ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1547 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 30921 - 30940 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30921 | หลักเกณฑ์การจ่ายค่ากระแสไฟฟ้าสำหรับเจ้าหน้าที่ที่พักอาศัยอยู่ในบริเวณสถานบริการการสาธารณสุข | นร | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๓ มติ ดังนี้ ๑.๑ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๘ (เรื่อง เงินค่ากระแสไฟฟ้าสำหรับเจ้าหน้าที่ที่พักอาศัยอยู่ในโรงพยาบาล) ๑.๒ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๑๙ (เรื่อง เงินค่ากระแสไฟฟ้าสำหรับเจ้าหน้าที่ที่พักอาศัยอยู่ในโรงพยาบาล) ๑.๓ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๒๖ (เรื่อง เงินค่ากระแสไฟฟ้าสำหรับเจ้าหน้าที่ที่พักอาศัยอยู่ในบริเวณสถานบริการการสาธารณสุข) ๒. อนุมัติให้สถานบริการการสาธารณสุขในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่งที่ให้บริการผู้ป่วยตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง และมีบ้านพักที่ทางราชการจัดหาให้ภายในบริเวณสถานบริการการสาธารณสุขจ่ายค่ากระแสไฟฟ้าสำหรับบ้านพักข้าราชการ ลูกจ้างและผู้ป่วยโรคเรื้อนได้โดยใช้เงินงบประมาณหรือเงินบำรุงของสถานบริการการสาธารณสุขตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ ๒.๑ ข้าราชการตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับอาวุโส ขึ้นไป ๑๐๐ ยูนิตต่อเดือน ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการ ตำแหน่ง ประเภทอำนวยการ และตำแหน่งประเภทบริหาร ๒.๒ ข้าราชการตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับชำนาญงาน ๘๐ ยูนิตต่อเดือน และตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ๒.๓ ข้าราชการตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ๖๐ ยูนิตต่อเดือน ๒.๔ ลูกจ้างประจำและลูกจ้างชั่วคราว ๓๐ ยูนิตต่อเดือน ๒.๕ ผู้ป่วยโรคเรื้อน ครอบครัวละ ๑๕ ยูนิตต่อเดือน หากผู้ใดใช้เกินโควตาที่กำหนดไว้ ให้ผู้นั้นออกเงินในส่วนที่ใช้เกินเอง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||
30922 | รัฐบาลสาธารณรัฐฝรั่งเศสเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย | กต | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายดาเมียง โลรา (Mr. Damien Loras) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทนนายกิลดา เลด ลีเดก (Mr. Gildas Le Lidec) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
30923 | รัฐบาลราชอาณาจักรภูฏานเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย | กต | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายเกซัง วังดี (Mr. Kesang Wangdi) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรภูฏานประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทนนายเชริง ดอร์จี (Mr. Tshering Dorji) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
30924 | รัฐบาลสาธารณรัฐซูรินาเมเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย | กต | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมาติแต่งตั้งนางติติ อะมินา ปาร์ดี (Ms. Titi Amina Pardi) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐซูรินาเมประจำประเทศไทยคนแรก โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงจาการ์ตา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
30925 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การพิจารณาโครงการย้ายองค์การสะพานปลาฯ | กษ | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๓๔ (เรื่อง การพิจารณาโครงการย้ายองค์การสะพานปลา องค์การอุตสาหกรรมห้องเย็น และกองพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ กองประมงทะเล กรมประมง) เพื่อให้องค์การสะพานปลาสามารถพัฒนาสะพานปลากรุงเทพตามแผนงานที่วางไว้ คือ พัฒนาสะพานปลากรุงเทพให้เป็นตลาดกลางสัตว์น้ำที่ทันสมัย สะอาด ถูกสุขอนามัยตามมาตรฐานสากล ภายใต้แนวคิด “ตลาดกลางสัตว์น้ำคุณภาพแห่งกรุงเทพมหานคร” โดยปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการ และวิธีการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพสามารถตอบสนองนโยบายรัฐ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้องค์การสะพานปลาเร่งดำเนินการจัดทำรายละเอียดโครงการที่จะพัฒนาสะพานปลาร่วมกับสำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครเสนอให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการลงทุนอีกครั้งหนึ่ง โดยคำนึงถึงการปรับบทบาทการดำเนินการขององค์กรจากการเป็นผู้ประกอบกิจการบริการสถานที่ขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำและตลาดสินค้าสัตว์น้ำโดยตรงแก่ชาวประมงและแพปลา มาเป็นผู้ส่งเสริม สนับสนุนให้แก่ภาคเอกชนเข้ามาบริการแทน และควรเน้นการพัฒนาพื้นที่และปรับปรุงภูมิทัศน์เพื่อให้เป็นแหล่งรองรับการดำเนินธุรกิจการค้าและการท่องเที่ยวด้านการประมงที่ไม่ส่งผลกระทบต่อทัศนียภาพและสภาพแวดล้อมริมแม่น้ำเจ้าพระยา รวมทั้งให้หน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญการจัดการดูแลประโยชน์เชิงพาณิชย์และมีประสบการณ์ในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องมาเป็นผู้รับผิดชอบภาพรวมการบริหารโครงการฯ แทนองค์การสะพานปลา ซึ่งมีประสบการณ์เฉพาะการดูแลและพัฒนาสะพานปลา หรือดำเนินงานร่วมทุนกับภาคเอกชนที่มีศักยภาพในการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า ไปพิจารณาดำเนินการ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนที่จะดำเนินการโครงการฯ ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
30926 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบางไผ่ จังหวัดพิจิตร พ.ศ. .... | นร | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบางไผ่ จังหวัดพิจิตร พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลบางไผ่ อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
30927 | การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง) โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้งร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยด่วน นั้น ในขณะนี้พื้นที่ในหลายจังหวัดประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ และน้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ มีปริมาณน้อย ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีการบูรณาการร่วมกันมากยิ่งขึ้น จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับไปเร่งรัดติดตามการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและมีความเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาแจกจ่ายน้ำให้แก่ผู้ประสบภัยแล้งเพื่อการอุปโภคและบริโภค และการจัดส่งน้ำไปยังพื้นที่ขาดแคลนน้ำให้ทั่วถึง
|
||||||||||||||||||||||||
30928 | ผลการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการและการเข้าประชุมร่วมผู้นำประเทศลุ่มน้ำโขง - ญี่ปุ่น ครั้งที่ 4 (วันที่ 17 - 22 เมษายน 2555) | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอผลการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ และการเข้าร่วมประชุมผู้นำประเทศลุ่มน้ำโขง - ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๔ ในระหว่างวันที่ ๑๗ - ๒๒ เมษายน ๒๕๕๕ โดยมีผลการเยือนและผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๑๙ เมษายน ๒๕๕๕ นายกรัฐมนตรีได้เข้าพบและหารือกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน และได้ร่วมกันประกาศถ้อยแถลงว่าด้วยการสถาปนาความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและราชอาณาจักรไทย ทั้งในระดับทวิภาคี ภูมิภาค และระหว่างประเทศ ในด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนา ซึ่งทั้งสองประเทศจะเพิ่มปริมาณการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกันภายใน ๕ ปี โดยสาธารณรัฐประชาชนจีนจะให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาระบบขนส่งเชื่อมโยงระหว่างกัน และให้ความสำคัญกับโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย รวมทั้งจะจัดให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับผู้นำเพื่อเสริมสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาให้แพนด้ายักษ์ (หลินปิง) อยู่ในประเทศไทยต่อไปอีก ๓ ปี จากเดิมครบกำหนดส่งคืนในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และในการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนครั้งนี้ ได้มีการลงพื้นที่เพื่อศึกษาดูงานเกี่ยวกับระบบขนส่งทางรางของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งสาธารณรัฐประชาชนจีนถือเป็นประเทศที่มีเส้นทางรถไฟยาวที่สุดในโลกและมีการบูรณาการเส้นทางรถไฟสายเดิมและเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบ โดยในส่วนของเส้นทางเดินรถไฟสายเดิมจะใช้สำหรับการเดินทางภายในเมืองเป็นหลัก ส่วนเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจะใช้สำหรับการเดินทางและขนส่งระหว่างเมืองต่าง ๆ นอกจากนี้ ได้ศึกษาดูงานด้านการวางผังเมืองที่จังหวัดเทียนจิน ซึ่งได้มีการวางผังเมืองใหม่ โดยมีการเชื่อมโยงระบบคมนาคมและระบบการบริหารจัดการน้ำเข้าไว้ด้วยกัน ๒. ผลการประชุมผู้นำประเทศลุ่มน้ำโขง - ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๔ ณ ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๒๒ เมษายน ๒๕๕๕ ทั้งสองประเทศได้ให้คำมั่นว่า “จะพัฒนาไปด้วยกัน” (developing together) โดยประเทศญี่ปุ่นต้องการยกระดับการเชื่อมโยงในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงทั้งทางบก ทางเรือ และทางรถไฟ และจะให้ความช่วยเหลือในส่วนที่ยังขาดการเชื่อมโยง (missing link) โดยจะส่งเสริมให้มีการค้าและการลงทุน ซึ่งไม่เพียงแต่เฉพาะในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงเท่านั้น หากแต่ยังสนับสนุนให้มีการเข้าไปร่วมกับกลุ่มเศรษฐกิจระดับโลก อีกทั้งยังให้การส่งเสริมการลงทุนร่วมระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (Public Private Partnership : PPP) และให้ความสำคัญกับเรื่องความมั่นคงด้านอาหาร การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การดูแลผู้หญิงและเด็กให้ปลอดภัยจากโรคเอดส์ และการเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ด้วย และในการเดินทางเข้าร่วมการประชุมฯ ณ ประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้ ยังได้ไปศึกษาดูงานเกี่ยวกับระบบขนส่งทางรางของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งพบว่าการวางระบบขนส่งทางรางของประเทศญี่ปุ่นมีความคล้ายคลึงกับของสาธารณรัฐประชาชนจีน และได้เดินทางโดยรถไฟความเร็วสูงไปดูงานด้านสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ณ เมืองคุมาโมโตะ ซึ่งขบวนรถไฟในเมืองต่าง ๆ ของประเทศญี่ปุ่นจะมีการออกแบบและตกแต่งให้มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และใช้วัสดุและผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาประดับตกแต่งด้วย โดยเป็นการเชื่อมโยงกับการส่งเสริมสนับสนุนและประชาสัมพันธ์สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ของเมืองนั้น ๆ ซึ่งสินค้า OTOP ของแต่ละเมืองจะมีการออกแบบตัวการ์ตูนให้เป็นตราสัญลักษณ์ประจำแต่ละเมืองทำให้สินค้า OTOP มีประวัติศาสตร์และมีที่มาว่าผลิตจากเมืองใด นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการจัดจำหน่ายสินค้า OTOP โดยมีการจำหน่ายสินค้าบนรถไฟ ใช้พื้นที่สถานีรถไฟและสวนสาธารณะเป็นสถานที่จัดจำหน่าย รวมทั้งมีการจัดจำหน่ายสินค้า OTOP ตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
30929 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เรื่อง "การศึกษาและตรวจสอบงบไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข" | สว | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เรื่อง "การศึกษาและตรวจสอบงบไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข" พร้อมข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนของข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงสาธารณสุขควรมีโครงสร้างขององค์กรที่ชัดเจนในการดูแลรับผิดชอบ และเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมคำขอจากพื้นที่ที่สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายกับโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน และบูรณาการการจัดทำคำขอตั้งงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๒. พื้นที่ควรได้รับทราบกรอบวงเงิน/เงื่อนไข/และกรอบเวลาในการจัดทำคำขอจัดตั้งงบประมาณที่ชัดเจน ๓. ควรมีการตั้งองค์กรใหม่ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงเครือข่ายกับโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน และสำนักงานบริหารสาธารณสุขภูมิภาคต้องมีการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ เช่น ในด้านวิชาการต่าง ๆ เพื่อรองรับการจัดสรรงบประมาณ รวมทั้งควรมีการปรับปรุงระบบการจัดซื้อจัดจ้างให้มีความยุติธรรมด้วย ๔. ต้องมีการกำหนดมาตรฐานครุภัณฑ์ให้ทุกโรงพยาบาลมีมาตรฐานครุภัณฑ์เช่นเดียวกัน และสอดคล้องกับขนาดของโรงพยาบาลหรือจำนวนผู้ป่วยด้วย ๕. กระทรวงสาธารณสุขต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์ กระบวนการและขั้นตอนในการพิจารณาคำของบประมาณที่ชัดเจน และต้องมีการระบุเพดานเงินงบประมาณที่แต่ละจังหวัดได้รับการจัดสรรให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลไม่ควรเร่งรัดให้มีการเสนอขออนุมัติงบประมาณในเวลาจำกัด เพราะอาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการจัดทำคำของบประมาณได้
|
||||||||||||||||||||||||
30930 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในทางแพ่งเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิควบคุมดูแลเด็ก พ.ศ. .... | สว | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในทางแพ่งเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิควบคุมดูแลเด็ก พ.ศ. .... ของวุฒิสภา โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยเห็นสมควรแก้ไขบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในทางแพ่งเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิควบคุมดูแลเด็ก พ.ศ. .... เฉพาะในส่วนของเหตุผล ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ และให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แก้ไข ซึ่งวุฒิสภาเห็นชอบด้วยแล้วเป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัตินี้ในเรื่องนี้ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
30931 | การลงพื้นที่ตรวจติดตามงานเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยของนายกรัฐมนตรีและคณะ ในระหว่างวันที่ 13 - 17 กุมภาพันธ์ 2555 | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาโครงการที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเดินทางไปตรวจราชการพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ในระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยมีนโยบายให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย รวมทั้งสิ้นจำนวน ๙๒ โครงการ เป็นเงิน ๔,๖๐๓.๗๕๔๒ ล้านบาท ประกอบด้วย พื้นที่ต้นน้ำ (๑๐ จังหวัด) จำนวน ๒๘ โครงการ วงเงิน ๑,๖๒๘.๖๐๐๙ ล้านบาท พื้นที่กลางน้ำ (๖ จังหวัด) จำนวน ๒๑ โครงการ วงเงิน ๘๗๕.๕๔๗๓ ล้านบาท พื้นที่ปลายน้ำตอนบน (๘ จังหวัด) จำนวน ๒๓ โครงการ วงเงิน ๖๘๐.๘๓๒๑ ล้านบาท และพื้นที่ปลายน้ำตอนล่าง (๗ จังหวัด) จำนวน ๒๐ โครงการ วงเงิน ๑,๔๑๘.๗๗๓๙ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
30932 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 3/2555 | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่งได้พิจารณาภาพรวมและแนวทางการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจมหภาคของประเทศ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กยอ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความเห็นของคณะกรรมการ กยอ. ๑.๑ จากภาพรวมข้อมูลเศรษฐกิจ แสดงถึงนัยยะสำคัญเชิงนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญคือ ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการเพิ่มการลงทุนมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยมีอัตราการออมสูงกว่าอัตราการลงทุน ซึ่งเป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ๑.๒ การลงทุนของภาครัฐที่ควรมุ่งเน้นคือ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านไฟฟ้า น้ำประปา และสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่เดิมให้สามารถรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น เช่น พื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก อาจต้องมีการพัฒนาลุ่มน้ำบางปะกงเพื่อรองรับการเติบโตของแหล่งอุตสาหกรรมภาคตะวันออก และควรเร่งรัดการดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชนให้มากขึ้น โดยอาจมีการประกาศว่าในระยะ ๕ ปีข้างหน้า จะเป็นช่วงคลื่นลูกใหม่ของการลงทุนในประเทศไทย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนเพื่อการสร้างอนาคตประเทศ ๑.๓ ปัญหาแรงงานของไทยต้องมีมาตรการที่จะรองรับ โดยอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก ควรสนับสนุนให้ย้ายไปอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านที่มีแรงงานราคาถูกกว่า ในขณะที่ควรส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานไม่มากแต่มีมูลค่าเพิ่มสูงให้มีการลงทุนมากขึ้นในประเทศไทย โดยรัฐบาลควรส่งเสริมอุตสาหกรรมต้นน้ำที่มีศักยภาพ (Strategic Upstream Industries) และอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) เพื่อให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ๑.๔ นโยบายค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากคือ วิสาหกิจขนาดกลางหรือขนาดย่อม หรือ SMEs ที่ยังปรับตัวไม่ทันต่อการปรับค่าแรงงาน อย่างไรก็ตามการปรับค่าแรงงานครั้งนี้ อาจเป็นปัจจัยทางบวกซึ่งกระตุ้นให้ SMEs ต้องพัฒนาปรับเปลี่ยนตัวเองทั้งในด้านเทคโนโลยีการผลิตและการพัฒนาแรงงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันและสร้างมูลค่าเพิ่มสูง (Value Creation) โดยต้องคำนึงถึงความต้องการของตลาดด้วย ๑.๕ ภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะยานยนต์ในขณะนี้ฟื้นฟูตัวได้ค่อนข้างเร็ว ซึ่งแสดงถึงการมีพื้นฐานที่ดีของประเทศไทย โดยคาดว่าจะสามารถผลิตได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ ๒.๑ ล้านคัน ภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ สำหรับการฟื้นตัวของโรงงานต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ในและนอกนิคมอุตสาหกรรมคาดว่าจะฟื้นตัวกลับมาดำเนินการในสภาพปกติอย่างเต็มที่ประมาณเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ ๑.๖ ขณะนี้ภาคเอกชนมีการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ แล้ว โดยเห็นว่าประเทศไทยต้องใช้โอกาสของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในลักษณะที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุน เพื่อดึงดูดให้มีการลงทุนและการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมทั้งเห็นว่าประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีการสร้างแบรนด์ใหญ่ แต่อาจสร้างความเป็นเลิศเฉพาะในบางเทคโนโลยีในลักษณะ Single equipment technology คือ ผู้ผลิตรายใหญ่ ๆ ต่างจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีของบริษัทไทยในการผลิตสินค้า ๑.๗ การกำหนดยุทธศาสตร์อนาคตของประเทศต้องพิจารณาแนวโน้มในอนาคตระยะยาวอย่างลึกซึ้ง และประเด็นที่จะเกิดผลกระทบต่อประเทศไทย รวมทั้งต้องสามารถชี้ให้เห็นความชัดเจนประเด็นสำคัญ (Critical Issues) ที่มีผลต่อการพัฒนาในอนาคตของไทย เช่น จำนวนประชากรจีนกำลังลดลง ส่งผลให้ในอนาคตจีนจะขาดแคลนแรงงาน การเปิดประเทศและเริ่มปฏิรูประบบเศรษฐกิจของพม่า ซึ่งจะเกี่ยวพันกับการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวซึ่งประเทศไทยใช้แรงงานจากพม่าจำนวนมากและกระจายอยู่ในหลายภาคส่วนของระบบเศรษฐกิจไทย หากแรงงานเหล่านี้กลับประเทศของตนจะกระทบต่อภาคการผลิตและบริการในวงกว้าง นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงปัญหาเรื่องพลังงานทั้งในเชิงปริมาณที่ต้องแสวงหาแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่ ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์และใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อย่างต่อเนื่องและจริงจัง เป็นต้น ๒. คณะกรรการ กยอ. มีมติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติศึกษาวิเคราะห์ประเด็นสำคัญ (Critical Issues) ที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับกำหนดทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมและพัฒนาประเทศในอนาคตต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
30933 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 18 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑๘ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ณ กรุงเนปิดอว์ ประเทศเมียนมาร์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปสาระสำคัญของการประชุมฯ ได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนเห็นร่วมกันว่าอาเซียนต้องพิจารณา Template การเจรจาจัดทำ ASEAN ++ FTA ของอาเซียนให้ชัดเจนโดยเร็ว เนื่องจากขณะนี้การเจรจาจัดทำข้อตกลงหุ้นส่วนภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) และเขตการค้าเสรีเอเชียตะวันออกระหว่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี เป็นปัจจัยที่ลดทอนการให้ความสำคัญต่ออาเซียนของคู่เจรจาลง และอาจทำให้อาเซียนสูญเสียความเป็นศูนย์กลาง (ASEAN - Centrality) ได้ พร้อมทั้งเห็นชอบการจัดตั้งคณะทำงานด้านการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน และกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านดำเนินการจัดทำ Template สำหรับการเจรจา ASEAN ++ FTA ของอาเซียน ๒. ที่ประชุมเร่งรัดให้ทุกประเทศยื่นข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการชุดที่ ๘ โดยเร็วที่สุด และเตรียมจัดทำแผนงานสำหรับการจัดทำข้อผูกพันชุดที่เหลือคือ ชุดที่ ๙ - ๑๑ ไปพร้อม ๆ กันกับชุดที่ ๘ ด้วย โดยให้ยุบรวมข้อผูกพันชุดที่ ๙ - ๑๑ ให้เหลือเพียง ๒ ชุด และยื่นภายในปี ๒๐๑๓ และ ๒๐๑๕ ตามลำดับ โดยให้ขอรับการสนับสนุนจากฝ่ายการเมืองเพื่อให้สามารถเปิดเสรีการค้าบริการในทุกสาขาได้ภายในปี ๒๐๑๕ ตามที่ตกลงกันไว้ ๓. ทุกประเทศได้ให้สัตยาบันความตกลงว่าด้วยการลงทุนของอาเซียน (ACIA) แล้ว รอเพียงให้ทุกประเทศให้ความเห็นชอบตารางข้อสงวนการเปิดเสรีการลงทุนของ ACIA ให้ครบ ขณะนี้เหลือเพียงฟิลิปปินส์และเวียดนามซึ่งแจ้งว่าจะเร่งรัดการดำเนินการภายในประเทศเพื่อให้การรับรองข้อสงวนภายในปลายเดือนกุมภาพันธ์หรือต้นเดือนมีนาคมศกนี้ ๔. ที่ประชุมให้ความสำคัญกับการจัดตั้ง ASEAN Single Window (ASW) และมีมติให้พิจารณาใช้ข้อมูลที่มีใน ASW เป็นพื้นฐานในการจัดทำ ATR โดยให้สำนักเลขาธิการอาเซียนพิจารณาแหล่งเงินทุนสำหรับการแปลกฎหมายที่เกี่ยวข้องของประเทศสมาชิกเป็นภาษาอังกฤษด้วย ๕. รัฐมนตรีเศรษฐกิจได้เน้นย้ำความสำคัญของการลด/เลิกมาตรการที่มิใช่ภาษี (NTM) โดยให้เจ้าหน้าที่อาวุโสวิเคราะห์ผลกระทบของมาตรการดังกล่าวต่อการค้าและการลงทุนภายในอาเซียน รวมทั้งจัดทำแผนงานในการจัดตั้งกลไกเพื่อดูแลการใช้มาตรการต่าง ๆ ไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนย้ายสินค้าโดยเสรี
|
||||||||||||||||||||||||
30934 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ให้มีคณะกรรมการประเมินผลงานรัฐวิสาหกิจ จำนวนไม่เกินสิบเก้าคน ๒. ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอยู่ในตำแหน่งวาระละสี่ปี โดยในวาระเริ่มแรกเมื่อครบกำหนดสองปี ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิออกจากตำแหน่งกึ่งหนึ่งโดยวิธีจับสลาก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้โดยไม่มีการจำกัดวาระ ๓. ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่ระเบียบนี้มีผลใช้บังคับพ้นจากตำแหน่งโดยถือเป็นการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
|
||||||||||||||||||||||||
30935 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อกำหนดท่าหรือที่ เขตศุลกากร ลักษณะการที่ให้กระทำ ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน ของด่านศุลกากรนครพนมแห่งใหม่ และแก้ไขกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร พ.ศ. ๒๕๕๓ ในส่วนของด่านศุลกากรบึงกาฬจากเดิมอยู่ในเขตจังหวัดหนองคายเป็นอยู่ในเขตจังหวัดบึงกาฬ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
30936 | การถอดถอนกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำกรุงเตกูซิกัลปา สาธารณรัฐฮอนดูรัส | กต | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการถอดถอนนายเฮนรี ลาร์รี บาหร์ ลารา (Henry Larry Bahr Lara) ออกจากตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำกรุงเตกูซิกัลปา สาธารณรัฐฮอนดูรัส ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
30937 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงวงเงินงบประมาณค่าจ้างที่ปรึกษาเปลี่ยนแปลงแหล่งเงินสำหรับการเบิกจ่ายและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ค่าใช้จ่ายสำหรับงานว่าจ้างผู้ตรวจสอบบัญชีจากภายนอกภายใต้โครงการเงินกู้ธนาคารโลก เงินกู้เลขที่ 7775 - TH | คค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมทางหลวงเปลี่ยนแปลงวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่ายเป็นค่าจ้างผู้ตรวจสอบจากภายนอกภายใต้โครงการเงินกู้ธนาคารโลก (World Bank - International Bank for Reconstruction and Development - IBRD) จากเงินงบประมาณกรมทางหลวงทั้งหมด เป็นใช้จ่ายจากเงินงบประมาณกรมทางหลวงและเงินกู้สมทบ ในสัดส่วน ๕๐ : ๕๐ โดยมีค่าจ้างรวม ๘๖๙,๖๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับรายการค่าจ้างที่ปรึกษาดังกล่าวเป็นการเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันงบประมาณเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ และมีการเปลี่ยนแปลงแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่ายจากเงินงบประมาณทั้งหมดเป็นใช้จ่ายจากเงินงบประมาณและเงินกู้สมทบในสัดส่วน ๕๐ : ๕๐ รวมทั้งมีการขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้กรมทางหลวงเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณดังกล่าวเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
30938 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลวิสัยใต้ ตำบลครน ตำบลทุ่งระยะ ตำบลนาสัก ตำบลเขาทะลุ ตำบลเขาค่าย อำเภอสวี และตำบลวิสัยเหนือ อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลวิสัยใต้ ตำบลครน ตำบลทุ่งระยะ ตำบลนาสัก ตำบลเขาทะลุ ตำบลเขาค่าย อำเภอสวี และตำบลวิสัยเหนือ อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลวิสัยใต้ ตำบลควน ตำบลทุ่งระยะ ตำบลนาสัก ตำบลเขาทะลุ ตำบลเขาค่าย อำเภอสวี และตำบลวิสัยเหนือ อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
30939 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลแม่น้ำคู้ อำเภอปลวกแดง ตำบลหนองบัว ตำบลบางบุตร ตำบลบ้านค่าย ตำบลซากบก ตำบลตาขัน อำเภอบ้านค่าย และตำบลนาตาขวัญ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ. .... | กษ | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลแม่น้ำคู้ อำเภอปลวกแดง ตำบลหนองบัว ตำบลบางบุตร ตำบลบ้านค่าย ตำบลชากบก ตำบลตาขัน อำเภอบ้านค่าย และตำบลนาตาขวัญ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลแม่น้ำคู้ อำเภอปลวกแดง ตำบลหนองบัว ตำบลบางบุตร ตำบลบ้านค่าย ตำบลชากบก ตำบลตาขัน อำเภอบ้านค่าย และตำบลนาตาขวัญ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เพื่อประโยชน์แก่การชลประทานในการก่อสร้างระบบส่งน้ำและระบบระบายน้ำตามโครงการระบบส่งน้ำระบายน้ำและอาคารประกอบคลองใหญ่ และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
30940 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การบริหารจัดการปัญหาลุ่มน้ำภาคกลางแบบบูรณาการ" | สสป | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การบริหารจัดการปัญหาลุ่มน้ำภาคกลางแบบบูรณาการ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการจัดระบบการไหล (จราจร) ของน้ำ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการระบายน้ำจากพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ออกสู่ทะเลได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น ปรับปรุงศักยภาพการระบายน้ำที่มีอยู่ในปัจจุบันให้สามารถรองรับปริมาณน้ำในภาวะวิกฤต ให้สอดคล้องกันทั้งระบบและสอดคล้องกับปัญหาในแต่ละพื้นที่ สร้างแผนการระบายน้ำ ได้แก่ ทางระบายน้ำและระบบระบายน้ำเพิ่มเติมจากเดิม รวมทั้งการลดอุปสรรคจากเขื่อนกักน้ำ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการระบายน้ำให้ไหลได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และทันเหตุการณ์ เป็นต้น ๒. มาตรการชะลอน้ำไว้ในพื้นที่ต้นน้ำ เพื่อเป็นการดูดซับน้ำไว้ในพื้นที่ต้นน้ำและชะลอการไหลของน้ำ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณน้ำหลากในพื้นที่ลุ่มน้ำสายต่าง ๆ โดยวิธีบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้และพื้นที่ป่าต้นน้ำ และบริหารจัดการทรัพยากรดินและทรัพยากรน้ำ ๓. มาตรการการพักน้ำในพื้นที่ตอนกลางและตอนล่าง เพื่อแก้ปัญหาน้ำอย่างบูรณาการในพื้นที่ตอนกลางและตอนล่าง โดยปรับปรุง ฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติและแหล่งน้ำที่สร้างขึ้น ที่มีสภาพตื้นเขิน และอาคารบังคับน้ำที่ชำรุด ให้สามารถกักเก็บน้ำได้เต็มประสิทธิภาพ ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการขุดสระน้ำในไร่นาให้มากขึ้น มีการบริหารจัดการพื้นที่รับน้ำในภาวะวิกฤต และจัดให้มีพื้นที่หน่วงน้ำในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โครงการนิคมอุตสาหกรรม และโครงการขนาดใหญ่อื่น ๆ อย่างเหมาะสม ๔. มาตรการการเพิ่มการระบายน้ำออกสู่ทะเล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำจากพื้นที่ตอนบน ตอนกลาง และตอนล่างลงสู่ทะเลให้มีประสิทธิภาพ โดยปรับปรุงระบบชลประทาน ได้แก่ การปรับปรุงทางระบายน้ำ การปรับปรุงคลองชลประทาน เป็นต้น การขุดลอกและขยายคลองธรรมชาติ การสร้างสถานีสูบน้ำเพิ่มเติมให้เพียงพอ การบังคับใช้กฎหมายต่อการบุกรุกพื้นที่ทางน้ำสาธารณะอย่างเคร่งครัด และเร่งดำเนินการโครงการก่อสร้างทางด่วนน้ำยกระดับ (Water Highway) เพื่อใช้ระบายน้ำในฤดูน้ำหลาก และสามารถใช้เป็นเส้นทางคมนาคมทางบกในฤดูแล้ง ๕. มาตรการจัดตั้งศูนย์บริหารการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำภาคกลาง รัฐต้องตั้งศูนย์บริหารการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำภาคกลางให้เป็นการถาวร เพื่อให้กระบวนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำภาคกลางมีความเป็นเอกภาพ และเกิดประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน ๖. มาตรการช่วยเหลือและชดเชย รัฐต้องช่วยเหลือ เยียวยา ผู้ที่ได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะอย่ายิ่งผู้ซึ่งได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากรัฐใช้มาตรการผันน้ำเข้าท่วมพื้นที่ ตามนโยบายป้องกันพื้นที่เขตเศรษฐกิจหรือชุมชนเมือง ๗. มาตรการภาษีพิเศษ รัฐจะต้องออกกฎหมายภาษีพิเศษเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ที่เสียสละในมาตรการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่เขตเศรษฐกิจและชุมชนเมือง โดยผู้ที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวจะต้องชำระภาษีพิเศษแก่รัฐเพื่อนำไปใช้ในการบริหารจัดการบรรเทาอุทกภัย
|
.....