ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1553 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 31041 - 31060 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31041 | แต่งตั้งผู้แทนกระทรวงการคลังเป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ | ทส | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนางสาวสุธาวรรณ ศักดิ์โกศล ผู้แทนกระทรวงการคลังเป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ ทั้งนี้ ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๓ มีนาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31042 | ยุทธศาสตร์การเกษตรต่างประเทศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี พ.ศ. 2555 - 2559 | กษ | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์การเกษตรต่างประเทศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยยุทธศาสตร์การเกษตรต่างประเทศฯ มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของผลิตผลเกษตรและอาหารของไทยโดยการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการเจรจา การนำเสนอ และการสนับสนุนข้อมูลด้านเทคนิค รวมทั้งเป็นการพัฒนาการตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช คุณภาพและมาตรฐาน และปัญหาด้านเทคนิค สำหรับสินค้าเกษตรและอาหารของไทยในตลาดต่างประเทศทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๑.๑ ยุทธศาสตร์พัฒนาศักยภาพกระบวนการเจรจา การนำเสนอ และแก้ปัญหาภาคเกษตรกับต่างประเทศ ประกอบด้วย การเตรียมความพร้อมสำหรับกระบวนการเจรจาเกี่ยวกับมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี การพัฒนากลไกตอบสนองเพื่อแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วกรณีที่ผลิตผลทางการเกษตรและอาหารไทยมีปัญหาด้านคุณภาพในตลาดปลายทาง และการส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ด้านคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารของไทยให้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศ ๑.๒ ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพด้านข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการเกษตรต่างประเทศ ประกอบด้วย การส่งเสริมการประสานงานเพื่อติดตามความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารในตลาดต่างประเทศ และการลงทุนภาคเกษตรจากต่างประเทศ รวมทั้งประเด็นที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลด้านความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารในตลาดต่างประเทศทั้งแนวโน้มในปัจจุบันและอนาคต การจัดระบบฐานข้อมูลสำหรับสนับสนุนงานด้านการเกษตรต่างประเทศ รวมทั้งติดตามความเคลื่อนไหวผลักดันให้ไทยเข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อแสดงจุดยืนและท่าทีของประเทศในเวทีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตรในเวทีนานาชาติ ๑.๓ ยุทธศาสตร์พัฒนาความร่วมมือกับต่างประเทศและองค์การระหว่างประเทศ ประกอบด้วย การพัฒนาความร่วมมือในลักษณะความเป็นหุ้นส่วนกับประเทศผู้ให้ และองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ เพื่อเป็นศูนย์กลางการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีด้านการเกษตรให้แก่ภูมิภาคต่าง ๆ รวมทั้งการส่งเสริมการศึกษา วิจัย พัฒนา และถ่ายทอดองค์ความรู้ร่วมกับต่างประเทศ การส่งเสริมให้มีการจัดทำและดำเนินการตามแผนงาน/โครงการตามความตกลงกับต่างประเทศ ๑.๔ ยุทธศาสตร์พัฒนาการบริหารจัดการด้านการเกษตรต่างประเทศ ประกอบด้วย การสนับสนุนให้มีการปรับปรุงองค์กร และการบริหารหน่วยงานที่ปฏิบัติงานด้านการเกษตรต่างประเทศให้มีประสิทธิภาพสามารถรองรับการขยายตัวด้านการค้าสินค้าเกษตรและอาหารทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ การสร้างเสริมสมรรถนะที่สำคัญให้แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานด้านการเกษตรต่างประเทศอย่างเป็นระบบ สนับสนุนการสร้างกลไกภาครัฐในการขับเคลื่อนและติดตามงานด้านการเกษตรต่างประเทศอย่างเป็นระบบ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงาน บูรณาการการดำเนินงานร่วมกันเพื่อให้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งรัดการเจรจาเกี่ยวกับมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีและการแก้ปัญหาด้านเทคนิคของสินค้าเกษตรและอาหารในเวทีระหว่างประเทศ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการดำเนินการตามยุทธศาสตร์การเกษตรต่างประเทศฯ เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการขยายตัวทางการค้าสินค้าเกษตรและอาหารของไทยในต่างประเทศทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ ควรให้ความสำคัญกับประเด็นความเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการสินค้าภายในประเทศ โดยมีระบบบริหารจัดการผลผลิตทางการเกษตรในประเทศที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ปริมาณวัตถุดิบในภาคเกษตรมีความสมดุลกับความต้องการบริโภคของภาคประชาชน และภาคอุตสาหกรรมทั้งอุตสาหกรรมแปรรูปทางการเกษตร และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคสินค้าเกษตรและอาหารในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางและระดับสูง และศึกษานโยบาย มาตรการ และกฎระเบียบด้านการเกษตรในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรการที่มิใช่ภาษีรูปแบบใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งควรมีกลยุทธ์รองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการผลิตภายในประเทศและส่งเสริมการพัฒนาความร่วมมือทางการค้ามากกว่าการแข่งขันตัดราคา ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31043 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกอย่างไม่เป็นทางการ | พณ | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) อย่างไม่เป็นทางการ (Informal Ministerial Gathering) เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๕ ณ เมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การประชุมระดับรัฐมนตรี WTO อย่างไม่เป็นทางการ ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้รัฐมนตรีการค้าประเทศสมาชิก WTO ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเจรจาการค้ารอบโดฮา จำนวน ๒๗ ประเทศ ได้มีโอกาสหารือเกี่ยวกับสถานะของระบบการค้าพหุภาคีและแนวทางการดำเนินการขั้นต่อไปสำหรับ WTO ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมระดับรัฐมนตรี (Ministerial Conference : MC) ของ WTO สมัยสามัญ ครั้งที่ ๘ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๕ - ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ นครเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยผู้อำนวยการใหญ่ WTO ได้ประเมินสถานการณ์การเจรจารอบโดฮาว่า สมาชิก WTO ยังคงไม่มี political energy ในการผลักดันให้การเจรจาดังกล่าวบรรลุผลสำเร็จ แต่สัมผัสได้ว่าสมาชิก WTO ยังคงมีความตั้งใจที่จะหารือเกี่ยวกับการใช้รูปแบบใหม่ (new approach) ในการเจรจารอบโดฮา โดยมีปัญหาสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันเป็นตัวกระตุ้น และได้เสนอให้สมาชิก WTO คำนึงถึงการมีนโยบายที่ชัดเจนที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง รวมทั้งให้พิจารณาและหารือประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเจรจารอบโดฮา ๑.๒ ประเทศสมาชิก WTO ได้แสดงความเห็นต่อแนวทางการดำเนินการขั้นต่อไปของ WTO ดังนี้ ๑.๒.๑ ประเทศสมาชิก WTO ส่วนใหญ่มีความเห็นสอดคล้องกับผู้อำนวยการใหญ่ WTO เช่น ยอมรับฟังและเปิดกว้างสำหรับแนวทางการเจรจาใหม่ ๆ ยืนยันถึงความสำคัญของระบบการค้าพหุภาคีในการต่อต้านการกีดกันทางการค้า (protectionism) สนับสนุนให้สมาชิกหลีกเลี่ยงการสร้างเงื่อนไขทางการเจรจา (conditional linkages) รวมทั้งส่งเสริมการปรับปรุงกลไกการทำงานตามวาระงานปกติของ WTO อาทิ การติดตามการปฏิบัติตามพันธกรณีของสมาชิก เพื่อป้องกันการกีดกันทางการค้าซึ่งอาจเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลกนี้ ๑.๒.๒ มาเลเซียได้เสนอแนวทางการเจรจา ๓ ขั้นตอน (3 - tiers approach) โดยขั้นที่ ๑ ให้หารือประเด็นเจรจาที่สมาชิกยอมรับได้และมีแนวโน้มว่าจะหาข้อสรุปได้ร้อยละ ๑๐๐ ขั้นที่ ๒ ให้หารือประเด็นเจรจาที่สมาชิกยอมรับได้ระดับหนึ่งแต่ไม่ถึงร้อยละ ๑๐๐ และขั้นที่ ๓ ให้หารือประเด็นเจรจาที่สมาชิกมีท่าทีแตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งสมาชิก WTO ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับข้อเสนอของมาเลเซีย โดยประเด็นที่ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิก WTO ให้ดำเนินการเจรจาในขั้นที่ ๑ อาทิ การอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation : TF) การเปิดตลาดสำหรับประเทศพัฒนาน้อยที่สุด [เช่น การยกเลิกภาษีและโควตาสำหรับสินค้า (Duty - free Quota - free : DFQF) การอำนวยความสะดวกและเร่งรัดกระบวนการภาคยานุวัติของประเทศพัฒนาน้อยที่สุดในการเข้าเป็นสมาชิก WTO เป็นต้น] ความตกลงว่าด้วยสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ และอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) เป็นต้น โดยให้ประธานกลุ่มเจรจาต่าง ๆ เป็นผู้ดำเนินการหารือในลักษณะ bottom - up approach ๑.๒.๓ สหรัฐอเมริกาได้กล่าวสนับสนุนการเปิดรับแนวทางการเจรจาใหม่ ๆ ส่วนสหภาพยุโรปได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของแรงผลักดันทางการเมืองเพื่อบรรลุผลการเจรจารอบโดฮา ซึ่งจะรักษาไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือของระบบการค้าพหุภาคีในการป้องกันการกีดกันทางการค้า โดยทั้งสองประเทศต่างให้การสนับสนุนการหารือประเด็นเกี่ยวกับประเทศพัฒนาน้อยที่สุด ๑.๒.๔ อินเดียมีความเห็นว่าควรส่งสัญญาณเชิงบวกเกี่ยวกับการเจรจาประเด็นที่สมาชิกยอมรับได้และมีแนวโน้มว่าจะหาข้อสรุปได้ร้อยละ ๑๐๐ (ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น early harvest) และการเน้นย้ำถึงความสำคัญของประเด็นด้านการพัฒนาซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของการเจรจารอบโดฮา โดยสมาชิก WTO ส่วนใหญ่จะนำความน่าเชื่อถือของระบบการค้าพหุภาคีกลับมา ๑.๒.๕ ออสเตรเลีย บราซิล และฮ่องกง เห็นว่าประเด็นการเจรจาที่น่าจะผลักดันให้มีการเจรจาเพื่อบรรลุผลสำเร็จได้คือ การค้าสินค้าเกษตร ในขณะที่ญี่ปุ่นแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจนในการนำประเด็นการค้าสินค้าเกษตรและการอุดหนุนประมงมาเจรจาต่อ โดยญี่ปุ่นสนับสนุนการหารือประเด็นใหม่ด้านความมั่นคงด้านอาหารและกฎระเบียบด้านการนำเข้า/ส่งออกอาหาร ในการนี้ ออสเตรเลียเป็นประเทศเดียวที่สนับสนุนการหารือเรื่องการเปิดตลาดการค้าบริการ อย่างไรก็ดี สมาชิก WTO ส่วนใหญ่มีความเห็นว่าการดำเนินการเจรจาขั้นที่ ๑ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบการค้าพหุภาคีและ WTO ๑.๒.๖ ไทยได้กล่าวสนับสนุนแนวทางการเจรจา ๓ ขั้นตอน (3 - tiers approach) ตามข้อเสนอของมาเลเซีย รวมทั้งเปิดกว้างต่อการเลือกประเด็นเจรจา อย่างไรก็ดี ไทยเห็นว่าการหารือเกี่ยวกับแนวทางการเจรจาใหม่ ๆ มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจะเป็นการสร้างความทุ่มเท/การผลักดันทางการเมืองเพื่อให้การเจรจารอบโดฮาบรรลุผลสำเร็จ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมการเจรจารอบโดฮา โดยสร้างความเข้าใจร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกัน และร่วมกันกำหนดประเด็นที่ต้องการผลักดัน ตามแนวทางการเจรจา ๓ ขั้นตอน (3 - tiers approach) โดยให้ความสำคัญกับประเด็นที่สมาชิก WTO ส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนในขั้นที่ ๑ เช่น การอำนวยความสะดวกทางการค้า อุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี เป็นต้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ นอกจากนี้ ไทยอาจใช้ประโยชน์จากการรวมกลุ่มของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในการกำหนดท่าทีร่วมกัน โดยเฉพาะประเด็นที่เป็นประโยชน์ทางการค้ากับอาเซียน เพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองของประเทศในภูมิภาคอาเซียนและเป็นแรงผลักดันให้การเจรจาเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31044 | การแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา | พศ | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31045 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาไทย - ออสเตรเลีย ฉบับใหม่ | ศธ | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาไทย - ออสเตรเลีย ฉบับใหม่ (Memorandum of Understanding on Cooperation in Education and Training between the Ministry of Education of Thailand and the Australian Government Department of Education, Employment and Workplace Relations) โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นข้อตกลงระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงศึกษาธิการ การจ้างงาน และแรงงานสัมพันธ์ของออสเตรเลีย ที่จะร่วมมือกันในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือทางด้านการศึกษาและวิชาการ เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและการเรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ และนักวิชาการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศทุกด้านบนพื้นฐานของความเท่าเทียมและต่างตอบแทน โดยเนื้อหาสาระได้ระบุกรอบความร่วมมือทางการศึกษาและการฝึกอบรมอย่างกว้าง ๆ ครอบคลุมความร่วมมือทุกระดับ และการดำเนินงานจะเป็นไปภายใต้กฎหมายและระเบียบของแต่ละประเทศ ซึ่งจะมีคณะทำงานร่วม (Joint Working Group) เป็นกลไกสำคัญในการกำกับดูแลและการดำเนินงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๓. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31046 | ขอความเห็นชอบโครงการความร่วมมือในการผลิตวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี | สธ | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการความร่วมมือในการผลิตวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ - บาดทะยัก - ไอกรน - ตับอักเสบบี ในประเทศไทย ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับบริษัทองค์การเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด ซึ่งเป็นการพัฒนาการผลิตวัคซีนจากเดิมที่ผลิตเฉพาะระดับปลายน้ำ (downstream production) มาเป็นการผลิตตั้งแต่ระดับต้นน้ำ (upstream production) สำหรับวัคซีนบางตัว ซึ่งเป็นวัคซีนรวม (Combination vaccine) กล่าวคือ วัคซีนหนึ่งเข็มสามารถป้องกันโรคได้ ๔ โรค คือ โรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน และตับอักเสบบี ๑.๒ ให้หน่วยราชการที่จำเป็นต้องใช้วัคซีนในคน จัดซื้อวัคซีนในคนซึ่งผลิตโดยบริษัทองค์การเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด โดยวิธีกรณีพิเศษตามข้อตกลงของกระทรวงสาธารณสุข เป็นเวลา ๑๐ ปี ๑.๓ เงื่อนไขพิเศษต่อโครงการฯ ในการผลิตวัคซีนใด ๆ ในประเทศไทย โดยบริษัทองค์การเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนที่ได้รับสิทธิพิเศษทางการค้าหรือไม่ก็ตาม บริษัทต้องนำวัคซีนส่วนประกอบหรือวัคซีนเดี่ยวตัวอื่นที่หน่วยงานภายในประเทศผลิตขึ้นได้ในอนาคต ซึ่งเป็นวัคซีนที่ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศไปผสมสูตรวัคซีนรวม หรือเพื่อการผลิตวัคซีนชนิดอื่นที่บริษัททำการผลิต แทนการนำเข้าวัคซีนชนิดเข้มข้นจากต่างประเทศ เช่น วัคซีนป้องกันโรคไอกรน บาดทะยัก พิษสุนัขบ้า ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น โดยให้มีการพิจารณาความเป็นไปได้ทางเทคนิค และการลงทุน ๑.๔ ให้กระทรวงสาธารณสุขทำสัญญาความร่วมมือในโครงการฯ กับบริษัทองค์การเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด ๒. ให้บริษัทองค์การเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด ได้รับสิทธิพิเศษประเภทไม่บังคับตามแนวทางและหลักเกณฑ์การให้สิทธิพิเศษ กล่าวคือ ให้ส่วนราชการ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่ประสงค์จะซื้อวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ - บาดทะยัก - ไอกรน - ตับอักเสบบี ให้สามารถติดต่อซื้อได้โดยตรง โดยวิธีกรณีพิเศษ หรือที่เรียกชื่ออย่างอื่น ซึ่งมีวิธีการทำนองเดียวกันตามระเบียบว่าด้วยพัสดุที่หน่วยงานนั้น ๆ ถือปฏิบัติ ทั้งนี้ จนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๔ โดยมีเงื่อนไขว่า ภายในสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๐ หากบริษัทยังไม่สามารถผลิตวัคซีนระดับต้นน้ำแทนการนำเข้าวัคซีนชนิดเข้มข้นจากต่างประเทศ ให้ทบทวนการให้สิทธิพิเศษดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งให้บริษัทส่งรายงานผลการดำเนินการเป็นรายปีให้คณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจทราบด้วย ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้สิทธิพิเศษทางการค้าแก่บริษัทองค์การเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด เห็นควรให้สิทธิพิเศษเฉพาะวัคซีนที่จะดำเนินการวิจัยในประเทศตั้งแต่ต้นน้ำ หรือเท่าที่จำเป็นต่อความคุ้มทุนเท่านั้น ไม่ควรให้ทั้ง ๗ รายการตามที่บริษัทเสนอขอ ได้แก่ วัคซีนตับอักเสบบี วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด - คางทูม - หัดเยอรมัน วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดกิน รายการที่ ๕ วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ - ไอกรน - บาดทะยัก - ตับอักเสบบี และวัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอี และให้บริษัทแสดงแผนการในการรองรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เป็นรูปธรรม และกำหนดเป้าหมายเมื่อสิ้นสุดโครงการฯ โดยบริษัทจะต้องใช้วัคซีนที่ผลิตจากต้นน้ำในประเทศครบทั้ง ๔ โรค คือ โรคคอตีบ - บาดทะยัก - ไอกรน - ตับอักเสบบี โดยมีแผนการลงทุนในการผลิตวัคซีนจากต้นน้ำทั้ง ๔ โรคที่ชัดเจน และให้มีการขยายการผลิตวัคซีนที่มีความจำเป็นตัวอื่น ๆ ที่ประเทศมีความจำเป็นต้องใช้ รวมทั้งพิจารณาขยายตลาดวัคซีนของบริษัทโดยการส่งออก เพื่อลดต้นทุนและคุ้มค่าการลงทุนเร็วขึ้น นอกจากนี้ เห็นควรจัดตั้งคณะกรรมการอิสระ ประกอบด้วยตัวแทนจากทุกภาคส่วน เพื่อพิจารณา ต่อรอง และเจรจาระยะเวลา และประเภทของวัคซีนที่ควรให้สิทธิพิเศษทางการค้าแก่บริษัทร่วมทุน กำหนดราคาที่โปร่งใส เป็นธรรม และสะท้อนราคาวัคซีนในตลาด ตลอดจนประเมินผลความก้าวหน้าของโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31047 | ร่างกฎกระทรวง (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2521 ว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียนพยาบาลทหารอากาศ ฉบับที่ .. และร่างกฎกระทรวง (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2521 ว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียนดุริยางค์ทหารอากาศ ฉบับที่ .. รวม 2 ฉบับ | กห | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวง (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๒๑ ว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียนพยาบาลทหารอากาศ ฉบับที่ .. มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๓๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๒๑ ว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียนพยาบาลทหารอากาศ โดยแก้ไขและเพิ่มส่วนประกอบของเครื่องแบบ คือ รองเท้า หมวก เสื้อ เข็มขัด เครื่องหมาย และเสื้อกันหนาว สำหรับนักเรียนพยาบาลทหารอากาศ ๒. ร่างกฎกระทรวง (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๒๑ ว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียนดุริยางค์ทหารอากาศ ฉบับที่ .. มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๓๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๒๑ ว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียนดุริยางค์ทหารอากาศ โดยแก้ไขและเพิ่มส่วนประกอบของเครื่องแบบ คือ ตราหน้าหมวก หมวก และเข็มขัด สำหรับนักเรียนดุริยางค์ทหารอากาศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31048 | หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ | กค | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการที่กรมบัญชีกลาง โดยคณะกรรมการกำกับหลักเกณฑ์และตรวจสอบราคากลางงานก่อสร้าง คณะอนุกรรมการกำกับหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง คณะทำงานจัดทำและปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง และหน่วยงานหลักด้านการก่อสร้าง (กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และกรมชลประทาน) ได้ดำเนินการทบทวนและปรับปรุงขึ้นใหม่ทั้งระบบ ประกอบด้วยหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างอาคาร หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างทาง สะพาน และท่อเหลี่ยม หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างชลประทาน รวมทั้งแนวทาง วิธีปฏิบัติ และรายละเอียดประกอบการคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง โดยให้ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติเมื่อพ้นกำหนด ๓๐ วันนับแต่วันถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ ๑.๒ ในวันที่หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่มีผลใช้บังคับ ให้ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ ยกเลิกหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ (เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดราคากลางงานก่อสร้าง) รวมทั้งหลักเกณฑ์ รายละเอียดประกอบ แนวทาง และวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวข้องตามประกาศและหนังสือเวียนอื่นใด แล้วใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่แทน ๑.๒.๒ โครงการ/งานก่อสร้างใดที่ได้คำนวณราคากลางตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ และอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดจ้างก่อสร้าง ก็ให้ดำเนินการต่อไป ๑.๒.๓ โครงการ/งานก่อสร้างใดที่ได้คำนวณราคากลางตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ไว้เกิน ๓๐ วัน และยังไม่เริ่มดำเนินการจัดจ้างก่อสร้าง ให้คำนวณราคากลางใหม่โดยใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่ ๑.๒.๔ โครงการ/งานก่อสร้างใดที่ได้คำนวณราคากลางตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ไว้ไม่เกิน ๓๐ วัน และยังไม่เริ่มดำเนินการจัดจ้างก่อสร้าง ให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐเจ้าของโครงการ/งานก่อสร้างนั้น ที่จะพิจารณาให้คำนวณราคากลางใหม่โดยใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่หรือไม่ ๑.๓ ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่ ประกอบการพิจารณาจัดสรรหรือตั้งงบประมาณสำหรับโครงการ/งานก่อสร้างของทางราชการด้วย ๒. การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการที่จะใช้ในการดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างนั้น ให้คำนวณราคาตามความเป็นจริง โดยไม่นำวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาดร้อยละ ๕ มารวมคำนวณเป็นราคากลางด้วย ๓. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมกับสำนักงบประมาณติดตามผลการดำเนินการตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๕ และโครงการป้องกันปัญหาอุทกภัยต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31049 | การจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ | กษ | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นกรรมการ ร่วมด้วยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ได้รับมอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ระดับชาติเพื่อผลักดันและขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของประเทศ ดำเนินการบูรณาการแนวทาง มาตรการ แผนงานและงบประมาณกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งจัดระบบการประสานงานและการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ เพื่อกำกับดูแล และเร่งรัดการดำเนินงานของส่วนราชการและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในทุกระดับ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมทั้งกำหนดงานของส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์ให้มีความเหมาะสม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31050 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 | มท | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๖ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๔๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๖ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และสถานที่สำหรับการขอมีบัตร มีบัตรใหม่ หรือขอเปลี่ยนบัตร เพื่อเป็นการอำนวยประโยชน์ให้กับประชาชนคนไทยที่เดินทางไปประกอบอาชีพ หรืออาศัยอยู่ในต่างประเทศ ให้ได้รับความสะดวกในการรับบริการของรัฐในด้านการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชน อันเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายและลดเวลาในการเดินทางของประชาชนที่จะต้องมาติดต่อขอมีบัตรประจำตัวประชาชน ณ ภูมิลำเนาในประเทศไทย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31051 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เรื่อง "ปัญหาและข้อเสนอแนะต่อการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2553 - 2573 (PDP 2010)" | สว | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เรื่อง “ปัญหาและข้อเสนอแนะต่อการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๗๓ (PDP 2010) และผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว โดยกระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างดำเนินการทบทวนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๗๓ (ฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน) ในการทบทวนแผน PDP ครั้งนี้ ได้นำข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ มาร่วมพิจารณา โดยเฉพาะเรื่องการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้าและการเพิ่มความสำคัญของพลังงานหมุนเวียนโดยกำหนดเป็นเป้าหมายในการทบทวนแผนฯ โดยจะนำแผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๗๓) (Energy Efficiency Development Plan : EEDP) ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ซึ่งมีเป้าหมายลดระดับการใช้พลังงานต่อผลผลิตลงร้อยละ ๒๕ ภายใน ๒๐ ปี (เทียบกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔) และแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ๒๕% ใน ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๔) (Alternative Energy Development Plan : AEDP 2012-2021) ตามมติ กพช. ซึ่งกำหนดเป้าหมายการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างน้อยร้อยละ ๒๕ ใน ๑๐ ปี มากำหนดเป็นเป้าหมายไว้ในแผน PDP ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31052 | รายงานการเงินกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และ พ.ศ. 2552 | คค | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอรายงานผลการสอบบัญชีของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และงบการเงินกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว และเห็นว่า งบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ พ.ศ. ๒๕๕๒ งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงินและงบกระแสเงินสด สำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปีของกองทุนฯ ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่กระทรวงการคลังกำหนด สำหรับการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินกองทุนฯ กรมการขนส่งทางบก สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ สำนักงานการตรวจเงินมีข้อเสนอแนะด้านการดำเนินงาน การบริหารแผนงบประมาณ การใช้จ่ายเงินตามแผนงานโครงการ และการใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อทรัพย์สิน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31053 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด กรณี นายวุฒิกร บุตตะชา ฟ้องนายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 3 คน ต่อศาลปกครองสูงสุด | อส | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ ฟ.๕/๒๕๕๕ ซึ่งมีคำพิพากษายกฟ้องคดีหมายเลขดำที่ ฟ.๓๔/๒๕๕๑ ระหว่างนายวุฒิกร บุตตะชา ผู้ฟ้องคดี นายกรัฐมนตรี กับพวกรวม ๓ คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๕๐ ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31054 | ร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์บางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกบางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ | คค | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์บางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๒๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ เนื่องจากปัจจุบันการจัดสรรเงินภาษีรถประจำปีให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำหนด โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๒๓)ฯ ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินภาษีรถประจำปีให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงไม่มีผลใช้บังคับโดยปริยาย ๒. ร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกบางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๒๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ เนื่องจากปัจจุบันการจัดสรรเงินภาษีรถประจำปีให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำหนด โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น กฎกระทรวง ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๒๓)ฯ ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินภาษีประจำปีให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงไม่มีผลใช้บังคับโดยปริยาย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31055 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาต หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาตและการอนุญาตตรวจสอบและรับรองการจัดการพลังงาน พ.ศ. .... | พน | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาต หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาตและการอนุญาตตรวจสอบและรับรองการจัดการพลังงาน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขอรับใบอนุญาตในกรณีที่เป็นบุคคลธรรมดาและในกรณีที่เป็นนิติบุคคล ๒. กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตต้องมีผู้ชำนาญการอย่างน้อยหนึ่งคนทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบและรับรองการจัดการพลังงาน และจัดทำรายงานผลการตรวจสอบและรับรองการจัดการพลังงาน และมีผู้ช่วยผู้ชำนาญการอย่างน้อยสองคน ทำหน้าที่ช่วยผู้ชำนาญการในการตรวจสอบและรับรองการจัดการพลังงาน และช่วยผู้ชำนาญการจัดทำรายงานผลการตรวจสอบและรับรองการจัดการพลังงาน ๓. กำหนดให้ผู้ชำนาญการและผู้ช่วยผู้ชำนาญการต้องไม่เป็นผู้ชำนาญการหรือผู้ช่วยผู้ชำนาญการให้กับผู้รับใบอนุญาตรายอื่นในเวลาเดียวกัน และต้องไม่เป็นบุคลากรประจำของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่เข้าไปดำเนินการตรวจสอบและรับรองการจัดการพลังงาน ๔. กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาต และการพิจารณาคำขอรับใบอนุญาตตรวจสอบและรับรองการจัดการพลังงาน ๕. กำหนดให้ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตประสงค์จะเลิกดำเนินการตรวจสอบและรับรองการจัดการพลังงาน ให้ผู้รับใบอนุญาตแจ้งเป็นหนังสือให้อธิบดีทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวันก่อนการเลิกดำเนินการ พร้อมส่งใบอนุญาตคืนให้แก่อธิบดีเพื่อประทับตรายกเลิกใบอนุญาตต่อไป ๖. กำหนดให้คำขอรับใบอนุญาต ใบอนุญาต คำขออนุญาตเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขจำนวนผู้ชำนาญการหรือผู้ช่วยผู้ชำนาญการ และคำขอรับใบแทนใบอนุญาต ให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31056 | การพิจารณาบำเหน็จความชอบประจำปี 2554 (กรณีพิเศษ) ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด | ยธ | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นกรณีพิเศษ ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้มีผลการปฏิบัติงานด้านยาเสพติดดีเด่นไม่เกินร้อยละ ๒.๕ ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดโดยตรง จำนวน ๒๙๙,๗๘๙ คน คิดเป็นอัตราไม่เกิน ๗,๔๙๔ คน ๑.๒ ให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้มีผลการปฏิบัติงานด้านยาเสพติดดีเด่นไม่เกินร้อยละ ๐.๕ ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกื้อกูลต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด จำนวน ๔๓๑,๑๑๘ คน คิดเป็นอัตราไม่เกิน ๒,๑๕๕ คน ๑.๓ ในกรณีของผู้ที่เงินเดือนเต็มขั้นให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงการคลังกำหนด ๒. สำหรับงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าว ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของส่วนราชการต้นสังกัด หากไม่สามารถดำเนินการได้ ให้เบิกจ่ายจากงบกลาง รายการเงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ เป็นลำดับต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการปฏิบัติงานด้านยาเสพติดของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ควรดำเนินการให้มีความสมดุลกันทั้งในเรื่องของการปราบปรามยาเสพติดและการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดเพื่อให้การแก้ไขปัญหาทั้งสองด้านเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ลงโทษทางวินัยอย่างเคร่งครัดกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31057 | การติดตามประเมินผลโครงการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 - 2555 และโครงการป้องกันปัญหาอุทกภัยต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ | นร | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาที่เป็นสถาบันการศึกษาในพื้นที่ในการติดตามประเมินผลโครงการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ -๒๕๕๕ รวมทั้งโครงการป้องกันปัญหาอุทกภัยต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการจ้างที่ปรึกษาที่เป็นสถาบันการศึกษาในการติดตามประเมินผลโครงการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย และโครงการป้องกันอุทกภัยต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ควรกำหนดรูปแบบการติดตาม ตัวชี้วัด ประเมินผล และการรายงานผลที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน สอดคล้องกับปัญหาในพื้นที่เพื่อให้ที่ปรึกษาทุกสถาบันสามารถดำเนินการได้อย่างเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล สามารถวัดผลสำเร็จของโครงการได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อผลักดันให้โครงการดังกล่าวสำเร็จตามเป้าหมายในระยะเวลาที่กำหนด และสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งควรกำหนดขอบเขตให้ครอบคลุมทุกจังหวัดที่เป็นพื้นที่ภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามประกาศของกระทรวงมหาดไทย เพื่อจะได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ ถูกต้อง และผลสัมฤทธิ์ของโครงการที่ได้ใกล้เคียงความเป็นจริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ในการดำเนินการติดตามประเมินผลโครงการดังกล่าว ให้กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานและบูรณาการการดำเนินการและข้อมูลที่เกี่ยวข้องร่วมกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31058 | มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือผู้ถูกรอนสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ตามข้อกฎหมายว่าด้วยการจำกัดสิทธิในการใช้ที่ดิน | กค | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังรับเรื่อง มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือผู้ถูกรอนสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ตามข้อกฎหมายว่าด้วยการจำกัดสิทธิในการใช้ที่ดิน ไปพิจารณา โดยให้หารือกับกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพลังงานในประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐเหนืออสังหาริมทรัพย์ของประชาชน ที่ได้กำหนดขั้นตอนให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำความตกลงกับเจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อกำหนดลักษณะภาระในอสังหาริมทรัพย์นั้นก่อน ซึ่งหากเจ้าของหรือผู้ครอบครองดังกล่าวยินยอมก็จะได้รับเงินค่าทดแทนภาระในอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว แต่หากเจ้าของหรือผู้ครอบครองนั้นไม่ยินยอมรัฐก็จะต้องใช้มาตรการทางกฎหมายบังคับ ดังนั้น การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าทดแทนการรอนสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ให้แก่บุคคลที่รัฐใช้อำนาจทางกฎหมายบังคับอาจทำให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่ยินยอมทำความตกลงกับพนักงานเจ้าหน้าที่ในเรื่องดังกล่าว และเพื่อให้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ จึงควรพิจารณาผลกระทบในประเด็นดังกล่าวให้รอบคอบโดยเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ตามความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31059 | ขออนุมัติการค้ำประกันเงินกู้และขอขยายระยะเวลาการกู้เงินโครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี 2552/53 | พณ | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการค้ำประกันเงินกู้และขยายระยะเวลาการกู้เงินโครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี ๒๕๕๒/๕๓ ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) จำนวน ๙๖๔,๓๘๖,๐๓๔.๗๓ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ เป็นต้นไปจนกว่าสำนักงบประมาณจะสามารถจัดสรรงบประมาณให้แก่โครงการฯ เสร็จสิ้น โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ และรัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยจากการกู้เงิน รวมทั้งให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) คิดดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราเดิม ร้อยละ ๒.๕๐ ต่อปี และงดคิดดอกเบี้ยเพิ่ม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรจัดทำแผนธุรกิจและแผนการชำระหนี้เพื่อใช้ประกอบการวางแผนชำระคืนเงินกู้คงค้างของ อคส. ให้ชัดเจน และเร่งรัดดำเนินการจำหน่ายข้าวในโครงการฯ ที่คงเหลือให้หมดในช่วงเวลาที่เหมาะสมโดยเร็ว พร้อมทั้งรายงานปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ ให้คณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติได้รับทราบสถานการณ์เป็นระยะ ๆ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการและดำเนินการระบายข้าวได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เห็นควรเร่งรัดการจำหน่ายข้าวและนำเงินที่ได้จากการขายข้าวเปลือกหรือข้าวสารที่ได้จากการสีแปรสภาพข้าวเปลือกที่รับซื้อไว้เพื่อไปชำระหนี้เงินกู้ในลำดับแรกก่อน หากยังมีหนี้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และผลการขาดทุนจากการดำเนินงานตามโครงการฯ เหลืออยู่ภายหลังจากที่จำหน่ายข้าวเสร็จสิ้นแล้ว ให้ อคส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายการค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป ไปดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31060 | การลงนามข้อตกลงร่วมโครงการสนับสนุนเทคนิคการบำบัดน้ำเสียให้แก่ท้องถิ่นในประเทศไทยระหว่างองค์การจัดการน้ำเสียกับหน่วยงานระบายน้ำของประเทศญี่ปุ่น | ทส | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการลงนามในข้อตกลงร่วมโครงการสนับสนุนเทคนิคการบำบัดน้ำเสียให้แก่ท้องถิ่นในประเทศไทยระหว่างองค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) กับ Saitama Prefectural Government Bureau of Public Sewerageworks ซึ่งเป็นหน่วยงานระบายน้ำของจังหวัด Saitama ประเทศญี่ปุ่น และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้พัฒนาเทคนิคการจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย และการพัฒนาบุคลากรร่วมกันทั้งด้านการฝึกอบรมและการใช้อุปกรณ์และวัสดุบำบัดน้ำเสีย ๑.๒ ให้ผู้แทน อจน. เป็นผู้ลงนามในข้อตกลงร่วมฯ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำข้อตกลงร่วมฯ ไม่ควรก่อให้เกิดภาระผูกพันต่อรัฐบาล หรือ อจน. รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในระยะยาวในการพึ่งพิงเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะด้านเครื่องจักร อุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงานและบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสียของประเทศ นอกจากนี้ อจน. ซี่งเป็นผู้ได้รับฝึกอบรมและเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีบำบัดน้ำเสียจากประเทศญี่ปุ่นควรพิจารณาถ่ายทอดเทคโนโลยีเหล่านี้ต่อไปให้กับบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างกำลังคนที่มีความรู้และความสามารถในการบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสียในประเทศให้มีจำนวนมากเพียงพอ จนสามารถพึ่งพาตนเองได้ และเป็นประโยชน์ต่อการจัดการน้ำเสียของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....