ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1553 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 31041 - 31060 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31041 | การดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) | ทก | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา (แท็บเล็ต) ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดหาในคราวเดียวกันด้วย สำหรับงบประมาณที่ต้องใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ เพิ่มเติมให้ครบตามจำนวน ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องปรับแผนจากการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ได้รับจัดสรรแล้วไปดำเนินการ รวมทั้งดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนด้วย และที่ดเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอเพิ่มเติมว่า การเสนอเรื่องของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติในหลักการไว้แล้ว และสอดคล้องกับความเห็นของผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ดังนั้น คณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาเพื่อให้ความเห็นชอบในรายละเอียดการดำเนินการตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอได้ ๒. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๒.๑ รับทราบรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ๒.๒ อนุมัติให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ให้นักเรียน และครูผู้สอน รวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ สำรองกรณีจำเป็น ของโรงเรียนในสังกัดส่วนราชการต่าง ๆ รวมจำนวนประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ เครื่อง วงเงินงบประมาณ ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ และวงเงินงบประมาณที่จะจัดซื้อจะสูงกว่าที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติไว้แล้ว ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์และงบประมาณเพื่อจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ได้ตามจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ ใหม่ สำหรับการจัดหาดังกล่าวให้รวมกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เพิ่มเติมจากหน่วยงานที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ขออนุมัติหลักการและงบประมาณในการดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา) ๒.๓ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา) เฉพาะการมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ลงนามความตกลง/สัญญาซื้อขายเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้พิจารณาตรวจสอบแล้วกับบริษัทจีนที่ได้รับคัดเลือก โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒.๔ เห็นชอบให้สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารผูกพันสัญญาฯ ได้ตามวงเงินงบประมาณที่ส่วนราชการได้ดำเนินการโอนเบิกจ่ายแทนกันให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเรียบร้อยแล้ว สำหรับเงินงบประมาณที่โอนมาภายหลังให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษแบบ Repeat Order ตามความเหมาะสมต่อไป ๓. ให้แก้ไขข้อความว่า “ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕” เป็น “ให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕”
|
|||||||||||||||||||||||||||
31042 | การดำเนินงานของสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ขณะนี้สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) มีที่ตั้งของสำนักงาน ณ อาคารสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (เดิม) ทำเนียบรัฐบาล ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการของ สบอช. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงขอให้ทุกหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับการดำเนินการของ สบอช. เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น จัดส่งเจ้าหน้าที่มาประจำที่ สบอช. เพื่อทำหน้าที่ประสานงานด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และให้ทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดทำข้อมูลเรื่องน้ำ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น รายงานข้อมูลดังกล่าวแบบเป็นปัจจุบัน (real time) มายัง สบอช. เป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่องด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
31043 | การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) และคณะกรรมการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาพืชผลและผลิตภัณฑ์การเกษตรชนิดต่างๆ | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐที่จะเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาพืชผลและผลิตภัณฑ์การเกษตรชนิดต่าง ๆ ถือปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันอย่างเคร่งครัด ดังนี้
๑. กรณีเป็นการเสนอเรื่องเกี่ยวกับพืชผลหรือผลิตภัณฑ์การเกษตรชนิดที่มี “คณะกรรมการเฉพาะ” เรื่องนั้น ๆ ซึ่งแต่งตั้งขึ้นตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรี ให้มีอำนาจหน้าที่ในการเสนอแนวทาง นโยบาย หรือมาตรการในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา หรือแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องต่อคณะรัฐมนตรีอยู่แล้ว เช่น คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช และคณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องนำเรื่องเสนอคณะกรรมการเฉพาะที่เกี่ยวข้องนั้น ๆ พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ หากเรื่องดังกล่าวมีประเด็นข้อเสนอเกี่ยวข้องกับการขออนุมัติใช้เงินงบประมาณหรือเงินกองทุนคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ก็ให้นำเรื่องดังกล่าวเสนอ คชก. พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีด้วย ๒. กรณีเป็นการเสนอเรื่องเกี่ยวกับพืชผลหรือผลิตภัณฑ์การเกษตรที่ “ไม่มีคณะกรรมการเฉพาะ” ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องนั้น ๆ เสนอ คชก. พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
31044 | ขอความเห็นชอบให้องค์การเภสัชกรรมจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนและทำประกันภัยให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | สธ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เกี่ยวกับการจ่ายเงินสวัสดิการพิเศษและทำประกันภัยให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยคณะกรรมการฯ เห็นชอบให้องค์การเภสัชกรรมจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนและทำประกันภัยให้แก่พนักงานและลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้ใช้เงินงบประมาณขององค์การเภสัชกรรมและเบิกเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนและเงินทำประกันภัยหลังจากที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ดังนี้
๑. จ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือน กรณีปฏิบัติงานในพื้นที่ไม่เต็มเดือน แต่มีระยะเวลาตั้งแต่ ๑๕ วันขึ้นไปให้จ่ายในอัตราคนละ ๒,๕๐๐ บาทต่อเดือน หากปฏิบัติงานในพื้นที่น้อยกว่า ๑๕ วันคำนวณเงินเฉลี่ยตามสัดส่วนจำนวนวันที่ผู้นั้นไปปฏิบัติงาน ๒. ทำประกันภัย กรณีเสียชีวิต ทุพพลภาพถาวร สูญเสียอวัยวะ ๒ ชิ้น ค่าสินไหมทดแทน ไม่เกินรายละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท ๓. หากกระทรวงการคลังมีประกาศยกเลิกพื้นที่พิเศษจากสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ให้ยกเลิกการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนและทำประกันภัยในพื้นที่ดังกล่าวด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31045 | การจัดทำบันทึกความตกลงด้านการศึกษาไทย - จีน | ศธ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำและลงนามร่างบันทึกความตกลงด้านการศึกษาไทย - จีน (Agreement on Educational Cooperation between the Ministry of Education of the People’s Republic of China and the Ministry of Education of the Kingdom of Thailand) ฉบับใหม่ ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงศึกษาธิการแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนที่จะร่วมมือกันในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือทางด้านการศึกษาและวิชาการ เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและการเรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ และนักวิชาการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศทุกด้านบนพื้นฐานของความเท่าเทียม และต่างตอบแทน โดยเนื้อหาสาระระบุกรอบความร่วมมือทางการศึกษาและการฝึกอบรมอย่างกว้าง ๆ ครอบคลุมความร่วมมือทุกระดับ และการดำเนินงานจะเป็นไปภายใต้กฎหมายและระเบียบของแต่ละประเทศ ซึ่งจะมีคณะทำงานร่วม (Joint Working Group) เป็นกลไกสำคัญในการกำกับดูแลและการดำเนินงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความตกลงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามในบันทึกความตกลงฯ ฉบับใหม่ ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหารือร่วมกันเพื่อดำเนินการให้เหมาะสมตามข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาไทย - จีน ฉบับลงนามเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๒ ยังมีผลใช้บังคับอยู่ กล่าวคือ ข้อ ๖ ของความตกลงฯ ระบุให้ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้เป็นเวลา ๓ ปี นับจากวันที่ลงนาม และหลังจากนั้นความตกลงฯ จะต่ออายุโดยอัตโนมัติอีกคราวละ ๓ ปี เว้นแต่ภาคีฝ่ายหนึ่งจะแจ้งภาคีอีกฝ่ายหนึ่งถึงเจตนาที่จะให้ความตกลงฯ สิ้นสุด เป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางทางการทูตอย่างน้อย ๖ เดือน ก่อนวันที่ประสงค์ให้ความตกลงฯ สิ้นสุด ซึ่งที่ผ่านมา ยังไม่ปรากฏว่ามีภาคีฝ่ายใดได้มีหนังสือบอกเลิกความตกลงฯ สำหรับร่างความตกลงฯ ฉบับใหม่ ซึ่งมีเนื้อหาสาระเช่นเดียวกับความตกลงฯ ฉบับลงนามเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๒ กระทรวงศึกษาธิการจึงอาจทบทวนถึงความจำเป็นในการจัดทำความตกลงฯ ฉบับใหม่ เพื่อมิให้เกิดปัญหาความตกลงที่ซ้ำซ้อนกัน อย่างไรก็ดี หากเป็นนโยบายที่จะส่งเสริมความร่วมมือกับฝ่ายจีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ก็อาจพิจารณาจัดทำความตกลงย่อยซึ่งมีเนื้อหาเฉพาะเรื่องภายใต้กรอบความตกลงฯ ฉบับลงนามเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๒ อาทิ ความตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือในการจัดการฝึกอบรมเฉพาะเรื่อง การจัดทำโครงการแลกเปลี่ยนบุคลากร โครงการสอนภาษา หรือโครงการให้ทุนการศึกษา เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
31046 | การปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งงบประมาณสำหรับดำเนินการตามมติคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางดำเนินการ ๑.๑.๑ ส่วนของข้าราชการพลเรือนสามัญ ๑.๑.๑.๑ กำหนดอัตราเงินเดือนแรกบรรจุให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาลในอีก ๒ ปีถัดไป โดยให้อัตราเงินเดือนแรกบรรจุขั้นต่ำของวุฒิปริญญาตรีในปีที่ ๒ เท่ากับ ๑๕,๐๐๐ บาท ปีที่ ๑ เท่ากับ ๑๓,๐๐๐ บาท วุฒิ ปวส. ปีที่ ๒ เท่ากับ ๑๑,๕๐๐ บาท ปีที่ ๑ เท่ากับ ๑๐,๒๐๐ บาท (วุฒิ ปวส. คงความแตกต่างของเงินเดือนกับวุฒิปริญญาตรี) และวุฒิ ปวช. ปีที่ ๒ เท่ากับ ๙,๔๐๐ บาท และปีที่ ๑ เท่ากับ ๘,๓๐๐ บาท (วุฒิ ปวช. คงความแตกต่างของเงินเดือนกับวุฒิ ปวส.) และกำหนดอัตราเงินเดือนแรกบรรจุขั้นต่ำของคุณวุฒิอื่นให้สอดคล้องกับอัตราความแตกต่างระหว่างคุณวุฒิต่าง ๆ ที่กำหนดไว้เดิม ๑.๑.๑.๒ ปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รบผลกระทบ ๒ ครั้ง ให้มีผลใช้บังคับพร้อมกับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุในปีที่ ๑ และปีที่ ๒ โดยปรับเงินเดือนชดเชยให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายผู้เข้ารับราชการในตำแหน่งระดับแรกบรรจุก่อนวันที่อัตราเงินเดือนแรกบรรจุที่ปรับใหม่มีผลใช้บังคับอย่างน้อย ๑๐ ปี (มีอายุราชการตั้งแต่ ๑ วัน ถึง ๑๐ ปี โดยประมาณ) ๑.๑.๒ ส่วนของข้าราชการประเภทอื่นและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภทบรรลุวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และหลักการ เดียวกัน โดยมีความเป็นธรรมไม่เหลื่อมล้ำกัน และให้มีผลใช้บังคับภายใน ๒ ปี ในทำนองเดียวกัน โดยให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารงานบุคคลของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภท นำเสนอคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องให้ความเห็นชอบในรายละเอียดก่อน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ใช้งบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๗ ก่อนที่จะดำเนินการบังคับใช้ต่อไป ๑.๒ การมีผลใช้บังคับ ให้การปรับเงินเดือนแรกบรรจุและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีผลใช้บังคับในปีที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ และปีที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ ๑.๓ ค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา คาดว่าจะใช้งบประมาณเพื่อปรับเงินเดือนแรกบรรจุและปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของข้าราชการทุกประเภทและเจ้าหน้าที่ของรัฐ สำหรับดำเนินการในปีที่ ๑ (ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖) เพิ่มขึ้นประมาณ ๕,๐๑๐ ล้านบาท และสำหรับดำเนินการในปีที่ ๒ (ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗) เพิ่มขึ้นประมาณ ๗,๑๓๕ ล้านบาท ๒. ให้ส่วนราชการเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรมีแนวทางในการควบคุมงบประมาณรายจ่ายประจำไม่ให้สูงเกินกว่าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ หรือให้ต่ำกว่า โดยอาจมีการควบคุมรายจ่ายประจำในหมวดอื่น ๆ ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นให้ลดลงกว่าในปีงบประมาณที่ผ่าน ๆ มา อาทิ งบดำเนินงานหรืองบรายจ่ายอื่นโดยเฉพาะรายจ่ายในการเดินทางเพื่อสัมมนาและดูงานในต่างประเทศ เป็นต้น และเพื่อควบคุมรายจ่ายในส่วนของรายจ่ายประจำโดยเฉพาะในหมวดค่าใช้จ่ายบุคลากรไม่ให้สูงขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป อาจใช้มาตรการเกษียณอายุก่อนกำหนดควบคู่การจำกัดจำนวนข้าราชการใหม่ รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้สะท้อนถึงค่าตอบแทนที่ได้รับสูงขึ้นจากการปรับปรุงค่าตอบแทนในครั้งนี้ โดยอาจดำเนินการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการประเมินผลการปฏิบัติราชการให้เข้มข้นขึ้น และเพื่อความเป็นธรรม และลดภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐที่สูงขึ้นจากการปรับฐานเงินเดือน ควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนเงื่อนไขการจ้างและสวัสดิการบางประการของข้าราชการที่เข้ารับการบรรจุใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ ให้เหมาะสม ส่วนผลกระทบอื่น ๆ จากการปรับปรุงค่าตอบแทนดังกล่าว อาจส่งผลให้กำลังคนด้านทักษะวิชาชีพที่มีคุณวุฒิต่ำกว่าปริญญา สายช่างเทคนิค เช่น ปวช. ปวส. ขาดแคลนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากนักเรียนจะเลือกเรียนระดับปริญญาซึ่งมีรายได้สูงกว่ามาก ดังนั้น ในช่วงที่ผลตอบแทนในวิชาชีพอื่นยังไม่ปรับตัวขึ้นตามกลไกตลาด ควรมีมาตรการส่งเสริมหรือกระตุ้นให้นักเรียนเข้าเรียนในสาขาวิชาชีพดังกล่าวไปพร้อมกัน นอกจากนี้ ควรมีนโยบายหรือมาตรการให้แก่กลุ่มข้าราชการที่ไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ จากข้อเสนอดังกล่าว ซึ่งได้แก่ กลุ่มข้าราชการที่มีอายุราชการมากกว่า ๑๐ ปี ด้วย เช่น การจัดให้มีเงินรางวัลประจำปีตามผลงาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31047 | การปรับค่าตอบแทนแรกบรรจุและการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของพนักงานราชการ | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบงบประมาณในการดำเนินการปรับค่าตอบแทนแรกบรรจุ การชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของพนักงานราชการและเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๗ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๖,๖๓๔ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการเสนอ ๒. ให้ส่วนราชการเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๓.๑ การปรับค่าตอบแทนแรกบรรจุและการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของพนักงานราชการ รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐประเภทอื่น จะส่งผลต่องบประมาณรายจ่ายประจำในส่วนของงบบุคลากรมีจำนวนที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้สัดส่วนของรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นติดต่อกันไปทุก ๆ ปีงบประมาณและจะมีผลกระทบต่อสัดส่วนของงบประมาณรายจ่ายลงทุนที่จะนำไปใช้ในการลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ ดังนั้นควรจะต้องมีแนวทางในการควบคุมสัดส่วนของจำนวนงบประมาณรายจ่ายประจำไม่ให้สูงเกินไป โดยอาจจะต้องมีการควบคุมรายจ่ายประจำในหมวดอื่น ๆ ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นให้ลดลงกว่าในปีงบประมาณที่ผ่าน ๆ มา อาทิ งบดำเนินงานหรืองบรายจ่ายอื่นโดยเฉพาะรายจ่ายในการเดินทางเพื่อสัมมนาและดูงานในต่างประเทศ เป็นต้น ๓.๒ ผลกระทบอื่น ๆ จากการปรับปรุงค่าตอบแทนแรกบรรจุและการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของพนักงานราชการ รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทอื่น อาจส่งผลให้กำลังคนด้านวิชาชีพที่มีคุณวุฒิต่ำกว่าปริญญาสายช่างเทคนิค เช่น ปวช. ปวส. ขาดแคลนมากยิ่งขึ้น เพราะนักเรียนจะเลือกเรียนระดับปริญญาซึ่งมีรายได้สูงกว่ามาก ซึ่งอาจจะเกิดการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะด้านวิชาชีพในโครงสร้างระบบแรงงานของประเทศได้ในระยะยาว ๓.๓ ภาครัฐควรให้ความสำคัญในกระบวนการคัดเลือกบุคลากรเข้ามาปฏิบัติหน้าที่จะต้องมีศักยภาพและสมรรถนะที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน การฝึกอบรมและพัฒนาให้มีทักษะและความก้าวหน้าในการปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงานราชการให้เพิ่มสูงขึ้นตามการปรับอัตราค่าตอบแทนที่ได้รับมากขึ้น รวมถึงเมื่อมีการพิจารณาต่ออายุสัญญาจ้างจะต้องมีการประเมินผลการปฏิบัติงานที่ผ่านมาอย่างเที่ยงตรง และต้องประเมินความต้องการใช้พนักงานราชการในแต่ละตำแหน่งให้คุ้มค่าอย่างแท้จริง |
|||||||||||||||||||||||||||
31048 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลศาลาครุ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี ของวัดท่าอิฐและของวัดบางบัวทอง ตำบลท่าอิฐ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ให้แก่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. .... | พศ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลศาลาครุ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี ของวัดท่าอิฐและของวัดบางบัวทอง ตำบลท่าอิฐ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ให้แก่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ โอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลศาลาครุ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี ของวัดท่าอิฐและของวัดบางบัวทอง ตำบลท่าอิฐ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ให้แก่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อนำมาใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31049 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดมังกรบุปผาราม ตำบลพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... | พศ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดมังกรบุปผาราม ตำบลพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ โอนที่วัด วัดมังกรบุปผาราม ตำบลพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓ สายกรุงเทพมหานคร - ตราด ตอนอำเภอเมืองจันทบุรี - อำเภอขลุง ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31050 | ร่างกฎกระทรวงแบบบัตรประจำตัวนายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ พ.ศ. .... | กก | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบบบัตรประจำตัวนายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดแบบบัตรประจำตัวนายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ และพนักงานเจ้าหน้าที่ และกำหนดให้อธิบดีกรมการท่องเที่ยวเป็นผู้ออกบัตรดังกล่าว ๒. กำหนดให้บัตรประจำตัวนายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ และพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้ใช้ได้ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในบัตร แต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันออกบัตร
|
|||||||||||||||||||||||||||
31051 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านค่าย - มาบข่า จังหวัดระยอง พ.ศ. .... | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านค่าย - มาบข่า จังหวัดระยอง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลนิคมพัฒนา ตำบลมาบข่า อำเภอนิคมพัฒนา ตำบลหนองละลอก ตำบลบางบุตร ตำบลชากบก ตำบลบ้านค่าย ตำบลหนองตะพาน ตำบลตาขัน อำเภอบ้านค่าย และตำบลทับมา ตำบลน้ำคอก อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31052 | การขอความเห็นชอบในการยกเลิกข้อสงวนข้อ 16 เรื่องสิทธิทางครอบครัวและการสมรสของอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ | พม | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการยกเลิกข้อสงวนข้อ ๑๖ เรื่อง สิทธิทางครอบครัวและการสมรสของอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ โดยสาระสำคัญของข้อสงวนข้อ ๑๖ ตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิทางครอบครัวและการสมรส ซึ่งกำหนดให้ผู้หญิง ผู้ชายมีสิทธิเท่าเทียมกันในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับการสมรส การขาดจากการสมรส การมีบุตร ความรับผิดชอบต่อบุตร การเลือกใช้นามสกุล การประกอบอาชีพ การจัดการทรัพย์สิน ภายหลังจากประเทศไทยได้เสนอรายงานการอนุวัติตาม CEDAW ฉบับที่ ๔ - ๕ (ฉบับรวม) ต่อคณะกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีของสหประชาชาติเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ประเทศไทยได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายหลายฉบับเพื่อส่งเสริมสิทธิทางครอบครัวและการสมรสของผู้หญิง ผู้ชายให้มีความเท่าเทียมกัน จึงขอยกเลิกข้อสงวนข้อ ๑๖ ของอนุสัญญาฯ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้สตรีได้รับการคุ้มครองสิทธิอย่างแท้จริง เช่น การบังคับค่าเลี้ยงดูจากฝ่ายชายในกรณีหย่าร้างซึ่งฝ่ายชายตกลงหรือศาลสั่งให้ส่งค่าเลี้ยงดูบุตร เป็นต้น โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประสานกระทรวงการต่างประเทศเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31053 | โครงการปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาสุราษฎร์ธานี ปี 2554 | มท | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาสุราษฎร์ธานี วงเงินลงทุน ๙๒๖.๒๐๘ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้ กปภ. กู้เงินภายในประเทศ (พันธบัตร) เพื่อลงทุนโครงการโดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สำหรับสาระสำคัญของโครงการ ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบผลิต ระบบส่งน้ำ และระบบจ่ายน้ำประปาในพื้นที่เทศบาลนครสุราษฎร์ธานี เทศบาลตำบลวัดประดู่ เทศบาลเมืองท่าข้าม เทศบาลตำบลท่าทองใหม่ เทศบาลตำบลกาญจนดิษฐ์ เทศบาลตำบลพุมเรียง เทศบาลตำบลตลาดไชยา เทศบาลตำบลท่าฉาง และชุมชนรอบนอกให้สามารถบริการน้ำประปาแก่ประชาชนได้เพิ่มขึ้นในอีก ๑๐ ปีข้างหน้าอย่างพอเพียง ใช้เวลาดำเนินการก่อสร้างประมาณ ๓ ปี เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก ๙๖,๐๐๐ ลบ.ม./วัน สามารถให้บริการผู้ใช้น้ำเพิ่มขึ้นอีก ๔๖,๒๐๐ ราย โดยจะมีการก่อสร้างวางท่อส่งน้ำ ท่อจ่ายน้ำ และท่อบริการขนาดต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนทดแทนท่อเก่าและวางท่อใหม่ในเขตจ่ายน้ำต่าง ๆ และพื้นข้างเคียง รวมความยาวทั้งสิ้นประมาณ ๕๔.๑๕ กม. และก่อสร้างระบบผลิตน้ำประปาประกอบด้วยระบบสูบน้ำแรงต่ำ - แรงสูง โรงกรองน้ำ ระบบจ่ายสารเคมี ถังน้ำใส และหอถังสูง รวมทั้งก่อสร้างระบบชักน้ำดิบและขุดสระระบายตะกอนเพิ่มด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแนวทางการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียรวมกับค่าน้ำประปา โดยเฉพาะในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชนและใช้บริการน้ำประปาจาก กปภ. การศึกษาผลกระทบจากการดำเนินงานของประปาในภาวะเหตุฉุกเฉิน ภัยแล้ง และอุทกภัย โดยจัดทำแผนการรองรับในกรณีดังกล่าว การพิจารณาแนวทางการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ (Reuse) การตรวจสอบการบริหารจัดการลดน้ำสูญเสียในระบบให้เหลือในเกณฑ์ที่ยอมรับได้เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำดิบ การพิจารณาขยายเขตจ่ายน้ำไปยังชุมชนที่ขาดแคลนน้ำสะอาดในพื้นที่ใกล้เคียง การเร่งรัดจัดหาที่ดินให้แล้วเสร็จก่อนดำเนินโครงการฯ เพื่อมิให้การดำเนินโครงการเกิดความล่าช้า และส่งผลกระทบต่อขอบเขตแผนงานโครงการ การควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการและค่าใช้จ่ายในการผลิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมควบคู่กับการเพิ่มรายได้จากการให้บริการให้เป็นไปตามเป้าหมาย การพิจารณาปรับโครงสร้างและอัตราค่าน้ำประปาที่สะท้อนต้นทุน เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กรในระยะยาว การเร่งดำเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการลดน้ำสูญเสียให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ร้อยละ ๒๕ การติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของผู้รับจ้างปฏิบัติให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำเสียทั้งระบบ และพิจารณาจัดทำแผนป้องกันและลดผลกระทบต่อการให้บริการน้ำประปาในกรณีเกิดอุทกภัยหรือภัยแล้งในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31054 | ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การการท่องเที่ยวโลกว่าด้วยการจัดการประชุมร่วมคณะกรรมาธิการภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกและคณะกรรมาธิการภูมิภาคเอเชียใต้ ครั้งที่ 24 | กก | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้
๑. การจัดทำและลงนามความตกลงระหว่างไทยและองค์การการท่องเที่ยวโลกว่าด้วยการจัดการประชุมร่วมคณะกรรมาธิการภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก และคณะกรรมาธิการภูมิภาคเอเชียใต้ ครั้งที่ ๒๔ โดยความตกลงฯ มีเนื้อหาครอบคลุมถึงรูปแบบและสถานที่ของการจัดการประชุม รวมไปถึงการอำนวยความสะดวกและการรักษาความปลอดภัยให้กับผู้เข้าร่วมการประชุม ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติระหว่างองค์การการท่องเที่ยวโลกกับประเทศเจ้าภาพ ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทย - องค์การการท่องเที่ยวโลก (โดยระบุตำแหน่ง) หรือมอบให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามแทนในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาติดภารกิจ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนามในการลงนามร่างความตกลงฯ |
|||||||||||||||||||||||||||
31055 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - พม่า | คค | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบบันทึกการหารือและร่างความตกลง รวม ๒ ฉบับ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ บันทึกการหารือ (Agreed Minutes) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหภาพพม่า มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกันในการจัดทำร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศฉบับใหม่ เพื่อใช้แทนความตกลงฉบับเดิม ๑.๑.๒ สิทธิความจุความถี่และสายการบินที่กำหนด คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายยืนยันให้คงสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓/๔ และ ๕ ไว้เช่นเดิม ซึ่งกำหนดให้สายการบินที่กำหนดแต่ละฝ่ายสามารถทำการบินรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓ และ ๔ ได้อย่างไม่จำกัดเที่ยวบินและแบบอากาศยาน และมีสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ในสองจุดระหว่างทางใด ๆ และ/หรือสองจุดพ้นใด ๆ โดยมีสิทธิรับขนจุดละไม่เกิน ๗ เที่ยวต่อสัปดาห์ พร้อมทั้งยืนยันการแจ้งแต่งตั้งสายการบินที่กำหนดของตน ๑.๑.๓ ข้อตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือ/การทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ตกลงให้สายการบินที่กำหนดแต่ละสายสามารถเข้าร่วมจัดทำข้อตกลงร่วมมือทางการตลาดกับสายการบินของภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือสายการบินอื่นใดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) โดยมีเงื่อนไขว่า สายการบินทุกสายที่เข้าร่วมต้องได้รับการอนุญาตที่เหมาะสมและปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ใช้โดยทั่วไปในการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือเช่นว่านั้น ๑.๑.๔ การใช้อากาศยานเช่า คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ตกลงให้สายการบินที่กำหนดของภาคีผู้ทำความตกลงทั้งสองสามารถใช้อากาศยานเช่า ทั้งแบบเช่าเฉพาะอากาศยานและแบบเช่าอากาศยานพร้อมลูกเรือ ในการดำเนินบริการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศทั้งสอง หรือพ้นไป ข้อตกลงในการเช่าอากาศยานนั้น จะต้องยื่นขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่การเดินอากาศของทั้งสองฝ่าย ๑.๑.๕ เรื่องอื่น ๆ คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะส่งเสริมให้สายการบินที่กำหนดของทั้งสองฝ่ายหารือกันเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการจัดทำความร่วมมือระหว่างกันเพื่อเสริมสร้างให้เกิดโอกาสที่เป็นธรรมและเท่าเทียมกันในตลาดและเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ๑.๒ ร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหภาพพม่า มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๒.๑ ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายมีสิทธิที่จะกำหนดสายการบินสายหนึ่งหรือหลายสาย เพื่อความประสงค์ในการดำเนินบริการที่ตกลงตามความตกลงฉบับนี้ และมีสิทธิเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงการกำหนดสายการบินดังกล่าว โดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรแก่ภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง การกำหนดสายการบินเช่นว่านั้น จะมีผลเมื่อมีการแจ้งยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างเจ้าหน้าที่การเดินอากาศของภาคีผู้ทำความตกลงทั้งสองฝ่าย ๑.๒.๒ กฎหมายและข้อบังคับของภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายหนึ่ง ซึ่งใช้บังคับกับการเข้ามาและการออกจากอาณาเขตของตนของอากาศยานซึ่งใช้ในบริการเดินอากาศระหว่างประเทศ หรือการทำการบินและการเดินอากาศของอากาศยานเช่นว่านั้นในขณะที่อยู่ในอาณาเขตนั้น จะใช้บังคับแก่สายการบินที่กำหนดของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งด้วย ๑.๒.๓ ใบสำคัญสมควรเดินอากาศ ใบสำคัญความสามารถ และใบอนุญาตที่ภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายหนึ่งออกให้หรือกระทำให้สมบูรณ์ และยังคงมีผลใช้บังคับจะได้รับการยอมรับนับถือจากภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขว่า ข้อกำหนดในการออกให้หรือกระทำให้สมบูรณ์ซึ่งใบสำคัญหรือใบอนุญาตเช่นว่านั้น จะต้องเท่าเทียมหรือเหนือกว่ามาตรฐานขั้นต่ำซึ่งอาจกำหนดขึ้นตามอนุสัญญา ๑.๒.๔ ห้ามมิให้ภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายใดเรียกเก็บค่าภาระจากสายการบินของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งสูงกว่าที่เรียกเก็บจากสายการบินของตนที่ดำเนินบริการเดินอากาศระหว่างประเทศในลักษณะเดียวกัน ๑.๒.๕ ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายตกลงกันว่าสายการบินที่กำหนดแต่ละสายจะมีโอกาสที่เป็นธรรมและเท่าเทียมกันที่จะแข่งขันในการให้บริการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศภายใต้ความตกลง และจะดำเนินการเพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบหรือการปฏิบัติที่เกี่ยวกับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ๑.๒.๖ ความตกลงฉบับนี้จะต้องได้รับความเห็นชอบโดยภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่าย ตามกระบวนการทางกฎหมายของตน และจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่มีหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูต เพื่อยืนยันถึงความเห็นชอบเช่นว่านั้น และจะใช้แทนความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศฉบับก่อน ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเพื่อให้มีการลงนามร่างความตกลงฯ และแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับต่อไป หลังจากรัฐสภาให้ความเห็นชอบบันทึกการหารือฯ และร่างความตกลงฯ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
31056 | ข้อเสนอมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่ คปร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ดำเนินมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (ออกจากราชการ ณ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕) ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของกรอบระยะเวลาที่กำหนดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ [เรื่อง ข้อเสนอมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด)] ทั้งนี้ หากจะดำเนินตามมาตรการดังกล่าวในอนาคต จะต้องมีการทบทวน ผลการดำเนินการและกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ๑.๒ กำหนดประเด็นการบริหารทรัพยากรบุคคล เป็น ๔ กรณี คือ ๑.๒.๑ กรณีที่ ๑ คณะรัฐมตรีมีมติให้ส่วนราชการปรับเปลี่ยนสถานภาพโดยออกจากระบบราชการ ไม่กำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ๑.๒.๒ กรณีที่ ๒ ส่วนราชการประสงค์จะยุบเลิกบางภารกิจ ไม่กำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ๑.๒.๓ กรณีที่ ๓ ส่วนราชการที่อัตรากำลังเกิน กำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของกลุ่มเป้าหมาย ๑.๒.๔ กรณีที่ ๔ ส่วนราชการที่มีจำนวนข้าราชการสูงอายุ (๕๐ ปีขึ้นไป) มากกว่าร้อยละที่กำหนด โดยส่วนราชการที่มีจำนวนข้าราชการสูงอายุ (๕๐ ปีขึ้นไป) ตั้งแต่ร้อยละ ๒๐ ขึ้นไป กำหนดกลุ่มเป้าหมายของผู้ร่วมมาตรการฯ ได้ไม่เกินร้อยละ ๕ ของกลุ่มเป้าหมาย และส่วนราชการมีจำนวนข้าราชการสูงอายุ (๕๐ ปีขี้นไป) ตั้งแต่ร้อยละ ๑๐ แต่ไม่ถึงร้อยละ ๒๐ กำหนดกลุ่มเป้าหมายของผู้ร่วมมาตรการฯ ได้ไม่เกินร้อยละ ๓ ของกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้ กรณีที่ ๑ - ๓ ส่วนราชการต้องยุบเลิกตำแหน่ง ส่วนกรณีที่ ๔ ไม่ต้องยุบเลิกตำแหน่งของผู้ที่ออกจากราชการตามมาตรการฯ ส่วนราชการรายละเอียดการดำเนินมาตรการฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เป็นเช่นเดียวกับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการคัดกรองข้าราชการที่เข้าร่วมมาตรการฯ ตามความเหมาะสม เพื่อมิให้มีผลกระทบและเกิดความเสียหายแก่ราชการ ๑.๓ ให้ผู้มีเงินได้ที่ออกจากราชการตามมาตรการฯ และได้รับสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อน (เงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการฯ) ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำเงินก้อนดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เช่นเดียวกับผู้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ๑.๔ ให้กระทรวงศึกษาธิการกำหนดแนวทางหรือแผนการบริหารจัดการอัตรากำลัง เพื่อให้การลาออกตามมมาตรการฯ ของข้าราชการครูไม่กระทบต่อประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ของการศึกษาในภาพรวม รวมทั้งให้การเรียนการสอนมีความต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจอนุญาตการลาออกจากราชการตามมาตรการฯ ต้องคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อประสิทธิภาพการเรียนการสอนประกอบในการพิจารณาอนุญาตให้ข้าราชการครูออกจากราชการตามมาตรการฯ ด้วย ๒. ให้ คปร. และส่วนราชการต่าง ๆ รับข้อเสนอเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรีกรณีที่ส่วนราชการจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการการดำเนินมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ที่ดี คือ จะต้องมีกระบวนการคัดกรองผู้เข้าร่วมมาตรการดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้รักษาบุคลากรที่มีคุณภาพและมีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานมานานให้อยู่ในระบบราชการต่อไป เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติงานขององค์กรในระยะยาว ส่วนการคัดสรรบุคลากรเข้ามาทดแทนควรพิจารณาให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์กรเพื่อให้องค์กรได้รับประโยชน์คุ้มค่า ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้ คปร. รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรเร่งนำผลการประเมินผลโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดมาพิจารณาร่วมกับบทบาทภารกิจของภาครัฐในภาพรวม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการขยายการดำเนินโครงการในระยะต่อไป โดยให้ความสำคัญกับการพิจารณากลุ่มเป้าหมายและสัดส่วนผู้ที่สามารถเข้าร่วมโครงการอย่างเหมาะสมกบสถานการณ์ รวมทั้งการปรับปรุงและพัฒนาระบบราชการให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การกำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ควรคำนึงถึงการทบทวนบทบาทภารกิจของส่วนราชการให้เชื่อมโยงกับการกำหนดประเด็นการบริหารทรัพยากรบุคคลในกรณีที่ ๒ (ส่วนราชการประสงค์จะยุบเลิกบางภารกิจ) และกรณีที่ ๓ (ส่วนราชการมีอัตรากำลังเกิน) เพื่อให้การกำหนดขนาดกำลังคนรองรับภารกิจในอนาคตได้อย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการ ๔. ให้ สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการศึกษาผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงการดำเนินงานให้เหมาะสม คุ้มค่า และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31057 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร พ.ศ. .... | มท | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่บางส่วนของตำบลนากอก บางส่วนของตำบลนิคมคำสร้อย และบางส่วนของตำบลโชคชัย อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31058 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ออสเตรเลีย | คค | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งออสเตรเลีย และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยบันทึกความเข้าฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. สิทธิความจุเที่ยวบินผู้โดยสาร ใช้กับเที่ยวบินบริการผู้โดยสารสำหรับสายการบินที่กำหนดของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่าย โดยให้มีผลใช้บังคับในทันที เทียบเท่ากับ ๔๐ โบอิ้ง ๗๔๗ - ๔๐๐ ต่อสัปดาห์ และมีผลใช้บังคับตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๕๒ เทียบเท่ากับ ๔๕ โบอิ้ง ๗๔๗ - ๔๐๐ ต่อสัปดาห์ ทั้งนี้ ในกรณีที่สายการบินของภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประสงค์ที่จะดำเนินบริการด้วยความจุที่มีผลทำให้ความจุรวมเกินสิทธิไปเป็นจำนวนเทียบเท่ากับ ๐.๓ โบอิ้ง ๗๔๗ - ๔๐๐ หรือน้อยกว่า ให้เจ้าหน้าที่การเดินอากาศอนุญาตข้อแตกต่างเล็กน้อยดังกล่าวนั้น ๒. สิทธิความจุเที่ยวบินเฉพาะสินค้า ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายดำเนินบริการเที่ยวบินขนส่งเฉพาะสินค้าได้โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องความจุ/ความถี่ หรือแบบอากาศยานตามเส้นทางบินที่ระบุของตน ทั้งนี้ โดยให้มีผลบังคับในทันที ๓. สิทธิรับขนการจราจร ภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งอาจใช้สิทธิรับขนการจราจรได้อย่างเต็มที่ในแต่ละทิศทางได้ทุกจุด รวมถึงจุดระหว่างทางและจุดพ้น ๔. สิทธิรับขนการจราจรพักค้างของตนเอง ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายอาจใช้สิทธิรับขนการจราจรพักค้างของตนเองระหว่างจุดต่าง ๆ ในอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง ๕. การทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน/ความร่วมมือด้านการบิน ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายอาจเข้าร่วมดำเนินบริการในลักษณะของการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันระหว่างภาคีผู้ทำความตกลงทั้งสอง หรือโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน กับภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายเดียว หรือโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันกับภาคีที่สาม ๖. การกำหนดเงื่อนไข ใช้บังคบกับการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันทั้งหมด ๗. ความคล่องตัวในการดำเนินบริการ สายการบินที่กำหนดของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายอาจดำเนินบริการทิศทางใดทิศทางหนึ่ง หรือทั้งสองทิศทาง หรือรวมชื่อเที่ยวบินที่แตกต่างกันไว้ภายในการทำการบินของอากาศยาน หรือส่งผ่านการจราจรอากาศยานใด ๆ ของตน ไปยังอากาศยานอื่นใด ๆ ของตน ณ จุดใด ๆ ตามเส้นทางบิน ๘. การมีผลใช้บังคับ บันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับนับจากวันที่ (๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑) เป็นต้นไป และจะแทนที่บางข้อของบันทึกความเข้าใจ ฉบับลงนามเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑
|
|||||||||||||||||||||||||||
31059 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - สหราชอาณาจักร | คค | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบบันทึกการหารือ ร่างบันทึกความเข้าใจ และร่างความตกลง รวม ๓ ฉบับ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ บันทึกการหารือ (Agreed Minutes) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในความร่วมมือด้านการบินเรื่องต่าง ๆ อาทิ ร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศฉบับใหม่ สิทธิรับขนการจราจร เป็นต้น และได้บรรจุข้อตกลงและลงนามย่อความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศและบันทึกความเข้าใจที่จะต้องขอความเห็นชอบต่อไป ๑.๑.๒ คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายตกลงให้ดำเนินการเพื่อให้มีการลงนามในร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศและบันทึกความเข้าใจและให้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตระหว่างกันต่อไป ๑.๒ ร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๒.๑ ความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้จัดทำตัวบทของร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศฉบับใหม่ และได้ตกลงให้บทบัญญัติแห่งความตกลงจะมีผลใช้บังคับเมื่อได้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูต ๑.๒.๒ ความจุและสิทธิรับขนการจราจร คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ตกลงว่า จนถึงกำหนดการบินประจำฤดูหนาว ๒๕๕๑ สายการบินของทั้งสองฝ่ายอาจดำเนินบริการได้ถึง ๒๑ เที่ยวต่อสัปดาห์ สำหรับเที่ยวบินรับขนผู้โดยสารหรือเที่ยวบินรับขนผู้โดยสารผสมสินค้า และได้ถึง ๑๔ เที่ยวต่อสัปดาห์ สำหรับเที่ยวบินรับขนเฉพาะสินค้า และเริ่มตั้งแต่กำหนดการบินประจำฤดูหนาว ๒๕๕๑ สายการบินของทั้งสองฝ่ายอาจดำเนินบริการได้ถึง ๒๘ เที่ยวต่อสัปดาห์ สำหรับเที่ยวบินรับขนผู้โดยสารหรือเที่ยวบินรับขนผู้โดยสารผสมสินค้าและไม่มีข้อจำกัดในเรื่องจำนวนเที่ยว สำหรับเที่ยวบินรับขนเฉพาะสินค้า ๑.๒.๓ การใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน สายการบินที่กำหนดสายหนึ่งหรือหลายสายของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่าย อาจเข้าร่วมจัดทำความร่วมมือในการใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันกับสายการบินอื่นสายหนึ่งหรือหลายสายใด ๆ ทั้งนี้ ภายใต้บังคับของกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับการควบคุมการแข่งขันที่ใช้ภายในอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงที่แจ้งกำหนดสายการบินนั้น ๑.๒.๔ การบริการเที่ยวบินเช่าเหมา คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันเจตนาของเจ้าหน้าที่การเดินอากาศฝ่ายตนที่จะสนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินบริการเที่ยวบินเช่าเหมาแบบเหมาจ่ายระหว่างสหราชอาณาจักรและประเทศไทย การอนุญาตสายการบินที่ให้บริการเที่ยวบินเช่าเหมาแบบเหมาจ่ายของภาคีอีกฝ่ายหนึ่งให้สามารถขายเฉพาะที่นั่งโดยสารในแต่ละเที่ยวบินได้ถึงร้อยละ ๒๐ ของความจุอากาศยานทั้งหมด และอนุญาตให้รับขนส่งสินค้าบรรทุกไปกับเที่ยวบินเช่าเหมารับขนผู้โดยสารแบบเหมาจ่ายได้ ๑.๒.๕ การมีผลใช้บังคับ บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ใช้แทนบันทึกความเข้าใจทุกฉบับก่อนหน้านี้ และจะมีผลใช้บังคับเมื่อได้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูต ๑.๓ ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๓.๑ กำหนดคำจำกัดความคำว่า “อนุสัญญาชิคาโก” “เจ้าหน้าที่การเดินอากาศ” “สายการบินที่กำหนด” “อาณาเขต” “บริการเดินอากาศ” “บริการเดินอากาศระหว่างประเทศ” “สายการบิน” “การแวะลงมิใช่ความมุ่งประสงค์ทางการค้า” “ความตกลงฉบับนี้” “ค่าภาระ” “ใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ” และ “รัฐสมาชิกประชาคมยุโรป” ๑.๓.๒ การให้สิทธิ ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายให้สิทธิแก่ภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งในการดำเนินบริการเดินอากาศระหว่างประเทศของตน เช่น สิทธิในการบินผ่านอาณาเขตของตนโดยไม่แวะลง สิทธิในการแวะลงในอาณาเขตของตนโดยมิใช่เพื่อความมุ่งประสงค์ทางการค้า เป็นต้น ๑.๓.๓ การกำหนดสายการบินและการอนุญาต ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายมีสิทธิที่จะกำหนดสายการบินหลายสาย เพื่อความมุ่งประสงค์ในการดำเนินบริการที่ตกลงตามเส้นทางบินที่ระบุของแต่ละฝ่าย และมีสิทธิเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงการกำหนดสายการบินดังกล่าว ๑.๓.๔ การปฏิเสธ การเพิกถอน และการพักใช้ใบอนุญาตดำเนินการ กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขกรณีภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจปฏิเสธเพิกถอน พักใช้ หรือจำกัดการให้การอนุญาตประกอบการ หรือใบอนุญาตทางเทคนิคของสายการบินที่กำหนดโดยภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง ๑.๓.๕ ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่าย กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการแข่งขันที่เป็นธรรมและการอุดหนุนภาครัฐ พิกัดอัตราค่าขนส่ง และค่าอากรภาษี และค่าธรรมเนียม ๑.๓.๖ การขนส่งหลายรูปแบบ ภายใต้กฎหมายและข้อบังคับของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่าย สายการบินที่กำหนดของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายจะได้รับอนุญาตให้ว่าจ้างการขนส่งหลายรูปแบบใดซึ่งเป็นการต่อเนื่องกับการขนส่งทางอากาศมายังหรือไปจากจุดใด ๆ ในอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลง หรือประเทศที่สาม ๑.๓.๗ การแก้ไขความตกลง ภาคีผู้ทำความตกลงจะยอมรับการแก้ไขความตกลงใด ๆ ของความตกลงฉบับนี้โดยการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูต ๑.๓.๘ การบังคับใช้ความตกลงฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับเมื่อได้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูต ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเพื่อให้มีการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ และร่างความตกลงฯ และแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตเพื่อยืนยันการมีผลใช้บังคับต่อไปหลังจากรัฐสภาให้ความเห็นชอบบันทึกการหารือฯ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ และร่างความตกลงฯ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
31060 | ร่างกฎกระทรวงการขอจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย การสอบสวนและการพิจารณาวินิจฉัย และแบบหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการอนุญาตของผู้ทรงสิทธิในการให้บุคคลอื่นใช้สิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและการเพิกถอนการอนุญาตให้ใช้สิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยโดยนายทะเบียน พ.ศ. .... | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงรวม ๒ ฉบับ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงการขอจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย การสอบสวนและการพิจารณาวินิจฉัย และแบบหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ๑.๒ กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการในการสอบสวนและการพิจารณาวินิจฉัยในกรณีที่มีการขอจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยร่วมกันหลายคน ๑.๓ กำหนดแบบหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ๒. ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตของผู้ทรงสิทธิในการให้บุคคลอื่นใช้สิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย และการเพิกถอนการอนุญาตให้ใช้สิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยโดยนายทะเบียน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการอนุญาตของผู้ทรงสิทธิในการให้ผู้อื่นใช้สิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ๒.๒ กำหนดรายละเอียดของหนังสืออนุญาต วิธีการแจ้งการอนุญาต การแก้ไขเปลี่ยนแปลงการอนุญาต และการแจ้งการสิ้นสุดการอนุญาตให้ใช้สิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ๒.๓ กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการเพิกถอนการอนุญาตให้ใช้สิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย โดยนายทะเบียน
|
.....