ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1547 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30921 - 30940 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30921 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "กระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำความผิด" | สสป | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "กระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำความผิด" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงยุติธรรมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงบประมาณ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอแนะด้านครอบครัว สังคม เช่น รัฐบาลควรให้การสนับสนุนสถาบันครอบครัวและให้ความสำคัญในการเลี้ยงดูบุตร เช่น การเพิ่มระยะเวลาในการลาคลอดให้มากขึ้น ควรสนับสนุนงบประมาณโครงการศูนย์ส่งเสริมความสัมพันธ์สถาบันครอบครัว ให้มีการขยายผลสู่ทุกตำบล นโยบายการปราบปรามยาเสพติดของหน่วยงานภาครัฐควรทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ควรสนับสนุนงบประมาณผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สถาบันหลักในชุมชน ได้แก่ บ้าน วัด โรงเรียนอย่างทั่วถึงและเพียงพอ และควรส่งเสริมให้สถาบันการศึกษากำหนดให้เด็กและเยาวชนมีกิจกรรมเข้าค่ายจริยธรรมและคุณธรรมตามหลักศาสนาทุกภาคการศึกษา รวมทั้งมีการควบคุมสื่อสาธารณะที่เผยแพร่ภาพความรุนแรงทางกายภาพ จิตใจ สิ่งลามกอนาจาร ที่ส่งผลกระทบให้เด็กและเยาวชนเลียนแบบในทางที่ผิด เป็นต้น ๒. ข้อเสนอแนะด้านข้อกฎหมาย เช่น ควรแก้ไขพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ เรื่องการปล่อยตัวชั่วคราว ให้เป็นไปตามหลักกฎหมายเดิมที่ให้ส่งตัวเด็กและเยาวชนไปสถานพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชนภายใน ๒๔ ชั่วโมง ควรมีการแก้ไขกฎหมายในประเด็นองค์ประกอบที่เข้าร่วมการสอบสวนโดยให้ลดจำนวนเจ้าพนักงาน ซึ่งอาจจะเป็น พนักงานอัยการ หรือนักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ คนใดคนหนึ่ง ควรพิจารณาตามมูลเหตุแห่งความผิดเพื่อง่ายต่อการนัดสอบสวนซึ่งเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาในทางปฏิบัติ แต่ต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายในการคุ้มครองเด็กและเยาวชนมิให้ถูกสอบสวนโดยมิชอบด้วย และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำความผิดประกอบด้วยศาลเยาวชนและครอบครัว สำนักงานอัยการสูงสุด และกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ได้มีการศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิธีการดำเนินการ ขั้นตอน และวิธีปฏิบัติของผู้ปฏิบัติงาน และตัวเด็กและเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำความผิด ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เป็นต้น ๓. ข้อเสนอแนะด้านการบริหารจัดการ องค์กร บุคลากร งบประมาณ เช่น รัฐบาลควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนโดยประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ควรส่งเสริมและให้การสนับสนุนการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนอย่างจริงจัง ควรจัดสร้างสถานแรกรับเด็กและเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนให้ครอบคลุมทุกจังหวัด ควรสนับสนุนงบประมาณอย่างเต็มที่ให้กับหน่วยงานของรัฐที่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำความผิด ควรสนับสนุนงบประมาณให้กับกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนให้เพียงพอกับการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาระบบการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน และควรให้ภาคเอกชนที่เข้ามาสนับสนุนกิจกรรมเกี่ยวกับการบำบัดแก้ไขฟื้นฟูเด็กและเยาวชนกระทำความผิดในสถานพินิจและศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนได้รับแรงจูงใจในการลดภาษีที่สูงขึ้น Corporate Social Responsibility (CSR) เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
30922 | กรอบการเจรจาการบินเพื่อจัดทำความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ | คค | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบการเจรจาการบินเพื่อจัดทำความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ กรอบการเจรจาการบินฯ ระบุว่า การเจรจาจัดทำความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศควรสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทย กฎหมาย ข้อบังคับภายในประเทศ รวมถึงข้อเสนอแนะ แนวทางขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง และยึดหลักการต่างตอบแทนระหว่างไทยและรัฐภาคี โดยมุ่งให้เกิดประโยชน์โดยรวมสูงสุดแก่ประเทศไทย ซึ่งโดยทั่วไปการตกลงจะเป็นในรูปแบบการเจรจาการบินหรือการโต้ตอบทางหนังสือ โดยจัดทำเป็นเอกสาร ๓ ประเภทหลักในการตกลงและใช้ประกอบกัน ซึ่งครอบคลุมประเด็นหลัก ดังนี้
๑. ความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ ระบุหลักการกว้าง ๆ เป็นกรอบในการกำกับดูแล และเป็นกรอบในการพิจารณาอนุญาตสายการบินของรัฐภาคีในการทำการบินระหว่างกัน โดยระบุข้อบทต่าง ๆ เช่น การให้สิทธิ การกำหนดสายการบินและการอนุญาตดำเนินการ การเพิกถอน พักใช้ และจำกัดใบอนุญาตดำเนินการ การบังคับใช้กฎหมาย ใบพิกัดเส้นทางบิน เป็นต้น ซึ่งข้อบทในความตกลงฯ หลักนี้ โดยทั่วไปจะไม่ได้แก้ไขปรับปรุงบ่อยนัก ๒. บันทึกความเข้าใจ เป็นเอกสารระบุการตกลงเพิ่มเติมเรื่องสิทธิการบินต่าง ๆ ที่สายการบินของแต่ละฝ่ายจะได้รับ หรือการตกลงเสริมจากความตกลงฯ หลัก เช่น สิทธิความจุความถี่ สิทธิรับขนการจราจร เส้นทางบิน การแจ้งแต่งตั้งสายการบินที่กำหนด ความร่วมมือของสายการบิน ซึ่งสาระในบันทึกความเข้าใจนี้จะมีการปรับปรุงแก้ไขอยู่เป็นระยะ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ พัฒนาการของตลาด กฎหมาย หรือนโยบายของรัฐภาคีที่เกี่ยวข้อง ๓. หนังสือโต้ตอบระหว่างเจ้าหน้าที่การเดินอากาศ หรือระหว่างรัฐบาลของภาคีที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขความตกลงฯ หลัก แก้ไขบันทึกความเข้าใจ โดยการโต้ตอบเป็นลายลักษณ์อักษร หรือเพื่อยืนยันการตกลงเรื่องต่าง ๆ ข้างต้น ภายหลังจากมีการเจรจาแล้ว เพื่อให้มีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการ |
|||||||||||||||||||||||||||
30923 | กรอบการเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงด้านการขนส่งทางบกระหว่างไทย - ลาว - จีน | คค | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบการเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงด้านการขนส่งทางบกระหว่างไทย - ลาว - จีน เพื่อใช้เป็นกรอบการเจรจาในการดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Cross Border Transport Agreement : CBTA) ระหว่างไทย - ลาว - จีน ที่จุดผ่านแดนเชียงของ - ห้วยทราย (ไทย - ลาว) และจุดผ่านแดนบ่อเต็น - โมฮาน (ลาว - จีน) ในระหว่างที่แต่ละประเทศยังไม่สามารถให้สัตยาบันภาคผนวกและพิธีสารแนบท้ายความตกลงฯ ที่ได้ลงนามไปแล้ว เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารระหว่างกัน และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยกรอบการเจรจาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ สิทธิการจราจร การอนุญาตให้มีการประกอบการขนส่งทางถนนของสินค้าและบุคคลระหว่างไทย - ลาว - จีน ตามแนวเส้นทางเศรษฐกิจเหนือ - ใต้ และให้มีการยอมรับผู้ประกอบการขนส่งซึ่งได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่รับผิดชอบของแต่ละภาคี ๑.๒ การอำนวยความสะดวกพิธีการข้ามแดน การยอมรับการตรวจพร้อมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และตั้งเป้าหมายให้มีการตรวจสอบสินค้าเพียงครั้งเดียวต่อไปในอนาคต ๑.๓ การขนส่งบุคคลข้ามแดน การนำหลักเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกมาใช้สำหรับการขนส่งบุคคลข้ามแดน ๑.๔ การขนส่งสินค้าข้ามแดน การยกเว้นการจัดเก็บภาษีศุลกากรสำหรับสินค้า หรือคอนเทนเนอร์ที่ติดตราประทับศุลกากรที่ใช้ในการขนส่งผ่านแดน สำหรับการขนส่งสินค้าอันตรายจะอนุญาตเป็นกรณี ๆ ไป และการให้สิทธิพิเศษในการตรวจปล่อยสินค้าเน่าเสียง่ายข้ามแดน ๑.๕ การยอมรับรถ การยอมรับใบอนุญาตขับรถในประเทศซึ่งกันและกัน ๑.๖ บทเบ็ดเตล็ด การกำหนดอัตราค่าบริการการขนส่งให้เป็นไปตามกลไกตลาด การจัดตั้งคณะทำงานร่วมไทย - ลาว - จีน เพื่อควบคุมและติดตามการปฏิบัติตามความตกลงฯ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเจรจาความตกลงฯ ควรให้ความสำคัญกับความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงาน ณ ด่านพรมแดน พนักงานขับรถ ภาคเอกชน รวมถึงชุมชนที่อยู่ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจของทั้งสามประเทศให้มีความเข้าใจในระเบียบปฏิบัติตามความตกลงฯ รวมถึงภาษาที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างกัน เพื่อให้เกิดความมั่นใจในความปลอดภัยสำหรับการขนส่งระหว่างประเทศ และเห็นควรให้คณะกรรมการขนส่งผ่านแดนและการขนส่งข้ามแดนแห่งชาติ ของกระทรวงคมนาคม ในฐานะ National Transport Facilitation Committee ของไทย มีบทบาทในการประสานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการอนุญาตให้มีการขนส่งสินค้าอันตราย นอกจากนี้ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการศึกษาและติดตามประเมินผลทั้งกรอบแนวทางการพัฒนาความร่วมมือ การเจรจาตามข้อตกลง ปัญหาอุปสรรคของการดำเนินการและปัจจัยแห่งความสำเร็จ เพื่อเป็นแนวทางในการเจรจาความตกลงในรายละเอียดหรือปรับปรุงข้อตกลงเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ และเพื่อประโยชน์ในการกำหนดรูปแบบการเจรจาและการทำความตกลงฯ ในเส้นทางอื่น ๆ ตามแนวทางการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30924 | ข้อเสนอแนวทางการพัฒนางานอาสาสมัครไทย | พม | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอแนวทางการพัฒนางานอาสาสมัครไทย และให้คณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ (ก.ส.ค.) นำไปดำเนินการโดยประสานงานกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยข้อเสนอแนวทางการพัฒนางานอาสาสมัครไทย มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ส่งเสริมการเป็นอาสาสมัคร โดยการเสริมสร้างให้เกิดจิตสำนึกในการเป็นอาสาสมัครในทุกระดับ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนในสถาบันการศึกษา บุคลากรในหน่วยงานของรัฐ ภาคธุรกิจและภาคเอกชน ให้มีกลไกความร่วมมือระหว่างองค์การอาสาสมัครกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนงานดังกล่าว การเพิ่มจำนวนอาสาสมัครประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานสาธารณภัย และในงานเฉพาะทาง เช่น การดูแลคนพิการ ผู้สูงอายุ ผู้รับบริการในสถานสงเคราะห์ การให้สวัสดิการ ส่งเสริมขวัญกำลังใจ และยกย่องให้เกียรติอาสาสมัครอย่างเท่าเทียมกัน เป็นระบบและครบวงจร ๑.๒ พัฒนาความรู้ความสามารถของอาสาสมัคร โดยการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ การจัดทำจริยธรรมในงานอาสาสมัคร การถอดบทเรียนค้นหาต้นแบบที่ดีในการทำงานอาสาสมัคร การจัดทำหลักสูตรอบรมอาสาสมัครและการบริหารจัดการงานอาสาสมัคร การจัดตั้งสถาบันการจัดการและการอบรมอาสาสมัครเพื่อสังคม การส่งเสริมมาตรฐานการปฏิบัติงานของอาสาสมัคร การส่งเสริมงานวิจัยงานอาสาสมัคร รวมทั้งให้มีการจัดทำรายงานการประเมินมูลค่างานอาสาสมัครที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ ๑.๓ พัฒนาองค์กรและบุคลากร โดยการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานอาสาสมัครและกับทุกภาคส่วน การส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้ามาส่งเสริมงานอาสาสมัคร และให้มีแหล่งทุนที่เพียงพอ หรือจัดตั้งกองทุนในการสนับสนุนการดำเนินงานอาสาสมัคร ๑.๔ สร้างเครือข่าย โดยการส่งเสริมให้เกิดการรวมตัวกันของอาสาสมัครในทุกประเภทและทุกระดับ จัดตั้งศูนย์อาสาสมัครแห่งชาติและจังหวัด โดยให้มีกลไกการบริหารจัดการอาสาสมัครและมีรูปแบบคณะกรรมการในการบริหารจัดการที่ชัดเจน และให้มีผู้แทนอาสาสมัครเข้าไปมีส่วนร่วมในกลไกและเวทีการพัฒนาด้านต่าง ๆ ๑.๕ ส่งเสริมการสื่อสารและรณรงค์สาธารณะ โดยการพัฒนาระบบฐานข้อมูลอาสาสมัคร เพิ่มช่องทางการเผยแพร่และการสื่อสารข้อมูลกิจกรรมงานอาสาสมัครและระหว่างอาสาสมัครด้วยกันเอง และการส่งเสริมให้มีการสื่อสารเผยแพร่งานอาสาสมัครในสื่อกระแสหลัก ๑.๖ ส่งเสริมความร่วมมือกับต่างประเทศ โดยพัฒนาความร่วมมือระหว่างอาสาสมัครไทยกับอาสาสมัครชาวต่างประเทศที่เข้ามาเป็นอาสาสมัครในประเทศไทย การส่งเสริมให้คนไทยไปเป็นอาสาสมัครในต่างประเทศ สร้างกลไกความร่วมมือด้านอาสาสมัครระหว่างประเทศทั้งในรูปแบบทวิภาคีและพหุภาคี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวทีอาเซียน ๒. สำหรับการจัดตั้งสถาบันการจัดการและการอบรมอาสาสมัครเพื่อสังคม ศูนย์อาสาสมัครแห่งชาติและจังหวัด และการจัดตั้งกองทุนในการสนับสนุนการดำเนินงานอาสาสมัคร ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านอาสาสมัคร ควรเป็นการทำงานในภาพกว้าง โดยบูรณาการการทำงานกับทุกภาคส่วน รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และต้องมีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในภารกิจที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอยู่แล้ว และเป็นการเสริมงานในภาพกว้างที่แต่ละหน่วยงานได้ดำเนินการอยู่แล้วให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30925 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2553 - 2557 (เพิ่มเติม) ณ เดือนธันวาคม 2554 | คค | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ (เพิ่มเติม) ณ เดือนธันวาคม ๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ (เพิ่มเติม) ประกอบด้วย ๑.๑ แผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๑๑ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๘๗,๕๒๙.๐๐ ล้านบาท (รัฐบาลรับภาระ ๘๔,๐๒๔.๐๐ ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) รับภาระ ๓,๕๐๕.๐๐ ล้านบาท) ได้แก่ โครงการปรัปปรุงทางรถไฟ ระยะที่ ๕ วงเงิน ๘,๕๐๘.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงทางรถไฟ ระยะที่ ๖ วงเงิน ๖,๗๗๙.๐๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย วงเงิน ๑๑,๓๔๘.๐๐ ล้านบาท โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า น้ำหนักกดเพลาสูงสุด ๒๐ ตัน/เพลา จำนวน ๑๓ คัน วงเงิน ๒,๑๔๕.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย วงเงิน ๒๓,๖๗๑.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงสะพาน จำนวน ๑,๔๓๔ แห่ง วงเงิน ๑๒,๑๖๗.๐๐ ล้านบาท โครงการอาณัติสัญญาณไฟสี จำนวน ๒๒๔ แห่ง วงเงิน ๑๑,๓๕๘.๐๐ ล้านบาท โครงการจัดหาและติดตั้งเครื่องกั้นถนนและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑,๒๘๔ แห่ง วงเงิน ๕,๔๕๖.๐๐ ล้านบาท งานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ ระยะทาง ๑,๖๔๙ กิโลเมตร วงเงิน ๔,๗๓๗.๐๐ ล้านบาท โครงการสร้างโรงรถจักรแก่งคอย วงเงิน ๑,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท และโครงการสร้างโรงรถศรีราชาและหน่วย ๑๐ ลาดกระบัง วงเงิน ๓๖๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ โครงการที่จะต้องดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและจัดทำรายงานการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นรายโครงการ จำนวน ๑๐ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๘๙,๒๗๙.๐๐ ล้านบาท (รัฐบาลรับภาระ ๖๘,๓๑๐.๐๐ ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทยรับภาระ ๒๐,๙๖๙.๐๐ ล้านบาท) ได้แก่ โครงการก่อสร้างทางคู่สายลพบุรี - ปากน้ำโพ ระยะทาง ๑๑๘ กิโลเมตร โครงการก่อสร้างทางคู่สายมาบกะเบา - นครราชสีมา ระยะทาง ๑๓๒ กิโลเมตร โครงการก่อสร้างทางคู่สายนครราชสีมา - ขอนแก่น ระยะทาง ๑๘๕ กิโลเมตร โครงการก่อสร้างทางคู่สายนครปฐม - หนองปลาดุก - หัวหิน ระยะทาง ๑๖๕ กิโลเมตร โครงการก่อสร้างทางคู่สายประจวบคีรีขันธ์ - ชุมพร ระยะทาง ๑๖๗ กิโลเมตร โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าทดแทน GE จำนวน ๕๐ คัน โครงการ Refurbish รถจักร จำนวน ๕๖ คัน โครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่ สำหรับให้บริการเชิงพาณิชย์ จำนวน ๑๑๕ คัน โครงการก่อสร้างสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง ICD แห่งที่ ๒ และโครงการติดตั้งระบบโครงข่ายโทรคมนาคม ๑.๓ การก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ จำนวน ๑๑๔ แห่ง วงเงิน ๑๙,๐๑๒.๕๐ ล้านบาท ได้แก่ การก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ ของกรมทางหลวง จำนวน ๘๒ แห่ง วงเงิน ๑๖,๕๕๐.๐๐ ล้านบาท กำหนดแผนการก่อสร้างในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒๕ แห่ง ซึ่งได้ดำเนินการสำรวจและออกแบบแล้วเสร็จ โดยจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ ของกรมทางหลวงชนบท อยู่ระหว่างการพิจารณาทบทวนการเสนอขอปรับแผนการดำเนินงานและกรอบวงเงินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามจุดตัดทางรถไฟในส่วนของกรมทางหลวงชนบททั้งหมด เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ทั้งนี้ กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการออกแบบรายละเอียดแล้วเสร็จ ๑๔ แห่ง และมีแผนงานที่จะดำเนินการก่อสร้างในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑ แห่ง ซึ่งอยู่ระห่วางขั้นตอนการประกวดราคา ๒. การพิจารณาแหล่งเงินทุนเพื่อดำเนินโครงการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของ รฟท. ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ (เพิ่มเติม) กระทรวงคมนาคมได้ขอรับการจัดสรรเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) โดยมีกรอบวงเงินกู้ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๗ วงเงินรวม ๑๔๐,๖๘๖.๔๓๓ ล้านบาท โดยเป็นวงเงินกู้ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๓๐,๒๖๐.๐๓๐ ล้านบาท (รฟท. จำนวน ๒๔,๗๐๕.๐๓๐ ล้านบาท กรมทางหลวง จำนวน ๕,๓๖๐.๐๐๐ ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท จำนวน ๑๙๕.๐๐๐ ล้านบาท) ซึ่งในเบื้องต้นได้รับการจัดสรรเงินกู้ดังกล่าว วงเงินรวม ๗,๖๒๗.๒๓๖๐ ล้านบาท ในส่วนของ รฟท. ได้แก่ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัยต่อการเดินรถ และโครงการติดตั้งเครื่องกั้นถนนเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมได้แจ้งให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรแหล่งเงินที่เหมาะสมสำหรับในส่วนที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรเงินกู้ให้กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และ รฟท.
|
|||||||||||||||||||||||||||
30926 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศย | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ พ.ศ. ๒๕๒๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๓๒ เพื่อให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดเทิง สำหรับคดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงซึ่งเกิดในท้องที่อำเภอขุนตาล อำเภอเชียงของ อำเภอพญาเม็งราย และอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
30927 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 2/2555 | นร | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กยอ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ ตามที่คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยเสนอ โดยให้รับข้อสังเกตและความเห็นของคณะกรรมการ กยอ. เรื่องการพิจารณาทบทวนการประเมินความเสี่ยงของพื้นที่ซึ่งจะมีผลต่ออัตราเบี้ยประกันภัย ไปประกอบการพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานของกองทุนฯ ต่อไป ๑.๒ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรม และมอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์พร้อมทั้งกำหนดแนวทางปฏิบัติในเรื่องของโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยให้เกิดความชัดเจนและถูกต้องตามข้อกฎหมาย แล้วรายงานผลให้คณะกรรมการ กยอ. ทราบต่อไป ๑.๓ เห็นชอบประเด็นการศึกษาเพื่อจัดทำรายละเอียดของยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ด้านการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งรูปแบบการทำงานของที่ปรึกษา ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอ และมอบให้ฝ่ายเลขานุการดำเนินการจัดทำข้อกำหนดโครงการ (Term of Reference) และดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษาต่อไป รวมทั้งเห็นชอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการ จำนวน ๖๐ ล้านบาท โดยให้ฝ่ายเลขานุการประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณต่อไป และให้ฝ่ายเลขานุการเร่งนำเสนอเรื่องแผนงานการลงทุนพัฒนาระบบรางให้คณะกรรมการ กยอ. พิจารณา โดยไม่ต้องรอการศึกษาในภาพรวม ๑.๔ ให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) โดยคณะอนุกรรมการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำรับไปดำเนินการศึกษาประเมินความเป็นไปได้แบบเร่งด่วน (Rapid Assessment) ถึงความเหมาะสมของรูปแบบและวิธีการดำเนินงานของการจัดตั้งองค์กรขับเคลื่อนภารกิจและบูรณาการยุทธศาสตร์การฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำต่อไป โดยให้รับข้อสังเกตเรื่องการสนับสนุนให้ภาคเอกชนและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปจัดทำรายละเอียดของยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศและข้อกำหนดการศึกษาที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน และประสานงานกับสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานของสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (สกยอ.) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
30928 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญติดตาม เร่งรัด ประเมินผลการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ วุฒิสภา เรื่อง รายงานผลการติดตาม เร่งรัด ประเมินผลการแก้ไขปัญหาและการพัฒนา จังหวัดชายแดนภาคใต้ | สว | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญติดตาม เร่งรัด ประเมินผลการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ วุฒิสภา เรื่อง รายงานผลการติดตาม เร่งรัด ประเมินผล การแก้ไข และการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และผลการดำเนินตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ เสร็จแล้ว โดยในส่วนของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการถ่ายโอนภารกิจการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้แก่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) แล้ว กระทรวงยุติธรรมจึงติดตามรายงานผลการดำเนินการจาก ศอ.บต. มาเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
30929 | ญัตติการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย รวม 8 ญัตติ | สผ | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบญัตติ เรื่อง ญัตติการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย รวม ๘ ญัตติ และผลการดำเนินการตามญัตติดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
30930 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี โครงการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554) | กษ | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัย ดินโคลนถล่ม คลื่นลมแรงเกิดคลื่นเซาะชายฝั่งในพื้นที่ภาคใต้ของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย) โครงการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงได้รับเงินงบกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๗,๕๓๐,๔๐๐ บาท เพื่อดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยทะเลในเขตพื้นที่อนุญาตบริเวณอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครอบคลุมพื้นที่ ๔ อำเภอ คือ อำเภอกาญจนดิษฐ์ ไชยา ดอนสัก และท่าฉาง พื้นที่รวม ๑๔,๘๖๑.๔๖ ไร่ จำแนกเป็นพื้นที่เลี้ยงหอยแครง ๑๒,๘๕๕.๘๖ ไร่ พื้นที่เลี้ยงหอยนางรม ๑,๘๕๒.๔๐ ไร่ และพื้นที่เลี้ยงหอยแมลงภู่ ๑๕๓.๒๐ ไร่ โดยได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ๒. รายละเอียดของการดำเนินโครงการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีดังนี้ ๒.๑ ทำความสะอาดแปลงหอยโดยใช้จุลินทรีย์ในการบำบัดดินบริเวณเลี้ยงหอยในเขตพื้นที่อนุญาต และเก็บซากหอยตายและวัสดุเจือปนอันเนื่องจากภาวะอุทกภัยในบริเวณพื้นที่อนุญาต จำนวน ๑๔,๙๖๑.๔๖ ไร่ ๒.๒ เฝ้าระวังคุณภาพน้ำและดินในแหล่งเลี้ยงหอยทะเล โดยเก็บตัวอย่างน้ำและดินเพื่อตรวจวิเคราะห์ในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังฟื้นฟู ครอบคลุมพื้นที่ ๔ อำเภอ คือ อำเภอกาญจนดิษฐ์ ๖ จุด อำเภอไชยา ๔ จุด อำเภอดอนสัก ๒ จุด และอำเภอท่าฉาง ๔ จุด ๒.๓ จัดสร้างแหล่งพ่อแม่พันธุ์หอยทะเล ๒.๔ จัดทำแหล่งพ่อแม่พันธุ์หอยแครง โดยคราดทำความสะอาดแปลงเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์หอยแครง จัดซื้อลูกพันธุ์หอยแครง จำนวน ๑๐,๐๐๐ กิโลกรัม หว่านหอยแครงพร้อมทั้งทำป้ายห้ามทำการประมงและแนวเขตพ่อแม่พันธุ์หอยแครง ๒.๕ จัดทำแหล่งพ่อแม่พันธุ์หอยนางรม โดยจัดซื้อลูกพันธุ์หอยนางรม จำนวน ๓๐,๐๐๐ ตัว พร้อมทั้งติดตาหอยและปักแนวเขต
|
|||||||||||||||||||||||||||
30931 | ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2554 - 2556) ภายใต้แผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ พ.ศ. 2552 - 2556 | มท | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖) ภายใต้แผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ ๓ ปีฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีแผนงาน/โครงการได้รับงบประมาณ จำนวน ๔๑ แผนงาน/โครงการ เป็นเงิน ๒๗๐.๘๘๔๕ ล้านบาท ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๓๑ แผนงาน/โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๔ แผนงาน/โครงการ และไม่ได้รายงานผลการดำเนินการ จำนวน ๖ แผนงาน/โครงการ ๒. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีแผนงาน/โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ ๓ ปีฯ ที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ จำนวน ๒๒๘ แผนงาน/โครงการ งบประมาณ ๒,๖๓๐.๒๘๑๗ ล้านบาท โดยมีแผนงาน/โครงการได้รับงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๕ แผนงาน/โครงการ เป็นเงิน ๓๖๙.๐๖๑๑ ล้านบาท ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและลดผลกระทบ จำนวน ๑๑ แผนงาน/โครงการ งบประมาณที่ได้รับ จำนวน ๓๐๐.๖๓๐๐ ล้านบาท ยุทธศาสตร์ด้านการเตรียมพร้อมรับภัย จำนวน ๒ แผนงาน/โครงการ งบประมาณที่ได้รับ จำนวน ๕๕.๐๐๐๐ ล้านบาท และยุทธศาสตร์ด้านการจัดการหลังเกิดภัย จำนวน ๒ แผนงาน/โครงการ งบประมาณที่ได้รับ จำนวน ๑๓.๔๓๑๑ ล้านบาท ๓. กรณีแผนงาน/โครงการที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ หน่วยงานได้มีการปรับแผนการดำเนินงานเป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๐ โครงการ ขอรับการสนับสนุนจากงบประมาณอื่น จำนวน ๗ โครงการ เจียดจ่ายจากงบประมาณปกติมาดำเนินโครงการ จำนวน ๒ โครงการ และขอใช้งบประมาณเหลือจ่ายจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มาดำเนินโครงการ จำนวน ๑ โครงการ |
|||||||||||||||||||||||||||
30932 | ขอความเห็นชอบในการขอเปิดสถานกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำจังหวัดขอนแก่น | กต | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเปิดสถานกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำจังหวัดขอนแก่น โดยมีเขตกงสุลครอบคลุม ๒๐ จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี หนองคาย นครพนม สกลนคร อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ มุกดาหาร มหาสารคาม ชัยภูมิ เลย กาฬสินธุ์ บึงกาฬ ยโสธร ร้อยเอ็ด หนองบัวลำภู และอำนาจเจริญ เพื่อแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของความสัมพันธ์หุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มีพลวัตอย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30933 | รัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย | กต | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง อู ตีน์ วีน์ (U Tin Win) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน อู อ่อง เต็ง (U Aung Thein) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30934 | แผนงานส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติในระดับพื้นที่ | มท | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนงานส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติในระดับพื้นที่ และให้ทุกส่วนราชการให้ความร่วมมือและเป็นเจ้าภาพร่วมในการดำเนินการกับกระทรวงมหาดไทย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยแผนงานส่งเสริมการปกครองฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักเกิดแรงบันดาลใจ จิตสำนึก และร่วมกันในการธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ และเกิดความเข้าใจในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างถูกต้อง เพื่อสร้างสังคมแห่งความสงบสุข ปรองดองและสมัครสมานสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยมีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้
๑. เสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันของประชาชนในชาติให้ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการสร้างจิตสำนึกความเป็นชาติ ความรู้สึกหวงแหนความเป็นชาติในการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ เป็นการเผยแพร่ความเข้าใจที่ถูกต้องในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดย ๑.๑ จังหวัดโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแกนหลักในการบูรณาการส่วนราชการ และหน่วยงานในพื้นที่เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจไปสู่ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ ผู้ปกครองท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ) ผู้บริหารและสมาชิกสภาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา กลุ่มอาสาสมัคร องค์กรภาคประชาชน และประชาชนทั่วไปในพื้นที่ ๑.๒ ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ สอดแทรกเนื้อหาเข้าไปในหลักสูตรการฝึกอบรมประชุมสัมมนาในทุกระดับที่ส่วนราชการและหน่วยงานรัฐจัดขึ้น ๒. การสร้างความตระหนักและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการน้อมนำแนวพระราชดำริในด้านต่าง ๆ ไปสู่การปฏิบัติให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนในชาติมีความตระหนักในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประเทศไทย โดยจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแกนหลักในการบูรณาการส่วนราชการและหน่วยงานในพื้นที่จังหวัด ๒.๑ ร่วมเผยแพร่และสร้างความตระหนักให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ ผู้ปกครองท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ) ผู้บริหารและสมาชิกสภาขององค์กรปกครองท้องถิ่น เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา กลุ่มอาสาสมัคร องค์กรภาคประชาชนและประชาชนทั่วไปในพื้นที่ ได้รับรู้และตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประชาชนในพื้นที่จังหวัด ๒.๒ ส่งเสริมและขยายผลการดำเนินการตามแนวพระราชดำริในพื้นที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ๒.๓ ให้มีศูนย์เรียนรู้พระราชกรณียกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์ในทุกอำเภอเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเพื่อให้เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไปได้เรียนรู้และเกิดความตระหนักในคุณูปการของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประชาชนในทุกพื้นที่ |
|||||||||||||||||||||||||||
30935 | ขอความเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองหรือลงนามระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 20 (ร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยอาเซียนปลอดยาเสพติด ค.ศ. 2015) | กต | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสาร จำนวน ๓ ฉบับ และหากมีความจำเป็นแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ดังนี้ ๑.๑ ร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยอาเซียนปลอดยาเสพติด ค.ศ. ๒๐๑๕ (ASEAN Declaration on a Drug - Free ASEAN 2015) มีสาระสำคัญเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่ผู้นำอาเซียนให้แก่การแก้ไขปัญหายาเสพติดและการสร้างอาเซียนที่ปลอดยาเสพติด (Drug - Free ASEAN) ภายในปี ๒๕๕๘ ซึ่งสอดคล้องกับปีเป้าหมายของการเป็นประชาคมอาเซียน รวมทั้งแสดงเจตนารมณ์ในการเพิ่มความพยายามร่วมกันในการต่อสู้กับยาเสพติดและรับมืออย่างมีประสิทธิภาพต่อความท้าทายและภัยคุกคามจากปัญหายาเสพติดในภูมิภาค ๑.๒ ร่างเอกสารแนวความคิดเรื่องกลุ่มผู้มีแนวคิดแบบทางสายกลาง (ASEAN’s Concept Paper on Global Movement of the Moderates) มีสาระสำคัญเพื่ออธิบายแนวความคิดโดยรวมของกลุ่มผู้มีแนวคิดแบบทางสายกลาง (Global Movement of the Moderates) และระบุแนวปฏิบัติที่จะช่วยสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวโดยใช้กลไกของอาเซียนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งระบุข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมในระดับประเทศ ภูมิภาค และระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมแนวคิดแบบทางสายกลางและแสวงหาความร่วมมือจากทุกศาสนาและวัฒนธรรมเพื่อป้องกันแนวคิดแบบสุดโต่ง (extremism) ๑.๓ ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียและสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ว่าด้วยการให้ที่ตั้งและเอกสิทธิ์ความคุ้มกันแก่สำนักเลขาธิการอาเซียน (Host Country Agreement) มีสาระสำคัญเพื่อให้ที่ตั้งและเอกสิทธิ์ความคุ้มกันแก่สำนักเลขาธิการอาเซียน รวมทั้งเลขาธิการอาเซียน รองเลขาธิการอาเซียน และเจ้าหน้าที่ของสำนักเลขาธิการอาเซียน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสำนักเลขาธิการอาเซียน ๒. ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยอาเซียนปลอดยาเสพติด ค.ศ. ๒๐๑๕ และร่างเอกสารแนวความคิดเรื่องกลุ่มผู้มีแนวคิดแบบทางสายกลาง ๓. อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนลงนามในร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียและสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ว่าด้วยการให้ที่ตั้งและเอกสิทธิ์ความคุ้มกันแก่สำนักเลขาธิการอาเซียน และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือกระทรวงการต่างประเทศแจ้งเรื่องการเห็นชอบให้เลขาธิการอาเซียนลงนามในเอกสารดังกล่าวผ่านทางคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา |
|||||||||||||||||||||||||||
30936 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี) | นร | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. นายเพิ่มศักดิ์ บ้านใหม่ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการดำเนินงานข่าวกรองในต่างประเทศ (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ๒. นายเชิดศักดิ์ สันติวรวุฒิ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านข่าวกรองความมั่นคงและสถาบันหลัก (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
30937 | ร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... | นร | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ภายในระยะเวลา ๒ ปี นับแต่วันพ้นจากตำแหน่งห้ามมิให้คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเป็นกรรมการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ ที่ปรึกษาหรือถือหุ้นเกินร้อยละศูนย์จุดห้าของทุนที่ชำระแล้วของเอกชนที่คณะกรรมการดังกล่าวได้อนุมัติหลักการให้ร่วมลงทุนในกิจการของรัฐหรือได้ทำสัญญาร่วมลงทุนกับหน่วยงานเจ้าของโครงการ และให้มีอำนาจในการให้คำแนะนำหรือความเห็นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก่อนมีการตราพระราชกฤษฎีกายกเว้นไม่ให้นำร่างพระราชบัญญัตินี้มาใช้บังคับแก่การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ๑.๒ กำหนดให้รัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดเสนอกรอบนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐในความรับผิดชอบของกระทรวงต่อคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ต่อไป โดยกรอบนโยบายที่แต่ละกระทรวงเสนอให้แสดงภาพรวม ลักษณะของโครงการ ลำดับความสำคัญของกิจการของรัฐในความรับผิดชอบของกระทรวงที่จำเป็นหรือเหมาะสมจะให้เอกชนร่วมลงทุน ๑.๓ กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการต้องว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อจัดทำรายงานผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการส่งรายงานของที่ปรึกษาเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาเสนอโครงการด้วย ๑.๔ กำหนดขั้นตอนการดำเนินโครงการเพื่อคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ๑.๕ กำหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐในกระทรวงการคลัง เพื่อสนับสนุนการจัดทำแผนยุทธศาสตร์และสนับสนุนหน่วยงานของรัฐในการเสนอโครงการที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ การจัดทำผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ และการจ้างที่ปรึกษา ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินกิจการของรัฐภายหลังจากสัญญาร่วมลงทุนสิ้นสุด ควรมีการกำหนดหัวข้อ และรายละเอียดที่ชัดเจน เพื่อให้หน่วยงานเจ้าของโครงการใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการจัดทำแนวทางที่เป็นมาตรฐานเดียวกันและมิให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30938 | ขออนุมัติโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณถนนนนทบุรี 1 ของกรมทางหลวงชนบท | คค | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณถนนนนทบุรี ๑ ของกรมทางหลวงชนบท จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ - พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ - พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ส่วนงบประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้น ๑,๑๔๑,๓๓๓,๕๓๑.๓๕ บาท อนุมัติและให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่เสนอตั้งไว้ จำนวน ๒๘๑,๖๕๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๘๕๙,๖๘๓,๕๓๑.๓๕ บาท ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับเพื่อให้ครบค่างานต่อไป ทั้งนี้ ให้พิจารณาการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเป็นค่างานในหมวดงานทั่วไป และค่าใช้จ่ายที่เบิกจ่ายในลักษณะเงินจร (Provisional Sum) ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
30939 | การกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2554/55 โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ใช้เงินกู้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ วงเงิน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท เดิม เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ จำนวน ๑๐ ล้านตัน วงเงินกู้ไม่เกิน ๒๘,๒๕๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ จำนวนประมาณ ๘ ล้านตัน วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มเติม รวมวงเงินทั้งสิ้นไม่เกิน ๑๖๓,๒๕๐ ล้านบาท ๑.๒ ให้ ธ.ก.ส. กู้เงินเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ จำนวน ๑๐ ล้านตัน วงเงินกู้ไม่เกิน ๒๘,๒๕๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ จำนวนประมาณ ๘ ล้านตัน วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท รวมวงเงินทั้งสิ้นไม่เกิน ๑๖๓,๒๕๐ ล้านบาท จากสถาบันการเงินต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งให้ ธ.ก.ส. กู้เงินเพื่อบริหารจัดการหนี้เงินกู้ด้วยการ Refinance หรือ Roll over หรือ Prepayment โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินกู้และดอกเบี้ย รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินโครงการทั้งหมด ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ของ ธ.ก.ส. ที่เกิดจากการกู้เงินและการบริหารจัดการหนี้ของ ธ.ก.ส. โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ในแต่ละครั้ง ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ วงเงินกู้ไม่เกิน ๒๘,๒๕๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น รวมทั้งการบริหารจัดการหนี้ร่วมกับ ธ.ก.ส. ด้วยการ Refinance หรือ Roll over หรือ Prepayment โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันจนกว่าจะมีการชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด ๑.๔ ให้ ธ.ก.ส. แยกบัญชีการดำเนินงาน บัญชีธนาคารของโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ โดยเฉพาะ เพื่อให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีชำระคืน ธ.ก.ส. หากมีผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงจากโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ จำนวน ๑๐ ล้านตัน และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ จำนวน ๘ ล้านตัน ให้เสร็จสิ้นทุกสิ้นปีงบประมาณหรือไม่เกินปีงบประมาณถัดไป โดยไม่ต้องรอให้มีการระบายผลิตผลเสร็จสิ้นก่อน เพื่อให้การรับรู้กำไร/ขาดทุนจากการดำเนินโครงการดังกล่าวในปีนั้น ๆ รวมทั้งชดเชยต้นทุนเงินและค่าใช้จ่ายดำเนินงาน และเงินที่ใช้ในการดำเนินงาน ทั้งในส่วนของ ธ.ก.ส. และส่วนที่กู้จากสถาบันการเงิน เพื่อมิให้เป็นภาระงบประมาณด้านดอกเบี้ยจ่ายจากหนี้คงค้างโครงการฯ เป็นเวลานาน รวมทั้งเพื่อให้ ธ.ก.ส. สามารถนำเงินไปหมุนเวียนเพื่อใช้ในโครงการอื่นในปีต่อ ๆ ไป หากมีกำไรเกิดขึ้นจากการดำเนินงานหลังจากการระบายผลผลิตหรือสิ้นสุดโครงการฯ ให้ ธ.ก.ส. นำเงินส่งคลังทันที ๑.๕ ให้หน่วยงานดำเนินการที่ได้จำหน่ายสินค้าตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ และได้รับชำระค่าสินค้าแล้วให้นำส่งเงินดังกล่าวแก่ ธ.ก.ส. ภายใน ๗ วัน นับจากวันที่ได้รับเงิน หากล่าช้าให้ชำระเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี เพื่อ ธ.ก.ส. จะได้นำไปชำระหนี้และลดภาระหนี้เงินกู้ต่อไป ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. ชำระคืนแหล่งเงินกู้ทันทีหรือภายใน ๓ วันทำการ โดยให้ชำระคืนเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าก่อนเป็นลำดับแรก ๑.๖ ให้หน่วยงานดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง ได้แก่ สถาบันเกษตรกรและองค์การสวนยาง หน่วยงานดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ โดยองค์การคลังสินค้า (อคส.) และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ โดย อคส. และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ดูแลคลังสินค้า (Stock) ของโครงการฯ ไม่ให้มีการสูญหาย เว้นแต่จะมีการเสื่อมคุณภาพของสินค้าตามปกติ แต่หากมีการสูญหายหรือสินค้าเสื่อมคุณภาพเพราะความบกพร่อง หน่วยงานดังกล่าวจะต้องชดใช้ให้แก่รัฐ เนื่องจากได้รับอนุมัติวงเงินจ่ายขาดสำหรับค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้าแล้ว ทั้งนี้ ให้ อคส. และ อ.ต.ก. ปิดบัญชีโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๒ ปี นับตั้งแต่เริ่มดำเนินการโครงการฯ ๑.๗ ให้กระทรวงพาณิชย์แต่งตั้งคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ รวมทั้งให้คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง เพื่อดำเนินการปิดบัญชีโครงการดังกล่าว หลังจากครบกำหนดไถ่ถอน และ/หรือสิ้นสุดระยะเวลาโครงการ และให้กระทรวงพาณิชย์เร่งระบายผลิตผล เพื่อลดความเสี่ยงด้านการจัดหาเงินทุน และภาระการค้ำประกันของกระทรวงการคลัง โดยมีกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) สำนักงบประมาณ และ ธ.ก.ส. ร่วมติดตามการระบายผลิตผลอย่างใกล้ชิด และให้มีการปิดบัญชีเป็นปี ๆ ไป โดยให้แล้วเสร็จภายใน ๙๐ วัน นับตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบปีบัญชี ๑.๘ ให้กระทรวงพาณิชย์และคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติกำกับ ติดตาม ควบคุม รวมทั้งรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงาน การเบิกจ่ายเงิน การระบายสินค้า ปริมาณและมูลค่าสินค้าคงเหลือ รวมทั้งปัญหา อุปสรรคที่เกิดขึ้นสำหรับโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกวันที่ ๗ ของเดือนถัดไป จนกว่าหนี้คงค้างได้รับชำระครบถ้วน เพื่อให้คณะรัฐมนตรีสามารถติดตามการดำเนินงานได้อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้รายงานการระบายสินค้า ปริมาณ และมูลค่าของสินค้าคงเหลือ ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) และสำนักงบประมาณทราบทุกรายไตรมาส ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งระบายผลผลิตให้เสร็จสิ้นโดยเร็วเพื่อไม่ให้สินค้าเสื่อมสภาพ ส่งผลให้ราคาสินค้าตกต่ำ และเพื่อจะได้รับรู้ผลกำไร/ขาดทุนของพืชแต่ละชนิดโดยแท้จริง รวมทั้งควรพิจารณาวางแผนเพื่อเร่งระบายผลผลิตอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว แยกบัญชีการดำเนินงานให้ชัดเจน และดำเนินการปิดบัญชีโครงการเพื่อลดภาระงบประมาณแผ่นดินที่จะต้องนำไปชำระเป็นต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อให้มีเงินกลับเข้ามาในระบบสำหรับนำมาใช้ในโครงการอื่นด้วย นอกจากนี้ ควรสนับสนุนการนำผลผลิตที่รับจำนำ/ซื้อมาสร้างมูลค่าเพิ่มและแปรรูปสินค้าเพื่อจำหน่ายทั้งภายในและต่างประเทศ เร่งส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา ดำเนินการลดต้นทุนการผลิตควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สามารถแข่งขันได้เมื่อมีการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดี นอกเหนือจากการรับจำนำผลผลิตหรือแทรกแซงตลาดสินค้าเกษตร ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30940 | การติดตามผลการดำเนินงาน การฟื้นฟู เยียวยาและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | นร | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงาน การฟื้นฟู เยียวยาและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในกลุ่มผู้ประสบอุทกภัยที่สำคัญคือ ประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มหาอุทกภัย (จังหวัดต่าง ๆ และกรุงเทพมหานคร) ๑.๑ จังหวัดต่าง ๆ รวม ๕๕ จังหวัด ในภาพรวม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้สำรวจและแจ้งธนาคารออมสินแล้ว จำนวน ๑,๒๕๕,๕๗๖ ครัวเรือน เป็นเงิน ๖,๒๗๗.๘๘ ล้านบาท ณ ปัจจุบัน (๒๕ มีนาคม ๒๕๕๕) ธนาคารออมสินจ่ายจริงถึงมือประชาชนแล้ว จำนวน ๑,๒๓๕,๘๘๒ ครัวเรือน เป็นเงิน ๖,๑๗๙.๔๑ ล้านบาท หรือเฉลี่ยร้อยละ ๙๘.๔๓ ของยอดที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแจ้ง ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบยอดการจ่ายจริงถึงมือประชาชนกับยอดที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสำรวจและแจ้งธนาคารออมสินแล้ว ปรากฏว่ามี ๕๒ จังหวัด ที่มียอดจ่ายจริงถึงมือประชาชนเกินกว่าร้อยละ ๙๐ โดยเฉลี่ยอยู่ในระดับร้อยละ ๙๖.๑๙ โดยมีจังหวัดที่มีผลการเบิกเกินร้อยละ ๙๐ มากขึ้นจากการรายงานครั้งก่อน รวม ๑ จังหวัด และมี ๓ จังหวัด ที่มียอดการจ่ายจริงถึงมือประชาชนต่ำกว่าร้อยละ ๙๐ โดยเฉลี่ยอยู่ในระดับร้อยละ ๘๓.๒๘ ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา ปทุมธานี และสมุทรสาคร ๑.๒ กรุงเทพมหานคร ภาพรวม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสำรวจและแจ้งธนาคารออมสินแล้ว จำนวน ๕๙๘,๐๕๑ ครัวเรือน เป็นเงิน ๒,๙๙๐.๒๖ ล้านบาท ณ ปัจจุบัน (๒๕ มีนาคม ๒๕๕๕) ธนาคารออมสินจ่ายถึงมือประชาชนแล้ว จำนวน ๕๕๕,๑๔๙ ครัวเรือน เป็นเงิน ๒,๗๗๕.๗๕ ล้านบาท หรือเฉลี่ยร้อยละ ๙๒.๘๓ ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบยอดการจ่ายจริงถึงมือประชาชนกับยอดที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสำรวจและแจ้งธนาคารออมสินแล้ว ปรากฏว่ามี ๓๓ เขต ที่มียอดจ่ายจริงถึงมือประชาชนเกินกว่าร้อยละ ๙๐ โดยเฉลี่ยอยู่ในระดับร้อยละ ๙๓.๕๗ โดยมีเขตที่มีผลการเบิกเกินร้อยละ ๙๐ เพิ่มขึ้นจากการรายงานครั้งก่อน รวม ๑๘ เขต และมี ๙ เขต ที่มียอดการจ่ายจริงถึงมือประชาชนต่ำกว่าร้อยละ ๙๐ ๒. อุทกภัยอื่น เป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท โดยแยกในแต่ละอุทกภัยที่เกิดขึ้นคือ อุทกภัยวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ รวม ๘ จังหวัด ๑๔,๓๒๑ ครัวเรือน อุทกภัยวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๔ รวม ๑๐ จังหวัด ๒๕๕,๖๖๗ ครัวเรือน วาตภัยและคลื่นลมแรงวันที่ ๒๘ ตุลาคม, ๒๘ พฤศจิกายน, ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๔ รวม ๖ จังหวัด ๑,๘๙๗ ครัวเรือน ในภาพรวมเป็นอุทกภัยที่เกิดในจังหวัดภาคใต้ ๑๑ จังหวัด ภาคตะวันออก ๑ จังหวัด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้สำรวจและแจ้งธนาคารออมสินแล้ว จำนวน ๒๒๖,๙๐๙ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑,๑๓๔.๕๕ ล้านบาท ณ ปัจจุบัน (๒๕ มีนาคม ๒๕๕๕) ธนาคารออมสินจ่ายถึงมือประชาชนแล้ว จำนวน ๑๗๕,๐๓๓ ครัวเรือน เป็นเงิน ๘๗๕.๑๗ ล้านบาท โดยเฉลี่ยอยู่ในระดับร้อยละ ๗๗.๑๔ เพิ่มขึ้นจากการรายงานครั้งก่อนร้อยละ ๔๐.๖๐
|
.....