ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1552 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 31021 - 31040 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31021 | สรุปรายงานภาวะสังคมไตรมาสสี่ และภาพรวมปี 2554 | นร | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานภาวะสังคมไตรมาสสี่ และภาพรวมปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจ้างงาน และรายได้ ๑.๑ ในไตรมาส ๔/๒๕๕๔ การจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๙ และการว่างงานต่ำร้อยละ ๐.๖ หรือมีผู้ว่างงาน ๒๔๕,๘๙๐ คน ในขณะเศรษฐกิจหดตัวมากถึงร้อยละ ๙.๐ การว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำเนื่องจาก (๑) สาขาก่อสร้าง ค้าปลีกและค้าส่งยังจ้างงานเพิ่มขึ้น (๒) ผู้ประกอบการบางส่วนอยู่ในช่วงที่ขาดฐานข้อมูลแรงงานที่จะใช้ดำเนินการเจรจายุติการจ้างงานและผู้ประกอบการอีกส่วนหนึ่งรักษาการจ้างงานไว้แม้ว่ากิจกรรมการผลิตชะงักลงเนื่องจากขาดแคลนแรงงานทักษะอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีโครงการชะลอการเลิกจ้าง (๓) การลดการจ้างงานส่วนหนึ่งเป็นการลดชั่วโมงการทำงาน แรงงานที่ทำงานเพียงน้อยชั่วโมงจึงมีจำนวนมากขึ้น ชี้ถึงการว่างงานแฝงที่ไม่ก่อให้เกิดผลผลิตทางเศรษฐกิจและไม่สร้างรายได้ และ (๔) แรงงานรอฤดูกาลภาคเกษตรเพิ่มขึ้นมากซึ่งไม่ถูกนับเป็นผู้ว่างงาน ๑.๒ การจ้างงานรวมทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๑ และอัตราการว่างงานเฉลี่ยร้อยละ ๐.๗ รายได้แท้จริงแรงงานเฉลี่ยทั้งปีเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๘ ชะลอลงจากปีก่อนหน้า แม้ว่าตลาดแรงงานในภาพรวมตึงตัว แต่พบว่ายังมีการทำงานที่ไม่เต็มศักยภาพอยู่อีกมากซึ่งนับว่าเป็นการว่างงานแฝงอยู่ในรูปของการทำงานที่ไม่ก่อให้เกิดผลผลิตทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มศักยภาพ (Economically inactive) ส่วนใหญ่เป็นการทำงานต่ำระดับเนื่องจากคุณสมบัติของแรงงานไม่ตรงกับความต้องการของตลาด รวมทั้งแรงงานไร้ทักษะในภาคเกษตร อันเป็นผลจากการจัดการศึกษาที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและคุณภาพแรงงานต่ำ ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีประเด็นที่ต้องติดตามและเฝ้าระวังผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตแรงงาน คือ (๑) ความเสี่ยงต่อการเลิกจ้างในช่วงครึ่งแรกของปี ทั้งเนื่องจากการสิ้นสุดระยะเวลา ๓ เดือนของโครงการป้องกันและบรรเทาการเลิกจ้าง และการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยร้อยละ ๓๙.๕ ในเดือนเมษายน (๒) การติดตามการฟื้นฟูและเยียวยาแรงงานในช่วงหลังภัยพิบัติให้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นโดยเฉพาะแรงงานรายวันและแรงงานจ้างเหมาซึ่งมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้กลับไปทำงาน (๓) การเร่งพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและการเร่งเตรียมความพร้อมแรงงานในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และ (๔) การทบทวนลักษณะการใช้ข้อมูลการจ้างงาน การว่างงาน และแรงงานรอฤดูกาลในการจัดทำนโยบายแรงงาน ให้มีรายละเอียดที่สะท้อนเชื่อมโยงถึงผลผลิตทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น รายได้และคุณภาพชีวิตได้ดีขึ้น ๒. ด้านสุขภาพ การเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น ๑,๗๙๐,๒๗๕ ราย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๙.๒ โดยพบผู้ป่วยโรคความดันโลหิตมากที่สุด ด้านสุขภาพจิตต้องเฝ้าระวังและมีมาตรการป้องกันด้านจิตเวชมากขึ้นเนื่องจากมีผู้ป่วยด้วยโรคจิตเวชที่เข้ารับบริการรักษามีจำนวนเพิ่มขึ้น และผลการสำรวจแสดงว่าความสุขมวลรวมของคนไทยลดลงในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ ๓. ด้านพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของคนในสังคมไทย มีประเด็นเฝ้าระวังหลายด้าน ได้แก่ ๓.๑ คนไทยอายุ ๑๕ ปีขึ้นไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก ๙ เท่าตัว และต้องเฝ้าระวังในกลุ่มเด็กและเยาวชนอายุ ๑๕ - ๒๔ ปี จากการสำรวจข้อมูลพฤติกรรมการสูบบุหรี่และการดื่มสุราของประชากรอายุ ๑๕ ปีขึ้นไป พบว่า กลุ่มเด็กและเยาวชนวัย ๑๕ - ๒๔ ปี ยังคงมีอัตราการดื่มสุราที่สูงเมื่อเทียบกับกลุ่มอายุอื่นโดยมีสัดส่วนร้อยละ ๒๓.๗ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ลดลงเพียงเล็กน้อยจากร้อยละ ๒๔.๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัวที่ล่อแหลมทั้งการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อยู่ใกล้สถานศึกษา การโฆษณาผ่านสื่อต่าง ๆ รวมถึงการหาซื้อได้ง่ายและสะดวก เป็นต้น ๓.๒ การเผยแพร่ภาพไม่เหมาะสมในสังคมออนไลน์มีจำนวนเพิ่มขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ส่วนใหญ่เป็นเว็บเผยแพร่คลิปหลุด คลิปแอบถ่าย โป๊ เปลือย หรือเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมต่อเด็กและเยาวชน การจัดการกับปัญหาการเผยแพร่ที่ไม่เหมาะสมต้องป้องกันควบคู่กับการปราบปรามด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน และเปิดโอกาสให้สาธารณชนมีส่วนร่วมในการรายงานเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งการร่วมสร้างพื้นที่สื่อสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นและเป็นการเปิดพื้นที่ให้กับเด็กและเยาวชนให้มากขึ้น ๓.๓ คุณแม่วัยใสยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องและมีสถิติสูงสุดในเอเชีย โดยอัตราการคลอดบุตรของหญิงไทยอายุต่ำกว่า ๒๐ ปี เพิ่มจาก ๑๓.๕๕ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็น ๑๓.๗๖ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ประเทศไทยมีผู้หญิงอายุต่ำกว่า ๒๐ ปีที่ตั้งครรภ์มี ๗๐ คน ต่อผู้หญิงวัย ๑๕ - ๑๙ ปี ๑,๐๐๐ คน และปัจจุบันการตั้งครรภ์ของผู้หญิงไทยที่อายุต่ำกว่า ๒๐ ปี เพิ่มขึ้นเป็น ๙๐ - ๑๐๐ คน ๔. คดีอาญา โดยรวมเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะยาเสพติดยังเป็นปัญหาสำคัญที่รุนแรงขึ้นทั้งปริมาณและลักษณะการต่อสู้การจับกุม ช่องทางเครือข่ายการจำหน่ายยาเสพติดในทัณฑสถานยังเป็นปัญหาต่อเนื่อง ในรอบปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีคดียาเสพติดเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ร้อยละ ๓๐ สะท้อนทั้งสภาพปัญหาที่มีมากขึ้นและการปราบปรามที่เป็นเชิงรุก รวมทั้งมีปัญหายาไอซ์บุกเข้าสู่ตลาดวัยรุ่นแทนยาบ้า และเริ่มแพร่ระบาดในระดับชุมชน สถานศึกษา สถานประกอบการ กลุ่มเสี่ยงที่เป็นนักเสพหน้าใหม่ยังคงเป็นกลุ่มวัยรุ่นอายุ ๑๕ - ๑๙ ปี
|
||||||||||||||||||||||||
31022 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติและการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... | พน | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติและการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดคุณสมบัติของผู้รับการฝึกอบรมและหลักสูตรการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซปิโตรเลียมเหลว และก๊าซธรรมชาติ ให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงพลังงาน และก่อนการฝึกอบรมผู้ฝึกอบรมต้องแจ้งรายละเอียดตามที่กำหนดให้กรมธุรกิจพลังงานทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน ๒. กำหนดขั้นตอนการปฏิบัติและรายละเอียดเกี่ยวกับการออกหนังสือรับรองและบัตรประจำตัวผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงการเพิกถอนการสิ้นสภาพและการต่ออายุบัตรประจำตัวผู้ปฏิบัติงานดังกล่าว ๓. กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการ คุณสมบัติของผู้ฝึกอบรม วิทยากร และการดำเนินการของผู้ฝึกอบรม ให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงพลังงาน และให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมธุรกิจพลังงานมอบหมายมีอำนาจสั่งลงโทษได้ในกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามที่กำหนด ๔. กำหนดให้สถานประกอบกิจการเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงต้องมีผู้ปฏิบัติงานที่ผ่านการฝึกอบรมตามกฎกระทรวงนี้ ภายในกำหนด ๑ ปีนับจากวันที่กำหนดประเภทประกอบกิจการ และกำหนดให้ผู้ที่ผ่านการอบรมตามหลักสูตรของกรมธุรกิจพลังงานก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นผู้ปฏิบัติงานตามกฎกระทรวงนี้ และให้หนังสือรับรองและบัตรประจำตัวผู้ปฏิบัติงานใช้ได้ต่อไปจนกว่าจะหมดอายุ
|
||||||||||||||||||||||||
31023 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตขายเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. .... | นร | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตขายเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตขายเครื่องมือแพทย์ การต่ออายุใบอนุญาต การขอใบแทนใบอนุญาต การเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการในใบอนุญาตหรือรายการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แบบคำขอต่าง ๆ และสถานที่ยื่นคำขออนุญาต ๒. กำหนดให้คำขออนุญาตซึ่งยื่นไว้ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับและยังอยู่ระหว่างการพิจารณาให้ถือว่าเป็นคำขอตามกฎกระทรวงนี้ กรณีที่คำขอมีข้อแตกต่างไปจากคำขอตามกฎกระทรวงนี้ ให้สั่งแก้ไขเพิ่มเติมได้ตามความจำเป็น
|
||||||||||||||||||||||||
31024 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยวและใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการชำระค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยว พ.ศ. .... | กก | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยวและใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ใบแทนใบอนุญาต ค่าธรรมเนียม ประกอบธุรกิจนำเที่ยวรายสองปี และการต่ออายุใบอนุญาตสำหรับผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ๒. ร่างกฎกระทรวงการชำระค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยว พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการชำระค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยว
|
||||||||||||||||||||||||
31025 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบทหาร พุทธศักราช 2477 ว่าด้วยการใช้เสื้อครุย เสื้อปริญญา และ เครื่องหมายพิเศษบางอย่าง | กห | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบทหาร พุทธศักราช ๒๔๗๗ ว่าด้วยการใช้เสื้อครุย เสื้อปริญญา และเครื่องหมายพิเศษบางอย่าง มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมเครื่องหมายติดไหล่ที่ใช้ประกอบเครื่องแบบสำหรับข้าราชการทหารที่ไปราชการหรือไปศึกษา ณ ต่างประเทศ เป็นดังนี้ “ทหารที่ไปราชการหรือไปศึกษา ณ ต่างประเทศ ขณะที่อยู่นอกราชอาณาจักรให้ใช้เครื่องหมายติดไหล่ทำด้วยสักหลาดหรือเสิร์จ กว้าง ๗ เซนติเมตร สูง ๕ เซนติเมตร เป็นแถบลายไตรรงค์ธงชาติแนวนอน โดยเย็บติดที่ไหล่เสื้อข้างซ้ายห่างจากตะเข็บไหล่ ๒ เซนติเมตร” เพื่อให้เหมาะสมและเป็นสากลยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
31026 | มาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบาย | ปช | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานหลักรับความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เกี่ยวกับมาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบาย ไปพิจารณาศึกษาโดยหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยว่าสามารถดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวได้แค่ไหน เพียงใด ที่จะไม่เป็นปัญหาอุปสรรคในการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้
๑. มาตรการพัฒนาระบบกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารงานพัสดุของรัฐให้เป็นมาตรฐานกลาง มอบกระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลัก ๒. มาตรการเสริมสร้างความโปร่งใสในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ มอบกระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลัก ๓. มาตรการเสริมสร้างความโปร่งใสในการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี มอบสำนักงาน ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานหลัก ๔. มาตรการป้องกันข้าราชการประจำผู้มีอิทธิพล มิให้เข้าไปครอบงำการตัดสินใจในการปฏิบัติหน้าที่ราชการของฝ่ายราชการประจำ มอบสำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานหลัก ทั้งนี้ ให้นำผลการพิจารณาศึกษาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา โดยชี้แจงให้ชัดเจนว่า มีมาตรการใดบ้างที่ดำเนินการอยู่แล้วในปัจจุบันภายใต้กฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีใด
|
||||||||||||||||||||||||
31027 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม 2553 และ 2552 | รง | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนองบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ และ พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองแล้ว และเห็นว่า งบการเงินของกองทุนฯ แสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ และ พ.ศ. ๒๕๕๒ และผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปีของกองทุนฯ ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
|
||||||||||||||||||||||||
31028 | ขอแต่งตั้งรองผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ | ทส | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งรองผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จำนวน ๓ คน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายชัยรัตน์ อร่ามศรี ๒. นายพิพัฒน์ ชนินทยุทธวงศ์ ๓. นายวรวิทย์ โรจนไพฑูรย์
|
||||||||||||||||||||||||
31029 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลของประเทศไทย | สสป | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลของประเทศไทย ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับหน่วยงานของภาครัฐ รวมทั้งภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ให้รัฐเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนในการจัดตั้งหน่วยงานทดสอบและรับรองสมรรถนะเครื่องจักรกล โดยให้หน่วยงานภาครัฐและองค์กรเอกชนที่มีศักยภาพเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้ การดำเนินการของหน่วยงานและองค์กรดังกล่าวควรมีการจัดเก็บค่าบริการในระดับราคาที่เหมาะสมเพื่อให้หน่วยงานดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองในอนาคต โดยระยะแรก (ไม่เกิน ๕ ปี) ไม่ควรเก็บค่าบริการ และควรมีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน (โดยเฉพาะตัวแทนกลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องจักร) และนักวิชาการในสัดส่วนที่เท่ากัน รวมทั้งหน่วยงานทดสอบดังกล่าวจะต้องได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ISO9001 : 2000 และ ๒. รัฐควรจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเครื่องจักรกลความละเอียดสูงขึ้น โดยมีหน้าที่หลักในการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง ๓. รัฐควรจัดตั้งสถาบันเครื่องจักรกลแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานอิสระเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้กำหนดทิศทาง การวิจัย และพัฒนากระบวนการผลิต การพัฒนาบุคลากร การกำหนดมาตรฐาน และการคาดการณ์ความต้องการใช้เครื่องจักรกลของประเทศไทยอย่างเป็นระบบ รวมทั้งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา รวบรวม และเผยแพร่ในด้านต่าง ๆ หลังจาก ๕ ปี จะได้ปรับเปลี่ยนจากสถาบันเป็นองค์การมหาชนต่อไป ๔. ให้รัฐสนับสนุนงบประมาณให้แก่หน่วยงานภาครัฐและองค์กรเอกชนที่มีศักยภาพดำเนินงานร่วมกันในการจัดหาผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบและผลิตเครื่องจักรกลจากต่างประเทศ ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้แก่ผู้ประกอบการไทย ๕. รัฐควรสนับสนุนการฟื้นฟูสภาพเครื่องจักรกลดังกล่าวอย่างจริงจัง โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกันขยายผลโครงการดังกล่าวไปสู่ภาคอุตสาหกรรมต่อไป ๖. รัฐควรมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนดำเนินการทบทวนและขยายประเภทของเครื่องจักรกลตามประเภทที่ ๔.๒ ของประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนให้การผลิตเครื่องจักรเป็นกิจการที่ให้ความสำคัญพิเศษ ๗. รัฐควรจัดตั้งหน่วยงานให้บริการร่วมเบ็ดเสร็จ (ของหลายกระทรวงรวมกัน) เพื่อทำหน้าที่รับดำเนินการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ณ จุดเดียวแทนผู้ประกอบการจนแล้วเสร็จ ๘. การเพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการกำหนดทิศทางและนโยบายการวิจัยและพัฒนาด้านเครื่องจักรกลของประเทศ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของผู้ประกอบการ กระทรวงต่าง ๆ ที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบดังกล่าว รวมทั้งเชิญผู้แทนภาคเอกชนไม้น้อยกว่าร้อยละ ๓๐ (โดยเฉพาะผู้ผลิตและผู้ใช้เครื่องจักรกล) เข้าร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการหรือคณะทำงานที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดทิศทางและนโยบายการวิจัยและพัฒนาด้านเครื่องจักรกลของประเทศ ๙. รัฐควรสนับสนุนให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมการผลิตอื่น ๆ ได้รับสิทธิพิเศษในการได้รับการหักภาษีคืนร้อยละ ๒๐๐ หรือยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการจัดซื้อเครื่องจักรที่ผลิตได้ในประเทศ ๑๐. รัฐควรจัดตั้งหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนด้านการเงิน (finance) และการเช่าซื้อ (leasing) ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ผ่อนปรนเรื่องกฎระเบียบ เรื่องเอกสารการขอสนับสนุนเพื่อให้เกิดความคล่องตัว และเป็นการช่วยเหลือผู้ผลิต ผู้ประกอบการอย่างแท้จริง โดยใช้เครื่องจักรเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน
|
||||||||||||||||||||||||
31030 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลกรุงชิง อำเภอนบพิตำ และตำบลเขาน้อย อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลกรุงชิง อำเภอนบพิตำ และตำบลเขาน้อย อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลกรุงชิง อำเภอนบพิตำ และตำบลเขาน้อย อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามเงื่อนไขที่ทางสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนดว่า หากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะเข้าดำเนินการปฏิรูปที่ดินในพื้นที่ควรสงวนไว้ไม่นำมาปฏิรูปที่ดิน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะต้องประสานงานกับกรมป่าไม้ให้ได้ข้อยุติเสียก่อนที่จะเข้าดำเนินการในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
31031 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลน้ำตก และตำบลกะปาง อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลน้ำตก และตำบลกะปาง อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลน้ำตก และตำบลกะปาง อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามเงื่อนไขที่ทางสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนดว่า หากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะเข้าดำเนินการปฏิรูปที่ดินในพื้นที่ควรสงวนไว้ไม่นำมาปฏิรูปที่ดิน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะต้องประสานงานกับกรมป่าไม้ให้ได้ข้อยุติเสียก่อนที่จะเข้าดำเนินการในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
31032 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง การจัดตั้งกองทุนพัฒนาการประมง | สว | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง การจัดตั้งกองทุนพัฒนาการประมง และผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และแจ้งให้สำนักเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอแผนปฏิบัติการตามแผนแม่บทการจัดการประมงทะเลไทย พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๖ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๓ โดยในแผนปฏิบัติการได้กำหนดให้มีโครงการจัดตั้งกองทุนพัฒนาการประมง และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบศึกษาและดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้เป็นไปตามแผนต่อไป อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการฯ ยังขาดรายละเอียดและแนวทางการจัดตั้งกองทุนในลักษณะเป็นกองทุนหมุนเวียน เนื่องจากในระยะยาวจะเป็นภาระในเรื่องงบประมาณแก่รัฐบาลในการจัดหางบประมาณมาสนับสนุน ตลอดจนยังไม่มีรายละเอียดและความชัดเจนในเรื่องที่จะให้ผู้ประกอบการที่เหลือจากการออกนอกระบบของเรือประมงมีส่วนร่วมรับผิดชอบและสนับสนุนให้กองทุนพัฒนาการประมงมีความยั่งยืนต่อไป ๒. กรมบัญชีกลางเสนอความเห็นว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๑ เห็นชอบแนวทางการจัดตั้งทุนหมุนเวียน ซึ่งกำหนดหลักการในการจัดตั้งทุนหมุนเวียน และกำหนดให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียนทำหน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียน โดยให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่ประสงค์จะจัดตั้งทุนหมุนเวียนเสนอเรื่องให้คณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียนพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ดังนั้น ในการพิจารณาเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนพัฒนาการประมง ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเรื่องให้คณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียนพิจารณาเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาจัดตั้งกองทุนดังกล่าวต่อไป ๓. สำนักงบประมาณมีความเห็นว่า ในการจัดตั้งกองทุนพัฒนาการประมง จะมีภาระงบประมาณเพิ่มขึ้นในวงเงินค่อนข้างสูง จึงจำเป็นต้องกำหนดวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งให้ชัดเจน โดยให้คณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียนพิจารณาความเหมาะสมของการขอจัดตั้งกองทุนดังกล่าวตามขั้นตอน เพื่อให้การจัดตั้งกองทุนมีความชัดเจนเหมาะสม นอกจากนี้ เห็นควรพิจารณาด้านความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแหล่งที่มาของเงินทุน แผนการใช้จ่าย รวมทั้งความร่วมมือในทุก ๆ ด้าน จากภาคเอกชนที่จะได้รับประโยชน์จากการปรับโครงสร้างการประมง และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สังเคราะห์และบูรณาการแผนแม่บทการจัดการประมงทะเลไทย (พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๖) และแผนการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาการประมงเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้แนวทางปฏิบัติและผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน ครอบคลุม
|
||||||||||||||||||||||||
31033 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินในที่รกร้างว่างเปล่าพื้นที่กันออกจากป่าสงวนแห่งชาติ ในท้องที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน รวม 7 ฉบับ | กษ | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินในที่รกร้างว่างเปล่าพื้นที่กันออกจากป่าสงวนแห่งชาติ ในท้องที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน รวม ๗ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลปางมะผ้า อำเภอปางมะผ้า ตำบลหมอกจำแป่ ตำบลปางหมู และตำบลผาบ่อง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลปางหมู ตำบลจองคำ ตำบลผาบ่อง และตำบลห้วยโป่ง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ๓. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลขุนยวม อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ๔. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลขุนยวม ตำบลแม่เงา ตำบลแม่อูคอ อำเภอขุนยวม และตำบลแม่ลาหลวง ตำบลแม่ลาน้อย อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ๕. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลขุนยวม ตำบลแม่ยวมน้อย ตำบลเมืองปอน อำเภอขุนยวม และตำบลสันติคีรี ตำบลแม่ลาหลวง ตำบลแม่ลาน้อย อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ๖. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลแม่ลาน้อย อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ๗. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลท่าผาปุ้ม อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... |
||||||||||||||||||||||||
31034 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 1/2555 | นร | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ที่มีมติรับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการให้เป็นไปตามมติ กพต. ตามที่ประธาน กพต. เสนอ โดยให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้ ศอ.บต. รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการดำเนินการตามแผนงาน โครงการต่าง ๆ ควรมีระบบประสานการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานอื่นของรัฐที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้การดำเนินการมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชน ศาสนา และวัฒนธรรมของท้องถิ่น ตลอดจนประหยัดงบประมาณภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. สำหรับระเบียบคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ และประกาศคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าด้วยอัตราค่าช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ เนื่องจาก กพต. ได้ออกระเบียบและประกาศดังกล่าวตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ แล้ว จึงรับทราบผลการประชุม กพต. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ในเรื่องดังกล่าว ๓. ให้ กพต. รับข้อสังเกตของผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรนำเนื้อหาของประกาศฯ ที่กำหนดอัตราค่าช่วยเหลือเยียวยาฯ มากำหนดไว้ในระเบียบฯ ส่วนการกำหนดคำนิยามคำว่า “ผู้ได้รับความเสียหาย” ที่กำหนดให้หมายความรวมถึงบุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจาก “การบังคับบุคคลให้สูญหาย” เท่ากับเป็นการยอมรับว่าในการบังคับใช้กฎหมาย รัฐยอมรับว่ามีการบังคับใช้กฎหมายที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายจริง ซึ่งในทางปฏิบัติอาจมีการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวจริงก็ได้ แต่ในการเขียนกฎหมายอาจไม่จำเป็นต้องระบุกรณีนี้ไว้ให้ชัดเจน เพราะการกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรือจิตใจอยู่แล้ว รวมทั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และวันใช้บังคับของระเบียบฯ ไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับรูปแบบและแนวทางที่กฎหมายแม่บทให้อำนาจไว้ ๔. ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบฯ และประกาศฯ ให้ กพต. นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
31035 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอรับสัมปทาน หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการยื่นคำขอรับสัมปทานและการให้สัมปทานในการสร้างหรือบำรุงรักษาทาง พ.ศ. .... | คค | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอรับสัมปทาน หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการยื่นคำขอรับสัมปทานและการให้สัมปทานในการสร้างหรือบำรุงรักษาทาง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขเกี่ยวกับคุณสมบัติผู้ยื่นคำขอรับสัมปทาน หลักฐานประกอบคำขอรับสัมปทาน ได้แก่ หลักฐานแสดงกรณีบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทยและไม่มีสัญชาติไทย หลักฐานแสดงกรณีนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ หรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย เป็นต้น และการจัดทำข้อเสนอของโครงการก่อสร้างหรือบำรุงรักษาทางของผู้ยื่นคำขอรับสัมปทาน ๑.๒ กำหนดให้กรณีสัมปทานเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ ให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายนั้น และกำหนดให้กรณีสัมปทานเป็นโครงการที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ ให้กรมทางหลวงเป็นผู้พิจารณาคำขอรับสัมปทานแล้วคัดเลือกผู้ยื่นคำขอรับสัมปทาน พร้อมทั้งเสนอเหตุผลประกอบร่างสัญญาและเอกสารทั้งหมดต่อรัฐมนตรีภายใน ๑๘๐ วัน หากรัฐมนตรีเห็นควรให้สัมปทานแก่ผู้ยื่นคำขอรายใดให้เสนอรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๓ กำหนดให้หากคณะรัฐมนตรีไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของรัฐมนตรีให้ส่งเรื่องคืนคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐเพื่อพิจารณาทบทวนแล้วให้รัฐมนตรีนำผลการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีชี้ขาด ๑.๔ กำหนดให้กรณีผู้ใดได้รับอนุมัติให้ได้รับสัมปทาน ไม่มีสภาพเป็นบริษัทตามกฎหมายไทย ให้ผู้นั้นดำเนินการจัดตั้งหรือร่วมกันจัดตั้งบริษัทตามกฎหมายไทย ๑.๕ กำหนดให้การลงนามในสัมปทาน ผู้รับสัมปทานต้องนำหลักประกันตามที่กรมทางหลวงกำหนดไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของวงเงินสัมปทาน เพื่อเป็นหลักประกันกับกรมทางหลวง ๑.๖ กำหนดให้รัฐอาจให้สัมปทานแก่บุคคลใดโดยไม่ต้องมีการออกประกาศเชิญชวนก็ได้ ได้แก่ การสร้างหรือบำรุงรักษาทางที่มีวงเงินลงทุนไม่เกินหนึ่งพันล้านบาท การสร้างหรือบำรุงรักษาทางที่เป็นการต่อเติมหรือต่อเนื่องกับโครงการเดิม อันไม่อาจแยกหรือไม่เหมาะสมที่จะแยกออกจากโครงการเดิม และมีวงเงินลงทุนไม่เกินหนึ่งในสามของโครงการเดิม แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินวงเงินที่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ ๑.๗ กำหนดให้การออกประกาศเชิญชวนเพื่อให้ยื่นคำขอรับสัมปทานในการสร้างหรือบำรุงรักษาทางที่ได้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ ก่อนที่จะประกาศบังคับใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ ให้ถือว่าเป็นการออกประกาศเชิญชวนเพื่อให้ยื่นคำขอรับสัมปทานในการสร้างหรือบำรุงรักษาทางหลวงที่ได้ดำเนินการตามกฎกระทรวงฉบับนี้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกรณีที่กระทรวงการคลังได้มีการปรับปรุงเนื้อหาของพระราชบัญญัติการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... ในส่วนของหลักเกณฑ์และขั้นตอนในการร่วมลงทุนระหว่างหน่วยงานเจ้าของโครงการและเอกชนในกิจการของรัฐ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อแนวทางและขั้นตอนในการขอรับสัมปทานตามร่างกฎกระทรวงฯ ที่เสนอในครั้งนี้ โดยเฉพาะกรณีโครงการมีมูลค่าต่ำกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท จึงเห็นควรให้กรมทางหลวงประสานกับกระทรวงการคลังในการพิจารณาปรับปรุงร่างกฎกระทรวงฯ ให้มีความสอดคล้องกันก่อนเสนอร่างกฎกระทรวงฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งเห็นควรให้มีการศึกษาวิเคราะห์และเปรียบเทียบความคุ้มค่าทางการเงิน (Value for money) ระหว่างการดำเนินการเองและการให้สัมปทาน และพิจารณากำหนดกลไกการกำกับดูแลและบริหารจัดการสัญญาสัมปทาน เพื่อให้การสัมปทานก่อสร้างทางหรือบำรุงรักษาทางหลวงสัมปทานอยู่บนมาตรฐานเดียวกัน และมีแนวทางในการบริหารจัดการรายได้และรายจ่ายที่ชัดเจน เพื่อลดภาระการลงทุนของภาครัฐ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
31036 | ร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยการจัดตั้งเวทีหารือด้านพลังงานระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ | พน | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบสาระสำคัญในร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยการจัดตั้งเวทีหารือด้านพลังงานระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการจัดตั้งเวทีหารือด้านพลังงาน โดยมีขอบเขตของความร่วมมือด้านพลังงานลักษณะกว้าง ๆ ได้แก่ การหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลทั้งสองประเทศเพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน การจัดเตรียมข้อเสนอแนะรัฐบาลของทั้งสองประเทศในการสร้างความร่วมมือด้านพลังงาน การสนับสนุนและส่งเสริมภาครัฐและภาคเอกชนของทั้งสองประเทศเพื่อบรรลุความร่วมมือด้านพลังงาน การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวกับความร่วมมือด้านพลังงานและประสานงานเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดจากความร่วมมือของทั้งสองประเทศ รวมทั้งการส่งเสริมการดำเนินการที่นำไปสู่การปฏิบัติของข้อตกลงที่มีอยู่ในปัจจุบันและที่จะมีขึ้นในอนาคตของทั้งสองประเทศ และการพิจารณาความเป็นไปได้ในเรื่องความร่วมมือสาขาอื่น ๆ ตามที่ทั้งสองประเทศจะได้ตกลงร่วมกัน พร้อมทั้งอนุมัติให้กระทรวงพลังงานสามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำในร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญของความร่วมมือได้ตามความเหมาะสม ก่อนที่จะมีการลงนามกับกระทรวงพลังงานของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ๒. อนุมัติให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้ลงนามในร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ๓. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็มให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้ลงนามในร่างแถลงร่วมฯ
|
||||||||||||||||||||||||
31037 | ขอรับความเห็นชอบให้การประปานครหลวงกู้เงินตามพระราชบัญญัติการประปานครหลวง พ.ศ. 2510 มาตรา 43 (2) | มท | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การประปานครหลวง (กปน.) กู้เงินเพื่อ Rollover หนี้เงินกู้สำหรับชดเชยรายได้จากมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ระยะที่ ๓ (๑ มกราคม - ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕) จำนวน ๓๙๒,๐๖๓,๒๐๔.๒๑ บาท โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ดำเนินการจัดหาวงเงินกู้ และค้ำประกันต้นเงินกู้และดอกเบี้ยทั้งจำนวน ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปน. นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติการกู้เงินของ กปน. ตามแผนการกู้เงินในแต่ละปี เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการประปานครหลวง พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๔๓ (๒) ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
||||||||||||||||||||||||
31038 | การขอต่อสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี | พม | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การเคหะแห่งชาติต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารออมสิน วงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท ออกไปอีกเป็นระยะเวลา ๓ ปี นับตั้งแต่วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกัน ทั้งนี้ การขอต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวเป็นการขอวงเงินไว้สำหรับในกรณีที่การเคหะแห่งชาติขาดเงินทุนหมุนเวียนในช่วงใดช่วงหนึ่งก็จะขอเบิกจากวงเงินเบิกเกินบัญชีมาใช้ในการหมุนเวียน เพื่อมิให้การดำเนินงานต้องกระทบกระเทือนหรือหยุดชะงักลง และจะใช้คืนธนาคารทันทีที่สามารถกระทำได้ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
31039 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล เรื่อง "กรณีกล่าวหาการทุจริตในการจัดซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิง" | นร | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า โดยที่รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล เรื่อง “กรณีกล่าวหาการทุจริตในการจัดซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิง” ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้รายงานผลการดำเนินการมาเพื่อคณะรัฐมนตรีทราบ ซึ่งมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย จึงลงมติให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็นที่เกี่ยวกับข้อกฎหมายดังกล่าวให้ชัดเจนว่า คณะรัฐมนตรีควรพิจารณาสั่งการหรือรับทราบในรายงานดังกล่าวประการใด แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||
31040 | ร่างระเบียบว่าด้วยบัตรประจำตัวทายาทผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนและการเรียกเหรียญกับบัตรประจำตัวทายาทคืน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบว่าด้วยบัตรประจำตัวทายาทผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนและการเรียกเหรียญกับบัตรประจำตัวทายาทคืน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ แก้ไขเพิ่มเติมคำนิยามในส่วนของ “ทายาท” เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศกระทรวงกลาโหม เรื่อง สิทธิพิเศษบางประการของครอบครัวทหารที่ไปทำการร่วมรบกับสหประชาชาติ ณ ประเทศเกาหลี ลงวันที่ ๙ กันยายน ๒๔๙๖ กำหนดรูปแบบบัตรประจำตัวและการขอมีบัตร กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอมีบัตร กำหนดอายุบัตร และกรณีการออกบัตรใหม่แทนบัตรเดิม ๑.๒ กำหนดให้คำขอมีบัตรประจำตัวทายาทผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนที่ได้ยื่นไว้หรืออยู่ระหว่างการพิจารณา ก่อนวันที่ระเบียบว่าด้วยบัตรประจำตัวทายาทผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน และการเรียกเหรียญกับบัตรประจำตัวทายาทคืน พ.ศ. ๒๕๑๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบนี้มีผลใช้บังคับ ให้ดำเนินการต่อไปจนแล้วเสร็จ ๑.๓ กำหนดให้บัตรที่ได้ออกตามระเบียบว่าด้วยบัตรประจำตัวทายาทผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน และการเรียกเหรียญกับบัตรประจำตัวทายาทคืน พ.ศ. ๒๕๑๔ ก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ ให้คงใช้ได้ต่อไปจนถึงวันที่บัตรนั้นหมดอายุ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรตรวจสอบการกำหนดนิยามคำว่า “ทายาท” ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติเหรียญพิทักษ์เสรีชน พ.ศ. ๒๕๑๒ และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการแก้ไขระเบียบฯ ให้ครอบคลุมถึงบิดามารดาของทั้งสองฝ่าย ภริยาหรือสามี และบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งการแก้ไขข้อกำหนดต่าง ๆ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีอาจพิจารณาเห็นสมควรและเห็นชอบในหลักการ เนื่องจากการที่จะให้สิทธิพิเศษตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องครอบคลุมถึงบุคคลใดบ้างเป็นเรื่องที่จะพิจารณาตามความเหมาะสม นอกจากนี้ สาระสำคัญของร่างระเบียบฯ ส่วนใหญ่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมข้อกำหนดของระเบียบว่าด้วยบัตรประจำตัวทายาทผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนและการเรียกเหรียญกับบัตรประจำตัวทายาทคืน พ.ศ. ๒๕๑๔ จึงอาจปรับปรุงระเบียบฯ ใหม่ทั้งฉบับแทนการแก้ไขเพิ่มเติมจะเป็นการเหมาะสมกว่า ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกระทำความดีความชอบของผู้ได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญมีลักษณะคล้ายกับการกระทำความดีความชอบของผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ ๑ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและไม่เป็นการเลือกปฏิบัติ หากจะกำหนดให้บุคคลในครอบครัวของผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ ๑ ได้รับสิทธิเช่นเดียวกับผู้ได้รับพระราชทานเหรียญชัยสมรภูมิกรณีกระทำการร่วมรบกับสหประชาชาติ ณ ประเทศเกาหลี ก็สมควรกำหนดให้ครอบครัวของผู้ได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญได้รับสิทธิดังกล่าวด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
.....