ร่างยุทธศาสตร์กรุงโตเกียวเพื่อกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น | กต | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อร่างยุทธศาสตร์กรุงโตเกียวเพื่อกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นเอกสารผลการประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๔ โดยสาระสำคัญของร่างยุทธศาสตร์ฯ แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ ๑.๑ ส่วนที่ ๑ ร่างยุทธศาสตร์ฯ ระบุวิสัยทัศน์ร่วมกันเกี่ยวกับการพัฒนาภูมิภาคลุ่มน้ำโขง รวมถึงระบุแนวทางสู่วิสัยทัศน์ดังกล่าว โดยกำหนดเสาหลักของความร่วมมือในกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นขึ้นมาใหม่ ๓ เสา ได้แก่ เสาหลักที่ ๑ เสริมสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เสาหลักที่ ๒ การพัฒนาไปพร้อมกัน และเสาหลักที่ ๓ สร้างความมั่นใจด้านความมั่นคงของมนุษย์และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ๑.๒ ส่วนที่ ๒ ประเด็นที่เป็นข้อห่วงกังวลระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ ผู้นำประเทศลุ่มน้ำโขงและญี่ปุ่นแสดงความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความร่วมมือให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในประเด็นระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศที่ห่วงกังวลร่วมกัน และสร้างเสริมความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นที่มีอยู่แล้วให้แข็งแกร่งและครอบคลุมขึ้น เพื่อคงไว้ซึ่งสันติภาพ ความสงบสุข และความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค ๒. มอบให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าว ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
|
|||||||||||||||||||||||||||
31065 | การดำเนินการตามพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2555 | กค | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้สถาบันการเงินนำส่งเงินเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากในอัตราร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี ของยอดเงินรับฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครอง ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อการสนับสนุนและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดร่างมาตรา ๑๐ ที่กำหนดให้รายได้ของกองทุนไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง และร่างมาตรา ๑๔ (๓) ที่กำหนดให้นำเงินกองทุนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นว่ากองทุนมีเงินเพียงพอต่อการดำเนินกิจการแล้ว ให้สอดคล้องกัน เพื่อให้การใช้บังคับกฎหมายเป็นไปแนวทางเดียวกันทั้งฉบับ รวมทั้งกำหนดสาระสำคัญเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเพิ่มทุนไว้ในบทเฉพาะกาลของร่างพระราชบัญญัติฯ กล่าวคือ เมื่อมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อการเพิ่มทุนให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจในวันก่อนที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับแล้ว ก็ให้โอนงบประมาณเพื่อการเพิ่มทุนที่มีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับไปเป็นของกองทุนด้วยเพื่อความเป็นเอกภาพในการเพิ่มทุนให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๓.๑ กำหนดให้จัดตั้งกองทุนเพื่อการสนับสนุนและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือสถาบันการเงินเฉพาะกิจในการเพิ่มทุนชดเชยความเสียหายในโครงการที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ดำเนินการเพื่อการสนับสนุนและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ตลอดจนการนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ๓.๒ กำหนดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจนำส่งเงินเข้ากองทุนตามอัตราที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดแต่ต้องไม่เกินร้อยละ ๑ ต่อปีของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ย ๓.๓ กำหนดให้เงินกองทุนจะนำออกมาใช้ได้ในการจัดสรรเงินให้แก่การเพิ่มทุนของสถาบันเฉพาะกิจ การจ่ายเงินชดเชยให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจเนื่องจากการดำเนินธุรกิจตามมติคณะรัฐมนตรี การนำเงินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ฯลฯ ๓.๔ กำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเพื่อการสนับสนุนและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยมีอำนาจและหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของกองทุน ๔. ให้กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดกระบวนการปรับปรุงพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยในการขยายหน้าที่การช่วยเหลือทางการเงินแก่สถาบันการเงินของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างในการกำกับดูแลสถาบันการเงิน และมีการหารืออย่างสม่ำเสมอถึงความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งของสถาบันประกันเงินฝาก และ ธปท. โดยคำนึงถึงปริมาณภาระหนี้ของกองทุน สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยรวม สถานะความมั่นคงของสถาบันการเงิน รวมทั้งความจำเป็นในการขยายภารกิจในการดูแลสถาบันการเงินของกองทุนฯ และเห็นควรกำหนดแนวทางการดำเนินงานของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่ชัดเจนและมุ่งเน้นการพัฒนาการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นสำคัญ ตลอดจนพิจารณาเพิ่มเติมวิธีการในการเรียกเก็บเงินจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม นอกจากนี้ ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจเร่งรัดการแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐออกจากบัญชีการดำเนินการปกติของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อให้ทราบผลการดำเนินงานที่แท้จริง และในกรณีที่ต้องมีการชดเชยสามารถดำเนินการได้อย่างเหมาะสม ถูกต้อง และโปร่งใส ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31066 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะเป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ และกำหนดให้เพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าจากสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ พ.ศ. .... (มาตรการคว่ำบาตรอาวุธต่อสาธารณรัฐโกตดิวัวร์) | พณ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์และยานพาหนะเป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ และกำหนดให้เพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าจากสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ พ.ศ. ..... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะที่ส่งให้แก่กองกำลังรักษาความมั่นคงของสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการส่งออกไปสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ ๑.๒ กำหนดให้เพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนทุกชนิดที่ส่งมาจากสาธารณรัฐโกตดิวัวร์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ๑.๓ กำหนดห้ามมิให้นำความในข้อ ๑.๑ ไปใช้บังคับในกรณีการส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้หรือสนับสนุนในการดำเนินงานของ United Nations Operation In Cote d’ I voire (UNOCI) หรือใช้ในกองกำลังของประเทศฝรั่งเศสเพื่อสนับสนุน UNOCI ฯลฯ ๑.๔ กำหนดห้ามมิใหนำความในข้อ ๑.๒ ไปใช้บังคับกับการนำเข้ามาเพื่อการวิจัยและวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาข้อมูลเชิงเทคนิคเฉพาะที่เกี่ยวกับการผลิตเพชรของสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งประมวลผลการดำเนินการตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับโกตดิวัวร์ ของส่วนราชการทั้งหมดที่ได้รับมอบหมายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับโกตดิวัวร์) เพื่อรวบรวมและรายงานความคืบหน้าการปฏิบัติตามข้อมติคณะมนตรีฯ ในส่วนของประเทศไทยต่อสหประชาชาติต่อไป และควรประชาสัมพันธ์การบังคับใช้ร่างประกาศกระทรวงฯ ดังกล่าว ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบการให้ทราบโดยทั่วถึง เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31067 | การขอโอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 11/2551/102 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข L16/50 | พน | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้บริษัท เทเท็ก ไทยแลนด์ แอลแอลซี โอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๑๑/๒๕๕๑/๑๐๒ แปลงสำรวจบนบกหมายเลข L16/50 (บริเวณจังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร และร้อยเอ็ด) ให้แก่บริษัท Tatex Thailand III, LLC โดยอาศัยความตามมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๐ และตามมาตรา ๒๒ (๗) แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งกำหนดให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการปิโตรเลียม และต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี โดยให้ออกเป็นสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) ของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๑๑/๒๕๕๑/๑๐๒ ตามแบบ ชธ/ป๓ ที่กำหนดในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๓๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
31068 | โครงการความร่วมมือเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์อิระวดี - แม่โขง - เจ้าพระยา (ACMECS) ประจำปี 2555 | พณ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์อิระวดี - แม่โขง - เจ้าพระยา (ACMECS) ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยกำหนดจังหวัดเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์ ACMECS จำนวน ๑๑ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสระแก้ว จันทบุรี บุรีรัมย์ อุบลราชธานี น่าน เลย มุกดาหาร นครพนม ศรีสะเกษ ตาก และกาญจนบุรี พื้นที่ดำเนินการในประเทศเพื่อนบ้าน ๓ ประเทศ ได้แก่ พม่า ลาว และกัมพูชา รวม ๘๙๕,๓๔๐ ไร่ พืชเกษตรเป้าหมายภายใต้โครงการ Contract Farming จำนวน ๙ ชนิด ได้แก่ ถั่วเขียวผิวมัน ถั่วลิสง งา ข้าวโพดหวาน ลูกเดือย ละหุ่ง มันสำปะหลัง (มันเส้น) ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และเมล็ดถั่วเหลือง ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานโครงการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์ ACMECS เพื่อกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติในการดำเนินงานโครงการฯ ดังกล่าวในแต่ละปี โดยหน่วยรับผิดชอบควบคุมดูแลในส่วนกลาง ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ และในส่วนภูมิภาคมีสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเป็นหน่วยงานหลัก กำหนดให้ผู้นำเข้าต้องขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภายใต้โครงการ Contract Farming กับจังหวัดเป้าหมาย ให้มีหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า และใบรับรองสุขอนามัยประกอบการขออนุญาตนำเข้า รวมทั้งจะต้องมีการรายงานการอนุญาตให้นำเข้าผลการผลิต ๑.๓ ให้ผู้ว่าราชการที่เป็นจังหวัดเป้าหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามแผนการลงทุนฯ และแนวทางการดำเนินงานฯ ดังกล่าว โดยผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ Contract Farming จะต้องเป็นผู้เข้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านและมีคู่สัญญา จะต้องมาขอจดทะเบียนผู้นำเข้าผลผลิตพืชเกษตรที่อยู่ในโครงการ Contract Farming ที่จังหวัดจะนำเข้า โดยมีหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า เพื่อขอรับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรตามแบบที่ถือปฏิบัติกันในประเทศสมาชิกอาเซียน และเอกสารประกอบการนำเข้าตามที่กำหนด กรณีข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้มาจดทะเบียนเป็นผู้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากกัมพูชา สปป.ลาว และสหภาพพม่าเข้ามาในราชอาณาจักรที่กรมการค้าต่างประเทศ รวมทั้งให้แต่ละจังหวัดจัดทำรายงานสรุปทะเบียนผู้ประกอบการ แผนการลงทุนพืชเกษตรในโครงการ Contract Farming ปริมาณการนำเข้าพืชเกษตรแต่ละชนิดจัดส่งกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อเป็นประโยชน์ในการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ Contract Farming และไม่กระทบต่อเกษตรกร ๑.๔ อนุมัติการยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในอัตราน้ำหนักสุทธิเมตริกตันละศูนย์บาท สำหรับการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้แผนการลงทุนฯ โดยผู้นำเข้าต้องเป็นผู้ที่ได้จดทะเบียนไว้ต่อกรมการค้าต่างประเทศ และเมื่อนำเข้าแล้วให้รายงานปริมาณการนำเข้า การใช้ การจำหน่าย โดยระบุผู้รับซื้อ และปริมาณคงเหลือของสินค้าที่นำเข้า วันที่ได้นำไปใช้หรือวันที่ได้มีการจำหน่าย แล้วแต่กรณี ๑.๕ อนุมัติให้ยกเว้นการจำกัดผู้มีสิทธิ์นำเข้าและการรับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองที่ผลิตภายในประเทศ ตามที่คณะกรรมการนโยบายพืชน้ำมันและน้ำมันพืชกำหนด สำหรับการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองภายใต้แผนการลงทุนฯ ตามปริมาณที่กำหนดไว้ในโครงการ Contract Farming ซึ่งมีจำนวนไม่มากและประเทศไทยก็ผลิตไม่เพียงพอยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้น การนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองดังกล่าวจะไม่กระทบต่อเกษตรกร หรืออุตสาหกรรมภายในประเทศ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในอัตราน้ำหนักสุทธิเมตริกตันละศูนย์บาท สำหรับการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้แผนการลงทุนฯ และการอนุมัติการยกเว้นการจำกัดสิทธินำเข้าและการรับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองที่ผลิตภายในประเทศ ควรมีการติดตามกำกับดูแลการบริหารการนำเข้าอย่างใกล้ชิดเพื่อมิให้มีผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ผลิตภายในประเทศ และเห็นควรประชาสัมพันธ์ชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการ Contract Farming กับเกษตรกรไทยให้มากขึ้น รวมทั้งดูแลควบคุมเรื่องการลักลอบนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์กรณีที่มีการรับจำนำของรัฐบาล นอกจากนี้ ให้มีความเข้มงวดในการตรวจสอบและติดตามชนิดและปริมาณการนำเข้าของสินค้าเกษตรให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด รวมทั้งตรวจสอบศัตรูพืชที่อาจติดมากับสินค้าเกษตรอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31069 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการของหน่วยงานที่ปฏิบัติงานด้านปฏิบัติการพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. .... | ยธ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการของหน่วยงานที่ปฏิบัติงานด้านปฏิบัติการพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบพิเศษเฉพาะสำหรับข้าราชการของหน่วยงานที่ปฏิบัติงานด้านปฏิบัติการพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31070 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมทินเนอร์สำหรับสีพ่นแห้งเร็วไนโตรเซลลูโลสต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมทินเนอร์สำหรับสีพ่นแห้งเร็วไนโตรเซลลูโลสต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมทินเนอร์สำหรับสีพ่นรถยนต์แห้งเร็วไนโตรเซลลูโลสต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ๒๕๒๘ และกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมทินเนอร์สำหรับสีพ่นแห้งเร็วไนโตรเซลลูโลสต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. ๕๒๐ - ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31071 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเครื่องหมายมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเครื่องหมายมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดลักษณะของเครื่องหมายมาตรฐานสำหรับผู้รับใบอนุญาต และเครื่องหมายมาตรฐานทั่วไปสำหรับผู้รับใบรับรอง เพื่อให้ผู้รับใบอนุญาต ผู้รับใบรับรอง หรือผู้ประกอบกิจการที่ได้รับการตรวจสอบและรับรองจากผู้รับใบอนุญาต ผู้รับใบรับรอง หรือหน่วยงานของรัฐที่ได้รับอนุญาตตามมาตรา ๔ วรรคสอง แล้วแต่กรณี สามารถนำเครื่องหมายมาตรฐานไปใช้แสดงได้โดยถูกต้อง และทำให้ผู้บริโภคเข้าใจและสังเกตเครื่องหมายได้ง่ายขึ้น ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31072 | ผลการดำเนินงานการชดเชยดอกเบี้ยตามโครงการเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการค้าข้าว ปี 2552/53 | พณ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินงานการชดเชยดอกเบี้ยตามโครงการเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการค้าข้าว ปี ๒๕๕๒/๕๓ ตามมติที่ประชุมคณะทำงานตรวจสอบเอกสารหลักฐานผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการค้าข้าวที่กระทรวงพาณิชย์แต่งตั้งขึ้น เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๔ และ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบการจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ ๒ ให้กับผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๓๓๘ ราย รวมวงเงินชดเชยทั้งสิ้น ๒๐๕,๖๑๘,๒๓๑.๗๐ บาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ ครั้งที่ ๑ จ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ ๒ แก่ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการฯ ของจังหวัดภาคเหนือ จำนวน ๑๒ จังหวัด รวมผู้ประกอบการค้าข้าว จำนวน ๙๑ ราย วงเงินชดเชย จำนวน ๔๗,๓๙๘,๒๙๑.๖๒ บาท ๑.๒ ครั้งที่ ๒ จ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ ๒ แก่ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการฯ ของกรุงเทพมหานครและจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน ๑๗ จังหวัด รวมผู้ประกอบการค้าข้าว จำนวน ๑๔๗ ราย วงเงินชดเชย จำนวน ๑๐๕,๔๓๒,๓๓๐.๘๙ บาท ๑.๓ ครั้งที่ ๓ จ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ ๒ แก่ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการฯ ของจังหวัดภาคกลาง ภาคใต้ และผู้ประกอบการค้าข้าวที่ได้รับอนุมัติเพิ่มเติม จำนวน ๒๖ จังหวัด ผู้ประกอบการค้าข้าว จำนวน ๙๖ ราย วงเงินชดเชย จำนวน ๕๑,๘๖๑,๒๕๓.๐๔ บาท ๑.๔ สำหรับผู้ประกอบการค้าข้าว จำนวน ๔ ราย ได้แก่ ๑.๔.๑ บริษัท มหานครธัญกิจ จำกัด กรุงเทพมหานคร ที่ทางธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งว่าเข้าร่วมโครงการฯ แต่ไม่ได้แจ้งวงเงิน Packing Stock ที่ผู้ประกอบการนำไปซื้อข้าวเปลือกในช่วงระยะเวลาโครงการฯ ที่ประชุมมีมติให้ธนาคารแจ้งวงเงินและยืนยันยอดการซื้อข้าวดังกล่าว ซึ่งธนาคารได้มีหนังสือแจ้งยอดวงเงินการซื้อข้าวของธนาคารนครหลวงไทยที่ได้นำไปซื้อข้าวในช่วงระยะเวลาโครงการฯ จำนวน ๔๐ ล้านบาท ยอดวงเงินชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ ๒ ที่บริษัทฯ ได้รับ จำนวน ๒๒๙,๐๔๑.๐๙ บาท ๑.๔.๒ นายใส แสงศรีจันทร์ โรงสีข้าวสองพี่น้อง บริษัท แม่ใจธนะโชติวัฒน์ จำกัด จังหวัดพะเยา และห้างหุ้นส่วนจำกัด สุวิทย์ไรซ์มิลล์ จังหวัดนครสวรรค์ ได้เข้าร่วมโครงการฯ กับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย เนื่องจากตั๋วสัญญาใช้เงินลงวันที่ก่อนเริ่มโครงการฯ แต่ทางธนาคารได้มีหนังสือรับรองว่าในช่วงที่ผ่านมาธนาคารไม่สามารถดำเนินการออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ทันตามระเบียบที่ถูกต้องของธนาคาร แต่ยังถือว่าผู้ประกอบการค้าข้าวทั้ง ๓ ราย มีภาระหนี้การกู้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิมต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และผู้ประกอบการได้มีการชำระหนี้แก่ธนาคารทุกเดือน ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบก่อนแจ้งให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ ๒ แก่ผู้ประกอบการทั้ง ๓ ราย รวมจำนวน ๖๙๗,๓๑๕.๐๖ บาท ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยตามโครงการฯ ให้ถูกต้อง เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
31073 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว ครั้งที่ 19 | กห | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว ครั้งที่ ๑๙ เมื่อวันที่ ๗ - ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ณ กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ความร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว ยึดถือบันทึกการประชุมฯ ครั้งที่ผ่านมา ในเรื่องการจัดประชุมร่วมในระดับต่าง ๆ การดำรงความสัมพันธ์และความร่วมมือช่วยเหลือระหว่างกองทัพและตำรวจของทั้งสองฝ่าย การวางกำลังและการลาดตระเวนของกำลังติดอาวุธตามบริเวณชายแดนไทย - ลาว ไม่ให้ล่วงล้ำอธิปไตยซึ่งกันและกัน เพิ่มความร่วมมือในการจัดระเบียบชายแดนและแก้ไขปัญหาบุคคลสองสัญชาติ สนับสนุนการดำเนินการของกลไกความร่วมมืออื่น ๆ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนไทย - ลาว ตลอดจนยึดถือความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๒. ความร่วมมือในการรักษาเส้นเขตแดน ไทย - ลาว ยึดถือบันทึกการประชุมฯ ครั้งที่ผ่านมา ในเรื่องการรักษาเส้นเขตแดน ไทย - ลาว และสนับสนุนให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - ลาว ดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกและทางน้ำร่วมระหว่างไทย - ลาว ให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๓. การตรวจพื้นที่ชายแดน ไทย - ลาว สนับสนุนการตรวจพื้นที่ร่วมกันอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง หากเกิดปัญหาและมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสนอ ทั้งสองฝ่ายต้องพร้อมกันไปตรวจสอบพื้นที่โดยทันที ๔. ความร่วมมือในการดูแลรักษาและป้องกันตลิ่งพังและการแก้ไขปัญหาการดูดทรายแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง สนับสนุนให้จัดการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย - ลาว เพื่อดูแลดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามลำแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง ครั้งที่ ๔ โดยเร็ว ๕. ความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สนับสนุนกลไกความร่วมมืออื่น ๆ ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด รวมทั้งสนับสนุนให้เพิ่มการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน และให้แต่ละฝ่ายมีการลาดตระเวนตรวจพื้นที่ชายแดนของตน เพื่อร่วมสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดให้หมดสิ้นโดยเร็ว ๖. แผนงานประกอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงชายแดนไทย - ลาว สนับสนุนให้จัดทำแผนงานประกอบความตกลงฯ ให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๗. การติดต่อประสานงานและการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร สนับสนุนให้มีการปรับปรุงและแลกเปลี่ยนบัญชีรายชื่อผู้ประสานงาน พร้อมระบบการติดต่อสื่อสารที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งกันและกัน ๘. ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายสากลไทย - ลาว สนับสนุนการดำเนินการภายใต้กรอบอาเซียนด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิด ๙. ความร่วมมือในการป้องกันลักลอบค้าชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ผิดกฎหมาย สนับสนุนให้เพิ่มการประสานงานและความร่วมมือให้เป็นไปตามอนุสัญญาที่เกี่ยวข้อง ๑๐. ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ประสานและสนับสนุนให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่ายร่วมกันแก้ไขปัญหาผู้ลักลอบเข้าเมืองในภาพรวม รวมทั้งชาวม้งลาวลักลอบเข้าเมืองที่ยังคงเหลืออยู่ในไทยส่งกลับให้ลาวตามสถานการณ์ที่เหมาะสม หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายโดยเฉพาะชาวม้งลาวลักลอบเข้าเมืองให้แจ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบเพื่อร่วมกันพิจารณาแก้ไขตามแนวทางที่เหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
31074 | รายงานความคืบหน้าในการยุบเลิกบริษัท ส่งเสริมธุรกิจเกษตรกรไทย จำกัด (ครั้งที่ 5) | กษ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าในการยุบเลิกบริษัท ส่งเสริมธุรกิจเกษตรกรไทย จำกัด (สธท.) (ครั้งที่ ๕) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการชำระบัญชีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๑.๑ ดำเนินการจดทะเบียนเลิกและชำระบัญชี สธท. ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ๑.๒ จัดทำงบดุล ณ วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ และวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบดุลดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๓ และวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๔ ตามลำดับ ทั้งนี้ในปีบัญชี ๒๕๕๔ คาดว่าจะสามารถจัดทำงบดุลเสนอสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเพื่อรับรองงบดุลได้ภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ โดยสถานะงบดุล ณ วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ สธท. มีสินทรัพย์ ๓๓๘.๔๖ ล้านบาท มีหนี้สิน ๐.๐๓ ล้านบาท รวมส่วนของผู้ถือหุ้น ๓๓๘.๔๓ ล้านบาท ทั้งนี้ จากทุนจดทะเบียน ๑,๐๐๐ ล้านบาท มูลค่าหุ้นที่ชำระแล้ว ๔๒๐ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังถือหุ้น ๙๙.๙๙ ล้านหุ้น และมีผู้ถือหุ้นอื่นคนละ ๑ หุ้น จำนวน ๒ คน ๑.๓ การรายงานการชำระบัญชีต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้มีการรายงานการชำระบัญชีดังกล่าวมาแล้ว จำนวน ๘ ครั้ง โดยครั้งที่ ๘ รายงานเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ ๒. คณะกรรมการผู้ชำระบัญชีและจำหน่ายกิจการ สธท. ได้มีการประชุมระหว่างวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ รวม ๙ ครั้ง มีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ดังนี้ ๒.๑ กำหนดชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๒.๒ อนุมัติหลักเกณฑ์ในการชำระหนี้คืนของเกษตรกรผู้ลักลอบขายโค โดยเมื่อเกษตรกรชำระหนี้ตามหลักเกณฑ์แล้ว คณะกรรมการฯ ก็จะยุติการดำเนินคดีต่อเกษตรกร พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการดำเนินการให้เกษตรกรชำระหนี้คืนใน ๓ ลักษณะ คือ ๒.๒.๑ อนุมัติตัดจำหน่ายหนี้สูญแก่เกษตรกรที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้เพราะมีเหตุสุดวิสัยจำเป็น อาทิ การเจ็บป่วยรุนแรง มีความพิการจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ หรือมีหนี้สินล้นพ้นตัว ประกอบกับไม่สามารถติดตามหนี้ได้จากผู้ค้ำประกัน ๒.๒.๒ อนุมัติให้เกษตรกรชำระหนี้ค่าโคได้เป็นกรณีพิเศษในอัตราร้อยละ ๒๐ แต่ไม่ถึงร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าโค โดยมีเงื่อนไขว่า เกษตรกรจะต้องชำระหนี้ภายในเวลาที่คณะกรรมการฯ กำหนดให้แล้วแต่กรณี ซึ่งรวมถึงการอนุมัติในหลักการในการดำเนินการตามมาตรการจูงใจให้เกษตรกรที่ลักลอบขายโคชำระคืนค่าโคในอัตราร้อยละ ๓๐ ภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ๒.๒.๓ อนุมัติให้เกษตรกรชำระหนี้ค่าโคไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าโค ๒.๓ ผลการดำเนินงานเกี่ยวกับโคในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อล้านครอบครัว ณ วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ โดยจำนวนโคทั้งหมดในโครงการ ๒๑,๖๘๔ ตัว จำแนกได้เป็น โคปกติซึ่งจำหน่ายเสร็จสิ้นแล้ว จำนวน ๙,๕๓๕ ตัว โคมีเหตุผิดปกติ อาทิ ตาย สูญหาย แคระแกรน ฯลฯ ซึ่งได้ดำเนินการตัดจำหน่ายจากบัญชีไปแล้ว จำนวน ๔๓๙ ตัว และโคที่เกษตรกรลักลอบขายและต้องชำระหนี้ ประกอบด้วย โคที่ชำระหนี้คืนตามหลักเกณฑ์และคณะกรรมการฯ อนุมัติตัดจำหน่ายหนี้ไปแล้ว จำนวน ๙,๖๒๓ ตัว และโคที่ยังค้างชำระ (คาดว่าจะต้องใช้เวลาดำเนินการแก้ไขปัญหาพอสมควร ซึ่งเกษตรกรบางส่วนขอผ่อนชำระแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕) จำนวน ๒,๐๘๗ ตัว คิดเป็นร้อยละ ๑๗.๘๒ ของจำนวนโคลักลอบขาย หรือคิดเป็นร้อยละ ๙.๖๒ ของจำนวนโคทั้งหมดในโครงการฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31075 | รายงานการปฏิบัติราชการ ณ ประเทศกาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ | ศธ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานการปฏิบัติราชการ ณ ประเทศกาตาร์ และประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ระหว่างวันที่ ๒๑ - ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๕ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้หารือในเรื่องความร่วมมือด้านการศึกษากับผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิกาตาร์ (Qatar Foundation) ประเทศกาตาร์ และผู้อำนวยการบริหารการประชุม The 12th Asia-Pacific Conference on Giftedness (Giftedness 2012) ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สรุปผลการหารือได้ ดังนี้
๑. การหารือเรื่องความร่วมมือด้านการศึกษากับประเทศกาตาร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเห็นว่า มหาวิทยาลัยหลายแห่งในประเทศไทยมีศักยภาพพอที่จะมาเปิดสาขาในประเทศกาตาร์ เช่น ประเทศที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจกระทำอยู่ในขณะนี้ ซึ่งจะเป็นโอกาสให้อาจารย์และผู้สอนของไทยได้พัฒนาศักยภาพมากขึ้นในลักษณะ Cross Border Education หรือการศึกษาข้ามพรมแดน ซึ่งอาจกระทำในลักษณะการสอนผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย ทั้งยังเป็นโอกาสได้แลกเปลี่ยนนักเรียน นักศึกษาในระดับต่าง ๆ การเสนอขอและให้ทุนแก่นักเรียน นักศึกษา ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติด้วย หลายสาขาวิชา เช่น การฝึกการเป็นผู้นำ (Train for becoming Leaders) อาจช่วยให้เยาวชนของชาติมีความพร้อมที่จะเป็นผู้นำในอนาคตที่มีความสามารถของไทยตามนโยบายของรัฐบาล ๒. การหารือเรื่องความร่วมมือด้านการศึกษากับประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ให้ความสนใจที่จะเตรียมเด็กและเยาวชนไทย จำนวน ๕๐ คน พร้อมครูอีก ๓ คน มาร่วมงาน The 12th Asia-Pacific Conference on Giftedness (Giftedness 2012) ซึ่งตรงกับนโยบาย “อัจฉริยะสร้างได้” ของกระทรวงศึกษาธิการและของรัฐบาล โดยจะสรรหาเด็กและเยาวชนอัจฉริยะระดับชาติเพื่อนำไปสู่การขยายผลในระดับอื่น ๆ ต่อไป ทั้งนี้ ผู้อำนวยการบริหารการประชุม Giftedness 2012 ได้เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมานำเสนอนโยบายด้านการศึกษาในหัวข้อ “อัจฉริยะสร้างได้” ในการเปิดการประชุมวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และให้มีการนำเสนอโครงการตัวอย่างที่สามารถเป็นต้นแบบได้ (Showcase Project) ให้ที่ประชุมรับทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
31076 | รายงานผลการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของกระทรวงแรงงาน ครั้งที่ 3 | รง | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของกระทรวงแรงงาน ครั้งที่ ๓ ซึ่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ [เรื่อง แผนงาน/โครงการและงบประมาณในการช่วยเหลือฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (ด้านสังคม)] และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง สรุปผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย) สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานประกอบการ ได้ดำเนินการให้การช่วยเหลือตามโครงการต่าง ๆ ได้แก่ ๑.๑ โครงการป้องกันและบรรเทาการเลิกจ้าง มีสถานประกอบการที่ขอเข้าร่วมโครงการ จำนวน ๑,๘๑๖ แห่ง ลูกจ้าง จำนวน ๓๓๔,๑๔๙ คน ปัจจุบันได้พิจารณาอนุมัติจัดสรรงบประมาณให้สถานประกอบการ จำนวน ๑,๗๗๘ แห่ง ลูกจ้าง จำนวน ๓๐๕,๕๑๙ คน ส่งรายชื่อให้ธนาคารออมสินเพื่อสั่งจ่ายเงินตามโครงการแล้ว ๗ ครั้ง รวมสถานประกอบการ จำนวน ๓๑๖ แห่ง ลูกจ้าง จำนวน ๘๙,๕๐๗ คน และธนาคารออมสินจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างที่เดือดร้อนแล้ว จำนวน ๘๕,๘๑๓ คน ในสถานประกอบการ จำนวน ๑๖๑ แห่ง ๑.๒ โครงการเพื่อนช่วยเพื่อน มีสถานประกอบการร่วมโครงการ จำนวน ๗๐๒ แห่ง ตำแหน่งงานว่างรองรับ จำนวน ๘๐,๑๔๖ อัตรา มีลูกจ้างเข้าทำงานตามโครงการ จำนวน ๑๖,๐๐๔ คน ในสถานประกอบการ จำนวน ๑๕๙ แห่ง ๑.๓ โครงการประกันสังคมเคียงข้างผู้ประกันตนต้านอุทกภัย ปัจจุบันมีธนาคารเข้าร่วมโครงการ ๔ ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารอิสลาม ธนาคารออมสิน และธนาคารนครหลวงไทย (ธนาคารธนชาต) และได้มีการอนุมัติสินเชื่อให้สถานประกอบการแล้ว จำนวน ๒๘ ราย เป็นเงิน ๒๗.๔ ล้านบาท ๑.๔ โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน มีธนาคารพาณิชย์เสนอเข้าร่วมโครงการ ๔ ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารอิสลาม ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ และธนาคารเกียรตินาคิน ขณะนี้สำนักงานประกันสังคมออกหนังสือรับรองให้สถานประกอบการเพื่อยื่นขอกู้เงินตามโครงการแล้ว จำนวน ๒๔ ราย อยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติเงินกู้ของธนาคาร ๑.๕ การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการพัฒนาฝีมือแรงงาน ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาร่างประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน เรื่อง การกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมกองทุนส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานของคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงแรงงาน ๑.๖ การขยายหรือเลื่อนระยะเวลาการส่งเงินสมทบตามกฎหมายประกันสังคม มาตรา ๔๗ และมาตรา ๔๙ ขณะนี้อยู่ระหว่างสำนักงานประกันสังคมหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการขยายหรือเลื่อนระยะเวลาการส่งเงินสมทบของนายจ้างไม่เป็นเหตุให้คิดเงินเพิ่มตามกฎหมายประกันสังคม ๑.๗ การลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. .... โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๒. ลูกจ้าง ได้ดำเนินการให้การช่วยเหลือตามโครงการต่าง ๆ ได้แก่ ๒.๑ กรณีลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง ๒.๑.๑ ช่วยเหลือลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างให้ได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน จำนวน ๓๑,๑๑๑ คน ในสถานประกอบการ จำนวน ๑๓๐ แห่ง เป็นเงิน ๑,๗๐๔,๔๖๐,๒๔๒.๗๒ บาท หากไม่ได้รับเงินชดเชยจากนายจ้าง ลูกจ้างสามารถยื่นขอรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ในอัตราไม่เกิน ๖๐ เท่า ของค่าจ้างรายวัน ๒.๑.๒ ลูกจ้างผู้ประกันตนที่ว่างงานเมื่อเข้าสู่ระบบประกันการว่างงานตามกฎหมายประกันสังคม จะได้รับเงินช่วยเหลือร้อยละ ๕๐ ของค่าจ้าง เป็นเวลา ๖ เดือน (ไม่เกิน ๗,๕๐๐ บาทต่อเดือนต่อคน) โดยระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ - ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ มีผู้ประกันตนที่ว่างงานเนื่องจากสถานประกอบการประสบอุทกภัยไปขึ้นทะเบียนขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน จำนวน ๒๔,๖๖๖ ราย ๒.๑.๓ จัดหาตำแหน่งงานว่างให้กับแรงงานที่ประสบอุทกภัย ปัจจุบันมีตำแหน่งงานว่าง จำนวน ๑๗๔,๕๑๒ อัตรา ๒.๑.๔ โครงการนัดพบแรงงานผู้ประสบภัย ได้จัดโครงการนัดพบแรงงานแล้ว ๔ ครั้ง ประกอบด้วย จังหวัดนครปฐม มีผู้มาลงทะเบียนสมัครงาน จำนวน ๓๑๑ คน คาดว่าจะบรรจุงานได้ จำนวน ๑๙๔ คน จังหวัดนนทบุรี มีผู้มาลงทะเบียนสมัครงาน จำนวน ๔๓๗ คน และบรรจุงานได้ จำนวน ๙๘ คน จังหวัดฉะเชิงเทรา มีผู้มาลงทะเบียนสมัครงาน จำนวน ๓๐๐ คน และบรรจุงานได้ จำนวน ๙๕ คน และจังหวัดสุรินทร์ มีผู้มาลงทะเบียนสมัครงาน จำนวน ๒๖๐ คน และบรรจุงานได้ จำนวน ๓๙ คน ๒.๑.๕ โครงการจ้างงานเร่งด่วนและพัฒนาทักษะฝีมือ โดยจ้างงานผู้ถูกเลิกจ้าง ว่างงานและขาดรายได้ในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย โดยได้ค่าตอบแทนอัตราวันละ ๑๕๐ บาทต่อคน ระยะเวลา ๒๐ วัน ขณะนี้สามารถช่วยเหลือผู้ถูกเลิกจ้าง ว่างงานและขาดรายได้ จำนวน ๑๒,๓๖๔ คน ๒.๒ กรณีลูกจ้างที่ยังไม่ถูกเลิกจ้าง ๒.๒.๑ โครงการป้องกันและบรรเทาการเลิกจ้าง มีสถานประกอบการที่ขอเข้าร่วมโครงการ จำนวน ๑,๘๑๖ แห่ง ลูกจ้าง จำนวน ๓๓๔,๑๔๙ คน ปัจจุบันได้พิจารณาอนุมัติจัดสรรงบประมาณให้สถานประกอบการ จำนวน ๑,๗๗๘ แห่ง ลูกจ้าง จำนวน ๓๐๕,๕๑๙ คน ส่งรายชื่อให้ธนาคารออมสินเพื่อสั่งจ่ายเงินตามโครงการแล้ว ๗ ครั้ง รวมสถานประกอบการ จำนวน ๓๑๖ แห่ง ลูกจ้าง จำนวน ๘๙,๕๐๗ คน และธนาคารออมสินจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างที่เดือดร้อนแล้ว จำนวน ๘๕,๘๑๓ คน ในสถานประกอบการ จำนวน ๑๖๑ แห่ง ๒.๒.๒ โครงการยกระดับฝีมือแรงงานลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยกลับสู่สถานประกอบการ ขณะนี้ได้ฝึกยกระดับฝีมือแรงงานให้แก่ลูกจ้างที่ประสบอุทกภัยแล้ว จำนวน ๑๖๖๔ คน ๒.๒.๓ โครงการเพื่อนช่วยเพื่อน มีสถานประกอบการร่วมโครงการ จำนวน ๗๐๒ แห่ง ตำแหน่งงานว่างรองรับ จำนวน ๘๐,๑๔๖ อัตรา มีลูกจ้างเข้าทำงานตามโครงการ จำนวน ๑๖,๐๐๔ คน ในสถานประกอบการ จำนวน ๑๕๙ แห่ง ๒.๒.๔ โครงการประกันสังคมเคียงข้างผู้ประกันตนต้านอุทกภัย ปัจจุบันมีธนาคารเข้าร่วมโครงการ ๔ ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารอิสลาม ธนาคารออมสิน และธนาคารนครหลวงไทย (ธนาคารธนชาต) มีผู้ประกันตนมาขอหนังสือรับรองจากสำนักงานประกันสังคม จำนวน ๔,๖๕๔ ราย และได้มีการอนุมัติสินเชื่อให้ผู้ประกันตนแล้ว จำนวน ๗๔๖ ราย เป็นเงิน ๓๔.๕๙๗ ล้านบาท ๒.๒.๕ อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการญี่ปุ่นในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย โดยจัดส่งลูกจ้างไปฝึกงานในต่างประเทศซึ่งเป็นบริษัทแม่ มีบริษัทยื่นขออนุญาตพาลูกจ้างคนไทยไปทำงานเป็นการชั่วคราวที่ประเทศญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ จำนวน ๑๑๙ บริษัท ลูกจ้าง จำนวน ๖,๔๒๖ คน เดินทางไปแล้ว จำนวน ๑๐๖ บริษัท ลูกจ้าง จำนวน ๕,๘๗๖ คน ๓. การช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างเป็นการเฉพาะหน้า ๓.๑ กระทรวงแรงงานได้รับอนุมัติงบกลาง จำนวน ๑๐๐ ล้านบาท เพื่อให้การช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ประสบอุทกภัยในช่วงเฉพาะหน้าก่อนถึงการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูและเยียวยา โดยจัดสรรให้จังหวัดนครปฐม จำนวน ๖๘.๒๓๗๗ ล้านบาท จังหวัดปทุมธานี จำนวน ๑๗.๙๕๔๔ ล้านบาท จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน ๗.๖๐๔๖ ล้านบาท และจังหวัดนนทบุรี จำนวน ๖.๐๓๓๐ ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการในการทำความสะอาดและกำจัดขยะ การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง และการสัญจรของผู้ประสบภัยที่มีน้ำท่วมขังในการเดินทางไปทำงานให้สะดวกยิ่งขึ้น ๓.๒ โครงการกระทรวงแรงงานห่วงใย ใส่ใจผู้ประสบภัยธรรมชาติ ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมใน ๒ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีผู้เข้าร่วมโครงการ จำนวน ๑๑,๑๒๓ คน และจังหวัดนครปฐม มีผู้เข้าร่วมโครงการ จำนวน ๑๒,๒๘๒ คน
|
|||||||||||||||||||||||||||
31077 | รายงานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 1/2554 และ ครั้งที่ 1/2555 | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ และครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ ซึ่งมีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมเกียรติ ศรลัมพ์) เป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมมีมติสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายในการปฏิบัติงานแก่คณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีดำเนินการ ๓ ประการ ได้แก่ การติดตามนโยบายของรัฐบาลตามที่ได้แถลงต่อรัฐสภาและประชาชน และนำแผนงานของแต่ละกระทรวงเป็นหลักในการติดตามงาน การติดตามการฟื้นฟูเยียวยาจากปัญหาอุทกภัย และการนำเสนอนโยบาย โดยให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีเชื่อมโยงกับรัฐมนตรี ซึ่งให้เน้นเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นอย่างแรก ๑.๒ เห็นชอบกรอบแนวทางการปฏิบัติงานของคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ๑.๓ ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการแจ้งเวียนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๔๖ เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี และจัดสัมมนาส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจในการทำงานให้ตรงกันมากขึ้น ๑.๔ รับทราบการดำเนินงานในโครงการศึกษายุทธศาสตร์ผลกระทบและแนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วม รวมทั้งการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษายุทธศาสตร์ ผลกระทบ และการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยมีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมเกียรติ ศรลัมพ์) เป็นประธานคณะทำงาน ๑.๕ ให้ตั้งคณะทำงานพิจารณาจัดทำร่างแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยมีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน (พลตำรวจโทวิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์) เป็นประธานคณะทำงาน ๑.๖ รับทราบตามความเห็นของผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีมีบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๑.๗ เห็นชอบให้แต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักประสานงานการเมือง และผู้อำนวยการกลุ่มประสานงานการเมือง ๔ สำนักประสานงานการเมือง สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ๑.๘ เห็นชอบให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน (พลตำรวจโท วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ ๒. การประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ ซึ่งมีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน (พลตำรวจโท วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์) เป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมมีมติสรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ ให้กำหนดแนวทางการดำเนินการติดตามการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการฟื้นฟูเยียวยาและป้องกันน้ำท่วม โดยให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีจัดทำคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีมอบหมายภารกิจในการติดตามงานดังกล่าวให้แก่กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีให้ชัดเจน โดยแบ่งพื้นที่ในการตรวจติดตาม (ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ) และให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีติดตามการดำเนินงานในพื้นที่และรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบผลการดำเนินการและปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ๒.๒ รับทราบนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรกในความรับผิดชอบของกระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาล ได้แก่ การชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง การดำเนินโครงการบัตรเครดิตพลังงาน การปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม การจัดทำแผนปฏิบัติการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี โดยลดระดับการใช้พลังงานต่อผลผลิตลดลงร้อยละ ๒๕ ภายใน ๒๐ ปี และมีการพัฒนาอย่างครบวงจร ๒.๓ รับทราบการจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาจัดทำร่างแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๖ และการจัดทำประมวลสรุปประเด็นการแก้ไข/เพิ่มเติมระเบียบดังกล่าวของฝ่ายเลขานุการฯ และเห็นชอบให้มีการจัดทำเป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาจัดทำร่างแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๖ ทั้งนี้ ให้ปรับปรุงองค์ประกอบ โดยให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมเกียรติ ศรลัมพ์) เป็นรองประธาน แทนกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง (นายภาคิน สมมิตร) และให้มีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นคณะกรรมการเพิ่มเติม ๒.๔ ให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม (นายปรีชา ธนานันท์) ทำหน้าที่ประธานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ ในวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||
31078 | ร่างกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค ปี 2558 ภายใต้การเจรจาอาบูดาปี (Abu Dhabi Dialogue) | รง | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติการรับรองต่อ “ร่างกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค ปี ๒๕๕๘” ภายใต้การเจรจาอาบูดาบี (Abu Dhabi Dialogue) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่างกรอบความร่วมมือฯ ภายใต้การเจรจาอาบูดาบี (Abu Dhabi Dialogue) มีการสัญญาว่าจะร่วมดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ ซึ่งมีประเด็นสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ส่งเสริมการจ้างงานทั้งในและต่างประเทศ ๑.๒ ปรับปรุงประสิทธิภาพของการรับสมัครงาน ๑.๓ รักษาความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานของตลาดแรงงาน ๑.๔ อำนวยความสะดวกแก่แรงงานในการปรับตัวเพื่อการจ้างงานในต่างประเทศ ๑.๕ แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๖ เตรียมพร้อมสำหรับการกลับมาของแรงงานจากต่างประเทศ ๑.๗ รับรองความรู้และระดับฝีมือจากการทำงานในต่างประเทศ ๑.๘ อำนวยความสะดวกเรื่องการจ้างงานและการกลับคืนสู่สังคมของแรงงานที่กลับมาจากต่างประเทศ ๑.๙ อำนวยความสะดวกเรื่องการกลับบ้านและกลับคืนสู่ครอบครัว ๒. ให้แก้ไขข้อความ จากเดิม “ร่างกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค ปี ๒๕๕๘ ...” เป็น “ร่างกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค ปี ๒๕๕๕ ...”
|
|||||||||||||||||||||||||||
31079 | การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาถิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2555 | คค | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. ผลการประชุมคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (คณะกรรมการ กทพ.) ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๕ โดยที่ประชุมได้มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีและทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถีเป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่ กทพ. เสนอ และให้ กทพ. ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้ กทพ. นำเรื่องการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีและทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๕ เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ถึงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๕ เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๒. กทพ. ได้นำร่างประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยยกเว้นให้ผู้ใช้รถบนทางพิเศษสายดังกล่าวไม่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศตั้งแต่วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๕ เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ถึงวันที่ ๑๖ เมษายน ๑๕๕๕ เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ซึ่งคณะกรรมการ กทพ. ได้มีมติเห็นชอบแล้ว เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและลงนามก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. การดำเนินการยกเว้นการเก็บค่าผ่านทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถีในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๕ เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ถึงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๕ เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา จำนวน ๕ วัน คาดว่าจะมีปริมาณจราจรที่ใช้ทางพิเศษในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๒๐,๕๓๕ คัน/วัน รวม ๕ วัน เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๖๐๒,๖๗๕ คัน จะทำให้ กทพ. สูญเสียรายได้ประมาณ ๒๕ ล้านบาท และผลประโยชน์ที่สามารถประเมินเป็นมูลค่าเงินได้ จำนวน ๑๓.๒๔ ล้านบาท ได้แก่ มูลค่าจากการประหยัดค่าใช้จ่ายจากการใช้รถ (Vehicle Operating Cost Saving : VOC Saving) จำนวน ๒.๗๗ ล้านบาท และมูลค่าจากการประหยัดเวลาในการเดินทาง (Value of Time Saving : VOT Saving) จำนวน ๑๐.๔๗ ล้านบาท รวมเป็นเงิน ๑๓.๒๔ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
31080 | มาตรการในการแก้ไขปัญหาการรั่วไหลของยาแก้หวัดที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสม | สธ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการในการแก้ไขปัญหาการรั่วไหลของยาแก้หวัดที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกะทรวงสาธารณสุข จำนวน ๒ ฉบับ เพื่อยกระดับการควบคุมยาแก้หวัดที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสม ได้แก่ ๑.๑ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อและจัดแบ่งประเภทวัตถุออกฤทธิ์ (เพิ่มเติม) ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕ มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ซูโดอีเฟดรีนและยาทุกสูตรตำรับที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสมจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ และภายใน ๓๐ วันคือวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ให้สถานพยาบาลที่ไม่มีใบอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ และไม่ประสงค์จะมีไว้ในครอบครองยาตำรับที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสมเพื่อการบำบัดรักษา และร้านขายยาทุกแห่งดำเนินการจัดส่งยาตำรับที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสมคืนให้กับผู้ผลิตและผู้นำเข้า ๑.๒ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดปริมาณการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๑ หรือประเภท ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕ ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕ มีสาระสำคัญคือ กรณีการมีไว้ในครอบครองซูโดอีเฟดรีนโดยฝ่าฝืนกฎหมาย เมื่อคำนวณปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์แล้วไม่เกิน ๕ กรัม มีโทษตามมาตรา ๑๐๖ แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๑๘ ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๑๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนกรณีการมีไว้ในครอบครองซูโดอีเฟดรีนโดยฝ่าฝืนกฎหมาย เมื่อคำนวณปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์แล้วเกิน ๕ กรัม จะได้รับโทษในอัตราที่สูงขึ้น คือ มีโทษตามมาตรา ๑๐๖ ทวิ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๕ - ๒๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๑๐๐,๐๐๐ - ๔๐๐,๐๐๐ บาท ๒. กระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความร่วมมือและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขยายผลสอบสวนกรณีพบการลักลอบนำยาดังกล่าวออกไปนอกระบบ เพื่อให้มีการดำเนินคดีอย่างเข้มงวดกับผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องในอัตราโทษสูงสุด และร่วมมือกับหน่วยงานด้านการปราบปรามยาเสพติดอย่างใกล้ชิด อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงาน ป.ป.ส. กรมศุลกากร สำนักงาน ป.ป.ง. ฯลฯ เพื่อบูรณาการข้อมูลและวางมาตรการในการสกัดกั้นการลักลอบนำยาแก้หวัดที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสมออกนอกระบบเพื่อนำไปใช้ในการผลิตยาเสพติด
|
.....