ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1559 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 31161 - 31180 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31161 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองปราจีนบุรี พ.ศ. .... | นร | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองปราจีนบุรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลบ้านพระ ตำบลดงพระราม ตำบลหน้าเมือง ตำบลรอบเมือง ตำบลบางบริบูรณ์ และตำบลท่างาม อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31162 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกรณีการบริจาคเงินและทรัพย์สินให้แก่กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม) | กค | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับการบริจาคให้แก่กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมตามกฎหมายว่าด้วยวัฒนธรรมแห่งชาติ โดยกรณีบุคคลธรรมดา ให้ยกเว้นสำหรับเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนเท่าจำนวนเงินที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคแล้วต้องไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนนั้น ส่วนกรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ให้ยกเว้นสำหรับเงินได้เท่าจำนวนเงินหรือราคาทรัพย์สินที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะ หรือเพื่อการสาธารณประโยชน์แล้ว ต้องไม่เกินร้อยละสองของกำไรสุทธิ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าวอาจส่งผลต่อการจัดเก็บภาษีแม้จะเป็นจำนวนเล็กน้อย แต่เมื่อรวมกับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอื่น ๆ ที่รัฐบาลมีมติยกเว้นรัษฎากรในช่วงที่ผ่านมา อาจทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ทางภาษีจากข้อยกเว้นรัษฎากรไปจำนวนหนึ่ง ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการศึกษาและทบทวนการยกเว้นประมวลรัษฎากรในช่วงที่ผ่านมาเพื่อหาแนวทางการยกเลิกรายการ การยกเว้นต่าง ๆ ในประมวลรัษฎากรในส่วนที่ไม่จำเป็นเพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการจัดเก็บภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับภาครัฐมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
31163 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2555 พ.ศ. .... | มท | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๔ มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๕ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๔ ซึ่งใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ทั้งนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31164 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ที่ กม. 31+284.46 - กม. 45+986.31 (ทางหลวงพิเศษหมายเลข 37 เดิม) เป็นทางหลวงที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์ พ.ศ. .... | คค | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางหลวงพิเศษหมายเลข ๙ สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ที่ กม. ๓๑+๒๘๔.๔๖ - กม. ๔๕+๙๘๖.๓๑ (ทางหลวงพิเศษหมายเลข ๓๗ เดิม) เป็นทางหลวงที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางหลวงพิเศษหมายเลข ๙ สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ที่ กม. ๓๑ + ๒๘๔.๔๖ - กม. ๔๕ + ๙๘๖.๓๑ (ทางหลวงพิเศษหมายเลข ๓๗ เดิม) ช่วงทางแยกต่างระดับบางขุนเทียน - ทางแยกต่างระดับสุขสวัสดิ์ เป็นทางหลวงที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวง ตามประกาศของยานยนตร์และในอัตราตามบัญชีท้ายกฎกระทรวง ดังนี้ รถยนต์ไม่เกิน ๔ ล้อ เสียในอัตรา ๑๕ บาท รถยนต์เกิน ๔ ล้อ แต่ไม่เกิน ๖ ล้อ เสียในอัตรา ๒๕ บาท และรถยนต์เกิน ๖ ล้อ เสียในอัตรา ๓๕ บาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับเงินรายได้ค่าธรรมเนียมผ่านทางให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกรมทางหลวงว่าด้วยเงินทุนค่าธรรมเนียมผ่านทาง พ.ศ. ๒๕๔๙ และดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การโอนทางหลวงพิเศษวงแหวนกาญจนาภิเษกด้านใต้ช่วงถนนพระรามที่ ๒ ถึงถนนสุขสวัสดิ์) ที่กำหนดให้มีการพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับการจัดทำข้อตกลง ระเบียบ หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเบิกจ่ายเงินที่จัดเก็บได้ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31165 | การลงนามกรอบความร่วมมือระหว่างไทยกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ระหว่างปี 2555 - 2559 | กษ | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบความร่วมมือ Country Programming Framework (CPF) 2012 - 2016 และกิจกรรมหรือโครงการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าว โดยประเด็นสำคัญ (Priority Areas) ในกรอบความร่วมมือฯ มี ๖ ประเด็น ได้แก่ (๑) การบรรเทาความยากจนและลดความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม โดยการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน (๒) การปรับตัวและการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศและภัยธรรมชาติ และการส่งเสริมการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน (๓) การสนับสนุนการรวมตัวของอาเซียน ความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา และความร่วมมือด้านการเกษตรระดับภูมิภาคอื่น ๆ (๔) การสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและคุณภาพอาหาร ส่งเสริมการค้า และการมีอาหารบริโภคอย่างเพียงพอ (๕) การสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรเกษตรกร และการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและเยาวชนในชนบท และ (๖) การปรับนโยบายด้านความมั่นคงทางอาหารและด้านพลังงานชีวภาพให้มีความสอดคล้องกัน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงกรอบความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ลงนามกรอบความร่วมมือฯ ร่วมกับผู้แทนองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการให้ความสำคัญในกิจกรรมที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการแก้ปัญหาและ/หรือเพิ่มขีดความสามารถของเกษตรกรรายย่อยและภาคเกษตรของไทย และการมีหน่วยงานเฉพาะทางภายใต้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้มีส่วนร่วมสนับสนุนในโครงการที่มีความต้องการความเชี่ยวชาญเพิ่มเติมตามความเหมาะสม การให้ความสำคัญกับการปรับตัวและการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติ การเพิ่มเรื่องการป้องกัน การปรับตัวและการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศและภัยธรรมชาติ และการส่งเสริมการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เข้าไว้ในรอบความร่วมมือฯ การจัดเรียงลำดับความสำคัญของกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้กรอบความร่วมมือฯ และการดำเนินกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ในลักษณะของการบูรณาการร่วมกันเพื่อให้การเสนอขอตั้งงบประมาณมีความชัดเจน ไม่ซ้ำซ้อนและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งการต่อยอดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ภายใต้กรอบความร่วมมือฯ จากแผนงานปกติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้มีการดำเนินงานอยู่แล้ว โดยใช้องค์ความรู้และความชำนาญทางวิชาการ โดยเฉพาะด้านนโยบายการพัฒนาทางการเกษตรของ FAO เพื่อส่งเสริมให้กิจกรรมมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อจะได้มีการปรับปรุงและแก้ไขให้การทำงานเกิดการบูรณาการโดยเฉพาะโครงการในระดับพื้นที่ที่ได้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอยู่แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31166 | การลงนามพิธีสารเสริมนาโงยา-กัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยการรับผิดและชดใช้ ตามพิธีสารคาร์ตาเฮนาว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพ | ทส | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ลงนามพิธีสารเสริมนาโงยา - กัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยการรับผิดและชดใช้ตามพิธีสารคาร์ตาเฮนาว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพ โดยสาระสำคัญของพิธีสารเสริมฯ มีดังนี้ ๑.๑.๑ พิธีสารเสริมฯ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกลไกการดำเนินงานตามมาตรา ๒๗ ของพิธีสารคาร์ตาเฮนาว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพ และมาตรา ๑๙ ของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพที่กำหนดให้มีการควบคุมดูแลเทคโนโลยีชีวภาพให้มีความปลอดภัยต่อความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์ ด้วยการจัดเตรียมหลักเกณฑ์และวิธีการระหว่างประเทศในเรื่องของการรับผิดและชดใช้ที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม ๑.๑.๒ หลักการของพิธีสารเสริมฯ กำหนดให้ผู้ประกอบกิจกรรมเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมจะต้องรับผิดชอบในการดำเนินการตามมาตรการตอบสนองทันทีที่เกิดผลกระทบ และ/หรือ ชดใช้ค่าเสียหายตามที่กำหนดไว้กฎหมายภายในของภาคี ๑.๑.๓ พิธีสารเสริมฯ ฉบับนี้นำมาใช้กับความเสียหายต่อความหลากหลายทางชีวภาพที่เกิดขึ้นภายในขอบเขตอำนาจรัฐของภาคี ซึ่งเป็นผลมาจากการขนส่ง การนำผ่าน การดูแล และการใช้สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมที่เคลื่อนย้ายข้ามพรมแดน ๑.๒ ให้นายนรชิต สิงหเสนี เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก หรือผู้ที่นายนรชิต สิงหเสนี มอบหมายเป็นผู้ลงนามในพิธีสารเสริมฯ ดังกล่าว ๒. ให้ยึดหลักการที่จะต้องสงวน รักษา อนุรักษ์ และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศอย่างเหมาะสมและยั่งยืน และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับสาระสำคัญของพิธีสารเสริมฯ เข้าข่ายเป็นหนังสือตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ดังนั้น ก่อนการเข้าเป็นภาคีพิธีสารเสริมฯ ด้วยการให้สัตยาบันต้องดำเนินการตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสาม และสี่ และภายหลังการลงนามแล้ว ส่วนราชการเจ้าของเรื่องต้องนำพิธีสารเสริมฯ ที่ลงนามไว้แล้วพร้อมร่างพระราชบัญญัติอนุวัติการ (หากมี) เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอขอความเห็นชอบของรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญฯ พร้อมขออนุมัติการให้สัตยาบันเมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบพิธีสารเสริมฯ และพระราชบัญญัติอนุวัติการฯ ได้ประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว รวมทั้งเห็นควรประเมินผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ประโยชน์และข้อเสียเปรียบที่ประเทศไทยจะได้รับจากการลงนามในพิธีสารเสริมฯ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดเตรียมแนวทาง กฎเกณฑ์ มาตรการ และกฎหมายในเรื่องความรับผิดและชดใช้ตามบทบัญญัติของพิธีสารเสริมฯ ให้เหมาะสมกับบริบทและประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ควรเร่งเตรียมความพร้อมด้านฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทยทั้งในระดับรายพื้นที่และระดับประเทศ และบริหารจัดการฐานข้อมูลให้ทันสมัยเพื่อให้การตรวจสอบความเสียหายตามนิยามของพิธีสารเสริมฯ เป็นไปอย่างถูกต้องและแม่นยำ และควรกำหนดให้การสร้างความเข้มแข็งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญ เพื่อรองรับการอนุวัตตามพิธีสารเสริมฯ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อความมั่นคงทางนิเวศและทรัพยากรพันธุกรรมของประเทศซึ่งเป็นฐานในการพัฒนาที่ยั่งยืน และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนหลังจากที่ได้มีการลงนามพิธีสารเสริมฯ แล้ว เพื่อประกอบการชี้แจงต่อรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญฯ ก่อนจะให้สัตยาบันพิธีสารเสริมฯ ต่อไป ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31167 | ขอความเห็นชอบการแก้ไขปัญหาของบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด | ทส | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการเลิกกิจการบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด โดยดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด ครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๔ และมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ครั้งที่ ๘/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และให้โอนพื้นที่สวนป่าของบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด จำนวน ๓๒,๗๒๘.๕๕ ไร่ ให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ดูแลและใช้ประโยชน์ต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้) ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เร่งจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อมีมติยุบเลิกบริษัทไม้อัดไทย จำกัด และแต่งตั้งกรรมการผู้ชำระบัญชีเพื่อดำเนินการชำระบัญชีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อไป ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31168 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย - อินเดีย ครั้งที่ 6 | กต | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย - อินเดีย (Thailand - India Joint Commission for Bilateral Cooperation) ครั้งที่ ๖ ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างวันที่ ๒๖ - ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ สำหรับวัตถุประสงค์ของการประชุมครั้งนี้เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับอินเดียให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นตามนโยบาย “มองตะวันตก” ของไทย รวมทั้งหารือด้านสารัตถะเพื่อเตรียมการสำหรับการเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ และเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองวันสถาปนาสาธารณรัฐ (Republic Day) ของอินเดีย ในฐานะแขกเกียรติยศ (Chief Guest) ของนายกรัฐมนตรีในระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๖ มกราคม ๒๕๕๕ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ความสัมพันธ์ในภาพรวม ไทยถือว่าอินเดียเป็นมิตรประเทศที่มีความเชื่อมโยงกับไทยทางอารยธรรมมาช้านาน และเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของไทยในปัจจุบัน ดังนั้น ไทยมุ่งมั่นที่จะขยายความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันตามนโยบาย “มองตะวันตก” ของไทย ส่วนฝ่ายอินเดียประสงค์จะมีบทบาทสร้างสรรค์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามนโยบาย “มองตะวันออก” ของอินเดีย และโดยที่ไทยเป็นประเทศสำคัญและมีบทบาทนำในภูมิภาคมาโดยตลอด อินเดียจึงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือกับไทยในกรอบทวิภาคี ในระดับภูมิภาคและพหุภาคี ในการนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะให้มีการประกาศร่วมกันถึงการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) ในแถลงการณ์ร่วมระหว่างการเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ๒. ประเด็นที่เกี่ยวกับการเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ๒.๑ การเร่งรัดให้มีการลงนามในความตกลงและ/หรือเอกสารเกี่ยวกับความร่วมมือไทย - อินเดีย ในระหว่างการเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ได้แก่ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางทหาร (Memorandum of Understanding on Defence Cooperation) พิธีสารฉบับที่สองแนบท้ายกรอบความตกลงจัดตั้งเขตการค้าเสรีไทย - อินเดีย แผนความร่วมมือในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Programme of Cooperation in the Fields of Science and Technology - POC) และแผนปฏิบัติการโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม (Cultural Exchange Programme) สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ ๒.๒ การประกาศดำริใหม่ในระหว่างการเยือนของนายกรัฐมนตรี ได้แก่ การจัดตั้ง “มูลนิธิไทย - อินเดีย” (India - Thailand Foundation) เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนกิจกรรมของภาครัฐและเอกชน และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในสาขาธุรกิจ วัฒนธรรม การศึกษา การท่องเที่ยว และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน การจัดตั้ง “CEO Forum” ประกอบด้วยนักธุรกิจชั้นนำของแต่ละฝ่ายทำหน้าที่จัดทำข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ รวมทั้งความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (Water Management) เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการจัดทำยุทธศาสตร์ระดับชาติเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัย และการผลักดันความร่วมมือเพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยง (Connectivity) ระหว่างไทยและอาเซียนกับอินเดียให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ๓. ประเด็นอื่น ๆ ได้แก่ การหารือและเห็นพ้องที่จะใช้ประโยชน์จากความตกลง/บันทึกความเข้าใจระหว่างสองฝ่ายที่มีอยู่แล้ว เช่น ความร่วมมือด้านพลังงานทดแทน ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความร่วมมือด้านการศึกษา ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม และเร่งรัดการจัดทำ/เจรจาความตกลงที่ยังคั่งค้าง ได้แก่ สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ความตกลงว่าด้วยการโอนตัวนักโทษ และความตกลงว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในคดีแพ่งและพาณิชย์ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในเรื่องการพิจารณาร่างความตกลงว่าด้วยการประกันสังคม การดูแลสวัสดิภาพและการคุ้มครองความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย กรณีนักท่องเที่ยวชาวอินเดียจำนวนมากไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศไทย การให้อินเดียพิจารณาอำนวยความสะดวกแก่ผู้แสวงบุญชาวไทย การอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราสำหรับพนักงานและลูกจ้างของภาคเอกชนไทยที่ไปลงทุนในอินเดีย รวมถึงแรงงานไทยประเภทมีฝีมือ (พนักงานนวดสปาและผู้ปรุงอาหารไทย) เป็นต้น ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้จัดตั้งคณะทำงานร่วมเฉพาะกิจด้านการกงสุล เพื่อประสานงานและ/หรือแนวทางแก้ไขประเด็นข้อร้องเรียนของทั้งสองฝ่าย
|
|||||||||||||||||||||||||||
31169 | ร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต และการขอต่ออายุใบอนุญาตจัดตั้งสถานตรวจสภาพรถ พ.ศ. .... | นร | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต และการขอต่ออายุใบอนุญาตจัดตั้งสถานตรวจสภาพรถ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต และการขอต่ออายุใบอนุญาตจัดตั้งสถานตรวจสภาพรถ ดังนี้
๑. กำหนดให้ผู้ใดประสงค์จะจัดตั้งสถานตรวจสภาพรถ ให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตตามแบบที่อธิบดีกำหนด พร้อมเอกสารและหลักฐานประกอบการพิจารณาตามที่กำหนด ๒. กำหนดให้สถานตรวจสภาพรถที่จะได้รับอนุญาตต้องมีลักษณะเหมาะสมสำหรับตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย ความสะอาด ความเรียบร้อย และความถูกต้องเหมาะสมของรถ ซึ่งสถานตรวจสภาพรถอย่างน้อยต้องประกอบด้วยอาคารสถานที่ ลานจอดรถ และเครื่องตรวจสภาพรถและอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับใช้ในการตรวจสภาพรถ รวมทั้งอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก หรือเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงานและการควบคุม กำกับ ดูแลสถานตรวจสภาพรถ ๓. กำหนดหลักเกณฑ์ที่นายทะเบียนกลางใช้ในการพิจารณาออกใบอนุญาตจัดตั้งสถานตรวจสภาพรถ ๔. กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องจัดให้มีผู้ควบคุมการตรวจสภาพรถ และเจ้าหน้าที่ตรวจสภาพรถซึ่งมีคุณสมบัติและผ่านการอบรมและทดสอบตามที่อธิบดีประกาศกำหนด รวมทั้งต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข เช่น ดำเนินการตรวจสภาพรถโดยปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ จัดทำการรับรองการตรวจสภาพรถ บันทึกการตรวจสภาพรถ เป็นต้น ๕. กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตที่ประสงค์จะย้ายที่ตั้งสถานตรวจสภาพรถให้ยื่นคำขอต่อนายทะเบียนกลางตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีประกาศกำหนด และหากประสงค์จะเลิกประกอบกิจการให้แจ้งเป็นหนังสือให้นายทะเบียนทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๖๐ วัน และให้ส่งคืนใบอนุญาตต่อนายทะเบียนภายใน ๑๕ วัน ๖. กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตผู้ใดไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงนี้หรือที่อธิบดีประกาศกำหนด ให้นายทะเบียนกลางมีอำนาจตักเตือน หรือสั่งระงับการดำเนินการชั่วคราวได้ตามควรแก่กรณี หรือสั่งเพิกถอนใบอนุญาต ๗. กำหนดแบบใบอนุญาต แบบการขอต่ออายุใบอนุญาต และเงื่อนไขการพิจารณาการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาต ๘. กำหนดเหตุแห่งการสิ้นสุดของใบอนุญาตจัดตั้งสถานตรวจสภาพรถ เช่น ผู้รับใบอนุญาตถึงแก่ความตาย หรือถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ ๙. กำหนดหลักเกณฑ์ในกรณีผู้ได้รับอนุญาตเดิมถึงแก่ความตายหรือเป็นบุคคลไร้ความสามารถ โดยให้ทายาทหรือผู้อนุบาลเป็นผู้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตต่อนายทะเบียนภายใน ๖ เดือน ๑๐. กำหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓๗ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ต้องจัดให้มีเครื่องตรวจสภาพรถ อุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกในการตรวจสภาพรถ และอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก หรือเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงานและการควบคุม กำกับและดูแลสถานตรวจสภาพรถให้เป็นไปตามกฎกระทรวงนี้ภายใน ๑ ปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ และจัดให้มีอาคารสถานที่ ลานจอดรถ พื้นที่สำหรับรถรอเข้าตรวจสภาพ ทางเข้า ทางออก ตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีประกาศกำหนดภายใน ๓ ปี นับแต่วันที่กฎกะทรวงนี้มีผลใช้บังคับ โดยหากไม่ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าวให้ถือว่าใบอนุญาตสิ้นสุดลง ๑๑. กำหนดให้บรรดาระเบียบหรือประกาศที่ออกตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓๗ (พ.ศ. ๒๕๓๕)ฯ ซึ่งยังมีผลใช้บังคับอยู่ ให้คงใช้บังคับต่อไปได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับกฎกระทรวงนี้ หรือจนกว่าจะมีระเบียบหรือประกาศตามกฎกระทรวงนี้ออกมาใช้บังคับ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31170 | การดำเนินงานและการติดตามผลการดำเนินงาน การฟื้นฟู เยียวยาและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | นร | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการพิจารณาทบทวนโครงการในรายละเอียดของวงเงินที่จำเป็นต้องจัดสรรเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ทั้งสิ้น ๔๔,๑๓๕.๔๑๙๒ ล้านบาท ซึ่งยังเกินกว่าวงเงินงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ที่มีวงเงินคงเหลือเพียง ๓๘,๗๗๐.๙๑๗๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จากกรอบวงเงินที่สำนักงบประมาณเห็นควรจัดสรร ๓๘,๑๘๒.๙๙๑๖ ล้านบาท สำนักงบประมาณได้พิจารณาจากความพร้อม ความเหมาะสมค่าใช้จ่าย เห็นสมควรจัดสรรเป็นเงิน ๓๓,๙๔๒.๒๓๗๔ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ ตามแผนงาน/โครงการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) จำนวน ๗,๑๗๔.๔๗๑๑ ล้านบาท โครงการเร่งด่วน ในคราวที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีลงตรวจราชการพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ จำนวน ๔,๗๑๒.๔๒๙๒ ล้านบาท และโครงการที่เหลือตามมติคณะรัฐมนตรี ๗ ครั้ง จำนวน ๒๒,๐๕๕.๓๓๗๑ ล้านบาท ๒. สำหรับโครงการสำคัญที่จำเป็นต้องดำเนินการเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ จำนวน ๒ โครงการ เป็นเงิน ๕,๙๕๒.๔๒๗๖ ล้านบาท สำนักงบประมาณพิจารณาจากความพร้อมในการใช้จ่าย และความเหมาะสมของราคา เห็นควรจัดสรรงบประมาณเป็นเงิน ๔,๕๘๓.๒๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการช่วยเกษตรกรผู้ปลูกพืชต้นทุนสูงที่ประสบอุทกภัยปี ๒๕๕๔ กรณีพิเศษ จำนวน ๑,๐๐๐.๐๐๐๐ ล้านบาท และโครงการฟื้นฟูยุทโธปกรณ์ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยของกองทัพอากาศ จำนวน ๓,๙๙๐.๐๐๐๐ ล้านบาท สรุปวงเงินที่จะต้องจัดสรร งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ เป็นเงินทั้งสิ้น ๓๘,๕๒๕.๔๓๗๔ ล้านบาท จากวงเงินคงเหลือที่ยังไม่ได้จัดสรรงบประมาณให้เป็นเงิน ๓๘,๗๗๐.๙๑๗๐ ล้านบาท ๓. เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศเป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ โดยในส่วนที่ใช้จ่ายงบประมาณจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และรายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ หากหมดความจำเป็นในการใช้จ่าย มีเงินเหลือจ่ายทั้งจากการจัดซื้อจัดจ้างและการดำเนินงาน ให้ส่วนราชการแจ้งสำนักงบประมาณเพื่อจะได้ดำเนินการตัดยอดคืนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
31171 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองภูเก็ต พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองเพชรบุรี พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองนครสวรรค์ พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ | สผ | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองภูเก็ต พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองเพชรบุรี พ.ศ. .... ที่เห็นสมควรแก้ไขบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติฯ เฉพาะในส่วนของเหตุผล และร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองนครสวรรค์ พ.ศ. .... ที่เห็นสมควรแก้ไขบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติ ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ และให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แก้ไข ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบด้วยแล้ว เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ และมอบให้สำนักงานศาลปกครองรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปพิจารณา แล้วแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31172 | ระบบการติดตามความก้าวหน้าในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | อื่นๆ | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่เลขาธิการ ก.พ.ร. กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการบริหารศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนการบริหารการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำระบบการติดตามความก้าวหน้าของการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย โดยพัฒนาและจัดทำเว็บไซต์ www.pmocflood.com ซึ่งสามารถเรียกดูได้ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑.๑ ให้กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้พัฒนาและจัดทำระบบสารสนเทศการติดตามและรายงานผลความก้าวหน้าตามมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยรายกลุ่มเป้าหมาย ตามเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือฯ ของทุกมาตรการที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การจัดทำแผ่นพับประชาสัมพันธ์การช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๔) ๑.๑.๒ ให้ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลัง ดำเนินการจัดทำและวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศระบบติดตามและรายงานผลความก้าวหน้าโครงการฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย โดยนำข้อมูลในส่วนวัตถุประสงค์ของโครงการ กรอบวงเงินอนุมัติ วงเงินจัดสรร จำนวนโครงการและรหัสงบประมาณจากระบบ E - Budgeting ของสำนักงบประมาณ และผลการเบิกจ่ายของส่วนราชการจากระบบ GFMIS ของกรมบัญชีกลางมาเชื่อมโยง ๑.๒ ให้ส่วนราชการและจังหวัดดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ รายงานความก้าวหน้าจำแนกกลุ่มเป้าหมายตามเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยของทุกมาตรการที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยให้รายงานความก้าวหน้าตามแบบฟอร์มติดตามความก้าวหน้าการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ภายในวันที่ ๓๐ - ๓๑ ของทุกเดือน ทาง Web link ผ่านทางหน้าจอของ www.pmocflood.com ๑.๒.๒ รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ ผ่านทาง Web Form และ E-Form ในระบบ GFMIS Web Online ของกรมบัญชีกลาง ๑.๓ ให้ศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนการบริหารการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศบภ.) เป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการและให้ข้อมูลความก้าวหน้าของการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้ส่วนราชการ จังหวัด และผู้ที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๒.๑ การติดตามและรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ ผ่านเว็บไซต์ www.pmocflood.com ควรต้องมีภาพถ่ายแสดงสถานะความก้าวหน้าของงานในพื้นที่ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนถึงปัจจุบันประกอบด้วย ๒.๒ ให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการปรับปรุงข้อมูลความก้าวหน้าของโครงการให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ รวมทั้งให้ระบุพิกัดตำแหน่งบนพื้นโลก (Global Positioning System : GPS) ที่แน่นอนของโครงการต่าง ๆ ที่รับผิดชอบ เพื่อให้สามารถตรวจสอบและติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการนั้น ๆ ได้อย่างถูกต้องชัดเจน ๒.๓ ให้ศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนการบริหารการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยประสานงานและบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยที่ส่วนราชการต่าง ๆ ได้จัดทำไว้แล้วด้วย เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
31173 | ถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) ในการเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | กต | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมระหว่างญี่ปุ่นกับไทยว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์บนพื้นฐานของสายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพอันยาวนาน (Japan - Thailand Joint Statement on the Strategic Partnership based on the Enduring Bonds of Friendship) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างสองประเทศ ความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกัน และการส่งเสริมความร่วมมือทั้งในกรอบทวิภาคี ภูมิภาค และระหว่างประเทศที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ๒. อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีรับรองถ้อยแถลงร่วมฯ ในระหว่างการเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ ๖ - ๙ มีนาคม ๒๕๕๕ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
31174 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ | ทส | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งพลตำรวจตรี ศักดิ์ชัย ตันบุญเอก เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31175 | การจัดงานฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า | นร | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพ “งานฉลองพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า” และการลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31176 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร | วท | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายวีระ วงศ์แสงนาค เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร แทนนายอุณหิศ กาญจนกุญชร ที่ขอลาออกจากตำแหน่ง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31177 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตผลิต ขาย นำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งยาแผนโบราณ พ.ศ. .... | นร | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตผลิต ขาย นำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งยาแผนโบราณ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๒๕) ฉบับที่ ๒๒ (พ.ศ. ๒๕๒๕) ฉบับที่ ๒๘ (พ.ศ. ๒๕๒๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. ๒๕๑๐ ๒. กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาต หน้าที่ของผู้อนุญาต และหน้าที่ของผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการเกี่ยวกับการผลิต ขาย นำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งยาแผนโบราณ ๓. กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขเกี่ยวกับสถานที่ตั้งที่ผลิตยาและภายในสถานที่ผลิตยา ๔. กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการขอต่ออายุใบอนุญาต ใบแทนใบอนุญาต การย้ายหรือเปลี่ยนแปลงสถานที่ผลิตยา และการเปลี่ยนแปลงรายการที่ได้รับอนุญาต ๕. กำหนดให้ใบอนุญาตผลิต ขาย หรือนำ หรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งยาแผนโบราณตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๒๕)ฯ ใช้ได้ต่อไปจนกว่าใบอนุญาตนั้นจะสิ้นอายุ ๖. กำหนดให้ผู้รับอนุญาตผลิตยาแผนโบราณซึ่งได้รับอนุญาตก่อนกฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ดำเนินการตามข้อ ๖ วรรคสอง ภายในสถานที่ผลิตยา ให้มีการแบ่งแยกออกเป็นบริเวณที่เกี่ยวกับการผลิตยา ซึ่งมีลักษณะตามที่รัฐมนตรีกำหนด และข้อ ๗ (๘) จัดให้มีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตยาแผนโบราณตามลักษณะและจำนวนที่รัฐมนตรีกำหนด และ (๑๐) ดำเนินการผลิตยาตามหลักเกณฑ์และวิธีการในการผลิตยาจากสมุนไพรที่เป็นยาแผนโบราณที่รัฐมนตรีกำหนด ภายในห้าปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31178 | ข้าราชการการเมืองลาออกจากตำแหน่งและแต่งตั้งข้าราชการการเมือง | นร | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้นายบัณฑูร สุภัควณิช ลาออกจากตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31179 | แต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (จำนวน 2 ราย) | นร | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (จำนวน ๒ ราย) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้งและมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเป็นต้นไป เพื่อให้ผู้ได้รับแต่งตั้งลาออกจากตำแหน่งอื่น ๆ ที่เป็นลักษณะต้องห้ามได้ดำเนินการให้เรียบร้อย ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นายจิรเดช วรเพียรกุล ๒. นางสาวอินทร์ริตา นนทะวัชรศิริโชติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31180 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี | นร | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นายภราดา เณรบำรุง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ๒. นางสาวสมลักษณ์ ส่งสัมพันธ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
|
.....