ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1543 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30841 - 30860 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30841 | ร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ผู้รับบำนาญปกติหรือผู้รับบำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพอาจนำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงินได้ ๑.๒ กำหนดให้ผู้รับบำนาญปกติหรือผู้รับบำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพนำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงินได้ แต่หากสัญญากู้เงินสิ้นสุดลงโดยไม่มีการบังคับเอากับสิทธิในบำเหน็จตกทอดที่นำไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงิน ทายาทมีสิทธิได้รับบำเหน็จตกทอดเต็มตามจำนวน แต่หากผู้รับบำนาญปกติหรือผู้รับบำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพถึงแก่ความตายหรือสัญญากู้เงินสิ้นสุดลงโดยไม่มีการบังคับเอากับสิทธิในบำเหน็จตกทอดที่นำไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงิน ทายาทมีสิทธิได้รับบำเหน็จตกทอดเท่ากับจำนวนที่เหลือหลังจากที่ราชการส่วนท้องถิ่นได้หักจำนวนเงินที่จ่ายให้แก่สถาบันการเงินออกจากสิทธิในบำเหน็จตกทอดมาตรา ๔๖/๕ ๑.๓ กำหนดให้ผู้รับบำนาญปกติหรือผู้รับบำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพยังคงมีสิทธิได้รับบำนาญอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้มีสิทธินำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงินได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ร่างมาตรา ๔๖/๒ ได้กำหนดนิยามคำว่า “ราชการส่วนท้องถิ่น” ไว้ ซึ่งนิยามของคำนี้ได้มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๐ มาตรา ๔ วรรคสาม และมีข้อความเหมือนกันทุกประการ จึงสมควรตัดร่างมาตรา ๔๖/๒ ออกจากร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒.๒ ร่างมาตรา ๔๖/๕ มีสาระสำคัญเหมือนกับมาตรา ๔๗/๔ ของพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ และมาตรา ๕๗/๔ ของพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ แต่ไม่มีข้อความที่เหมือนวรรคสองของทั้งสองมาตราดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อความที่ให้อำนาจกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการเรียกเงินคืนจากผู้รับบำนาญ หรือจากกองมรดกของผู้นั้น ในกรณีที่ไม่อาจหักเงินที่จ่ายให้แก่สถาบันการเงินไปแล้วจากสิทธิในบำเหน็จบำนาญตกทอดได้ การที่ร่างมาตรา ๔๖/๕ ไม่มีวรรคสองดังกล่าว อาจทำให้ทางราชการเสียประโยชน์ได้ จึงสมควรเพิ่มข้อความเช่นเดียวกับวรรคสองของมาตรา ๔๗/๔ ของพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ และวรรคสองของมาตรา ๕๗/๔ ของพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ในร่างมาตรา ๔๖/๕ ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30842 | การลงนามในร่างแผนปฏิบัติการตามกรอบความร่วมมือหุ้นส่วนระหว่างไทยกับสหประชาชาติ ปี ค.ศ. 2012 - 2016 | กต | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการตามกรอบความร่วมมือหุ้นส่วนระหว่างไทยกับสหประชาชาติ ปี ค.ศ. ๒๐๑๒ - ๒๐๑๖ โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างแผนปฏิบัติการฯ ที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ ทั้งนี้ ร่างแผนปฏิบัติการฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ ร่างแผนปฏิบัติการฯ สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ โดยมีความร่วมมือหุ้นส่วนด้านต่าง ๆ (Joint Partnership) ใน ๖ สาขา ได้แก่ สาขาการคุ้มครองทางสังคม (Social Protection) โดยมีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) เป็นประธานร่วม, สาขาสิทธิมนุษยชนและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม (Human Rights and Access to Justice) โดยมีกระทรวงยุติธรรมกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) เป็นประธานร่วม, สาขาข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Information) โดยมีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกับกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) เป็นประธานร่วม, สาขาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) โดยมีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) เป็นประธานร่วม, สาขาความร่วมมือระหว่างประเทศ (International Cooperation) โดยมีสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เป็นประธานร่วม และสาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) โดยมีกระทรวงพาณิชย์กับองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เป็นประธานร่วม ๑.๑.๒ ร่างแผนปฏิบัติการฯ ยังมีร่างแผนปฏิบัติการย่อยที่เรียกว่า Country Programme Action Plans ขององค์การสหประชาชาติ ๓ องค์กร รวมอยู่ด้วย ได้แก่ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) กองทุนเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) และกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ๑.๑.๓ ร่างแผนปฏิบัติการฯ กำหนดให้มีคณะกรรมการสามฝ่าย (Tripartite Committee) เป็นกลไกตรวจสอบและปรับปรุงแผนปฏิบัติการฯ ทุกปี ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UN Resident Coordinator) ในฐานะประธานร่วม (co - chair) และผู้แทนอื่น ๆ จากองค์กรสหประชาชาติ และหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้อง โดยมีอำนาจตามที่ระบุใน Annex 9 ของร่างแผนปฏิบัติการฯ ได้แก่ อนุมัติรายงานความคืบหน้าในการดำเนินโครงการต่าง ๆ มอบแนวทางเพื่อปฏิบัติตามโครงการ และเห็นชอบการแก้ไขปรับปรุงแผนปฏิบัติการฯ ตามความจำเป็น ๑.๑.๔ การดำเนินการตามร่างแผนปฏิบัติการฯ จะมีการจัดทำแผนดำเนินงานประจำปี (Annual Work Plans) และเอกสารโครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยกับองค์กรต่าง ๆ ขององค์การสหประชาชาติที่เป็นหุ้นส่วนเพื่อให้การดำเนินการสอดคล้องกับเป้าหมายของ UNPAF ๑.๒ อนุมัติให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานไทยที่เป็นประธานร่วมของแต่ละความร่วมมือหุ้นส่วน ๖ สาขา เป็นผู้ลงนามในแผนปฏิบัติการฯ ร่วมกับองค์กรต่าง ๆ ของสหประชาชาติที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ อนุมัติให้ผู้แทนส่วนราชการที่อยู่ในคณะกรรมการสามฝ่าย ได้แก่ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UN Resident Coordinator) ให้ความเห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขแผนปฏิบัติการฯ และสามารถพิจารณาดำเนินการได้เฉพาะในเนื้อหาสาระที่ไม่เกินอำนาจหน้าที่ กฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่มีอยู่ โดยรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบในภายหลัง ๑.๔ ในกรณีที่มีการจัดทำแผนดำเนินงานประจำปี (Annual Work Plans) ระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้องของไทยกับองค์กรของสหประชาชาติที่เป็นหุ้นส่วนสำหรับความร่วมมือหุ้นส่วนทั้ง ๖ สาขา อนุมัติให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องสามารถพิจารณาดำเนินการจัดทำและลงนาม รวมทั้งหากจำเป็นสามารถปรับปรุงแก้ไขแผนดำเนินงานประจำปีร่วมกับองค์กรของสหประชาชาติได้ โดยรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบในภายหลัง เพื่อความคล่องตัวและรวดเร็วในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ๒. ให้เพิ่มเติมหน่วยงานที่ทำหน้าที่ประธานร่วมใน ๒ สาขา คือ สาขา ๕ ความร่วมมือระหว่างประเทศ (International Cooperation) ให้เพิ่มสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสาขา ๖ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ให้เพิ่มสำนักนายกรัฐมนตรี ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในการปรับตัวเพื่อรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการป้องกันภัยพิบัติ เห็นควรเพิ่มการดำเนินงานในด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติจากน้ำท่วม น้ำแล้ง และโคลนถล่ม ที่อาจมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30843 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. .... | วธ | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้จัดตั้งกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล และกำหนดวัตถุประสงค์ของกองทุน ๒. กำหนดให้กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ส่วนหนึ่งประกอบด้วยเงินที่ได้รับจากการจัดสรรจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เงินค่าปรับที่ได้รับจากการลงโทษผู้ละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงตามกฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์ที่ตกเป็นของกองทุน และเงินที่ได้รับจากต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ ๓. กำหนดให้กิจการของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน ๔. กำหนดให้กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และรายได้ของกองทุนไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ๕. กำหนดให้กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์มีอำนาจจ่ายเงินจากกองทุนเป็นค่าใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ที่กำหนด ๖. กำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กำหนดองค์ประกอบ คุณสมบัติ วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ และองค์ประชุมคณะกรรมการ ๗. กำหนดให้มีคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และกำหนดอำนาจหน้าที่ ๘. กำหนดอำนาจหน้าที่ของสำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ๙. กำหนดให้มีผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ คุณสมบัติของผู้จัดการ วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และอำนาจหน้าที่ ๑๐. กำหนดให้กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์จัดทำการบัญชีตามมาตรฐานการจัดทำบัญชีสำหรับหน่วยงานภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด โดยมีรอบปีบัญชีตามปีงบประมาณ และจัดให้มีการตรวจสอบภายในและรายงานผลการตรวจสอบให้คณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ทราบอย่างน้อยปีละครั้ง ๑๑. กำหนดให้กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์จัดทำงบการเงินและทำรายงานประจำปีเสนอต่อคณะกรรมการเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ๑๒. กำหนดให้มีคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ๑๓. กำหนดให้คณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์อาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาและเสนอความเห็นในเรื่องหนึ่งเรื่องใดหรือมอบหมายให้ปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดได้ตามที่เห็นสมควร |
|||||||||||||||||||||||||||
30844 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ไตรมาส 4 ปี 2554 และรายงานสถานการณ์ศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกุมภาพันธ์ 2555 | อก | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ไตรมาส ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ (ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๕๔) และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ (ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๕๔) ๑.๑ เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ขยายตัวร้อยละ ๓.๕ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๒.๗ แต่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ขยายตัวร้อยละ ๖.๖ โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ คือ อุปสงค์ต่างประเทศขยายตัวสูงขึ้น ในขณะที่อุปสงค์ในประเทศรวมขยายตัวชะลอลง โดยการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนขยายตัวชะลอลง ในขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของรัฐบาลขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อย การส่งออกสินค้าขยายตัวสูงขึ้น ๑.๒ ภาคอุตสาหกรรมไทยไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตัวชี้วัดต่าง ๆ ส่วนใหญ่ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ อาทิ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม อัตราการใช้การผลิต ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและธุรกิจ และดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เป็นต้น ๑.๓ สถานการณ์การค้าในไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ การส่งออกมีมูลค่าลดลงเนื่องจากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งรุนแรง โดยในไตรมาสที่ ๔ การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น ๑๐๓,๙๒๔.๕๐ ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ ๔๙,๗๐๕.๙๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ ๕๔,๒๑๘.๕๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ ๒๓.๐๖ และมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ ๑๓.๖๒ ส่งผลให้ไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ดุลการค้าขาดดุล ๔,๕๑๒.๖๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ ๔.๗๘ สำหรับมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒.๑๕ ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ๒.๑ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิต คาดว่าจะยังชะลอตัวเนื่องจากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นและส่งผลต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งระบบ และคาดว่าจะสามารถฟื้นฟูให้สามารถกลับมาผลิตได้เต็มที่ภายในไตรมาสที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ในขณะที่การจำหน่ายในประเทศคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน โดยเฉพาะเสื้อผ้าสำเร็จรูปแนวแฟชั่นที่เป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่น อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงของอุตสาหกรรมการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มยังมีผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐอเมริกาและสภาพยุโรปที่ยังชะลอตัว รวมถึงตลาดส่งออกที่มีการแข่งขันมากขึ้น ๒.๒ อุตสาหกรรมรถยนต์ ภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์คาดว่าจะขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนมกราคม ๒๕๕๕ เนื่องจากโรงงานผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่เริ่มกลับมาผลิตได้เป็นปกติ สำหรับโรงงานประกอบรถยนต์ Honda ได้เร่งการฟื้นฟูโรงงานและปรับสายการผลิตรถยนต์ให้เร็วขึ้น จึงคาดว่าจะกลับมาผลิตได้อีกครั้งในเดือนมีนาคม ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||
30845 | ร่างพระราชบัญญัติคลังสินค้า ไซโล และห้องเย็น พ.ศ. .... | พณ | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติคลังสินค้า ไซโล และห้องเย็น พ.ศ. .... ที่กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับปรุงแก้ไขจากร่างพระราชบัญญัติฯ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ แก้ไขนิยามคำว่า “คลังสินค้า” เพิ่มเติมนิยามคำว่า “ศูนย์กระจายสินค้า” “บริษัทในเครือ” “บริษัทแม่” “บริษัทลูก” และ “บริษัทร่วม” ๑.๒ กำหนดให้นิติบุคคลซึ่งประกอบกิจการคลังสินค้า กิจการไซโล หรือกิจการห้องเย็น เพื่อใช้เก็บรักษาสินค้าและให้บริการเกี่ยวกับสินค้าเฉพาะแก่บริษัทในเครือให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุญาตในการประกอบกิจการ ๑.๓ กำหนดระยะเวลาให้ผู้ที่ประสงค์จะมีคลังสินค้า ไซโล หรือห้องเย็นที่เก็บรักษาสินค้าโดยไม่มีบำเหน็จ ซึ่งมีพื้นที่ ขนาด ความจุตามที่กำหนด แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่มีคลังสินค้า ไซโล หรือห้องเย็น ๑.๔ ตัดร่างมาตรา ๔๗ ที่กำหนดให้คลังสินค้า ไซโล หรือห้องเย็นที่เก็บรักษาสินค้าโดยไม่มีบำเหน็จต้องจัดทำบัญชีคุมสินค้าหรือรายงานการจัดเก็บสินค้า เนื่องจากคลังสินค้า ไซโล หรือห้องเย็นที่เก็บรักษาสินค้าโดยไม่มีบำเหน็จเป็นคลังสินค้าส่วนตัวมิใช่คลังสินค้าสาธารณะที่ต้องขออนุญาต ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการอนุญาตให้ทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์แทนการใช้เอกสารในรูปกระดาษ และกำหนดให้ชัดเจนว่าผู้ประกอบธุรกิจสามารถเลือกดำเนินการในลักษณะอิเล็กทรอนิกส์ทดแทนการส่งในรูปกระดาษได้ รวมทั้งควรเพิ่มเติมผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลกิจการสหกรณ์เป็นองค์ประกอบของคณะกรรมการกำกับคลังสินค้า ไซโล และห้องเย็น เพื่อให้กลไกกำกับดูแลมีองค์ประกอบจากหน่วยงานกำกับดูแลครบถ้วนและทำให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
30846 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 3 แห่ง สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2553 | กค | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรขาดทุนสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานของ ธสน. สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑.๑ มีกำไรสุทธิ จำนวน ๑๔๕ ล้านบาท ลดลงจากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๒๐๑ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๕๘.๐๙ เนื่องจาก ธสน. ตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ จำนวน ๑,๖๑๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๓.๓๕ จากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๒ มีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิ จำนวน ๑,๔๓๕ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๒๒๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๘.๖๐ เนื่องจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงทำให้ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ธสน. มีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผล จำนวน ๒,๓๐๙ ล้านบาท ลดลง ๙๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔.๐๓ จากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ในขณะที่ ธสน. มีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย จำนวน ๘๗๔ ล้านบาท ลดลงจากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๓๒๒ ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ ๒๖.๙๒ เป็นผลจากการปรับตัวลดลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินและจากการบริหารจัดการแหล่งเงินกู้ให้เหมาะสมกับเงินให้สินเชื่อ ๑.๓ มีการกลับรายการขาดทุนจากการปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน ๑๒๒ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงานของ ธพว. สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒.๑ แสดงกำไรทางบัญชี จำนวน ๑๒๘.๔๘ ล้านบาท ลดลงจากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๒.๒๙ ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ ๑.๗๕ ทั้งนี้ กำไรสุทธิดังกล่าวยังไม่รวมภาระการสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๓๙ (IAS 39) ประมาณ ๑,๗๔๑ ล้านบาท ซึ่งได้รับการผ่อนผันจากกระทรวงการคลังให้สำรองให้ครบตามหลักเกณฑ์ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และการสำรองค่าใช้จ่ายตราสารอนุพันธ์สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๑,๖๔๑ ล้านบาท ตามที่ ธพว. เคยประมาณการไว้ โดยหากมีการสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญตามมาตรา IAS 39 จำนวน ๑,๗๔๑ ล้านบาท จะทำให้ ธพว. มีผลขาดทุนสิทธิ จำนวน ๑,๖๑๓ ล้านบาท และหาก ธพว. มีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายตราสารอนุพันธ์กรณีบัตรเงินฝากแบบดอกเบี้ยลอยตัว จำนวน ๑,๖๔๑ ล้านบาท ตามประมาณการเดิม จะทำให้ ธพว. มีผลขาดทุนสุทธิ จำนวน ๓.๒๕๔ ล้านบาท ๒.๒ มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเทียบกับปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เพิ่มขึ้น ๑.๒๖๐.๒๐ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓๒.๔๖ เป็นผลมาจากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นตามเงินให้สินเชื่อที่เพิ่มขึ้น โดยรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น จำนวน ๑.๐๖๘.๖๔ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔๘.๒๑ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง จำนวน ๑๙๑.๕๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๕.๑๔ ๓. ผลการดำเนินงานของ บตท. สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๓ มีกำไรสุทธิ จำนวน ๐.๓ ล้านบาท ลดลงจากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๒๕.๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๘.๙ จากปัจจัยสำคัญ ดังนี้ ๓.๑ รายได้รวมลดลง โดยมีรายได้รวม จำนวน ๑๑๑.๙ ล้านบาท ลดลงจากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๑๓.๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๐.๖ เนื่องจากรายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผลลดลง จำนวน ๑๕.๑ ล้านบาท และในส่วนของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง จำนวน ๐.๐๓ ล้านบาท ๓.๒ ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น โดยมีค่าใช้จ่ายรวม จำนวน ๙๓.๖ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๗.๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙.๒ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๒.๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕.๕ ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๕.๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๑.๙ ค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๐ และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคาร สถานที่และอุปกรณ์เพิ่มขึ้นร้อยละ ๘๕.๗
|
|||||||||||||||||||||||||||
30847 | การลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือนระหว่างองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศและราชอาณาจักรไทย | คค | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้ดำเนินการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือน (Universal Security Audit Programme : USAP) ระหว่างองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) และราชอาณาจักรไทย โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นการร่วมมือกับ ICAO เพื่อให้ทีมตรวจสอบของ ICAO เข้ามาตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือนทั้งระบบ โดยประเทศไทยจะตอบแบบสอบถามเพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายภายในด้านความมั่นคงและการจัดการความปลอดภัยของสนามบินก่อนการเดินทางมาถึงของทีมตรวจสอบ และในระหว่างการตรวจสอบต้องอำนวยความสะดวกให้ทีมผู้ตรวจสอบสามารถเข้าถึงข้อมูลเอกสารพื้นที่ต่าง ๆ ของสนามบิน และสามารถสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทราบว่าประเทศไทยจะต้องแก้ไขปรับปรุงงานด้านการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือนในส่วนใด เพื่อให้สอดคล้องกับภาคผนวก ๙ (การอำนวยความสะดวก) และภาคผนวก ๑๗ (การรักษาความปลอดภัย) ของอนุสัญญาว่าด้วยการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ค.ศ. ๑๙๔๔ โดย ICAO จะแจ้งผลการตรวจสอบให้ประเทศไทยทราบ เพื่อนำมาจัดทำแผนปฏิบัติการสำหรับการแก้ไขปรับปรุงงานด้านการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือน และนำผลการตรวจสอบบางส่วนขึ้นเว็บไซต์โดยกำหนดชั้นความลับในการเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ให้อยู่ในดุลพินิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรืออธิบดีกรมการบินพลเรือน หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายที่จะดำเนินการได้ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรืออธิบดีกรมการบินพลเรือน หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ๓. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามของฝ่ายไทย |
|||||||||||||||||||||||||||
30848 | การเปลี่ยนชื่อส่วนราชการ กรมส่งเสริมการส่งออก เป็น กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ | พณ | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงพาณิชย์รับร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... ไปดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในกรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน) ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปรับปรุงหน่วยงานใหม่ภายในกรมส่งเสริมการส่งออก ควรคำนึงถึงภารกิจความรับผิดชอบ ลักษณะของหน่วยงาน ความซ้ำซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานอื่น และไม่ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบุคลากร วัสดุ ครุภัณฑ์ อาคารและสถานที่ นอกจากนี้ เห็นควรให้ความสำคัญกับการบูรณาการให้การดำเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างสอดคล้องเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด โดยเฉพาะการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยไปทำธุรกิจในต่างประเทศ การแยกภารกิจด้านการส่งเสริมการทำธุรกิจไปอยู่ภายใต้สำนักส่งเสริมการทำธุรกิจระหว่างประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจความรับผิดชอบของแต่ละสำนักอย่างชัดเจน รวมทั้งให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ) ซึ่งกำหนดแนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อ “กรมส่งเสริมการส่งออก” เป็น “กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ” พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๓.๑ ยกเลิกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๕๓ ๓.๒ ให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมีภารกิจเกี่ยวกับการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศทั้งด้านการส่งเสริมการส่งออกและนำเข้า ขยายตลาดสินค้า และธุรกิจบริการของไทย พัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าและธุรกิจบริการ ให้บริการข้อมูลการค้า และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยให้สามารถดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศได้ในตลาดโลก และส่งเสริมการนำเข้าปัจจัยการผลิตและสินค้าที่จำเป็นต่อการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าและปริมาณการส่งออกของประเทศไทยและเพื่อให้เกิดความสมดุลทางการค้าและสร้างเสถียรภาพทางการค้าระหว่างประเทศของไทย และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๓.๓ กำหนดให้แบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ประกอบด้วย ๕ สำนัก ๑ สำนักงาน ๑ ศูนย์ ๑ สถาบัน และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๓.๔ กำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายใน และกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร รับผิดชอบขึ้นตรงต่ออธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๓.๕ ให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ตามกฎกระทรวงนี้ จนกว่าจะมีประกาศตามกฎกระทรวงนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||
30849 | สรุปผลการดำเนินการโครงการปีแห่งการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ | มท | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการดำเนินงานโครงการปีแห่งการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องตลอดทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งผลจากการดำเนินโครงการได้ก่อให้เกิดการรับรู้และตื่นตัวในเรื่องของการสวมหมวกนิรภัย มีการบังคับใช้กฎหมาย ว่ากล่าวตักเตือนและจับปรับ เพิ่มขึ้นมา ๓ เท่า (เพิ่มจาก ๘๕๐,๐๖๐ ราย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็น ๒,๗๐๗,๔๔๐ ราย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔) และผลจากการสำรวจการสวมหมวกนิรภัยทุกจังหวัดทั่วประเทศ จำนวน ๑,๒๓๐,๑๙๗ คน พบว่า สัดส่วนการสวมหมวกนิรภัยในภาพรวมของประเทศเพิ่มสูงขึ้นเพียง ๒ เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น โดยเพิ่มจาก ๔๔ เปอร์เซ็นต์ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็น ๔๖ เปอร์เซ็นต์ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒ แนวทางที่จะดำเนนการในระยะต่อไป ๑.๒.๑ ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการต่อไปอีก ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) เพื่อให้มีการเพิ่มสัดส่วนของผู้สวมหมวกนิรภัยอย่างต่อเนื่องและครอบคลุมตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเร่งรัดให้มีการสวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ ๒๐ ในแต่ละปี ๑.๒.๒ ให้คณะอนุกรรมการด้านผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยในคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (เสาหลักที่ ๔ ตามแนวทางทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน) เป็นผู้รับผิดชอบหลัก พร้อมทั้งมีการติดตามกำกับ การรายงานความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคต่อศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ๑.๒.๓ รัฐบาลควรมีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติมให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อให้สามารถดำเนินการบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเย็นและกลางคืน เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีข้อจำกัดในด้านบุคลากรและงบประมาณในช่วงเวลาดังกล่าว ๑.๒.๔ ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนประสานงานกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อให้เข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลและตรวจจับหมวกนิรภัยที่ไม่ได้มาตรฐานในสถานประกอบการและในท้องตลาด รวมทั้งเร่งรัดและหามาตรการในการส่งเสริมมาตรฐานหมวกนิรภัยที่จะประกาศใช้ ให้มีกลไกที่เอื้อต่อการผลิตในราคาที่ถูก เช่น การใช้มาตรการด้านภาษี หรือการอุดหนุนผู้ประกอบการที่ผลิตหมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะหมวกนิรภัยสำหรับเด็ก ๑.๒.๕ ให้คณะอนุกรรมการด้านการบริหารจัดการข้อมูลและการติดตามประเมินผลในคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน พัฒนาระบบข้อมูลเพื่อติดตามสถานการณ์การบาดเจ็บศรีษะและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ (ที่ไม่สวมหมวกนิรภัย) พร้อมทั้งนำเสนอข้อมูลให้กับศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเป็นประจำทุก ๒ เดือน ๑.๒.๖ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัด โดยเฉพาะในสถานประกอบการ สถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมทั้งกำหนดให้มีการนำเสนอข้อมูลการดำเนินงานด้านการบังคับใช้กฎหมาย และข้อมูลการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านที่ประชุมจังหวัดทุกเดือน ๑.๒.๗ ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนขยายความร่วมมือกับภาคีภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะภาคธุรกิจ หน่วยงาน องค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการรณรงค์ประชาสัมภันธ์ในรูปแบบที่หลากหลาย โดยเฉพาะการรณรงค์ผ่านสื่อศิลปิน เพลง ภาพยนตร์ เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ เด็ก/เยาวชนเพิ่มมากขึ้น ๑.๒.๘ ให้กระทรวงคมนาคมวางแนวทางการดำเนินการเพื่อให้สภาพถนนและสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการขับขี่รถจักรยานยนต์ได้อย่างปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ การออกแบบจุดกลับรถที่ปลอดภัยสำหรับรถจักรยานยนต์ เช่น การทำทางลอดใต้สะพาน การทำสะพานลอยรถจักรยานยนต์ การหาแนวทางการเพิ่มช่องทาง/เลนรถจักรยานยนต์ในถนนที่กำลังออกแบบใหม่ หรือถนนที่มีปริมาณรถจักรยานยนต์สัญจรเป็นจำนวนมาก โดยควรมีการจัดทำมาตรฐานช่องทางรถจักรยานยนต์และจัดโครงการถ่ายทอดความรู้ให้กับหน่วยงานด้านงานทางและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อนำไปวางแผนให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ และการสนับสนุนให้กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนเข้าร่วมในการรณรงค์ส่งเสริมการใช้หมวกนิรภัยอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ๒. ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตและความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้ประชาชนเล็งเห็นถึงความปลอดภัยที่จะได้รับจากการสวมหมวกนิรภัยโดยให้มีการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องทุก ๆ ปี และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจังด้วย รวมทั้งเห็นควรทำการศึกษาเพื่อประเมินผล วิเคราะห์สาเหตุและเสนอแนะมาตรการที่รัดกุม เพื่อให้ทราบถึงประเด็นปัญหาที่สำคัญที่ทำให้การรณรงค์ไม่ได้ผลตามเจตนารมณ์ และเพื่อสามารถวางแนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบพร้อมทั้งตั้งเป้าหมายให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติอันจะทำให้การณรงค์นั้นมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการรณรงค์เรื่องการสวมหมวกนิรภัย ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30850 | การลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคไทยฯ | มท | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบบันทึกความเข้าใจ (MEMORANDUM OF UNDERSTANDING : MOU) ในการให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาผู้หนีภัยการสู้รบในพื้นที่พักพิงชั่วคราวบริเวณชายแดนไทย - พม่า ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (THE OFFICE OF THE UNITED NATIONS HIGH COMMISSIONER FOR REFUGEES : UNHCR) ในโครงการจัดทำทะเบียนผู้หนีภัยการสู้รบและการพิจารณาสถานะบุคคลสัญชาติพม่า ปี ๒๕๕๕ [MOU 2012/52281/1900/1 THAA/PF (1257000)] ที่กระทรวงมหาดไทยลงนามร่วมกับ UNHCR เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับสาระของบันทึกความเข้าใจฯ ที่กำหนดให้ใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการภายใต้กฎเกณฑ์ของคณะกรรมาธิการสหประชาชาติว่าด้วยกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศ (UNCITRAL) สำหรับการระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากบันทึกความเข้าใจฯ (ข้อ ๗.๐๕) ซึ่งหากเป็นกรณีที่มีความจำเป็นหรือเป็นข้อเรียกร้องของคู่สัญญาอีกฝ่ายที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ คณะรัฐมนตรีก็สามารถอนุมัติให้ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการดังกล่าวได้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....) และโดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การเสนอเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) กำหนดให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ถือปฏิบัติว่า เรื่องใดที่เสนอคณะรัฐมนตรี หากมีประเด็นที่อาจเกี่ยวข้องกับมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หน่วยงานเจ้าของเรื่องต้องระบุข้อมูล เหตุผล ข้อเท็จจริงในหนังสือเสนอเรื่องมาให้ชัดเจนด้วยว่า เป็นกรณีที่อยู่ในข่ายต้องดำเนินการเสนอขอความเห็นชอบของรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญฯ หรือไม่ เพราะเหตุใด เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป จึงเห็นควรที่กระทรวงมหาดไทยจะได้เสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตามมติดังกล่าว ก่อนลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
30851 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว สำหรับโครงการปรับปรุงถนนในนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย - ยุโรป (ASEM Summit) ครั้งที่ 9 | กค | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการปรับปรุงถนนในนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย - ยุโรป (ASEM Summit) ครั้งที่ ๙ ในวงเงิน ๑๙๐.๗๐ ล้านบาท ๒. ให้ สพพ. กู้เงินจากธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารเฉพาะกิจเพื่อนำไปให้ สปป.ลาว กู้ต่อในวงเงินรวม ๑๙๐.๗๐ ล้านบาท ๓. ให้ สพพ. ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว โดยมีเงื่อนไขทางการเงินและเงื่อนไขอื่น ๆ |
|||||||||||||||||||||||||||
30852 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนกำแพงเพชร 2 กับซอยวิภาวดีรังสิต 17 พ.ศ. .... | มท | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนกำแพงเพชร ๒ กับซอยวิภาวดีรังสิต ๑๗ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนกำแพงเพชร ๒ กับซอยวิภาวดีรังสิต ๑๗ ในท้องที่แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
30853 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราสำหรับคนต่างด้าวสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ซึ่งเข้ามาเพื่อทำงานในราชอาณาจักรตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจ้างแรงงาน และผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ พ.ศ. .... | มท | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราสำหรับคนต่างด้าวสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ซึ่งเข้ามาเพื่อทำงานในราชอาณาจักรตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจ้างแรงงาน และผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวใช้ได้ครั้งเดียวและการขออยู่ต่อเพื่อการทำงานเป็นการชั่วคราว ตามมาตรา ๑๒ (๑) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ดังนี้ ๑.๑ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติพม่า สัญชาติลาว และสัญชาติกัมพูชา ซึ่งเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรไทยตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจ้างแรงาน ให้จัดเก็บในอัตราครั้งละ ๕๐๐ บาท ๑.๒ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติพม่า สัญชาติลาว และสัญชาติกัมพูชา ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการส่งกลับ ซึ่งผ่านการพิสูจน์สัญชาติในราชอาณาจักรไทย หรือนอกราชอาณาจักรไทยที่กลับเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรไทย และมีหนังสือเดินทาง เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง หรือหนังสือรับรองสถานะบุคคลของคนต่างด้าว ให้จัดเก็บในอัตราครั้งละ ๕๐๐ บาท ๒. ให้กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๑๕ วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป และมีกำหนดเวลาไม่เกิน ๕ ปี |
|||||||||||||||||||||||||||
30854 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบ วิธีการ และค่าธรรมเนียมในการยื่นคำขอเกี่ยวกับการได้สัญชาติไทยการแปลงสัญชาติเป็นไทย และการกลับคืนสัญชาติไทย สำหรับคนต่างด้าวซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบ วิธีการ และค่าธรรมเนียมในการยื่นคำขอเกี่ยวกับการได้สัญชาติไทย การแปลงสัญชาติไทย และการกลับคืนสัญชาติไทยสำหรับคนต่างด้าวซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดแบบ วิธีการ และค่าธรรมเนียมในการยื่นคำขอเกี่ยวกับการได้สัญชาติไทย การแปลงสัญชาติไทย และการกลับคืนสัญชาติไทยสำหรับคนต่างด้าวซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา ๑๒/๑ แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. ๒๕๐๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
30855 | แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2555 | มท | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๕ เกี่ยวกับแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๕ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จังหวัด และอำเภอ ใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๕ ตามที่ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ โดยสาระสำคัญของแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนฯ มีดังนี้ ๑.๑ ชื่อในการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๕ ใช้ชื่อว่า “สงกรานต์ปลอดภัย ตายเป็นศูนย์” ๑.๒ ช่วงเวลาการดำเนินการ ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ รวม ๗ วัน ๑.๓ เป้าหมายการดำเนินการ ให้สามารถลดจำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บ ให้เหลือน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๔ ๑.๔ มาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ๖ มาตรการ ได้แก่ มาตรการด้านบริหารจัดการ มาตรการด้านการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการด้านสังคม มาตรการด้านวิศวกรรมจราจร มาตรการด้านการประชาสัมพันธ์ และมาตรการด้านบริการการแพทย์ฉุกเฉิน กู้ชีพ กู้ภัย ๑.๕ ช่วงเวลาดำเนินการ กำหนดเป็น ๒ ช่วง คือ ช่วงเตรียมความพร้อม ระหว่างวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ - ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ และช่วงปฏิบัติการเข้มข้น ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ ๒. ให้คณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเข้มงวด จริงจัง เพื่อเป็นการป้องปรามผู้กระทำผิดจากการเมาแล้วขับ และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบในเรื่องการให้บริการดูแลรักษาผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินของกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทอง กองทุนประกันสังคม และกองทุนสวัสดิการข้าราชการ ว่าผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุฉุกเฉินกรณีต่าง ๆ สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ทุกแห่ง ทั้งโรงพยาบาลของรัฐ เอกชน หรือโรงพยาบาลนอกระบบ โดยใช้เพียงบัตรประชาชนใบเดียว ไม่มีการถามสิทธิการรักษาของผู้ป่วย และไม่ต้องสำรองจ่ายล่วงหน้า ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
30856 | แต่งตั้งคณะกรรมการจัดระบบสถิติประเทศไทย 3 ด้าน เพิ่มเติม | ทก | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการจัดระบบสถิติประเทศไทย ๓ ด้าน (ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ และด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) เพิ่มเติม จำนวน ๒ ราย คือ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีอำนาจหน้าที่ตามเดิม ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ เมษายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
30857 | ร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการได้มาซึ่งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายประกันตน และคณะกรรมการการแพทย์ เพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการแต่งตั้งที่ปรึกษา คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการประกันสังคม ที่ปรึกษา และกรรมการการแพทย์ ๑.๒ แก้ไขเพิ่มเติมเรื่องการจัดสรรเงินกองทุนเพิ่มเติมเรื่องอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการจัดหาผลประโยชน์ของกองทุน แก้ไขระบบการเสนองบการเงิน และการจัดทำรายงานประมาณการรายรับและรายจ่ายของกองทุน ๑.๓ แก้ไขเพิ่มเติมการยื่นแบบรายการขึ้นทะเบียนนายจ้างและการยื่นแบบรายการขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน ๑.๔ แก้ไขเพิ่มเติมการจ่ายเงินสมทบของรัฐบาลเข้ากองทุนสำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ ๑.๕ แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแจ้งเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงในแบบรายการการนับระยะเวลานำส่งเงินสมทบ และการคำนวณเงินเพิ่มค้างชำระเงินสมทบ และเพิ่มเติมบทบัญญัติลดหย่อนการออกเงินสมทบในกรณีเกิดภัยพิบัติอย่างร้ายแรง ๑.๖ แก้ไขเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ทดแทนจากกองทุนของผู้ประกันตนหรือผู้มีสิทธิอื่น แก้ไขระยะเวลาการยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทน กำหนดขั้นตอนการขอรับประโยชน์ทดแทน แก้ไขวิธีการคำนวณค่าจ้างรายวันในการจ่ายเงินทดแทนการขาดรายได้ และยกเลิกบทบัญญัติที่มิให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีจงใจหรือยินยอมให้ผู้อื่นกระทำตนให้ประสบอันตราย หรือเจ็บป่วย หรือทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย ๑.๗ แก้ไขเพิ่มเติมสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ของผู้ประกันตน ๑.๘ แก้ไขเพิ่มเติมประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีคลอดบุตร หลักเกณฑ์และอัตราการได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ และเงินสงเคราะห์กรณีผู้ประกันตนถึงแก่ความตาย กำหนดให้ผู้ประกันตนซึ่งเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังทุพพลภาพมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีตาย และยกเลิกบทบัญญัติในเรื่องหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตร ๑.๙ แก้ไขเพิ่มเติมการจ่ายเงินชราภาพให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และเพิ่มเติมให้ผู้ประกันตนซึ่งไม่มีทายาทสามารถทำหนังสือระบุบุคคลผู้มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ ๑.๑๐ เพิ่มเติมเรื่องสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน และการขอขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม ๑.๑๑ แก้ไขบทกำหนดโทษกรณีไม่มาให้ถ้อยคำ และกำหนดมาตรการลงโทษทางอาญาแก่นายจ้างซึ่งไม่ยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่ยกเว้นไม่ใช้บังคับพระราชบัญญัติฯ บทบัญญัติเกี่ยวกับคณะกรรมการประกันสังคม คณะกรรมการการแพทย์ และบทบัญญัติเกี่ยวกับกองทุนประกันสังคม การสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๙ การจ่ายประโยชน์ทดแทนสำหรับคู่สมรสหรือบุตรของผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓ ประโยชน์ทดแทนกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีตาย กรณีชราภาพ และกรณีว่างงาน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๓. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านประกันสังคม โดยกำหนดรูปแบบการบริหารงานที่เป็นอิสระ มีความคล่องตัว และไม่พึ่งพางบประมาณแผ่นดิน เนื่องจากการให้บริการด้านประกันสังคมได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนประกันสังคมเพื่อใช้ดำเนินการอยู่แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30858 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2555 (ครั้งที่ 140) | พน | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ รับทราบ และอนุมัติหลักการตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ (ครั้งที่ ๑๔๐) เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ ๑.๑.๑ แนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ๑.๑.๑.๑ เห็นชอบแนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยการขยายระยะเวลาการชำระคืนหนี้วงเงินกู้ยืมเดิม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท จาก ๑ ปี เป็นระยะเวลา ๓ ปี และกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน และ/หรือออกตราสารหนี้ เพิ่มอีกในวงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ระยะเวลาการชำระหนี้ภายใน ๓ ปี ซึ่งจะทำให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานมีวงเงินกู้ยืมทั้งสิ้นไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้คืนได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม หากกรณีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีสภาพคล่องคงเหลือไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ และวงเงินสินเชื่อเป็นวงเงินที่สถาบันการเงินรับรองการเบิกเงินได้อย่างแน่นอน (Committed Line) ๑.๑.๑.๒ หากรัฐบาลมีการกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายใด ๆ ที่อาจส่งผลกระทบถึงฐานะทางการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และ/หรือ ความสามารถในการชำระหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ควรขอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติมีการประสานงานกับรัฐบาลเพื่อให้มีมาตรการในการให้ความคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงานให้ได้รับชำระหนี้อย่างครบถ้วนตามกำหนดเวลา ๑.๑.๒ อัตราค่าไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนน้ำงึม ๑ และโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนเซเสด ๑.๑.๒.๑ เห็นชอบอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนน้ำงึม ๑ โดยให้มีผลบังคับใช้ตามเงื่อนไขในสัญญาฯ คือ ในช่วง ๔ ปีหลังของสัญญาปัจจุบัน (วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ - วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗) จากเดิมที่คิดในช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้ามาก (Peak) อยู่ที่ ๑.๖๐ บาท/หน่วย เป็น ๑.๗๔ บาท/หน่วย และช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้าไม่มาก (Off Peak) จากเดิมอยู่ที่ ๑.๒๐ บาท/หน่วย เป็น ๑.๓๔ บาท/หน่วย ๑.๑.๒.๓ เห็นชอบอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการเขื่อนเซเสดในอัตราค่าไฟฟ้าเดียวกับสัญญาฯ โครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนน้ำงึม ๑ โดยให้มีผลบังคับใช้นับจากเดือนถัดไปของวันที่ลงนามสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนเซเสด ๑.๑.๒.๓ เห็นชอบให้ใช้อัตราค่าไฟฟ้าขายส่งของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยที่ขายให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) แทนราคาขายให้ประเทศเพื่อนบ้านตามสัญญาฯ โครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนน้ำงึม ๑ และสัญญาฯ โครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนเซเสดปัจจุบัน สำหรับปริมาณพลังงานไฟฟ้าส่วนเกินที่รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาวซื้อมากกว่าขายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยในแต่ละรอบปีสัญญาโดยให้มีผลบังคับใช้ในปีสัญญา ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๑.๑.๒.๔ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยปรับปรุงแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนน้ำงึม ๑ และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนเซเสดในส่วนที่เกี่ยวกับอัตราค่าไฟฟ้าตามที่อนุมัติและเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยลงนามสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ๑.๒ รับทราบ ๑.๒.๑ โครงการน้ำงึม ๓ ขอปรับกำหนดเวลาใหม่ (Milestones) ที่เกี่ยวข้องกับกำหนดการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (Scheduled Commercial Operation Date : SCOD) โดยขอให้เห็นชอบการขยายเวลาการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ของโครงการน้ำงึม ๓ ซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้ง ๔๔๐ เมกกะวัตต์ ออกไปจากเดิมเดือนมกราคม ๒๕๖๐ เป็นหลังเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เนื่องจากส่วนที่ได้มีการเตรียมงานไว้ล่วงหน้ารวมถึงถนนเข้าสู่โครงการได้รับความเสียหายจากลมพายุไหหม่าในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ ทำให้ต้องมีการเตรียมงานดังกล่าวส่วนใหญ่อีกครั้ง จึงต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้น โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแก้ไขร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในส่วนที่เกี่ยวข้องก่อนลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าต่อไป ๑.๒.๒ การบริหารจัดการเพื่อการประหยัดพลังงานในอาคารควบคุมภาครัฐ ๑.๒.๒.๑ เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงพลังงานดำเนินโครงการบริหารจัดการเพื่อการประหยัดพลังงานในอาคารควบคุมภาครัฐ ในลักษณะธุรกิจจัดการพลังงาน (Energy Service Company : ESCO) ซึ่งให้บริการด้านการอนุรักษ์พลังงานแบบครบวงจร ตั้งแต่การสำรวจ ตรวจสอบและวิเคราะห์เพื่อกำหนดมาตรการอนุรักษ์พลังงานและการลงทุน รวมทั้งออกแบบ การหาแหล่งเงินทุน การควบคุมการติดตั้ง และการติดตามประเมินผล ตามที่กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานเสนอ โดยให้ดำเนินการโครงการนำร่อง ๓ แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๑.๒.๒.๒ ให้กระทรวงพลังงานประสานกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์และแนวทางการเบิกค่าใช้จ่ายให้อาคารควบคุมภาครัฐสามารถนำค่าไฟฟ้าที่ลดลงจากการประหยัดพลังงานมาเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนและบริหารจัดการได้ และให้ติดตามผลการดำเนินงานการจัดการใช้พลังงานในอาคารควบคุมภาครัฐและรายงานให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเป็นประจำทุก ๓ เดือน เพื่อสรุปเสนอ กพช. เพื่อทราบต่อไป ๑.๓ อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน ๓ ฉบับ (๓ ผลิตภัณฑ์) ได้แก่ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลอดฟลูออเรสเซนต์ พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลอดฟลูออเรสเซนต์ขั้วคู่ที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดโคมไฟฟ้าอนุรักษ์พลังงานสำหรับหลอดฟลูออเรสเซนต์ขั้วคู่ พ.ศ. .... โดยให้กระทรวงพลังงานนำร่างกฎกระทรวงฯ ทั้ง ๓ ฉบับ ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อลดความผันผวนของราคาพลังงานในระยะต่อไป ต้องให้ความสำคัญกับภาระหนี้ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะเกิดขึ้นจากการอุดหนุนราคาพลังงานชนิดต่าง ๆ และพิจารณาให้ความสำคัญกับการกำหนดโครงสร้างราคาพลังงานที่จะช่วยให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของประเทศในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30859 | ร่างพระราชบัญญัติองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พ.ศ. .... | กห | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้จัดตั้งองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เรียกโดยย่อว่า “อผศ.” มีฐานะเป็นนิติบุคคล และเป็นองค์การของรัฐเพื่อการกุศล แต่มิใช่รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และให้ อผศ. มีสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานคร และอาจตั้งสำนักงานสาขาหรือสำนักงานตัวแทนขึ้น ณ ที่ใดก็ได้ ๒. กำหนดให้ อผศ. มีรายได้จากเงินอุดหนุนจากงบเงินอุดหนุนของกระทรวงกลาโหม เงินที่รัฐบาลกำหนดให้เป็นครั้งคราว เงินผลประโยชน์และค่าธรรมเนียม อผศ. ตลอดจนเงินและทรัพย์สินอย่างอื่นซึ่ง อผศ. ได้รับบริจาค ๓. กำหนดองค์ประกอบของสภาทหารผ่านศึก วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ และการประชุม ๔. กำหนดให้รัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอนผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการ โดยความเห็นชอบของสภากลาโหม และให้ผู้อำนวยการเป็นผู้บริหารกิจการของ อผศ. ตลอดจนมีอำนาจตามที่กำหนด ๕. กำหนดให้มีตราเครื่องหมายของ อผศ. โดย อผศ. อาจจัดทำเหรียญและเข็มของ อผศ. เพื่อเป็นเครื่องหมายประดับสำหรับบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือมีอุปการคุณในกิจการของ อผศ. ๖. กำหนดบทลงโทษ สำหรับผู้ใช้ชื่อหรือถ้อยคำในประการที่น่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นกิจการของ อผศ. หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการ ผู้ใช้ตราเครื่องหมายของ อผศ. โดยไม่มีสิทธิใช้หรือทำตราเครื่องหมายโดยมิได้รับอนุญาต ทำปลอมหรือเลียนแบบคล้ายคลึงตราหรือรอยตราเครื่องหมาย และผู้ใช้เหรียญหรือเข็มอันเป็นเครื่องหมายประดับของ อผศ. โดยไม่มีสิทธิให้รับโทษตามที่กำหนด
|
|||||||||||||||||||||||||||
30860 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ฉบับที่ 2 (พ.ศ. ....) | ทส | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ....) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเลิกความในข้อ ๓ (๒) แห่งประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “(๒) พื้นที่ภายในแนวเขตควบคุมอาคาร ที่อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๓ ตามขอบเขตพื้นที่ที่เคยใช้กฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๔๖” ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....