ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1552 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 31021 - 31040 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31021 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดมาตรการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. .... | พณ | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดมาตรการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. .... และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดมาตรการจัดระเบียบการส่งออกและนำเข้าอย่างหนึ่งอย่างใดกับสินค้า ๑๕ กลุ่มรายการตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ดังต่อไปนี้ ๑.๑.๑ เป็นสินค้าที่ต้องแสดงหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า หนังสือรับรองคุณภาพสินค้า หรือหนังสือรับรองตามความตกลงหรือประเพณีทางการค้าระหว่างประเทศต่อกรมศุลกากรในการส่งออกหรือนำเข้า ๑.๑.๒ เป็นสินค้าที่ผู้ส่งออกหรือผู้นำเข้าต้องขึ้นทะเบียนต่อกรมการค้าต่างประเทศหรือหน่วยงานอื่นที่กระทรวงพาณิชย์มอบหมาย ๑.๑.๓ เป็นสินค้าที่ต้องส่งออกหรือนำเข้าภายในช่วงระยะเวลาที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ๑.๑.๔ เป็นสินค้าที่ต้องส่งหรือนำเข้าทางด่านศุลกากรที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ๑.๑.๕ เป็นสินค้าที่ผู้ส่งออกหรือผู้นำเข้าต้องส่งรายงานการส่งออกและการนำเข้าตามระยะเวลาที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ๑.๒ มาตรการส่งออกและนำเข้าในแต่ละสินค้า ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กำหนดตามความเหมาะสมของสถานการณ์ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เกี่ยวกับการปรับปรุงบัญชีรายชื่อสินค้าท้ายร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ควรกำหนดให้ครอบคลุมถึงสินค้าเกษตรที่มีความสำคัญด้วย เช่น มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลัง ไปพิจารณา และหากมีความจำเป็นต้องปรับเพิ่มเติมสินค้าท้ายประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพิ่มเติมต่อไป และให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีมาตรการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดในการส่งออกและนำเข้า เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อภาคเกษตรโดยรวมและผู้บริโภคในประเทศ และควรกำหนดปริมาณการส่งออกและนำเข้าที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรโดยรวม เกษตรกรและผู้ประกอบการแปรรูปในประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องของราคาสินค้าเกษตร คุณภาพวัตถุดิบและความปลอดภัยผู้บริโภคในประเทศ รวมทั้งในการออกระเบียบของกระทรวงพาณิชย์จะต้องไม่เป็นการเพิ่มภาระและความยุ่งยากให้กับผู้ส่งออกและผู้ผลิตในประเทศที่จำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบ/ชิ้นส่วนจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบโดยทั่วถึง โดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการออกหนังสือรับรอง การขึ้นทะเบียน และการตรวจสอบเพื่อการนำเข้าและส่งออก รวมถึงผู้ประกอบการนำเข้าหรือส่งออกสินค้า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการ |
|||||||||||||||||||||||||||
31022 | การพิจารณารับรองเอกสาร Ministerial Declaration of the Group of 77 and China on the Occasion of UNCTAD XIII, Doha, 21 April 2012 และเอกสาร President's suggested distilled negotiation text for UNCTAD XIII | กต | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสาร Ministerial Declaration of the Group of 77 and China on the Occasion of UNCTAD XIII, Doha, 21 April 2012 และอนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยรับรอง และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศไทยในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการรับรอง ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ เห็นชอบร่างเอกสาร President’s suggested distilled negotiation text for UNCTAD XIII และอนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยรับรองร่างเอกสารดังกล่าว รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศเจรจาถ้อยคำในร่างเอกสารดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศไทย โดยไม่เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การเสนอเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรเพิ่มเติมในส่วนของบทบาทของ UNCTAD ในเอกสาร President’s suggested distilled negotiation text for UNCTAD XIII แก่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อส่งเสริม/พัฒนาการค้าและการพัฒนาให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา อาทิ การประเมินผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าอื่น ๆ ที่ไมใช่ภาษี (Non - Tariff Bamers) การสนับสนุนมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ให้แก่ภาคเกษตรกรรม โดยการประยุกต์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม การพัฒนาภาคธุรกิจในประเทศกำลังพัฒนาเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากการเข้าสู่ตลาดที่มีอยู่เดิมและตลาดใหม่ได้อย่างเต็มที่ การประเมิน/วิเคราะห์ผลกระทบ (ทั้งทางบวกและทางลบ) ของ ICT ต่อการพัฒนา และแนวทางในการดำเนินการและการส่งเสริมความร่วมมือทั้งในและระหว่างประเทศในการเฝ้าระวังและลดผลกระทบทางลบ รวมทั้งการบริหารความเสี่ยงในภาวะวิกฤติจากภัยพิบัติ เป็นต้น นอกจากนี้ UNCTAD ควรส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งให้ความช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการศึกษาวิจัยในด้านพลังงานทางเลือก และการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร เพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตทางอาหารและพลังงานในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31023 | แผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการบริหารจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๕ เกี่ยวกับแผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด คำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่เลขาธิการ ก.พ.ร. กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการเสนอ โดยมีผลการพิจารณา ดังนี้
๑. เห็นชอบกับแผนพัฒนาจังหวัด จำนวน ๗๖ จังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด จำนวน ๑๘ กลุ่มจังหวัด ตามความเห็นของอนุกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (อ.ก.น.จ.) ด้านแผนและด้านงบประมาณ โดยเห็นว่าภาพรวมแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดมีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับนโยบายของรัฐบาล แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค รวมถึงยุทธศาสตร์รายสาขา รวมทั้งความสอดคล้องกับศักยภาพ โอกาส สภาพปัญหา และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ๒. เห็นชอบแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด ๗๖ จังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ๗๖ จังหวัด/๑๘ กลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามความเห็นของ อ.ก.น.จ. ด้านแผนและด้านงบประมาณ โดยมีโครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุนงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ดังนี้ ๒.๑ โครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุน เป็นงบประมาณกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด จำนวน ๓๐๘ โครงการ รวม ๗,๑๗๗,๘๑๖,๗๙๔ บาท ๒.๒ โครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุน เป็นงบประมาณจังหวัด ๗๖ จังหวัด จำนวน ๒,๙๑๖ โครงการ รวม ๑๘,๘๖๐,๙๗๓,๘๐๔ บาท ทั้งนี้ โครงการที่เห็นควรสนับสนุนข้างต้นเป็นโครงการที่สอดคล้องกับประเด็นยุทธศาสตร์จังหวัด/กลุ่มจังหวัด แต่จากข้อจำกัดทางด้านงบประมาณอาจไม่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการ ดังนั้น กรณีที่มีการพิจารณาต้นทุนต่อหน่วยของโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้วยังมีงบประมาณเหลืออยู่ เห็นชอบให้นำโครงการที่ไม่ได้รับการจัดสรรมาพิจารณาสนับสนุนเพิ่มเติมตามลำดับความสำคัญหรือที่สำรองไว้ในกรณีที่มีการแปรญัตติงบประมาณเพิ่มเติม ๒.๓ ในส่วนของโครงการที่ดำเนินการโดยกระทรวง ทบวง กรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐ หรือเอกชนตามที่ปรากฏในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ มอบให้จังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดประสานขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ๓. ให้คณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) และคณะกรรมการบริหารงานกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.ก.) พิจารณาแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แล้วแต่กรณี ว่ามีโครงการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล ซึ่งได้แก่ การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ การเชื่อมโยงระบบสาธารณูปโภคให้สอดคล้องกัน และการพัฒนาเตรียมการเพื่อการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอยู่ในกรอบวงเงินงบประมาณที่จะได้รับการจัดสรรหรือไม่ หากไม่มีและต้องการปรับปรุงแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด หรือแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัดให้สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของรัฐบาลดังกล่าว ให้ ก.บ.จ. หรือ ก.บ.ก. ปรับปรุงแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด หรือแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด โดยการทำโครงการที่ ก.น.จ. ให้ความเห็นชอบในหลักการ ซึ่งอยู่ในกรอบวงเงินงบประมาณที่จะได้รับการจัดสรรไปเป็นโครงการสำรอง แล้วเสนอโครงการใหม่ หรือนำโครงการสำรองมาแทนที่โครงการเดิม และหากโครงการใหม่นั้นไม่อยู่ในแผนพัฒนาจังหวัด หรือแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ให้ ก.บ.จ. หรือ ก.บ.ก. ปรับปรุงแผนพัฒนาจังหวัด หรือแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แล้วส่งให้ฝ่ายเลขานุการ ก.น.จ. และสำนักงบประมาณ ภายในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และให้ฝ่ายเลขานุการ ก.น.จ. รวบรวมเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาปรับปรุงแผนดังกล่าวโดยตรงต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
31024 | ขอปรับสารัตถะในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับระบบการจัดการน้ำแบบบูรณาการระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน | วท | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการปรับสารัตถะในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับระบบการจัดการน้ำแบบบูรณาการระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงทรัพยากรน้ำ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันพัฒนาระบบการจัดการน้ำแบบบูรณาการบนหลักการของผลประโยชน์ร่วมกัน ๑.๑.๒ ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะกรรมการร่วมระดับรัฐมนตรีเพื่อดูแล เสนอแนะและประสานความร่วมมือในด้านการจัดการน้ำแบบบูรณาการ ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้องจากทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายจีน ๑.๑.๓ ทั้งสองฝ่ายจะหารือรูปแบบสำหรับการศึกษาความเป็นไปได้ในความร่วมมือในระบบการจัดการน้ำแบบบูรณาการ ซึ่งครอบคลุมถึงการวางแผนการอนุรักษ์พื้นที่ต้นน้ำ การวางแผนควบคุมอุทกภัยและลดความเสียหาย การวางแผนการใช้ทรัพยากรน้ำ การวางแผนเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เชื่อมโยงกับทรัพยากรน้ำ การวางแผนการบริหารลุ่มน้ำ และการวางแผนเพื่อป้องกันน้ำทะเลท่วมในอ่าวไทย ๑.๑.๔ สารัตถะของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบไว้เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบการแก้ไขคู่ภาคีฝ่ายสาธารณรัฐประชาชนจีน จากกระทรวงทรัพยากรน้ำ เป็นกระทรวงพาณิชย์ ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การเสนอเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย)
|
|||||||||||||||||||||||||||
31025 | การแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม | พณ | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๕ และผลการประชุมหารือกับโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีการนำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศเท่าที่จำเป็น เพื่อมิให้กระทบต่อเกษตรกร หลังจากนั้นให้ประเมินสถานการณ์เป็นระยะ หากยังมีความจำเป็นต้องนำเข้าเพิ่มเติม ก็ให้พิจารณาทยอยนำเข้าครั้งละไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ ตัน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยเบื้องต้นกำหนดให้มีการนำเข้ารวมไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ ตัน โดยมีกรอบการนำเข้า ดังนี้ ๑.๑ ให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) เป็นผู้นำเข้าน้ำมันปาล์ม (อคส. ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าภายใต้ตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน) ตามปริมาณที่กำหนดในราคาที่เหมาะสม ๑.๒ กรมการค้าภายในเป็นผู้จัดสรรน้ำมันปาล์มดิบ ให้แก่สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม เพื่อจำหน่ายต่อให้แก่โรงกลั่นน้ำมันปาล์มผลิตน้ำมันพืชปาล์ม และจำหน่ายปลีกในราคาไม่เกินขวดลิตรละ ๔๒.๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ประเมินสถานการณ์และผลกระทบต่าง ๆ แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาความจำเป็นในการนำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศเพิ่มเติมตามแต่กรณีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
31026 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงมหาดไทย | มท | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญสังกัดกระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๑๐ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. นายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลวุฒิ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายบุญเชิด คิดเห็น ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมที่ดิน ๓. นายธวัชชัย เทิดเผ่าไทย ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดลำปาง ๔. นายเสนีย์ จิตตเกษม ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดระยอง ๕. นายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดตรัง ๖. นายเชิดศักดิ์ ชูศรี ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๗. นายสมศักดิ์ ชำทวีพรหม ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๘. นายวันชาติ วงษ์ชัยชนะ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดร้อยเอ็ด ๙. นายชัยโรจน์ มีแดง ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดพิษณุโลก ๑๐. นายปรีชา เรืองจันทร์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดนครสวรรค์
|
|||||||||||||||||||||||||||
31027 | การจัดทำบันทึกความตกลงด้านการศึกษาไทย - จีน (ฉบับใหม่) | ศธ | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศซึ่งเดินทางร่วมไปกับคณะของนายกรัฐมนตรี ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๑๙ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นผู้ลงนามในบันทึกความตกลงด้านการศึกษาไทย - จีน (ฉบับใหม่) แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการซึ่งติดภารกิจจำเป็นเร่งด่วน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31028 | ระบบการรายงานและเตือนภัยแผ่นดินไหวและสึนามิ | นร | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับไปกำกับติดตามและบูรณาการระบบการรายงานและเตือนภัยแผ่นดินไหวและสึนามิของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (กรมอุตุนิยมวิทยา และศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรธรณี) เป็นต้นไป ให้เป็นระบบ มีเอกภาพ และถูกต้อง รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ รวมทั้งให้ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติดำเนินการจัดทำกระบวนการและขั้นตอน (flow chart) การติดตามรายงานข้อมูลและแจ้งเตือนภัยแผ่นดินไหวและสึนามิ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
31029 | การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี | นร | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี โดยให้หน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นเจ้าของเรื่องเร่งจัดทำเรื่องที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้อง เป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วนที่สุด โดยอย่างช้าสุดให้ส่งถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในเวลา ๑๘.๐๐ น. ของแต่ละวัน หากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับเรื่องหลังจากเวลา ๑๘.๐๐ น. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะดำเนินการในวันถัดไป ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่เป็นเจ้าของเรื่องถือปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวอย่างเคร่งครัดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
31030 | รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี 2554 | ผผ | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องต่าง ๆ พร้อมทั้งข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะที่เสนอต่อหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่ ๑.๑ ผลการดำเนินงานด้านการสอบสวนข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียน มีเรื่องร้องเรียนที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินรับไว้พิจารณาดำเนินการทั้งสิ้น ๓,๖๑๕ เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒,๓๕๔ เรื่อง โดยมีตัวอย่างเรื่องร้องเรียน ได้แก่ เรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เรื่องร้องเรียนกรณีกฎ คำสั่งหรือการกระทำมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมาย เรื่องร้องเรียนกรณีการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เรื่องร้องเรียนกรณีการปฏิบัติหน้าที่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเรียน และเรื่องร้องเรียนกรณีการละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเรียน ๑.๒ ผลการดำเนินงานด้านการตรวจสอบองค์กรตามรัฐธรรมนูญและองค์กรในกระบวนการยุติธรรม ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ดำเนินการเกี่ยวกับการตรวจสอบการละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายขององค์กรตามรัฐธรรมนูญและองค์กรในกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนเชิงระบบ ได้แก่ การศึกษาเรื่อง “การบริหารจัดการน้ำท่วมและอุทกภัยของประเทศไทย” การศึกษาเรื่อง “ตัวแทนอำพราง” การศึกษาเรื่อง “การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในกรณีหญิงมีสามี” และการศึกษาเรื่อง “การบริหารจัดการปัญหาจราจรของกรุงเทพมหานครในเชิงระบบ” ๒. ผลการปฏิบัติของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้ดำเนินการ หรือไม่ดำเนินการตามข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ดำเนินการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียน และมีข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงาน จำนวนทั้งสิ้น ๑๕๘ เรื่อง และมีการติดตามเพื่อให้หน่วยงานปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงานตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ ๓. การไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๕ ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๒ ของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๔. ผลการดำเนินงานด้านจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้แก่ การเสนอแนะหรือให้คำแนะนำในการจัดทำหรือปรับปรุงประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภท การส่งเสริมให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีจิตสำนึกในด้านจริยธรรม และการรายงานการกระทำที่มีการฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมเพื่อให้ผู้ที่รับผิดชอบในการบังคับการให้เป็นไปตามประมวลจริยธรรมดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามประมวลจริยธรรม ๕. ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ติดตามผลการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ในเรื่องกฎหมายที่ต้องดำเนินการ มาตรการที่ต้องดำเนินการ และการไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ๖. อุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินและข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหา ได้แก่ ปัญหาการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การดำเนินการด้านจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ การประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้จักและเข้าใจเกี่ยวกับผู้ตรวจการแผ่นดินอย่างถูกต้อง ความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชน และงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไม่เพียงพอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31031 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2553 | พม | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. ๒๕๕๓ ของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อมูลประชากรผู้สูงอายุไทย ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงวัย (Aging Society) ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๑.๙ ในระยะเวลา ๑๐ - ๒๐ ปีข้างหน้า ในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ เพิ่มมากกว่า ๒ เท่าตัว ประชากรของประเทศไทยจะยิ่งมีอายุเพิ่มสูงขึ้น วัยแรงงาน ๖ คน ที่ให้การดูแลเกื้อหนุนผู้สูงอายุ ๑ คน อีก ๒๐ ปีข้างหน้าจะมีคนในวัยแรงานเหลือเพียง ๒ คน ที่ต้องรับภาระในการดูแลผู้สูงอายุ ๑ คน ประชากรผู้สูงอายุของไทยมีประมาณ ๘ ล้านคน และจะเพิ่มเป็นเท่าตัวคือ ประมาณ ๑๗ ล้านคนในอีก ๒๐ ปีข้างหน้า ประชากรผู้สูงอายุวัยปลาย (อายุ ๘๐ ปีขึ้นไป) จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุก ๆ ช่วง ๑๐ ปี ๒. สถานการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจของผู้สูงอายุไทย ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีปัญหาสุขภาพ การเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ๖ ลำดับ ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมองตีบ อัมพาต/อัมพฤกษ์ และโรคมะเร็ง โดยผู้สูงอายุหญิงมีสัดส่วนการเจ็บป่วยสูงกว่าเพศชาย ผู้สูงอายุจำนวนมากยังคงทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว และมีแนวโน้มทำงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๖.๖ โดยเฉพาะผู้สูงอายุเพศชายทำงานมากกว่าผู้สูงอายุเพศหญิง ผู้สูงอายุส่วนใหญ่อ่านออกเขียนได้ จำนวน ๕.๓ ล้านคน จากจำนวนผู้สูงอายุทั่วประเทศ หรือคิดเป็นร้อยละ ๗๖.๑๐ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จบการศึกษาในระดับประถมศึกษา ร้อยละ ๖๘.๙๒ ๓. ระบบสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุ การสร้างหลักประกันด้านรายได้สำหรับผู้สูงอายุ เป็นสวัสดิการด้านการประกันชราภาพภายใต้กองทุนต่าง ๆ อาทิ กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสวัสดิการชุมชน การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การบริการทางสังคม เป็นการดำเนินงานภายใต้พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. ๒๕๔๖ ที่กำหนดสิทธิในด้านต่าง ๆ ให้ผู้สูงอายุ อาทิ ด้านสุขภาพ ด้านการศึกษา ด้านการส่งเสริมการมีงานทำ ด้านที่อยู่อาศัย ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และด้านบริการสาธารณะและนันทนาการ การช่วยเหลือทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุ ได้แก่ การช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ประสบปัญหาด้านปัจจัยสี่ การให้คำปรึกษาปัญหาต่าง ๆ และการสร้างเครือข่ายและภาคีหุ้นส่วนทางสังคม โดยการสนับสนุนพัฒนาศักยภาพชมรมผู้สูงอายุให้มีความเข้มแข็ง สามารถดำเนินกิจกรรม พัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31032 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าแม่ยม ป่าแม่ต๋ำ และป่าแม่ร่องขุย ในท้องที่ตำบลปง ตำบลควร ตำบลขุนควร อำเภอปง ตำบลบ้านถ้ำ ตำบล หนองหล่ม ตำบลบ้านปิน อำเภอดอกคำใต้ และตำบลสระ ตำบลเชียงม่วน ตำบลบ้านมาง อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติดอยภูนาง) | ทส | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าแม่ยม ป่าแม่ต๋ำ และป่าแม่ร่องขุย ในท้องที่ตำบลปง ตำบลควร ตำบลขุนควร อำเภอปง ตำบลบ้านถ้ำ ตำบลหนองหล่ม ตำบลบ้านปิน อำเภอดอกคำใต้ และตำบลสระ ตำบลเชียงม่วน ตำบลบ้านมาง อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณที่ดินป่าแม่ยม ป่าแม่ต๋ำ และป่าแม่ร่องขุย ในท้องที่ตำบลปง ตำบลควร ตำบลขุนควร อำเภอปง ตำบลบ้านถ้ำ ตำบลหนองหล่ม ตำบลบ้านปิน อำเภอดอกคำใต้ และตำบลสระ ตำบลเชียงม่วน ตำบลบ้านมาง อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ (อุทยานแห่งชาติดอยภูนาง) เพื่อสงวนไว้ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิม มิให้ถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงไป เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมย์ของประชาชน และเพื่ออำนวยประโยชน์อื่นแก่รัฐและประชาชน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31033 | รายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินประจำปี พ.ศ. 2553 | ปง | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ด้านการปราบปรามการฟอกเงิน ๑.๑.๑ สำนักงาน ปปง. ได้รับรายงานการทำธุรกรรม จำนวนทั้งสิ้น ๒,๓๒๔,๘๗๙ ธุรกรรม ได้แก่ ธุรกรรมเงินสด จำนวน ๖๙๓,๓๘๑ ธุรกรรม ธุรกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน จำนวน ๗๕๐,๒๕๒ ธุรกรรม ธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย จำนวน ๘๗๖,๙๘๒ ธุรกรรม การรับเรื่อง/การแจ้งเบาะแส จำนวน ๒๙๙ ธุรกรรม และเงินสดข้ามแดน จำนวน ๓,๙๖๕ ธุรกรรม ๑.๑.๒ การดำเนินการตรวจสอบวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับแจ้งแยกตามความผิดมูลฐาน ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ จำนวนรวมทั้งสิ้น ๕๒๑ เรื่อง ซึ่งทั้งหมดอยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ ๑.๑.๓ การดำเนินคดีตามที่คณะกรรมการธุรกรรมได้มีคำสั่งยึดและ/หรืออายัดทรัพย์สิน ตั้งแต่วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ มูลค่าทรัพย์สินรวม ๔,๑๒๖,๘๐๑,๗๑๘.๙๗ บาท โดยศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน จำนวน ๕๔๐ คดี มูลค่าทรัพย์สิน ๒,๔๓๙,๘๙๖,๒๗๒.๐๕ บาท และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล จำนวน ๕๓ คดี มูลค่าทรัพย์สิน ๕๖๐,๔๑๓,๙๓๙.๖๖ บาท ๑.๑.๔ การบริหารจัดการทรัพย์สินที่ได้จากการยึดและ/หรืออายัดทรัพย์สิน โดยขายทอดตลาดทรัพย์สิน จำนวน ๓๙ รายการ มูลค่า ๑,๖๖๓,๗๕๐ บาท ส่งคืนทรัพย์สินแก่เจ้าทรัพย์ในกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินสามารถแสดงให้ศาลเห็นว่าตนเป็นเจ้าของแท้จริงและทรัพย์สินนั้นไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำนวน ๒ คดี มูลค่า ๒,๐๑๖,๖๕๘.๔๓ บาท ๑.๑.๕ นำทรัพย์สินที่ศาลสั่งตกเป็นของแผ่นดินส่งกระทรวงการคลัง จำนวน ๑๒ คดี มูลค่า ๑๕,๑๖๓,๙๘๒.๓๗ บาท ๑.๒ ด้านการป้องกันการฟอกเงิน สำนักงาน ปปง. ได้ร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนประชาชนทั่วไป ดังนี้ ๑.๒.๑ ส่งเสริมและประสานความร่วมมือกับภาคประชาชน ได้แก่ โครงการสายลับ ปปง. โครงการเครือข่ายภาคประชาชน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแก่ประชาชน เป็นต้น ๑.๒.๒ ส่งเสริมและประสานความร่วมมือกับต่างประเทศ ได้แก่ จัดทำบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินเพื่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ร่วมมือในฐานะสมาชิกกลุ่มองค์กรระหว่างประเทศ/ความร่วมมือในภูมิภาค ฝึกอบรม/ดูงาน เป็นต้น ๒. เห็นชอบให้สำนักงาน ปปง. รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลที่มีจำนวนบุคลากรไม่เพียงพอที่จะรองรับภารกิจสำคัญที่จะต้องปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เห็นควรให้สำนักงาน ปปง. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ [เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖)] ในส่วนของมาตรการบริหารจัดการกำลังคนเชิงยุทธศาสตร์ โดยทบทวนบทบาทภารกิจและเกลี่ยอัตรากำลังเพื่อให้การใช้กำลังคนเหมาะสมกับลักษณะงานและปริมาณงานของหน่วยงานในสังกัดก่อน หากดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวแล้วอัตรากำลังไม่เพียงพอ ก็ให้นำเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐพิจารณาจัดสรรอัตรากำลังให้ตามความจำเป็นและเหมาะสม สำหรับการกำหนดเงินเพิ่มพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ปปง. ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การกำหนดตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษและการกำหนดอัตราเงินเพิ่มของข้าราชการพลเรือนในภาพรวม เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำและมีความเป็นธรรมในภาคราชการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. เห็นชอบให้นำความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการกำหนดอัตรากำลังและการกำหนดเงินพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ปปง. รวมทั้งการปรับปรุงโครงสร้างใหม่ของสำนักงาน ปปง. เป็นข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี และให้นำรายงานพร้อมทั้งข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
31034 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี และผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๖ ประธานผู้แทนการค้าไทย และผู้แทนการค้าไทย ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยผู้แทนการค้าไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31035 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับระบบการจัดการน้ำแบบบูรณาการระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐ ประชาชนจีน | กต | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับระบบการจัดการน้ำแบบบูรณาการระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน (Memorandum of Understanding Concerning Feasibility Study For Cooperation on a Comprehensive Water Management System between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of China) โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ สองฝ่ายจะร่วมมือพัฒนาระบบการจัดการน้ำแบบบูรณาการบนหลักการของผลประโยชน์ร่วมกัน ๑.๑.๒ สองฝ่ายจะจัดตั้งคณะกรรมการร่วมระดับรัฐมนตรีเพื่อดูแล เสนอแนะ และประสานความร่วมมือในด้านการจัดการน้ำแบบบูรณาการ ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานรัฐ องค์กรทางการเงิน และบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องจากฝ่ายไทยและฝ่ายจีน ๑.๑.๓ สองฝ่ายจะหารือรูปแบบสำหรับการศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมมือในระบบการจัดการน้ำแบบบูรณาการ ซึ่งรวมถึงครอบคลุมการวางแผนการอนุรักษ์พื้นที่ต้นน้ำ การวางแผนควบคุมน้ำท่วมและลดความเสียหาย การวางแผนการใช้ทรัพยากรน้ำ การวางแผนเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เชื่อมโยงกับทรัพยากรน้ำ การวางแผนการบริหารลุ่มน้ำ และการวางแผนเพื่อป้องกันน้ำทะเลท่วมในอ่าวไทย ๑.๑.๔ ผลการศึกษาความเป็นไปได้จะนำไปเป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาระบบการจัดการน้ำแบบบูรณาการต่อไปโดยให้สอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของทั้งสองฝ่าย ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนามดังกล่าว ๑.๓ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศเพื่อขอให้จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็มให้แก่ผู้ลงนามเพื่อแสดงแก่ฝ่ายจีนในโอกาสที่มีการลงนาม โดยฝ่ายจีนจะต้องแสดงหนังสือมอบอำนาจเต็มแก่ฝ่ายไทยในลักษณะเดียวกัน ๑.๔ หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบันทึกร่างความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใช้ดุลพินิจพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้ตัดข้อความในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนของบทที่ ๓ Areas of Cooperation ย่อหน้าที่ ๔ ความว่า “The outcome of … by both sides” ออกทั้งย่อหน้า ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอเพิ่มเติม ๓. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การเสนอเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยึดหลักการบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริเป็นหลักในการพิจารณาวางระบบการบริหารจัดการน้ำของไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||
31036 | เอกสารสำหรับการลงนามในช่วงการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | พณ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบเอกสารสำหรับการลงนามในช่วงการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำนวน ๓ ฉบับ และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก โดยเอกสารดังกล่าวประกอบด้วย ๑.๑.๑ ร่างแผนพัฒนาระยะ ๕ ปี ไทย - จีน (๒๐๑๒ - ๒๐๑๖) ภายใต้ความตกลงการขยายความร่วมมือทวิภาคีทางเศรษฐกิจและการค้าในเชิงกว้างและเชิงลึกระหว่างไทยและจีน ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าในเชิงกว้างและเชิงลึกระหว่างไทย - จีน โดยแผนพัฒนาฯ จะเป็นยุทธศาสตร์กำหนดทิศทางและเป้าหมายความร่วมมือระหว่างไทย - จีน ในระยะ ๕ ปีข้างหน้าที่ชัดเจน และกำหนดรายละเอียดความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและการค้าที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ประโยชน์ร่วมกัน อาทิ เกษตร ภาคการผลิต สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และการท่องเที่ยว เป็นต้น ตลอดจนกลไกการดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาระยะ ๕ ปี ๑.๑.๒ ร่าง MOU ความร่วมมือด้านการค้าสินค้าเกษตร มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคการค้าสินค้าเกษตรร่วมกัน โดยกำหนดกลไกการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคการค้าสินค้าเกษตร ตลอดจนกิจกรรมส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรระหว่างกัน ๑.๑.๓ ร่าง MOU ความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับ State Administration for Industry and Commerce (SAIC) มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับความร่วมมือที่มีอยู่ในระดับกรมปฏิบัติ เป็นความร่วมมือภาพรวมในระดับกระทรวง สาระสำคัญของ MOU คือ การกำหนดกลไกการหารือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกิจกรรมการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันทางการค้า ทรัพย์สินทางปัญญา การจดทะเบียนธุรกิจ และการอำนวยความสะดวกทางการค้าให้กับผู้ประกอบการและนักลงทุนของทั้งสองฝ่าย ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในเอกสารทั้ง ๓ ฉบับ หรือหากติดภารกิจ ให้มอบหมายผู้อื่นลงนามแทนต่อไป ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การเสนอเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) ทั้งนี้ เอกสารความร่วมมือฯ ที่กระทรวงพาณิชย์จะไปลงนามทั้ง ๓ ฉบับ จะต้องไม่มีผลเป็นการลบล้าง (overrule) ข้อตกลงหรือความร่วมมือใด ๆ ระหว่างไทย - จีน ที่มีอยู่ก่อนแล้ว และหากข้อตกลงหรือความร่วมมือเรื่องใดเกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น (Sectoral Ministries) ให้กระทรวงพาณิชย์เชิญผู้แทนของหน่วยงานนั้น ๆ มาร่วมเป็นคณะทำงาน (sub working group) เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31037 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | คค | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Memorandum of Understanding Concerning Feasibility Study For Cooperation on Railway Development between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of China) โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ การจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ เป็นผลสืบเนื่องจากการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในสาขาการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ โดยเป็นบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย - จีน ๑.๑.๒ การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ เป็นไปตามหลักการของผลประโยชน์ร่วมกันและการจัดการภายใต้กรอบระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล และเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของทั้งสองประเทศ ๑.๑.๓ ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะกรรมการร่วมในระดับรัฐมนตรี เพื่อควบคุม แนะนำ และประสานงานความร่วมมือตามที่ระบุไว้ในบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๑.๔ ทั้งสองฝ่ายจะหารือเกี่ยวกับวิธีการสำหรับการศึกษาความเป็นไปได้สำหรับความร่วมมือด้านการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง รวมถึงเทคโนโลยีด้านวิศวกรรมโดยเฉพาะการเชื่อมต่อเส้นทางกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ และระบบรางต่าง ๆ ที่สามารถเชื่อมต่อ สปป.ลาว ไทย และประเทศกลุ่มอาเซียนอื่น ๑.๑.๕ ฝ่ายจีนจะดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟ ๑.๑.๖ กำหนดให้เสนอรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟต่อคณะกรรมการร่วมภายในระยะเวลา ๓ เดือน ภายหลังการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้แทนสำหรับการลงนามดังกล่าว ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนการลงนามและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้กระทรวงคมนาคมสามารถดำเนินการได้โดยประสานกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การเสนอเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย)
|
|||||||||||||||||||||||||||
31038 | การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) | พณ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการรับเรื่อง การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้นำความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในครั้งนี้ อคส. ควรมีการวางแผนการนำเข้าและระบายผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้ชัดเจนและเหมาะสม เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสามารถช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์รายย่อยได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม และไม่เกิดภาระการขาดทุนจากการดำเนินการ และควรเร่งนำเข้าก่อนผลผลิตฤดูกาลใหม่ที่จะออกสู่ตลาดในช่วงเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เกษตรกรขายได้ภายในประเทศให้ตกต่ำ รวมทั้งควรมีกลไกในการติดตามผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิดด้วย ในขณะเดียวกันต้องเร่งดำเนินการปิดบัญชีโครงการโดยเร็ว เพื่อลดภาระงบประมาณเงินแผ่นดินที่จะต้องนำไปชำระดอกเบี้ยเงินกู้และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ นอกจากนี้ ควรเร่งสนับสนุนการดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมควบคู่ไปด้วย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ซึ่งจะเป็นการช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรรายย่อยจากการรวมกลุ่มเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
31039 | โครงการรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังปี 2554/55 | พณ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ โดยการให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) รับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากลานมัน/โรงแป้งที่เข้าร่วมโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ ด้วยวิธีการประมูล ทั้งนี้ โดยมีเงื่อนไขให้ลานมัน/โรงแป้งที่ขายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้ อคส. ต้องเร่งดำเนินการรับจำนำหัวมันสดจากเกษตรกรโดยเร่งด่วน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ในส่วนของค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินโครงการฯ วงเงินรวม ๑๑,๓๔๑.๒๓ ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย วงเงินหมุนเวียนรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากลานมัน/โรงแป้งที่เข้าร่วมโครงการฯ ระหว่างเมษายน - พฤษภาคม ๒๕๕๕ วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ค่าใช้จ่ายธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นเงินจ่ายขาดเป็นค่าดอกเบี้ยเงินทุนหมุนเวียน ๓.๗๕% ระยะเวลา ๑ ปี วงเงิน ๓๗๕ ล้านบาท และค่าใช้จ่าย อคส. เป็นค่าดำเนินการรับซื้อ ค่า Overhead ค่าฝากเก็บ ค่าพลิกกอง ค่าตรวจสอบคุณภาพ และค่าแรงงานกรรมกร รวม ๙๖๖.๒๓ ล้านบาท ให้กระทรวงพาณิชย์ตกลงในรายละเอียดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป และให้กระทรวงพาณิชย์รายงานข้อมูลการรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากลานมันและโรงแป้งให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ และให้เร่งระบายมันเส้นและแป้งมันจากสต็อกของรัฐบาลที่รับจำนำไว้ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ ด้วย และเมื่อจะจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังดังกล่าว ให้กระทรวงพาณิชย์นำข้อมูลราคาจำหน่ายเสนอคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการจำหน่าย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดมาตรการควบคุมและตรวจสอบการดำเนินงานของผู้ประกอบการลานมัน/โรงแป้งที่ขายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้แก่ อคส. ในการรับจำนำผลผลิตหัวมันสดจากเกษตรกรเพิ่มขึ้นภายหลังจากที่รัฐได้ช่วยระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของโรงงานไปบางส่วนแล้ว รวมทั้งพิจารณามาตรการแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในพื้นที่ที่ยังไม่มีผู้ประกอบการลานมัน/โรงแป้งที่เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อรับจำนำผลผลิตหัวมันสดจากเกษตรกรได้อย่างทั่วถึงต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
31040 | แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม | กษ | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากโรงงานผู้ผลิตผลิตภัณฑ์นมประสบปัญหาอุทกภัย โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินไม่เกิน ๗๓ ล้านบาท โดยใช้วงเงินงบกลางฯ ส่วนที่เหลือที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม อันเนื่องมาจากเหตุการณ์อุทกภัย) และมีวงเงินส่วนที่เหลืออยู่จำนวน ๘๘.๓๘ ล้านบาท เพื่อให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย) จัดซื้อผลิตภัณฑ์นม ยู.เอช.ที. และนมพาสเจอร์ไรส์ จากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการแก้ไขปัญหาน้ำนมดิบไม่มีที่จำหน่าย โดยรับซื้อนมดิบรวมประมาณ ๒,๐๐๐ ตัน และให้กระทรวงพาณิชย์รับไปบริหารจัดการด้านการตลาดและการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมดังกล่าวผ่านช่องทางต่าง ๆ แล้วนำเงินรายได้ส่งคืนคลังต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาในรายละเอียดในการดำเนินการต่าง ๆ ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยยึดหลักการใช้จ่ายอย่างประหยัด คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด แล้วเร่งดำเนินการโดยเร็วต่อไป
|
.....