ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1549 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 30961 - 30980 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30961 | รายงานผลการดำเนินงานเพื่อรักษาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมของประเทศ | ทก | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานเพื่อรักษาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมของประเทศ ประกอบด้วย ตำแหน่งวงโคจรที่ ๕๐.๕ ๑๒๐ ๑๒๖ และ ๑๔๒ องศาตะวันออก ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินงานเพื่อรักษาสิทธิของตำแหน่งวงโคจรที่ ๕๐.๕ และ ๑๒๐ องศาตะวันออก สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ประสานความถี่สำหรับตำแหน่งวงโคจรที่ ๑๒๐ องศาตะวันออก กับหน่วยงานกำกับดูแลของเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Office of the Telecommunications Authority : OFTA) เรียบร้อยแล้ว โดยสามารถจัดหาดาวเทียม THAICOM-120E มาวางที่ตำแหน่งดังกล่าวเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๕ และต่อมาในวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๕ กสทช. ได้แจ้งการนำดาวเทียม THAICOM-120E ขึ้นใช้งาน (Bringing Satellite Network into Use) ต่อสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) เพื่อเป็นการรักษาสิทธิการใช้งานในวงโคจรดาวเทียมที่ตำแหน่ง ๑๒๐ องศาตะวันออก ตามกฎข้อบังคับวิทยุคมนาคม (Radio Regulations) ของ ITU แล้ว สำหรับตำแหน่งวงโคจร ๕๐.๕ องศาตะวันออก จะรายงานให้ทราบอีกครั้งหนึ่งหากมีผลความคืบหน้าในเรื่องนี้ ๑.๒ การดำเนินงานเพื่อรักษาสิทธิของตำแหน่งวงโคจรที่ ๑๒๖ และ ๑๔๒ องศาตะวันออก เนื่องจากตำแหน่งที่ ๑๒๖ มีดาวเทียมต่างประเทศใกล้เคียง ได้แก่ ตำแหน่ง ๑๒๕ องศาตะวันออก มีดาวเทียม Sinosat-6 ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และตำแหน่ง ๑๒๔ ๑๒๗.๙ และ ๑๒๘ องศาตะวันออก มีดาวเทียม Jcsat-6 Jcsat-12 และ Jcsat-10 ของประเทศญี่ปุ่น ตามลำดับ รวมทั้งตำแหน่งที่ ๑๔๒ องศาตะวันออก มีดาวเทียมต่างประเทศใกล้เคียงที่ใช้งานจริงอย่างหนาแน่น ได้แก่ ตำแหน่ง ๑๔๐ องศาตะวันออก มีดาวเทียม Express-AM3 ของประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย ตำแหน่ง ๑๔๒ องศาตะวันออก มีดาวเทียม Apstar-1 ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และตำแหน่ง ๑๔๐.๑ ๑๔๓ และ ๑๔๔ องศาตะวันออก มีดาวเทียม MTSAT-1 Kizuna Winds และ Superbird-7 ของประเทศญี่ปุ่น ตามลำดับ โดยดาวเทียมทั้งหมดเป็นดาวเทียมที่มีการใช้งานจริงภายใต้เอกสาร Filing ที่มีลำดับสิทธิ (Priority) สูงกว่าเอกสาร Filing ของประเทศไทย ดังนั้น ยังไม่มีแนวโน้มหรือความชัดเจนที่ประเทศไทยจะสามารถประสานงานความถี่กับข่ายสื่อสารดาวเทียมต่างประเทศใกล้เคียงดังกล่าวได้เป็นผลสำเร็จ ๑.๓ การดำเนินการในระยะต่อไป เนื่องจากตำแหน่งวงโคจรที่ ๑๒๐ องศาตะวันออก ประเทศไทยสามารถรักษาไว้ได้แล้ว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจะประสานกับ กสทช. เพื่อเร่งรัดการออกหลักเกณฑ์การกำกับดูแลและการอนุญาตการใช้คลื่นความถี่ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประสานงานกับ กสทช. เพื่อเร่งรัดจัดส่งเอกสารเกี่ยวกับการจัดทำข้อตกลงเป็นหนังสือหรือลายลักษณ์อักษรจากการประชุมประสานงานความถี่ระดับหน่วยงานกำกับดูแล (Regulator) ระหว่าง กสทช. กับหน่วยงานกำกับดูแลของเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Office of Telecommunications Authority - OFTA) เมื่อวันที่ ๒๔ - ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง อันเกี่ยวข้องกับกระบวนการหรือขั้นตอนของการรักษาตำแหน่งวงโคจร ๑๒๐ องศาตะวันออก รวมทั้งเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย |
||||||||||||||||||||||||
30962 | ร่างยุทธศาสตร์แก้ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองทั้งระบบ | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติร่างยุทธศาสตร์แก้ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองทั้งระบบ ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ย่อยรองรับ ๔ ยุทธศาสตร์ย่อย ได้แก่ ๑.๑.๑ ยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองที่อยู่ในประเทศไทย ครอบคลุม ๔ กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ ๑.๑.๑.๑ กลุ่มที่อพยพเข้ามานานและกลับประเทศต้นทางไม่ได้ จำนวนประมาณ ๖.๘ แสนคน ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ได้รับการสำรวจจัดทำทะเบียนประวัติไว้แล้ว โดยให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบทะเบียนประวัติและความถูกต้องของตัวบุคคล นำไปสู่การพิจารณากำหนดสถานะให้เป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายหรือให้ได้รับสัญชาติไทยภายใต้กฎหมายและหลักเกณฑ์ที่กำหนด ๑.๑.๑.๒ กลุ่มที่มีความจำเป็นทางเศรษฐกิจ ได้แก่ แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ๓ สัญชาติ (พม่า ลาว และกัมพูชา) ซึ่งมีจำนวนไม่ต่ำกว่า ๒ ล้านคน มุ่งเน้นการนำแรงงานเข้าสู่ระบบการจ้างงานอย่างถูกต้อง รวมทั้งการนำเข้าอย่างเพียงพอโดยร่วมมือกับประเทศต้นทางเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานระดับล่างที่คนไทยไม่ทำ รวมถึงการร่วมมือกับผู้ประกอบการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในบางสาขาโดยเฉพาะประมง เพื่อลดปัญหาการค้ามนุษย์และการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตลอดจนมีการกำหนดทิศทาง/นโยบายเศรษฐกิจของประเทศที่ชัดเจนในการลดการพึ่งพาแรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือในระยะยาว ๑.๑.๑.๓ กลุ่มที่มีปัญหาความมั่นคงเฉพาะ จำนวนประมาณ ๑ แสนคน ได้แก่ ผู้หนีภัยการสู่รับจากพม่า ผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวโรฮิงยา ชาวเกาหลีเหนือ จะอำนวยความสะดวกให้เดินทางกลับประเทศต้นทางเมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวยหรือพิจารณาส่งไปประเทศที่สามโดยร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ แล้วแต่กรณี ๑.๑.๑.๔ กลุ่มผู้หลบหนีเข้าเมืองอื่น ๆ ซึ่งเข้ามาอย่างถูกต้องหรือเข้ามาโดยการปลอมแปลงเอกสารเดินทางแล้วไม่กลับออกไป ให้ระมัดระวัง เข้มงวดในการตรวจลงตรา เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบตัวบุคคลและการเข้าออก รวมถึงพัฒนาระบบการเข้าออกบริเวณชายแดนและการติดตามเฝ้าระวัง และให้มีการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองโดยเคร่งครัด ๑.๑.๒ ยุทธศาสตร์การป้องกันการลักลอบหลบหนีเข้ามาใหม่ มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและสกัดกั้นกลุ่มที่มาจากประเทศเพื่อนบ้านและใกล้เคียง การพัฒนาระบบสารสนเทศการตรวจคนเข้าเมืองและฐานข้อมูลประวัติบุคคลให้ทันสมัยและเป็นปัจจุบัน สามารถเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานได้ เพื่อสนับสนุนการติดตามตรวจสอบตัวกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อทุกภาคส่วน และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนบริเวณชายแดนและชายฝั่งทะเลให้ร่วมมือกับภาครัฐในการป้องกันและสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมือง ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อป้องกันและแก้ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมือง เน้นการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไกระดับต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั้งในระดับทวิภาคและพหุภาคี รวมทั้งให้องค์กรระหว่างประเทศ กลุ่มประเทศอาเซียน และประชาคมโลกเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือพัฒนาคุณภาพชีวิตประชากร สภาพเศรษฐกิจและสังคมในประเทศต้นทางเพื่อลดการโยกย้ายถิ่นฐานเข้ามาในประเทศไทย ๑.๑.๔ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ ประกอบด้วย ๑.๑.๔.๑ ในระยะเร่งด่วน ให้จัดตั้งองค์กรบริหารจัดการรองรับการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ฯ ทั้งในระดับนโยบายและปฏิบัติ โดยระดับชาติมีคณะกรรมการอำนวยการบริหารยุทธศาสตร์แก้ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองทั้งระบบ (กอ.ปร.) เป็นกลไกขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ในภาพรวม มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นเลขานุการ ระดับปฏิบัติมีคณะกรรมการ ๕ คณะ เป็นกลไกสนับสนุนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของ กอ.ปร. อย่างบูรณาการ ได้แก่ คณะกรรมการบริหารการแก้ปัญหาสถานะสิทธิของบุคคล คณะกรรมการบริหารฐานข้อมูลผู้หลบหนีเข้าเมือง คณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง คณะกรรมการบริหารการแก้ปัญหาผู้หลบหนีเมืองเมืองกลุ่มเฉพาะ และคณะกรรมการบริหารฐานข้อมูลคนเข้าเมือง ๑.๑.๔.๒ ในระยะต่อไป กำหนดให้มีการจัดทำนโยบายรองรับการโยกย้ายถิ่นฐานและการเคลื่อนย้ายประชากร ทั้งแบบปกติและแบบไม่ปกติภายในประเทศและภูมิภาคให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงและรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้าสู่ความเป็นประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๒ อนุมัติการยกเลิกชั้นความลับ เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์ฯ ๑.๓ อนุมัติการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๔๘ เกี่ยวกับยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๔๗ เกี่ยวกับยุทธศาสตร์การบริหารแรงงานต่างด้าวทั้งระบบ ๑.๔ เห็นชอบแนวทางดำเนินการในช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ใหม่ โดยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติจะได้ประสานหารือส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามยุทธศาสตร์ฯ ในระยะเร่งด่วนในการจัดตั้ง กอ.ปร. และกลไกที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ รวมทั้งกำหนดแผนงานรองรับการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ฯ รายงานต่อ กอ.ปร. โดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ในระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่าน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามยุทธศาสตร์และแนวทางปฏิบัติเดิมไปพลางก่อนเพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ๒. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรปฏิบัติตามร่างยุทธศาสตร์ฯ บนพื้นฐานของความสมดุลระหว่างหลักการความมมั่นคงกับหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งอาจรวมถึงความจำเป็นของไทยในการช่วยเหลือบุคคลในบางกรณีเป็นการพิเศษตามหลักมนุษยธรรม รวมทั้งคำนึงถึงมิติความสัมพันธ์และความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านที่เกี่ยวข้อง การทบทวนยุทธศาสตร์และการดำเนินงานของไทยในเรื่องนี้เป็นระยะ โดยคำนึงถึงพัฒนาการระดับภูมิภาคและระดับระหว่างประเทศ อาทิ ในกรอบอาเซียนที่จะมีผลกระทบต่อการโยกย้ายถิ่นฐาน รวมถึงการตอบสนองต่อปัจจัยภายในของไทยในด้านแรงงาน การพัฒนาเศรษฐกิจและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดทำทะเบียนตรวจสอบตัวบุคคลหรือการจัดทำทะเบียนประวัติเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการดำเนินการได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนและส่งเสริมให้ประเทศเพื่อนบ้านได้รับการพัฒนาทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม โดยเฉพาะการศึกษา เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขี้นและสามารถพึ่งพาตนเองได้ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งอาจจะช่วยแก้ไขปัญหาการหลบหนีเข้าเมืองได้ในระดับหนึ่ง และให้ความสำคัญกับกลไกการบริหารจัดการเพื่อนำไปสู่การบูรณาการร่วมกัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30963 | มาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาผลิตภาพการผลิต การสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการลดภาระต้นทุนค่าแรง รวมทั้งเป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ผ่านมาตรการทางการเงินและมาตรการภาษี ดังนี้ ๑.๑ มาตรการทางการเงิน ประกอบด้วย ๑.๑.๑ โครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต (Productivity Improvement Loan) โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ประกอบด้วยสินเชื่อ ๒ ประเภท คือ สินเชื่อเพื่อพัฒนาเครื่องจักรและสินเชื่อเพื่อพัฒนากระบวนการทำงาน โดยมีวงเงินโครงการ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ ๒ ปี นับจากวันที่มีมติคณะรัฐมนตรี และงบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนไม่เกิน ๑,๘๐๕ ล้านบาท ๑.๑.๒ โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๔ (PGS ระยะที่ ๔) ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยมีวงเงินค้ำประกันรวม ๒๔,๐๐๐ ล้านบาท โดย บสย. จ่ายอัตราค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๑๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ ๕ ปี และรัฐบาลชดเชยส่วนต่างค่าประกันชดเชยตามจริงแต่ไม่เกิน ๒,๒๒๐ ล้านบาท ๑.๑.๓ โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ (PGS New/Start - up) ของ บสย. สำหรับ SMEs ที่มีอายุกิจการไม่เกิน ๒ ปี มีวงเงินค้ำประกันรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท โดย บสย. จ่ายอัตราค่าประกันชดเชย (Coverage ratio) ให้กับสถาบันการเงินในอัตราสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๔๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ ๗ ปี และงบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนรวม ๓,๓๐๐ ล้านบาท ๑.๑.๔ กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน ให้ SMEs กู้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๑ ต่อปี วงเงินกู้ยืมสูงสุด ๔๒,๐๐๐ บาท ระยะเวลาชำระคืน ๔ ปี ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการฝึกอบรม ๑.๑.๕ โครงการสินเชื่อส่งเสริมการจ้างงาน (กองทุนประกันสังคม) ให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ โดยอาศัยแหล่งเงินทุนจากกองทุนประกันสังคมให้แก่ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นเงินทุนในการเสริมสภาพคล่องหรือเพิ่มผลิตภาพการผลิต มีวงเงินรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ มาตรการภาษี ประกอบด้วย ๑.๒.๑ มาตรการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายเครื่องจักรเก่าเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ ระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์สำหรับการขายเครื่องจักร ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๒ มาตรการหักค่าเสื่อมเครื่องจักร โดยให้หักค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรใหม่ได้ร้อยละ ๑๐๐ ในปีแรก แทนการทยอยหักค่าเสื่อมภายใน ๕ ปี ระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์สำหรับการหักค่าเสื่อมเครื่องจักร ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๓ มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ โดยให้ผู้ประกอบการทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ ๑.๕ เท่าของส่วนต่างค่าแรงที่เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น ๓๐๐ บาทต่อวัน ระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ตั้งแต่วันที่เริ่มใช้ค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ตามที่รัฐบาลประกาศกำหนด (๑ เมษายน ๒๕๕๕) จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๒. อนุมัติให้จัดสรรงบประมาณที่ต้องใช้ในการสนับสนุนโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต (Productivity Improvement Loan) โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๔ และโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ เป็นวงเงินรวมไม่เกิน ๕,๒๐๕ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเบิกจ่ายตามจริง โดยให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ประกอบด้วย ๓.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของกรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๓.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเงื่อนไขและอัตราการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๓.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนร้อยละห้าสิบของรายจ่ายที่ได้มีการจ่ายเป็นค่าจ้างเฉพาะส่วนต่างของค่าจ้างที่ได้มีการจ่ายเพิ่มขึ้นจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันตามที่กำหนดในแต่ละเขตจังหวัดกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่เป็นเงินวันละสามร้อยบาท ให้แก่บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้พึงประเมิน ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๔. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของ SMEs กลุ่มเป้าหมาย โดยให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมรายสาขาที่ได้รับผลกระทบจากภาระค่าแรงที่เพิ่มขึ้นมาเป็นพิเศษก่อน และมีการสำรวจกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพและขีดความสามารถในการชำระหนี้ เพื่อไม่ให้การดำเนินงานประสบภาวะขาดทุนและเป็นภาระของรัฐในอนาคต รวมทั้งมีระบบการตรวจสอบและรายงานผลการดำเนินงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๕. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานหาแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้วยการลดต้นทุนทางด้านพลังงานและวิธีการอื่นเพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
30964 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการดาวเทียมไทย | สสป | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการดาวเทียมไทย ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) และสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอแนะด้านความมั่นคงทางการสื่อสาร ๑.๑ เร่งผลักดันให้มีหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมและกำกับดูแลการประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยเฉพาะ รวมทั้งดูแลและผลักดันให้เกิดการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม และการส่งเสริมให้เกิดการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย ๑.๒ สร้างความรู้ความเข้าใจและประชาสัมพันธ์เรื่องดาวเทียมไทยต่อภาคประชาชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจและตระหนักถึงประโยชน์ดาวเทียมไทยและการรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสทุกภาคส่วน ๑.๓ ไม่ควรซื้อดาวเทียมคืนจากภาคเอกชน เนื่องจากดาวเทียมดังกล่าวมีหน่วยงานภาครัฐกำกับดูแลอยู่แล้ว ๑.๔ สนับสนุนการเตรียมการในการยิงดาวเทียมดวงใหม่ รวมถึงการพัฒนาบุคลากร เพื่อรองรับความต้องการใช้งานในอนาคต โดยพิจารณาถึงปริมาณเงินลงทุน อายุของดาวเทียมเดิมที่มีอยู่และความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งสัญญาสัมปทานจะสิ้นสุดอายุในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ จึงควรมีนโยบายและการเตรียมการล่วงหน้าที่ชัดเจนตั้งแต่ปัจจุบันเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด ๒. ข้อเสนอแนะการบริหารจัดการทั่วไป ๒.๑ ไม่ควรบริหารกิจการดาวเทียมเอง เนื่องจากกิจการดาวเทียมเป็นกิจการที่มีการแข่งขันในตลาดระหว่างประเทศด้วย แต่ควรเข้ามากำหนดนโยบายตรวจสอบการดำเนินกิจการดาวเทียมอย่างเคร่งครัด ๒.๒ สนับสนุนให้มีการแข่งขันเสรีเรื่องดาวเทียม โดยยกเลิกระบบสัมปทาน (Concessions) เป็นใบอนุญาต (License) ๒.๓ มีการปรับปรุงกฎหมาย/ระเบียบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหรือกำกับดูแลเรื่องดาวเทียม ๒.๔ วางระเบียบกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาต (License) และการอนุญาตให้ดำเนินการ เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุด ๒.๕ สนับสนุนให้ภาคเอชนแข่งขันทางการตลาดภายในประเทศอย่างเป็นธรรม และมีศักยภาพเพื่อแข่งขันกับตลาดโลกได้ ๒.๖ พัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจประกันภัยที่ควรครอบคลุมถึงการประกันภัยวัตถุอวกาศ และอุปกรณ์เคลื่อนที่ กฎหมายอวกาศเกี่ยวกับเรื่องความรับผิดทางแพ่งและอาญา รวมทั้งการละเมิดทางการปกครอง และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะอวกาศ รวมทั้งการดำเนินการใด ๆ อันเป็นการขัดต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการใช้อวกาศส่วนนอกภายใต้ UNCOPOUS ที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญา
|
||||||||||||||||||||||||
30965 | ผลการเจรจาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2554 เรื่อง รายงานปัญหาอุปสรรคของการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต สัญญาเงินกู้เลขที่ TXXXI - 1 | คค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการเจรจาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๔ (เรื่อง รายงานปัญหาอุปสรรคของการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต สัญญาเงินกู้เลขที่ TXXXI - 1 เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ แนวทางการย้ายแนวท่อน้ำมันของบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด ทางด้านเทคนิค ให้มีการรื้อย้ายลดลงจากเดิมที่กำหนดไว้ ๑๓ จุด เหลือเพียง ๒ จุด คือ บริเวณสถานีบางซื่อ มีทางเลือกในการรื้อย้ายจำนวน ๒ ทางเลือก โดยทางเลือกที่ ๑ ระยะทาง ๒.๙ กิโลเมตร วงเงินดำเนินการ ๒๑๗ ล้านบาท และทางเลือกที่ ๒ ระยะทาง ๔.๔ กิโลเมตร วงเงินดำเนินการ ๒๔๕ ล้านบาท ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กับบริษัทฯ จะได้พิจารณาทางเลือกที่มีความเหมาะสมที่สุดทางด้านเทคนิคเมื่อถึงเวลารื้อย้ายต่อไป และบริเวณสถานีดอนเมือง วงเงินค่ารื้อย้าย ๙๖ ล้านบาท ทำให้วงเงินค่ารื้อย้ายทั้งหมดรวม ๓๔๑ ล้านบาท สำหรับบริเวณแนวท่อน้ำมันอีก ๑๑ จุดที่เหลือ ผู้รับเหมาก่อสร้างจะต้องใช้ความระมัดระวังและจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการดำเนินการ ๑.๑.๒ สำหรับประเด็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในการรื้อย้าย รฟท. ยืนยันให้บริษัทฯ รับภาระค่าใช้จ่าย ตามเงื่อนไขข้อ ๘ วรรคหนึ่ง ของสัญญาเช่าที่ดิน เพื่อให้การดำเนินการรื้อย้ายเป็นไปในมาตรฐานเดียวกันกับหน่วยงานด้านสาธารณูปโภคอื่น ๆ ที่ยินยอมรับภาระค่าใช้จ่ายในการรื้อย้ายแล้ว ส่วนบริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือในการรื้อย้ายแต่คงยืนยันว่าไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายในการรื้อย้ายได้ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทฯ ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งการรับภาระค่ารื้อย้ายดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทฯ มีความเสี่ยงที่จะเกิดสภาพล้มละลาย ๑.๒ รับทราบแนวทางการดำเนินการต่อไป รฟท. จะแจ้งให้องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) ทราบว่า รฟท. จะดำเนินการรื้อย้ายท่อขนส่งน้ำมันของบริษัทฯ ไปก่อน เนื่องจาก บริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือในการรื้อย้ายทางด้านเทคนิค ส่วนการรับภาระค่าใช้จ่ายในการรื้อย้าย รฟท. จะดำเนินการฟ้องร้องตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ๑.๓ รับทราบหลักการการพิจารณาให้หน่วยงานด้านสาธารณูปโภคเช่าพื้นที่ของ รฟท. ในอนาคต กระทรวงคมนาคมได้กำหนดเป็นหลักการการให้หน่วยงานด้านสาธารณูปโภคเช่าพื้นที่ของ รฟท. ว่า “รฟท. จะสงวนสิทธิ์พื้นที่ของ รฟท. เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐบาล เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง และโครงการระบบรถไฟทางคู่ เป็นลำดับแรก จึงจะพิจารณาให้หน่วยงานสาธารณูปโภคอื่น ๆ เช่าที่ดินต่อไป” ๑.๔ เห็นชอบให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการให้ รฟท. ใช้กรอบวงเงินกู้ของโครงการฯ สำหรับการรื้อย้ายท่อน้ำมันไปก่อน และในกรณีที่แหล่งเงินกู้ JICA ไม่อนุญาต ให้กระทรวงการคลังพิจารณาแหล่งเงินที่เหมาะสมเพื่อใช้ในการดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการรื้อย้ายท่อน้ำมันของบริษัทฯ ตามแนวการก่อสร้างโครงการตามแผนที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งเร่งดำเนินการเรียกร้องภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากปัญหาการรื้อย้ายท่อน้ำมันดังกล่าวทั้งในส่วนของภาระค่ารื้อย้ายท่อน้ำมัน ๒ แห่ง คือ บริเวณสถานีบางซื่อ และบริเวณสถานีดอนเมือง รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างการก่อสร้าง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากกระทรวงคมนาคม โดย รฟท. จำเป็นต้องขอรับการจัดสรรเงินงบประมาณหรือกู้เงินเพื่อการดำเนินการรื้อย้ายท่อน้ำมันของบริษัทฯ ให้ รฟท. เสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๓. เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของการดำเนินโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อลดภาระงบประมาณที่จะต้องจ่ายเป็นค่าชดเชย รื้อถอน โยกย้ายสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ในพื้นที่ หรือในสายทางที่จะดำเนินโครงการลงทุนดังกล่าว ให้หน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการเร่งสำรวจความพร้อมของพื้นที่หรือในสายทางของโครงการ และดำเนินการรื้อย้ายสาธารณูปโภค สิ่งปลูกสร้าง และผู้บุกรุกพื้นที่ที่ผิดกฎหมายให้แล้วเสร็จก่อนขออนุมัติดำเนินโครงการและประกวดราคา และสำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการ ให้หน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการเร่งสำรวจและติดตามดูแล รวมทั้งมีมาตรการป้องกันมิให้มีการก่อสร้างสาธารณูปโภค สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ เพิ่มเติม หรือมีการบุกรุกพื้นที่ที่ผิดกฎหมายอันจะเป็นอุปสรรคและก่อให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินโครงการนั้น ๆ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30966 | ขอความเห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้และขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประธานกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๒ อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน ๒,๐๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๓ มอบหมายการดำเนินการให้หน่วยงานรับผิดชอบเป็นไปตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๙๗/๒๕๕๔ ลงวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ข้อ ๒ (๔) ได้แก่ มอบหมายให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จังหวัด หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเป็นผู้พิจารณาอนุมัติให้ความช่วยเหลือเยียวยาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบตามข้อ ๑.๑ ๑.๔ เมื่อวาระการดำเนินการของคณะกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้สิ้นสุดลง (วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕) ให้อำนาจหน้าที่ และการดำเนินการของคณะกรรมการดังกล่าว เป็นของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๒. ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้คณะกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการให้ความช่วยเหลือเยียวยาให้มีความเหมาะสมกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และให้ความช่วยเหลือเยียวยาต่อผู้เสียหายทั้งประชาชนทั่วไปและเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง รวมทั้งการตรวจสอบข้อเท็จจริงควรมีความรอบคอบและมีมาตรฐานเพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้ได้รับการช่วยเหลือดังกล่าวจากภาครัฐเป็นผู้ได้รับความเสียหายและได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้จริง ไปดำเนินการด้วย ๓. การพิจารณาให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ตรวจสอบข้อมูลผู้มีสิทธิได้รับการช่วยเหลือเยียวยาฯ ให้ชัดเจน มิให้ผู้ใดแอบอ้างการใช้สิทธิดังกล่าวหรือใช้สิทธิซ้ำซ้อน และมีความเป็นธรรม สอดคล้องกับหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินสำหรับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย ให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมืองของคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาฯ เป็นไปในแนวทางเดียวกัน |
||||||||||||||||||||||||
30967 | ข้อเสนอแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน เพื่อสนับสนุนหน่วยงานภาคราชการให้สามารถบริหารราชการแผ่นดินร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการปรับตัวของระบบราชการให้สามารถรองรับต่อยุทธศาสตร์การฟื้นฟูและสร้างอนาคตของประเทศ ตลอดจนการตอบสนองความต้องการของประชาชนตามสภาพแวดล้อมและบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปอันจะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายความสำเร็จในการสร้างคุณค่าแก่ประชาชน ยกระดับธรรมาภิบาลของประเทศ และทำให้ประชาชนมีความเชื่อถือไว้วางใจในการทำงานของภาคราชการ โดยครอบคลุมระยะเวลาดำเนินการรวมทั้งสิ้นประมาณ ๓ ปี เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๕๕ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ การดำเนินงานแยกออกเป็น ๓ ส่วน ประกอบด้วย ๘ โครงการสำคัญ ๆ ดังนี้ ๑.๑.๑ ส่วนที่ ๑ การส่งเสริมและพัฒนาการบริหาร/ธรรมาภิบาลในภาคราชการผ่านการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ประกอบด้วย ๒ โครงการ คือ โครงการส่งเสริมและพัฒนาความเป็นเลิศในการให้บริการประชาชน และโครงการส่งเสริมและยกระดับธรรมาภิบาลในส่วนราชการ ๑.๑.๒ ส่วนที่ ๒ การพัฒนากลไกการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลในระบบราชการแบบยั่งยืน ประกอบด้วย ๕ โครงการ คือ โครงการทบทวนบทบาทและโอนถ่ายภารกิจของภาครัฐให้แก่ภาคส่วนอื่น ๆ โครงการส่งเสริมให้ภาคส่วนอื่น ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารกิจการบ้านเมือง โครงการจัดวางระบบความสัมพันธ์และประสานความร่วมมือระหว่างราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น โครงการพัฒนาระบบการบริหารงานแบบบูรณาการ และโครงการออกแบบและวางระบบบริหารราชการรูปแบบใหม่ ๑.๑.๓ ส่วนที่ ๓ การพัฒนาระบบสนับสนุนการพัฒนาธรรมาภิบาล ประกอบด้วย ๑ โครงการ คือ โครงการวัดระดับความเชื่อถือและไว้วางใจในการบริหารงานภาครัฐ ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการตามข้อเสนอแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการตามแผนงาน ให้ใช้จากส่วนที่เหลือจากเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan : SAL) ตามแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาแผนการใช้เงินในรายละเอียดก่อนโอนเงินให้ดำเนินการต่อไป และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีทราบด้วย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอรายละเอียดแต่ละโครงการตามแนวทางและหลักเกณฑ์ของการใช้จ่ายเงินกู้ SAL ตามแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐเสนอให้สำนักงบประมาณพิจารณา แล้วเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาแผนการใช้เงินในรายละเอียดก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
30968 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การสร้างโอกาสการมีงานทำของผู้สูงอายุ" | สสป | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การสร้างโอกาสการมีงานทำของผู้สูงอายุ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการขยายโอกาสการจ้างงาน ๑.๑ ภาครัฐ เช่น ควรกำหนดเป้าหมายในการเพิ่มการจ้างงานผู้สูงอายุ รวมทั้งการกำหนดอายุเกษียณที่เหมาะสมตามประเภทอาชีพ ควรเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีประสบการณ์ ความสามารถและมีความเชี่ยวชาญซึ่งได้เกษียณอายุไปแล้วให้สามารถทำงานต่อไปได้ เป็นต้น ๑.๒ ภาคเอกชน เช่น ควรมีมาตรการจูงใจแก่ธุรกิจภาคเอกชนที่มีคนทำงานในวัยสูงอายุ กำหนดแผนงาน โครงการ เพื่อมุ่งเน้นการสร้างความตระหนักในการออกเกณฑ์ต่าง ๆ สำหรับการจ้างงานผู้สูงอายุ และทำให้บริษัทต่าง ๆ เกิดการยอมรับการจ้างงานผู้สูงอายุ เป็นต้น ๑.๓ ภาครัฐและเอกชน เช่น ควรเปิดโอกาสให้ผู้ที่เข้าสู่วัยเกษียณและมีความสมัครใจจะทำงานต่อทั้งภาครัฐและเอกชนได้รับการพิจารณา จัดโครงการแนะแนวการจ้างงานผู้สูงอายุ ควรรณรงค์ ส่งเสริม ให้ความรู้ต่อสังคมในการปฏิบัติต่อผู้สูงอายุและการปฏิบัติตนของผู้สูงอายุ ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ ตลอดจนการเตรียมตัวเข้าสังคม การให้คำปรึกษาเพื่อการจ้างงาน และการเปิดโอกาสให้มีทางเลือกที่ยืดหยุ่นในตำแหน่งงานได้ เป็นต้น ๒. ด้านการส่งเสริมการแข่งขันลดต้นทุนของแรงงานสูงอายุ เช่น ควรมีการปรับเปลี่ยนการขึ้นค่าจ้างตามอายุงานมาใช้ในการปรับค่าจ้างตามผลงาน ควรส่งเสริมให้สถานประกอบการ บริษัท และโรงงาน มีนโยบายการจัดทำโครงสร้างบุคลากรและการจ้างงานผู้สูงอายุ เป็นต้น ๓. ด้านการเพิ่มทักษะและมูลค่าของแรงงานสูงอายุ เช่น กำหนดคุณสมบัติทางทักษะของกำลังแรงงาน และระบบการจ้างงานตามทักษะ ให้ความช่วยเหลือแรงงานสูงอายุ สำหรับผู้ที่ยังหางานไม่ได้ มุ่งเน้นส่งเสริมความสามารถในการจ้างงานผู้สูงอายุให้มากขึ้น เป็นต้น ๔. ด้านการปรับทัศนคติในทางบวกต่อการจ้างงานผู้สูงอายุ เช่น รณรงค์ ส่งเสริม ให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนทัศนคติเพื่อให้เกิดการจ้างงานผู้สูงอายุ รณรงค์ให้มีการดำเนินโครงการที่มีเป้าหมายให้ลูกจ้างอายุ ๕๐ ปีขึ้นไป ได้เข้าร่วมการสร้างประชาคม เครือข่ายผู้สูงอายุที่คล่องแคล่วกระตือรือร้น และรัฐควรปรับทัศนคติ ให้คนในสังคมเห็นคุณค่าของผู้สูงอายุ และนำภูมิปัญญาของผู้สูงอายุกลับมาพัฒนาสังคม เป็นต้น ๕. ด้านกฎหมาย เช่น ควรมีแนวทางหรือมาตรการในการปรับแก้อายุเกษียณของภาคราชการ จาก ๖๐ ปีให้สูงขึ้น โดยเป็นไปตามความเหมาะสม รวมทั้งการกำหนดอายุการทำงานภาคเอกชนจาก ๕๕ ปี ควรเป็น ๖๐ ปี หรือมากกว่านั้นตามความเหมาะสม ควรมีการปรับแก้ เพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุด้านต่าง ๆ เช่น การจ่ายเงินชดเชย การจ้างงาน การจัดสวัสดิการช่วยเหลือในกรณีต่าง ๆ เป็นต้น ๖. ด้านการดูแลด้านคุณภาพชีวิตและให้บริการสังคมแก่ผู้สูงอายุ เช่น สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีด้านร่างกายและจิตใจ โดยให้ความรู้ด้านสุขภาพ พัฒนาด้านจิตใจให้ผู้สูงอายุในสังคมเป็นคนที่มีคุณค่าอยู่เสมอ ควรส่งเสริมให้มีการเก็บออมเงิน ตั้งแต่เริ่มต้นเข้าทำงาน เพื่อไม่ต้องรอเงินหลังเกษียณอายุ และภาครัฐควรสนับสนุนงบประมาณด้านการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในวัย ๕๐ ปีขึ้นไป ให้เข้ารับการตรวจสุขภาพ เพื่อเป็นการป้องกันโรคมากกว่าการรักษาโรค เป็นต้น ๗. ด้านอื่น ๆ เช่น ควรเปิดโอกาสให้มีการเข้าถึงกองทุนผู้สูงอายุได้ง่ายขึ้น ควรจัดให้มีศูนย์การให้คำปรึกษางานกับผู้สูงอายุ เป็นศูนย์ให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จที่มีทุกภาค ในระดับจังหวัด ควรมีการคัดกรองผู้สูงอายุที่มีความเดือดร้อนแต่ละชุมชนหรือที่อยู่ตามชนบทเพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือในเบื้องต้น และเสนอให้แรงงานที่มีอายุตั้งแต่ ๔๕ ปีขึ้นไป สามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกกองทุนต่าง ๆ ของผู้สูงอายุได้ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
30969 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. .... | กษ | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ และพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ ๒. กำหนดนิยามคำว่า “อาหารสัตว์” “อาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะ” “ผลิต” “ขาย” “นำเข้า” “ส่งออก” “ภาชนะบรรจุ” “ฉลาก” “ผู้รับใบอนุญาต” “ผู้อนุญาต” เป็นต้น ๓. กำหนดให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการมีอำนาจประกาศกำหนดเพื่อประโยชน์ในการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ เช่น ชื่อ ประเภท ชนิด ลักษณะ คุณภาพหรือมาตรฐานของอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะ หรือที่มิใช่อาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะ ตลอดจนหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการผลิตเพื่อขาย นำเข้าเพื่อขาย หรือขายอาหารสัตว์นั้น เป็นต้น ๔. กำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ๕. กำหนดให้ผู้ใดประสงค์จะผลิตเพื่อขาย หรือนำเข้าเพื่อขาย หรือจะขายอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะตามมาตรา ๖ (๑) ให้ยื่นคำขออนุญาต และเมื่อผู้อนุญาตออกใบอนุญาตให้แล้วจึงจะผลิตเพื่อขาย หรือนำเข้าเพื่อขาย หรือจะขายอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะนั้นได้ และกำหนดให้ใบอนุญาตมี ๓ ประเภท ได้แก่ ใบอนุญาตผลิตอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะให้ใช้ได้สามปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาต ใบอนุญาตนำเข้าอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะให้ใช้ได้หนึ่งปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาต และใบอนุญาตขายอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะให้ใช้ได้จนถึงวันสิ้นปีปฏิทินแห่งปีที่ออกใบอนุญาต ๖. กำหนดหน้าที่ให้ผู้รับใบอนุญาตผลิต หรือนำเข้า หรือขายอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะปฏิบัติ เช่น จัดให้มีป้ายไว้ในที่เปิดเผยซึ่งเห็นได้ง่ายจากภายนอกอาคารแสดงว่าเป็นสถานที่ผลิต หรือนำเข้า หรือขายอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะ เป็นต้น ๗. กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๕ ที่ประสงค์จะผลิต หรือนำเข้าอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะใด ต้องนำอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะนั้นมาขอขึ้นทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ และเมื่อได้รับใบสำคัญการขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะนั้นแล้วจึงจะผลิตหรือนำเข้าอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะนั้นได้ ๘. กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการ กรณีผู้ขอรับใบอนุญาตประสงค์จะเลิกกิจการที่ได้รับอนุญาต กรณีผู้รับใบอนุญาตไม่ต่ออายุใบอนุญาตหรือผู้อนุญาตไม่อนุญาตให้ต่อใบอนุญาต ๙. กำหนดให้ผู้อนุญาตโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการมีอำนาจสั่งพักใบอนุญาตในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ สั่งเพิกถอนใบอนุญาต กรณีผู้รับใบอนุญาตกระทำความผิดตามมาตรา ๕๖ (๑) และกรณีผู้รับใบอนุญาตฝ่าฝืนคำสั่งพักใช้ใบอนุญาต ๑๐. กำหนดให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์จะขอให้ผู้อนุญาตออกใบรับรองระบบการประกันคุณภาพอาหารสัตว์หรือใบรับรองอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับอาหารสัตว์ก็ได้ โดยผู้ร้องขอจะต้องเสียค่าธรรมเนียม ๑๑. กำหนดห้ามผลิตเพื่อขาย นำเข้าเพื่อขาย หรือขายอาหารสัตว์ปลอมปน เสื่อมคุณภาพ ผิดมาตรฐาน อาหารสัตว์ที่ต้องขึ้นทะเบียนแต่มิได้ขึ้นทะเบียน หรือที่อธิบดีสั่งเพิกถอนทะเบียนหรือที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดตามมาตรา ๖ (๓) ๑๒. กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการโฆษณาอาหารสัตว์ ๑๓. กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และกำหนดอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ ๑๔. กำหนดโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ๑๕. กำหนดให้ใบอนุญาตผลิต นำเข้า หรือขายอาหารสัตว์ที่ออกตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้คงใช้ได้ต่อไปจนกว่าจะสิ้นอายุใบอนุญาตนั้น หรือจนกว่าผู้อนุญาตจะมีคำสั่งพักใช้ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาต ใบสำคัญการขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์ที่ออกตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้คงใช้แทนใบสำคัญการขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ |
||||||||||||||||||||||||
30970 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "สังคมเข้มแข็ง ประเทศมั่นคง" | สสป | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "สังคมเข้มแข็ง ประเทศมั่นคง" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงยุติธรรมร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สถาบันพระปกเกล้า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล เช่น รัฐบาลควรกำหนดเป็นนโยบายว่า จะให้ความสำคัญเรื่องความสุขของประชาชนเป็นอันดับหนึ่ง รัฐบาลควรสร้างสังคมให้เข้มแข็ง ประเทศให้มั่นคง ภายใน พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นปรัชญาชี้นำการบริหารและพัฒนาประเทศ ชี้นำการดำรงชีวิตและการปฏิบัติตนของคนไทยทุกระดับ เป็นต้น ๒. ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสังคมเข้มแข็ง เช่น รัฐบาลและทุกภาคส่วนในสังคมควรสร้างสังคมแห่งเศรษฐกิจพอเพียง สังคมแห่งศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม สังคมแห่งภูมิปัญญา และการเรียนรู้ สังคมสมานฉันท์และเอื้ออาทรต่อกันให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ทำนุบำรุงส่งเสริมศาสนา ส่งเสริมวัฒนธรรมซึ่งเป็นมรดกที่มีค่าของชาติ และการปฏิรูปการปกครอง เพื่อให้ประชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงและสมบูรณ์ เป็นต้น ๓. ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ รัฐบาลและทุกภาคส่วนในสังคมควรดำเนินการส่งเสริมสถาบันหลักแห่งความมั่นคงของชาติ ได้แก่ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ให้สถิตสถาพรตลอดไป ขจัดค่านิยมที่ไม่พึงประสงค์ที่ทำลายความมั่นคงของชาติ อาทิ ค่านิยมธนาธิปไตย เห็นเงินเป็นใหญ่ เห็นเงินเป็นพระเจ้า ยกย่องนับถือคนที่มีเงิน มีอำนาจ มีตำแหน่งสูง แม้ว่าผู้นั้นจะได้เงินมาโดยทางทุจริต โดยทางมิชอบ ป้องกันแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น และป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดซึ่งมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และเป็นปัญหาที่บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
30971 | ผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวี ครั้งที่ 1/2554 | คค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวี ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๔ โดยที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าของการดำเนินการตามมติที่ประชุมที่ผ่านมา และเห็นชอบในหลักการให้ยุติบทบาทโดยยุบเลิกบริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด (บทด.) ส่วนการดำเนินการให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ถือหุ้น คือ กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังรับไปดำเนินการต่อไป และการแก้ไขปัญหาโพงพางกีดขวางทางเดินเรือ ซึ่งที่ประชุมมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง เป็นเจ้าภาพ และให้กองทัพเรือ ตำรวจน้ำ และกรมเจ้าท่าร่วมกันพิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาโพงพางกีดขวางทางเดินเรือ บริเวณปากอ่าวแม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดสมุทรปราการ บริเวณร่องน้ำสงขลา จังหวัดสงขลา และบริเวณแม่น้ำแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม โดยเร็ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ยกเว้นในส่วนของเรื่อง การแก้ไขปัญหาโพงพางกีดขวางทางเดินเรือ มอบให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานเจ้าภาพร่วมกับกระทรวงกลาโหม (กองทัพเรือ) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) กระทรวงมหาดไทย (ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้อง) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (กองบังคับการตำรวจน้ำ) และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวและเร่งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการแก้ปัญหาโพงพางกีดขวางทางเดินเรือ โดยให้นำข้อมูลเกี่ยวกับความจำเป็นพื้นฐานของชาวประมง และทางเลือกอื่นหากต้องเลิกใช้โพงพางเป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพมาประกอบการพิจารณา เพื่อให้ชาวประมงมีรายได้ที่เพียงพอและบรรเทาความเดือดร้อนจากการปฏิบัติตามกฎหมาย ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30972 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และหลักเกณฑ์ และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรองและใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับหนังสือรับรอง และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ขยายระยะเวลาการหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกนอกราชอาณาจักร เป็นวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่า เพื่อให้การดำเนินการเก็บเงินเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นไปอย่างราบรื่นในการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลไทยในการส่งกลับแรงงานต่างด้าว ในระหว่างนี้ ก่อนที่ร่างกฎกระทรวงฯ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหารืออย่างใกล้ชิดกับประเทศต้นทาง (เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา) และประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการ และแรงงานต่างด้าว เข้าใจในการเก็บเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อไม่ให้เป็นการบั่นทอนแรงจูงใจของแรงงานต่างด้าวในการเข้าสู่ระบบการทำงานในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมาย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30973 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2553 พ.ศ. .... | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพ ซึ่งปัจจุบันมีคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณรับผิดชอบดำเนินการอยู่แล้ว โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
30974 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวที่เป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตหรือผู้ป่วยฉุกเฉินเร่งด่วนตามกฎหมายว่าด้วยการแพทย์ฉุกเฉิน สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของเอกชนทั้งประเภทผู้ป่วยนอกหรือผู้ป่วยใน โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรวางแนวทางในการกำกับและติดตาม เพื่อไม่ให้เกิดการรักษาพยาบาลที่เกินความจำเป็น จนนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของภาระค่าใช้จ่ายในระยะต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30975 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (การแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทยและคณะกรรมการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย) | สธ | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย และคณะกรรมการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ เมษายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. คณะกรรมการอำนวยการยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย เป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม มีอำนาจหน้าที่ กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ แนวทางและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับแนวนโยบายระดับชาติ เสนอแนะนโยบายแก่คณะรัฐมนตรี อำนวยการ สั่งการ เร่งรัด สนับสนุน กำกับติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานของคณะกรรมการ ส่วนราชการและองค์กรที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ แนวทางและมาตรการที่ได้กำหนดไว้ รวมทั้งบูรณาการแผน งบประมาณ และการปฏิบัติการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและสุขภาพพอเพียง ๒. คณะกรรมการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีไทย ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นรองประธานกรรมการ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขที่ได้รับมอบหมาย รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ได้รับมอบหมาย และผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม มีอำนาจหน้าที่วิเคราะห์สถานการณ์ปัญหา กลุ่มเป้าหมาย ทรัพยากร และความต้องการสนับสนุนของภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง จัดทำข้อเสนอนโยบาย แผนยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการ แนวทางและมาตรการดำเนินงาน ทั้งในระดับส่วนกลางและระดับพื้นที่ โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายให้สอดคล้องกันในทุกระดับ นำนโยบาย ยุทธศาสตร์ แนวทางและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาจากคณะกรรมการอำนวยการฯ ไปสู่การปฏิบัติการ รวมทั้งอำนวยการ สั่งการ เร่งรัด สนับสนุน ติดตามกำกับ ตรวจสอบ และประเมินผลการปฏิบัติงานขององค์กรและหน่วยปฏิบัติการให้เป็นไปตามนโยบาย แผน และแนวทางการดำเนินงานที่กำหนดไว้ ตลอดจนให้คำปรึกษา ข้อเสนอแนะ ดำเนินการด้านวิชาการ และสนับสนุนการดำเนินการของคณะกรรมการอำนวยการฯ
|
||||||||||||||||||||||||
30976 | โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2554/55 (ผลคืบหน้าเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการส่งเสริมและให้สินเชื่อแก่เกษตรกร) | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลความคืบหน้าเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการส่งเสริมและให้สินเชื่อแก่เกษตรกรเพื่อให้เกษตรกรมีเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ โดยกระทรวงการคลังได้พิจารณาแนวทางดังกล่าวร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และกระทรวงพาณิชย์ โดยมีแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกร ๓ แนวทาง ดังนี้
๑. มาตรการรับจำนำมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ เพื่อยกระดับราคามันสำปะหลังตามนโยบายคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง โดย ธ.ก.ส. ได้ดำเนินโครงการรับจำนำมันสำปะหลังตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ จนถึงวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งรับจำนำมันสำปะหลังแล้ว จำนวน ๒๕,๐๙๘ ตัน เป็นจำนวนเงิน ๖๙ ล้านบาท ๒. ธ.ก.ส. ชะลอการเร่งรัดชำระหนี้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร โดยการเปลี่ยนแปลงกำหนดชำระคืนเงินกู้กรณีเกษตรกรมีหนี้เงินกู้ที่ถึงกำหนดชำระคืนภายในปีบัญชี ๒๕๕๔ คือ หากไม่สามารถชำระหนี้ได้เพราะยังไม่สามารถขุดมันสำปะหลังขายหรือจำนำได้ให้เปลี่ยนแปลงกำหนดชำระคืนเป็นวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๓. ธ.ก.ส. กำหนดมาตรการจ่ายสินเชื่อชะลอขุดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรกรณีที่ยังไม่สามารถขุดมันสำปะหลังขายหรือจำนำได้ โดย ธ.ก.ส. จะจ่ายสินเชื่อเพื่อชะลอขุดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ แก่เกษตรกร ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้นำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไปแล้วเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ได้เตรียมพร้อมในการดำเนินการโดยได้เสนอคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ แล้ว |
||||||||||||||||||||||||
30977 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานรายงานฐานะของกองทุนพลังงานทั้งหมดให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน
|
||||||||||||||||||||||||
30978 | การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) | พณ | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. ให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) ดำเนินการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามแผนการนำเข้าและระบายผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามที่ อคส. เสนอ โดยเป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (เมล็ด) ชนิดดีจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ปริมาณ ๓๐,๐๐๐ ตัน ระยะเวลานำเข้า เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๕๕ เพื่อจำหน่ายให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์รายย่อยภายในประเทศในราคาต่ำกว่าราคาหน้าฟาร์มของเกษตรกรผู้เลี้ยงรายย่อยที่ซื้ออยู่ โดยให้ อคส. เร่งนำเข้าก่อนผลผลิตฤดูกาลใหม่จะออกสู่ตลาดในช่วงเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เกษตรกรขายได้ในประเทศตกต่ำ ๒. ให้ อคส. กู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร วงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยใช้วงเงินกู้จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของ อคส. (จ่ายขาด) ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ตั้งไว้แล้วสำหรับการดำเนินโครงการรับจำนำผลิตผลการเกษตร ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และหากไม่เพียงพอ ให้ อคส. ขอตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อขอใช้จ่ายจากเงินงบกลางเพิ่มเติมต่อไป รวม ๓๗.๕๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
30979 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๖๔ หน่วยงาน เป็นเงิน ๑๑๘,๕๗๑.๘๑๔ ล้านบาท มีการจัดสรรเพิ่มเติม โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๖๗,๕๕๗.๑๘๓ ล้านบาท เปรียบเทียบกับแผนฯ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๕๕,๙๖๐.๘๔๗ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๑๑,๕๙๖.๓๓๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๐.๗๒ เนื่องจากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในบางส่วน ๑.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการแล้วมีการเบิกจ่ายสะสม ณ วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๔๗,๔๖๐.๓๓๙ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๔๔,๓๔๐.๖๗๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๓,๑๑๙.๖๖๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗.๐๔ ๑.๓ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาฯ แล้ว เป็นเงิน ๗๒,๒๘๖.๙๙๙ ล้านบาท (ร้อยละ ๖๐.๙๖ ของวงเงินจัดสรร) เพิ่มขึ้น ๔,๑๘๙.๗๖๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖.๑๕ และยังไม่ลงนามในสัญญาฯ เป็นเงิน ๔๖,๒๘๔.๘๑๕ ล้านบาท (ร้อยละ ๓๙.๐๔ ของวงเงินจัดสรร) ลดลง ๓,๙๖๑.๐๕๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗.๘๘ เนื่องจากมีการทำสัญญาฯ เพิ่มเติม แต่ส่วนราชการยังไม่มีการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ๒. สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๓ กลุ่ม ดังนี้ ๒.๑ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่าย ประกอบด้วย (๑) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่ายเนื่องจากยังไม่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ จำนวน ๕ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๕๔.๗๑๒ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๑ หน่วยงาน เป็นเงิน ๒๒.๔๐๙ ล้านบาท (๒) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ แล้ว แต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย จำนวน ๑๐ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๔,๒๘๒.๗๙๘ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๔ หน่วยงาน เป็นเงิน ๓๖๑.๓๙๖ ล้านบาท ๒.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนการใช้จ่ายสะสม ประกอบด้วย (๑) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๓๐ จำนวน ๒๐ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๓๔,๒๓๓.๓๔๐ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๒๐ หน่วยงาน เป็นเงิน ๖,๔๒๗.๕๒๓ ล้านบาท และมีผลการเบิกจ่ายเป็นเงิน ๑,๒๕๐.๖๐๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๑.๓๕ ของแผนการใช้จ่ายสะสม (๒) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมระหว่างร้อยละ ๓๐ ถึง ๕๐ จำนวน ๕ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๓๑,๘๘๔.๕๓๒ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๕ หน่วยงาน เป็นเงิน ๒๑,๓๗๙.๖๓๖ ล้านบาท และมีผลการเบิกจ่ายเป็นเงิน ๕,๐๒๑.๑๑๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๒.๓๒ ของแผนการใช้จ่ายสะสม และ (๓) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมระหว่างร้อยละ ๕๐ ถึง ๘๐ จำนวน ๘ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๓,๖๑๐.๓๗๘ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๘ หน่วยงาน เป็นเงิน ๒,๒๗๑.๙๗๗ ล้านบาท และมีผลการเบิกจ่ายเป็นเงิน ๒,๑๖๖.๔๘๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๖.๔๓ ของแผนการใช้จ่ายสะสม ๒.๓ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมสูงกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๖ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๔๔,๕๐๖.๐๕๕ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว ๑๖ หน่วยงาน เป็นเงิน ๔๑,๘๒๔.๐๕๙ ล้านบาท และมีผลการเบิกจ่ายเป็นเงิน ๓๙,๐๒๒.๑๓๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๐๖.๐๖ ของแผนการใช้จ่ายสะสม เนื่องจากบางหน่วยงานเบิกจ่ายก่อนแผนฯ ที่กำหนดไว้
|
||||||||||||||||||||||||
30980 | การแต่งตั้งคณะกรรมการสภาการศึกษา | ศธ | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา ประกอบด้วยกรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรเอกชน กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรวิชาชีพ กรรมการที่เป็นพระภิกษุซึ่งเป็นผู้แทนคณะสงฆ์ กรรมการที่เป็นผู้แทนคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่นและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๔๑ คน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ เมษายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป
|
.....