ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1549 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30961 - 30980 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30961 | ขออนุมัติลงนามในหนังสือความเข้าใจระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงการต่างประเทศและการค้าระหว่างประเทศแคนาดา | ตช | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างหนังสือความเข้าใจระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงการต่างประเทศและการค้าระหว่างประเทศแคนาดา (Letter of Understanding between the Royal Thai Police and the Department of Foreign Affairs and International Trade : DFAIT) มีสาระสำคัญคือ รัฐบาลแคนาดา โดย DFAIT เสนอให้ความช่วยเหลือด้านเครื่องมืออุปกรณ์ การฝึกอบรม และบริการต่าง ๆ ให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเพิ่มศักยภาพของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการร่วมมือกับรัฐบาลแคนาดาในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติและการก่อการร้าย รวมทั้งสิ้น ๙ โครงการ มูลค่าทั้งสิ้น ๙๗,๐๔๙,๖๘๒ บาท (๓,๑๕๐,๙๖๓.๗๑ เหรียญแคนาดา) ระยะเวลาดำเนินการตามโครงการเริ่มตั้งแต่วันที่หนังสือความเข้าใจฯ มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ ทั้งนี้ การให้ความช่วยเหลือเรื่องอุปกรณ์และการฝึกอบรมดังกล่าวเป็นการบริจาคให้เปล่าโดยมิได้คิดมูลค่าและค่าใช้จ่ายใด ๆ กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ๒. อนุมัติให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามหนังสือความเข้าใจฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างหนังสือความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
30962 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)(นายรณไตรฯ) | สธ | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายวัฒนชัย สุแสงรัตน์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลขอนแก่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๔ ๒. นายรณไตร เรืองวีรยุทธ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม) กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลแม่สอด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตาก สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
30963 | การลงนามในปฏิญญาแสดงเจตจำนงในการจัดทำตราสารระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งแคนาดาว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเยาวชน (Declaration of Intent on the Conclusion of an Instrument between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of Canada Concerning Youth Exchanges) | กต | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาแสดงเจตจำนงในการจัดทำตราสารระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งแคนาดาว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเยาวชน (Declaration of Intent on the Conclusion of an Instrument between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of Canada Concerning Youth Exchanges) โดยปฏิญญาฯ ดังกล่าวมีสาระเป็นการประกาศเจตนารมณ์ทางการเมืองของฝ่ายไทยและแคนาดาที่จะจัดทำตราสาร (instrument) ว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเยาวชนไทย - แคนาดาต่อไป ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในปฏิญญาฯ ดังกล่าวร่วมกับฝ่ายแคนาดาในช่วงที่นายกรัฐมนตรีแคนาดาเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๒๒ - ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||
30964 | มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนที่ถูกดำเนินคดี | กค | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนที่ถูกดำเนินคดี โดยยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับบุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลโดยทั่วไป ให้สามารถนำรายจ่ายในการสนับสุนน การจัดโครงการฝึกอบรมอาชีพและการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู และสงเคราะห์เด็กและเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนในสังกัดกระทรวงยุติธรรมมาหักเป็นรายจ่ายเพื่อคำนวณภาษีได้ และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้เป็นจำนวนสองเท่าของจำนวนเงินที่บุคคลธรรมดาได้จ่ายให้แก่โครงการฝึกอบรมอาชีพและการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู และสงเคราะห์เด็กและเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ๑.๒ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับเงินได้เป็นจำนวนสองเท่าของรายจ่ายที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จ่ายให้แก่โครงการฝึกอบรมอาชีพและการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู และสงเคราะห์เด็กและเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาทบทวนมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนในการให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและเป็นภาระหน้าที่ของรัฐ เช่น การประหยัดพลังงาน การส่งเสริมพลังงานทดแทน การบริหารจัดการน้ำ และการสาธารณูปโภค เป็นต้น ให้สามารถนำรายจ่ายในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวมาลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีเงินได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
30965 | รายงานผลการตรวจสอบสภาพพื้นที่เพื่อประกอบการพิจารณาสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดพังงาและกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดพังงาและกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคม การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการขยายสนามบินนานาชาติภูเก็ตซึ่งได้จัดสรรงบประมาณไว้แล้ว พร้อมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างสนามบินพังงาในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ เพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทุกปี ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม กรมทางหลวง จังหวัดพังงา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมในการจัดตั้งสำนักงานแขวงการทางพังงา เพื่อให้หน่วยงานดังกล่าวสามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ อาทิ ถนน หรือสะพานเข้าแหล่งท่องเที่ยวให้แก่จังหวัดพังงาได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งพิจารณาการอนุมัติงบประมาณเพื่อก่อสร้างสะพานข้ามจากฝั่งไปบนเกาะคอเขา เพื่อสนับสนุนนโยบายการสร้างรายได้ให้แก่ประชาชน ๑.๓ ให้กระทรวงคมนาคม กรมเจ้าท่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมในการก่อสร้างท่าเทียบเรือท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอคุระบุรีและทับละมุ อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา เพื่อให้เป็นท่าเทียบเรือท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัยต่อนักท่องเที่ยว ๑.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมในการจัดตั้งสำนักงานการท่องเที่ยวพังงาเพื่อให้หน่วยงานดังกล่าวสามารถบริหารจัดการท่องเที่ยวจังหวัดพังงาได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาด้านการตลาด และการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจังหวัดให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวให้มากยิ่งขึ้น ๑.๕ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน พิจารณาความเหมาะสมในการจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ และหมู่เกาะสิมิลัน อาทิ ปัญหาขยะมูลฝอย และปัญหาปะการังฟอกขาว รวมทั้งกำหนดเขตพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปท่องเที่ยวได้ให้ชัดเจน ทั้งนี้ เพื่อจัดระเบียบและมาตรฐานความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวให้เป็นมาตรฐานสากล ๑.๖ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาความเหมาะสมในการลดอัตราค่าธรรมเนียมวีซ่าเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวจากประเทศยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ของจังหวัดพังงา ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวของจังหวัดพังงาในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการ และให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคม โดย ทอท. เร่งดำเนินโครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ตให้แล้วเสร็จและเปิดให้บริการภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้ ทอท. จัดทำแผนรองรับชั่วคราวในการบริหารจัดการจราจรภายในท่าอากาศยานเพื่อบรรเทาปัญหาความแออัด และมิให้ส่งผลกระทบต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ สำหรับการรองรับปริมาณการจราจรทางอากาศในระยะยาว ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาท่าอากาศยานในจังหวัดใกล้เคียงเป็นลำดับแรก โดยศึกษาการบริหารจัดการใช้ประโยชน์สนามบินในลักษณะที่เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงในการแบ่งปริมาณการจราจรไม่ให้เกิดความแออัดเพื่อสนับสนุนการท่องเทียว รวมทั้งเชื่อมโยงโครงข่ายไปยังกลุ่มจังหวัดใกล้เคียง เช่น กระบี่ และตรัง เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวง ศึกษาและพิจารณารายละเอียดความเหมาะสมในการดำเนินการจัดตั้งแขวงการทางพังงา และการก่อสร้างสะพานข้ามจากฝั่งไปบนเกาะคอเขา และให้กรมเจ้าท่าศึกษารายละเอียดความเหมาะสมในการก่อสร้างท่าเทียบเรือในพื้นที่อำเภอคุระบุรีและทับละมุ ๒.๓ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันบูรณาการแผนพัฒนาการท่องเที่ยวและการส่งเสริมประชาสัมพันธ์ตลาดท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดให้มีการดำเนินงานภายใต้กรอบทิศทางและเป้าหมายเดียวกัน เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดตามที่ได้ร่วมกำหนดไว้ ๒.๔ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้ความสำคัญลำดับแรกกับการดำเนินโครงการเพื่อการแก้ปัญหาในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ และหมู่เกาะสิมิลัน ภายใต้แผนงานการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติให้มีมาตรฐานในระดับสากล ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (จังหวัดพังงาและกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน) นำโครงการตามข้อเสนอดังกล่าวไปบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ตามกระบวนการและขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยจัดลำดับความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วน รวมทั้งประสานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อนำโครงการไปบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของส่วนราชการ เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
30966 | การจัดทำความตกลงโครงการ PD 577/10 Rev.1 (F) Management of the Emerald Triangle Protected Forests Complex to Promote Cooperation for Transboundary Biodiversity Conservation between Thailand, Cambodia and Laos (Phase III) | ทส | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำความตกลงโครงการ PD 577/10 Rev.1 (F) Management of the Emerald Triangle Protected Forests Complex to Promote Cooperation for Transboundary Biodiversity Conservation between Thailand, Cambodia and Laos (Phase III) [การจัดการผืนป่าอนุรักษ์สามเหลี่ยมมรกตเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพข้ามเขตแดนระหว่างประเทศไทย (ระยะที่ ๓)] กับองค์การไม้เขตร้อนระหว่างประเทศ (International Tropical Timber Organization : ITTO) โดยร่างความตกลงโครงการฯ ระยะที่ ๓ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ โครงการฯ ระยะที่ ๓ จะนำบทเรียนจากการดำเนินงานโครงการฯ ระยะที่ ๑ และ ๒ มาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาและข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ยังคงมีอยู่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและกิจกรรมในการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนในโครงการ ๑.๑.๒ เป้าประสงค์ของโครงการฯ ระยะที่ ๓ คือ ส่งเสริมการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพบริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทย กัมพูชา และลาว โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะของโครงการเพื่อเสริมสร้างการป้องกันถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าในบริเวณผืนป่าสามเหลี่ยมมรกต โดยมีการดำเนินงานและการพัฒนาในด้านความร่วมมือตามแผนการจัดการระยะยาว และการบูรณาการงานด้านการอนุรักษ์กับการพัฒนาซึ่งเป็นกรอบงานเพื่อดูแลรักษาและฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้ถาวรระหว่างประเทศทั้งสามประเทศ ๑.๑.๓ ผลผลิตของโครงการฯ ระยะที่ ๓ ประกอบด้วย (๑) แผนการจัดการและดำเนินการในการพัฒนาด้านความร่วมมือและการบูรณาการ งานด้านการอนุรักษ์กับการพัฒนา ซึ่งรวมถึงผลจากการวิจัยถึงชนิดพันธุ์สัตว์ป่าที่มีถิ่นที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ต่าง ๆ และกระบวนการทางนิเวศวิทยาที่สอดคล้องกันระหว่างประเทศที่ร่วมโครงการ (๒) การเสริมสร้างศักยภาพและขีดความสามารถของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการประเมินและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และ (๓) ชุมชนท้องถิ่นจะได้รับการส่งเสริมความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น จากการดำเนินการในกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นการลดการพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติจากพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ๑.๑.๔ เมื่อโครงการฯ ระยะที่ ๓ สิ้นสุด คาดว่าจะทำให้พื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพบริเวณชายแดนมีความมั่นคงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยในการเคลื่อนย้ายถิ่นและการอยู่รอดในระยะยาวของสัตว์ป่าเลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ในบริเวณผืนป่าอนุรักษ์สามเหลี่ยมมรกต ๑.๒ ให้อธิบดีกรมป่าไม้เป็นผู้ลงนามในความตกลงโครงการฯ ระยะที่ ๓ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) เพื่อให้อธิบดีกรมป่าไม้เป็นผู้แทนลงนามในความตกลงโครงการฯ ระยะที่ ๓ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด เกี่ยวกับการจัดทำความตกลงโครงการฯ เป็นความร่วมมือระหว่างไทย กัมพูชา และลาว ซึ่งยังคงมีปัญหาการปักปันเขตแดนในบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตที่ยังไม่ได้ข้อยุติ การดำเนินการใด ๆ ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ และในการดำเนินโครงการฯ เห็นควรนำข้อมูลจากระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ที่มีอยู่แล้วของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) มาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านการวิจัย การอนุรักษ์ และการจัดการ เพื่อเป็นการใช้ทรัพยากรข้อมูลที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินงานตามหลักกฎหมายนานาชาติ โดยเฉพาะอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก รวมทั้งสอดคล้องกับกฎหมายภายในประเทศ อาทิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และควรมีการศึกษาวิจัยร่วมกันเกี่ยวกับชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและกระบวนการทางนิเวศวิทยาในพื้นที่ของโครงการ โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกรมป่าไม้ สถานศึกษา และหน่วยงานที่เป็นแหล่งทุนสนับสนุนการวิจัยของประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ควบคู่กัน ทั้งนี้ ข้อมูลสารสนเทศ GIS และผลการศึกษาวิจัยที่ได้จากโครงการฯ ควรขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณากลั่นกรองข้อมูลก่อนนำไปเผยแพร่ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าและพันธุ์พืชในเขตอนุรักษ์สามเหลี่ยมมรกต ซึ่งอยู่ในภาวะถูกคุกคามอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30967 | การจัดสรรเงินงบประมาณเหลือจ่ายเพื่อจ่ายเป็นเงินรางวัลและสิ่งจูงใจสำหรับข้าราชการธุรการและลูกจ้างประจำของสำนักงานอัยการสูงสุด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | อส | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบการเบิกจ่ายเงินเหลือจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๐ ล้านบาท ที่ผ่านการพิจารณาจากกระทรวงการคลังแล้ว มาดำเนินการจัดสรรเพื่อจ่ายเป็นเงินรางวัลสำหรับข้าราชการธุรการและลูกจ้างประจำของสำนักงานอัยการสูงสุด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ ๒. ให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการได้เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับแนวทางการจัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
30968 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีจำนวน ๑๗,๓๕๙ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือ ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) ช่องทางตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ๑.๒ จำนวนเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ รวมทั้งสิ้น ๑๓,๒๙๙ เรื่อง โดยมีประเด็นเรื่องที่ร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ ขอความช่วยเหลือกรณีประสบอุทกภัย รองลงมาคือ ขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า กับการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๑.๓ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการของหน่วยงาน ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๔,๖๑๙ เรื่อง โดยหน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุดคือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ยาเสพติดและบ่อนการพนัน และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการและการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ) รองลงมาคือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ กรณีขอความอนุเคราะห์นำเข้าเส้นไหม และลดภาษีการนำเข้าเส้นไหม กับแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการแหล่งน้ำ การแก้ไขปัญหาและแนวทางป้องกันปัญหาอุทกภัย) และกระทรวงการคลัง (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ กรณีแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กับขอให้แก้ปัญหาหนี้สินในระบบและนอกระบบ) ๑.๔ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจ ในไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รัฐวิสาหกิจที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุดคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้ขยายเขตการให้บริการไฟฟ้า และติดตั้งระบบจำหน่ายกระแสไฟฟ้า กับขอให้ตรวจสอบการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าสูงเกินจริง) รองลงมาคือ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้พิจารณาเพิ่มจำนวนและขยายเส้นทางเดินรถโดยสารประจำทาง กับการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของพนักงาน) และการประปาส่วนภูมิภาค (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาน้ำประปาไม่ไหล และคุณภาพน้ำประปา กับขอให้ตรวจสอบการเรียกเก็บค่าน้ำประปาสูงเกินจริง) ๑.๕ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด ในไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับ อปท. และจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๓,๒๕๕ เรื่อง โดย อปท. และจังหวัดที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ การแจ้งเหตุเดือดร้อนรำคาญ กับขอให้แก้ไขปัญหาการวางจำหน่ายสินค้าบนบาทวิถี จัดเก็บขยะ กำจัดผักตบชวา และขอให้ขุดลอกท่อระบายน้ำเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมขัง) รองลงมาคือ จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดนนทบุรี (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอความช่วยเหลือในการจัดหาเครื่องอุปโภค - บริโภค เพื่อการยังชีพ ขอให้เร่งระบายน้ำท่วมขังออกจากพื้นที่ประสบอุทกภัย กับขอให้พิจารณาเร่งการจ่ายเงินช่วยเหลือ เยียวยาผู้ประสบอุทกภัย) ๒. รับทราบปัญหาความเดือดร้อนและข้อมูลความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับปัญหาอุทกภัย ซึ่งมีประชาชนแสดงความคิดเห็นมายังศูนย์บริการประชาชน จำนวน ๑,๘๙๒ เรื่อง ดังนี้ ๒.๑ ขอให้พิจารณาเร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ๕,๐๐๐ บาท ขอให้ตรวจสอบรายชื่อผู้ประสบอุทกภัยให้มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลืออย่างทั่วถึง และขอให้ขยายระยะเวลาการยื่นเรื่องขอรับความช่วยเหลือ ๒.๒ ขอให้พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการส่งเสริมประสิทธิภาพพลังงานภาคครัวเรือนในพื้นที่ประสบอุทกภัย (โครงการสินค้าเบอร์ ๕ ช่วยเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย) โดยเพิ่มจำนวนร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ เพิ่มปริมาณสินค้า และขยายระยะเวลาการใช้คูปองมูลค่า ๒,๐๐๐ บาท เพื่อนำไปใช้แทนเงินสดเป็นส่วนลดในการซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ที่ได้รับฉลากประสิทธิภาพสูง ๒.๓ ขอให้ผ่อนผันการชำระหนี้และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับประชาชนและผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม และขอให้ลดค่าไฟฟ้า น้ำประปา ๒.๔ ขอให้พิจารณาเร่งจ่ายเงินชดเชยให้แก่เกษตรกรที่พืชผลทางการเกษตร พื้นที่ทำการเกษตรได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย กับให้มีมาตรการพักชำระหนี้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ๒.๕ ขอให้สร้างคันกั้นน้ำป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ประสบอุทกภัย
|
|||||||||||||||||||||||||||
30969 | ขอความเห็นชอบยืนยันความเป็นสมาชิกพันธมิตรนานาชาติการวิจัยก๊าซเรือนกระจกภาคเกษตร | กษ | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ประเทศไทยยืนยันความเป็นสมาชิกพันธมิตรนานาชาติการวิจัยก๊าซเรือนกระจกภาคเกษตร (Global Research Alliance on Agricultural Greenhouse Gases : GRA) ไปยังประเทศนิวซีแลนด์ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของประเทศไทยในการเข้าร่วมกิจกรรมการวิจัยก๊าซเรือนกระจกด้านการเกษตร และเพื่อให้การเป็นสมาชิกมีผลโดยสมบูรณ์ตามที่กฎบัตร GRA (Global Research Alliance Charter) กำหนดไว้ ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแจ้งยืนยันความเป็นสมาชิกพันธมิตรนานาชาติการวิจัยก๊าซเรือนกระจกภาคเกษตรให้ประเทศนิวซีแลนด์ทราบ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับกรอบกิจกรรมความร่วมมือวิจัยดังกล่าวมีขอบเขตกว้างขวางทั้งในประเด็น/กิจกรรม และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำวิจัย ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรมีพันธมิตรจากหน่วยงานต่าง ๆ ภายในประเทศเพื่อร่วมเป็นเครือข่ายการวิจัยก๊าซเรือนกระจกภาคเกษตรของประเทศที่จะสนับสนุนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30970 | การจัดทำบันทึกความร่วมมือด้านทรัพย์สินอุตสาหกรรมระหว่างสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสำนักงานสิทธิบัตรญี่ปุ่น | พณ | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการลงนามบันทึกความร่วมมือด้านทรัพย์สินอุตสาหกรรมระหว่างสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสำนักงานสิทธิบัตรญี่ปุ่น (Memorandum of Cooperation on Industrial Property between the Intellectual Property Offices of the Member States of the Association of Southeast Asia Nations and the Japan Patent Office) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยบันทึกความร่วมมือฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันความร่วมมือระหว่างสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสำนักงานสิทธิบัตรญี่ปุ่นในด้านทรัพย์สินอุตสาหกรรม โดยมีกรอบความร่วมมือจะครอบคลุมกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่
๑. การปรับปรุงระบบคุ้มครองทรัพย์สินอุตสาหกรรมให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ด้านนโยบายทรัพย์สินอุตสาหกรรมและด้านการพัฒนากฎหมาย ระเบียบ แนวทางปฏิบัติ หรือคู่มือ ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ๒. การสร้างกระบวนการตรวจสอบที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพสูงสุดโดยครอบคลุมถึงการแบ่งเบาภาระงานในระดับระหว่างประเทศ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับด้านการควบคุม และการฝึกอบรมผู้ตรวจสอบ การแบ่งปันข้อมูลสถิติตามความเหมาะสม โดยเป็นไปในลักษณะที่สอดคล้องกับกฎหมายของแต่ละประเทศ ๓. การบริหารทรัพย์สินอุตสาหกรรมรวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดการทั่วไป และโครงสร้างพื้นฐาน/ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ๔. การพัฒนาการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินอุตสาหกรรม โดยภาคเอกชนรวมถึงวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ๕. การแลกเปลี่ยนข้อมูลและความร่วมมือด้านการสร้างความตระหนักเกี่ยวกับทรัพย์สินอุตสาหกรรม ๖. ความร่วมมือในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลเพื่อยกระดับขีดความสามารถของสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาในอาเซียน ๗. ประเด็นอื่น ๆ ตามที่ผู้เข้าร่วมทั้งหมดเห็นพ้องต้องกัน ทั้งนี้ กิจกรรมความร่วมมือภายใต้บันทึกความร่วมมือฉบับนี้จะดำเนินการโดยอยู่ภายใต้กฎหมายและกฎระเบียบของสมาชิกอาเซียนและญี่ปุ่น |
|||||||||||||||||||||||||||
30971 | ร่างพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างระเบียบว่าด้วยการจ่ายค่าจ้างลูกจ้างของส่วนราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา และเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ข้าราชการซึ่งได้รับอนุญาตให้ลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตรจะมีสิทธิได้รับเงินเดือนในระหว่างลาได้ไม่เกิน ๑๕ วันทำการ โดยมีเงื่อนไขว่า หากเป็นการลาภายใน ๓๐ วันแรก นับแต่วันที่ภริยาคลอดบุตรจะมีสิทธิได้รับเงินเดือนในระหว่างลา แต่ถ้าเป็นการลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร ภายหลังจากที่พ้น ๓๐ วันแรก นับแต่วันที่ภริยาได้คลอดบุตรจะมีสิทธิได้รับเงินเดือนในระหว่างลาหรือไม่ ให้เป็นไปตามที่ผู้บังคับบัญชาตั้งแต่ตำแหน่งอธิบดีหรือตำแหน่งเทียบเท่าขึ้นไปพิจารณาเห็นสมควร ๑.๒ กำหนดให้ข้าราชการที่ลากิจส่วนตัวเพื่อเลี้ยงดูบุตรต่อเนื่องจากการลาคลอดบุตรไม่ได้รับเงินเดือนระหว่างลา ๑.๓ กำหนดให้ข้าราชการผู้ใดซึ่งยังไม่เคยอุปสมบทในพระพุทธศาสนา เว้นแต่เป็นการอุปสมบทโดยไม่ถือเป็นวันลาตามมติคณะรัฐมนตรี หรือยังไม่เคยประกอบพิธีฮัจญ์ ณ เมืองเมกกะ แล้วแต่กรณี ให้ลาโดยได้รับเงินเดือนระหว่างลาได้ไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวัน ๑.๔ กำหนดให้ข้าราชการซึ่งได้รับอนุญาตให้ลาเพื่อไปฟื้นฟูสมรรถภาพทางอาชีพมีสิทธิได้รับเงินเดือนในระหว่างลาได้ไม่เกินสิบสองเดือน ๒. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบว่าด้วยการจ่ายค่าจ้างลูกจ้างของส่วนราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ กำหนดให้ลูกจ้างประจำซึ่งได้รับอนุญาตให้ลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตรจะมีสิทธิได้รับเงินเดือนในระหว่างลาได้ไม่เกิน ๑๕ วันทำการ โดยมีเงื่อนไขว่า หากเป็นการลาภายใน ๓๐ วันแรก นับแต่วันที่ภริยาคลอดบุตรจะมีสิทธิได้รับเงินเดือนในระหว่างลา แต่ถ้าเป็นการลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร ภายหลังจากที่พ้น ๓๐ วันแรก นับแต่วันที่ภริยาได้คลอดบุตรจะมีสิทธิได้รับค่าจ้างในระหว่างลาหรือไม่ ให้เป็นไปตามที่ผู้บังคับบัญชาตั้งแต่ตำแหน่งอธิบดีหรือตำแหน่งเทียบเท่าขึ้นไปพิจารณาเห็นสมควร ๒.๒ กำหนดให้ลูกจ้างประจำผู้ใดซึ่งยังไม่เคยอุปสมบทในพระพุทธศาสนา เว้นแต่เป็นการอุปสมบทโดยไม่ถือเป็นวันลาตามมติคณะรัฐมนตรี หรือยังไม่เคยประกอบพิธีฮัจญ์ ณ เมืองเมกกะ แล้วแต่กรณี ให้ลาโดยได้รับค่าจ้างระหว่างลาได้ไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวัน ๒.๓ กำหนดให้ลูกจ้างประจำซึ่งได้รับอนุญาตให้ลาเพื่อไปฟื้นฟูสมรรถภาพทางอาชีพมีสิทธิได้รับค่าจ้างในระหว่างลาได้ไม่เกินสิบสองเดือน |
|||||||||||||||||||||||||||
30972 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 1 ปีงบประมาณ 2555 | กค | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๕๔) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้ารวม ๖๒๙.๔๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๕๓) จำนวน ๕๔.๕๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๙.๔๘ ๒. มูลค่าการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า เปรียบเทียบกับมูลค่านำเข้ารวมของสินค้าทุกชนิดในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๕๔,๒๒๒.๑๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มูลค่านำเข้ามีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๑.๑๖ ของมูลค่านำเข้ารวม ๓. มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในช่วงไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น ๙ กลุ่มสินค้า ตั้งแต่ร้อยละ ๒.๘๒ ถึง ๕๑.๙๓ ๔. สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ ผลไม้ มูลค่านำเข้า ๑๕๗.๘๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๕๑.๙๓ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า ๙๒.๗๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒.๘๒ และกระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง มูลค่านำเข้า ๗๒.๕๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๔๒.๓๘ ๕. สินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ๙ กลุ่มสินค้า เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และ ๕ อันดับแรก ที่มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผลไม้ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง สูท เสื้อ กระโปรง กางเกงสำหรับบุรุษ สตรี เด็กชาย เด็กหญิง และเนคไท ดอกไม้ และไวน์ มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕๑.๙๓, ๔๒.๓๘, ๓๑.๗๗, ๑๘.๓๗ และ ๑๓.๗๘ ตามลำดับ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30973 | แผนจัดการมลพิษ พ.ศ. 2555 - 2559 | ทส | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ เพื่อให้ทุกภาคส่วนใช้เป็นกรอบและแนวทางในการจัดการมลพิษของประเทศไทยในอีก ๕ ปีข้างหน้า และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ลดและควบคุมการระบายมลพิษอันเนื่องมาจากชุมชนเกษตรกรรม อุตสาหกรรม ยานพาหนะ และการคมนาคมขนส่ง โดยให้มีการจัดการมลพิษตั้งแต่ต้นทาง ระหว่างทาง จนถึงปลายทาง และให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ ตั้งแต่การกำกับ ติดตาม ส่งเสริม และสนับสนุนให้แหล่งกำเนิดมลพิษและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการในการจัดการสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามมาตรฐานหรือเกณฑ์ที่กำหนด รวมทั้งดำเนินการเปิดเผยและเข้าถึงข้อมูลแหล่งกำเนิดมลพิษและผลกระทบที่เกิดขึ้น ๑.๒ จัดการมลพิษในระบบพื้นที่ตามลำดับความสำคัญของปัญหา เช่น พื้นที่ลุ่มน้ำในการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในพื้นที่วิกฤต กลุ่มจังหวัดที่ประสบปัญหาหมอกควันและไฟป่าเขตควบคุมมลพิษ พื้นที่ปนเปื้อนมลพิษ พื้นที่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ พื้นที่ที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ เป็นต้น ๑.๓ สนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดำเนินงานจัดการน้ำเสีย ขยะมูลฝอย มูลฝอยติดเชื้อและของเสียอันตรายชุมชน ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีการจัดการขยะอันตรายและสารอันตรายอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งจัดให้มีระบบป้องกันและเตรียมความพร้อมรองรับกรณีเหตุฉุกเฉินหรืออุบัติภัย และการคมนาคมขนส่งที่ก่อให้เกิดการรั่วไหลของสารเคมีหรือสารอันตรายต่าง ๆ ๑.๔ ประยุกต์ใช้หลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย (Polluter Pays Principle, PPP) การวางหลักประกันและการชดเชยค่าเสียหายจากการแพร่กระจายมลพิษ การนำมาตรการทางเศรษฐศาสตร์และสังคมเป็นแรงจูงใจทางบวกเพื่อส่งเสริมการลดมลพิษหรือปรับปรุงกระบวนการผลิตที่ปราศจากมลพิษ การสนับสนุนการผลิตและการบริการ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ๑.๕ พัฒนาระบบการบริหารจัดการมลพิษให้เกิดเป็นเอกภาพทั้งทางด้านกฎหมาย กฎระเบียบ แผน และแนวทางปฏิบัติของแต่ละหน่วยงาน โดยประสานความร่วมมือในการจัดการมลพิษทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ และประชาชน ๑.๖ ส่งเสริมให้ภาคประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา โดยรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และเข้ามาร่วมดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการจัดการมลพิษภายใต้แผนจัดการมลพิษบางแนวทางที่กำหนดไว้ในแผนงานฯ อาจไม่สามารถดำเนินการเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายของแผนงานที่ได้ตั้งไว้ และเห็นควรเพิ่มประเด็นสถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศทั้งในภาพรวมและรายภาคผลิตที่สำคัญ ๆ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีความสำคัญและมีการติดตามสถานการณ์กันมากขึ้นทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เนื่องจากเชื่อมโยงกับการเจรจาในเวทีระหว่างประเทศที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันและมีความเข้มข้นขึ้นในอนาคต รวมทั้งเพิ่มเติมประเด็นและแนวทางการจัดการมลพิษทางทัศนียภาพ หรือปัญหามลทัศน์ (Visual Pollution) ซึ่งมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาความเป็นเมืองซึ่งนอกจากจะส่งผลให้ภูมิทัศน์เมืองขาดความสวยงามและความเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ยังมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมจนถึงระบบนิเวศน์ของพื้นที่ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการเริ่มเก็บภาษีมลพิษหรือภาษีสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อท้องถิ่น โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ก่อให้เกิดมลพิษ และใช้เป็นมาตรการในการเพิ่มรายรับของประเทศเพื่อนำไปใช้ในการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ตลอดจนการจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนในรูปของเงินช่วยเหลือ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการผลิตและบริโภคที่ยั่งยืน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วยว่า แผนจัดการมลพิษควรดำเนินการจัดทำให้ครอบคลุมถึงการเตรียมการป้องกันก่อนเกิดเหตุ รวมทั้งการจัดการมลพิษบางประเภท เช่น หมอกควันและขยะมีพิษ เป็นต้น ควรต้องมีการประสานงานและขอความร่วมมือในการป้องกันแก้ไขปัญหากับต่างประเทศที่เกี่ยวข้องด้วย นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นว่า นอกเหนือจากแผนจัดการมลพิษดังกล่าวแล้ว ควรมีแผนจัดการมลพิษจากภาคอุตสาหกรรมเพิ่มเติมด้วย โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาให้ครอบคลุมถึงมาตรการทางกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
30974 | ขออนุมัติลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจกับ Korea Development Institute | กค | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กับ Korea Development Institute (KDI) (Memorandum of Understanding between the Korea Development Institute of the Republic of Korea and the State Enterprise Policy Office of the Kingdom of Thailand) โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ในเรื่องความร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชน (Public and Private Partnerships) เพื่อการพัฒนาด้านนโยบาย (Policies) และหน่วยงาน (institutions) โดยมีรูปแบบการแลกเปลี่ยน เช่น การแลกเปลี่ยนการเยือนของเจ้าหน้าที่ การแลกเปลี่ยนการอบรมระยะสั้น เป็นต้น ๒. อนุมัติให้ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หารือกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ ได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
30975 | ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างไทยและจีนในโครงการรัฐบาลจีนเสนอสร้างบ่อก๊าซชีวภาพในชนบทของไทย | พน | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายจีนและฝ่ายไทยในโครงการรัฐบาลจีนเสนอสร้างบ่อก๊าซชีวภาพในชนบทของไทย โดยสาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ได้กำหนดความรับผิดชอบระหว่างรัฐบาลไทยและจีนในการดำเนินโครงการรัฐบาลจีนเสนอสร้างบ่อก๊าซชีวภาพในชนบทของไทย โดยรัฐบาลจีนจะมอบอุปกรณ์การผลิตก๊าซชีวภาพพร้อมด้วยอุปกรณ์ต่อพ่วง จำนวน ๓๐๐ ชุด โดยจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของอุปกรณ์พร้อมค่าขนส่งระหว่างประเทศ และส่งช่างเทคนิคมาให้การอบรมการติดตั้ง ตรวจสอบแก้ไข และบำรุงรักษาอุปกรณ์ ส่วนรัฐบาลไทยจะรับผิดชอบการดำเนินการด้านศุลกากรและการขอยกเว้นค่าธรรมเนียม การเดินทางเข้าและออกของเจ้าหน้าที่เทคนิค และพาหนะของจีน การดำเนินการติดตั้งระบบตามคำแนะนำของจีน และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่ไม่มีผลกระทบต่อเนื้อหาสาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานสามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำดังกล่าวได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาข้อสังเกตจากที่ประชุม เรื่อง รัฐบาลจีนเสนอสร้างบ่อก๊าซชีวภาพในชนบทของไทย ครั้งที่ ๑/๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ อาทิ เทคโนโลยีการก่อสร้าง การคัดเลือก และกำหนดพื้นที่ก่อสร้างที่มีศักยภาพและคุ้มค่าในการดำเนินการและการฝึกอบรมเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งมีการติดตามและประเมินผล และบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ในการคัดเลือกชุมชนเข้าร่วมโครงการควรส่งเสริมการสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับบ่อก๊าซชีวภาพให้กับชุมชนและครัวเรือนเพิ่มเติมล่วงหน้า และให้ความสำคัญในเรื่องการถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการติดตั้งและบำรุงรักษาบ่อก๊าซชีวภาพจากเจ้าหน้าที่เทคนิคจีน โดยจัดหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะในด้านเทคนิค และรู้ประเด็นปัญหาของการติดตั้งบ่อก๊าซชีวภาพในประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และขอคำปรึกษาด้านการติดตั้งและบำรุงรักษาบ่อก๊าซชีวภาพ และนำองค์ความรู้ที่ได้มาถ่ายทอดให้กับชุมชนและครัวเรือน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในการคัดเลือกชุมชนเข้าร่วมโครงการควรพิจารณาคัดเลือกจากชุมชนที่มีความพร้อมและสมัครใจเพื่อให้โครงการบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อการขยายผลโครงการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
30976 | ขออนุมัติค่าสมาชิกสำหรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย - แปซิฟิก (Asia - Pacific Economic Cooperation - APEC) | กต | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศเบิกจ่ายค่าธรรมเนียมสมาชิกเอเปค (ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย - แปซิฟิก) (Asia - Pacific Economic Cooperation - APEC) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๙๔,๗๐๐ ดอลลาร์สิงคโปร์ และ ๑๑,๙๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ จากเงินงบประมาณหมวดเงินอุดหนุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกระทรวงการต่างประเทศซึ่งได้ตั้งรองรับไว้แล้ว ๑.๒ อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศเบิกจ่ายงบประมาณจากหมวดเงินอุดหนุนตามอัตราค่าธรรมเนียมสมาชิกเอเปคที่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมระดับรัฐมนตรีเอเปคในแต่ละปี เพื่อชำระเงินค่าธรรมเนียมสมาชิกเอเปคประจำปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศเบิกจ่ายเงินเพื่อการดังกล่าวให้เป็นไปตามความกฎหมายและระเบียบของทางราชการ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
|||||||||||||||||||||||||||
30977 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองราชบุรี พ.ศ. .... | มท | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองราชบุรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลหลุมดิน ตำบลโคกหม้อ ตำบลเจดีย์หัก ตำบลพงสวาย ตำบลหน้าเมือง ตำบลบ้านไร่ และตำบลดอนตะโก อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
30978 | การรับรองร่างแถลงการณ์กรุงโซลของการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ณ กรุงโซล | กต | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์กรุงโซลของการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ๒๕๕๕ ณ กรุงโซล โดยร่างแถลงการณ์ฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของผู้นำที่เข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ปี ๒๕๕๕ (2012 Nuclear Security Summit : NSS) ณ สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางนิวเคลียร์ระหว่างประเทศ และเพื่อลดภัยคุกคามจากการก่อการร้ายที่ใช้นิวเคลียร์ ๒. อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีรับรองแถลงการณ์กรุงโซลฯ (โดยไม่มีการลงนาม) ในที่ประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ระหว่างวันที่ ๒๖ - ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ๓. หากจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนการรับรอง ก็อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก |
|||||||||||||||||||||||||||
30979 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ 2555 ของไตรมาส 1 | ทก | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (Government Contact Center : GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของไตรมาสที่ ๑ โดย GCC 1111 ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญของรัฐบาลให้เป็น Call Center ของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) โดยใช้หมายเลข ๑๑๑๑ กด ๕ ซึ่งประเด็นที่ประชาชนสนใจสอบถามเกี่ยวกับมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะในช่วงเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ หลังจากสถานการณ์อุทกภัยเริ่มคลี่คลาย ได้แก่ การช่วยเหลือเยียวยาจากภาครัฐ ซึ่ง GCC 1111 ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บริการประชาชนอย่างเร่งด่วน รวมทั้งการสอบถามถึงโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี การทำบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า และการใช้สิทธิกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา การพยากรณ์อากาศ เป็นต้น นอกจากนี้ โครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน GCC 1111 ยังเป็นช่องทางหนึ่งที่ให้ความช่วยเหลือสังคม เช่น การรับเรื่องร้องเรียน รับแจ้งเบาะแส และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บริการประชาชนในเรื่องต่าง ๆ เช่น รับแจ้งเบาะแสยาเสพติดและประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับแจ้งเหตุขอความช่วยเหลือตลอด ๒๔ ชั่วโมง
|
|||||||||||||||||||||||||||
30980 | ขออนุมัติตั้งด่านตรวจยานพาหนะชุมพร อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร | ตช | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้มีการตั้งด่านตรวจยานพาหนะชุมพร บนเส้นทางคมนาคมถนนเพชรเกษม บริเวณพื้นที่กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ ๔๑๔ ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ ๔๖๖ - ๔๖๗ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร เพื่อดำเนินการสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติดไปสู่พื้นที่ภาคใต้ และสกัดกั้นการนำเข้ายาเสพติดตามแนวชายแดนภาคใต้ไปยังพื้นที่ภาคอื่น ๆ ๑.๒ อนุมัติเป็นหลักการให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติการตั้งด่านตรวจยานพาหนะ เพื่อสกัดกั้นและจับกุมการลักลอบลำเลียงยาเสพติดบนทางหลวงแผ่นดินได้ โดยให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๐๔ (เรื่อง การตั้งด่านตรวจและเครื่องกีดขวางบนทางหลวงแผ่นดินเป็นกรณีพิเศษ) ๒. ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติการตั้งด่านตรวจยานพาหนะเพื่อสกัดกั้นและจับกุมการลักลอบลำเลียงยาเสพติดบนทางหลวงแผ่นดิน โดยยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๐๔ เป็นกรณีพิเศษ นั้น ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ต้องมีเหตุผลอันสมควรในการดำเนินการ ควรกำหนดหลักเกณฑ์เป็นแนวทางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ไว้ด้วย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
.....