ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1545 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 30881 - 30900 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30881 | การกำหนดค่าตอบแทนของกรรมการบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัทในเครือของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดอัตราเบี้ยประชุมกรรมการของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัทในเครือของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยกำหนดให้บริษัทฯ อยู่ในรัฐวิสาหกิจกลุ่มที่ ๓ ได้รับเบี้ยประชุมกรรมการในอัตราไม่เกินคนละ ๖,๐๐๐ บาทต่อเดือน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง การปรับปรุงอัตราเบี้ยกรรมการรัฐวิสาหกิจ) ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||
30882 | ขอความเห็นชอบการกู้เงินในประเทศเพื่อเป็นเงินลงทุนสำหรับงานที่ทำเป็นโครงการ จำนวน 19 โครงการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กู้เงินในประเทศเพื่อลงทุนในโครงการ จำนวน ๑๙ โครงการ ของ กฟภ. ตามกรอบวงเงินกู้ภายใต้แผนบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๑๔,๖๙๕.๕๐๖ ล้านบาท ซึ่งไม่เกินกรอบวงเงินกู้ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินกู้ โดยให้ กฟภ. ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ที่กำหนดให้การกู้เงินในประเทศดังกล่าวในแต่ละปี กฟภ. จะต้องเสนอความต้องการกู้เงินให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินต่อคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเพื่อบรรจุโครงการเงินกู้ไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||
30883 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2555 [เรื่อง โครงการความร่วมมือเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์อิระวดี - แม่โขง - เจ้าพระยา (ACMECS) ประจำปี 2555] | นร | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ [เรื่อง โครงการความร่วมมือเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์อิระวดี - แม่โขง - เจ้าพระยา (ACMECS) ประจำปี ๒๕๕๕] “เห็นชอบและอนุมัติทั้ง ๕ ข้อ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ” เป็นว่า “เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ยกเว้นการจำกัดผู้มีสิทธิ์นำเข้าและรับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองภายในประเทศ ให้กระทรวงพาณิชย์นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพืชน้ำมันและน้ำมันพืชพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการด้วย”
|
||||||||||||||||||||||||
30884 | การดำเนินการโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต | กค | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามผลการประชุมหารือของรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (นายนิรุตติ คุณวัฒน์) ในการดำเนินการโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยที่ประชุมได้มีข้อยุติหลักการของโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ ดังนี้ ๑.๑ ระยะเวลาดำเนินการ เริ่มตั้งแต่ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๑.๒ รูปแบบการดำเนินการ ๑.๒.๑ โครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ ครอบคลุมเฉพาะนักเรียน นักศึกษาในระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่าเฉพาะหลักสูตร/สาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลักและมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคน โดยผู้เข้าร่วมโครงการฯ เป็นนักเรียน/นักศึกษารายใหม่ ที่มิใช่ผู้กู้ยืมรายเก่าของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ยกเว้นกรณีผู้กู้ยืมรายเก่าของ กยศ. ที่เปลี่ยนระดับจาก ม.๖ หรือเทียบเท่า เป็นระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่าในปีการศึกษา ๒๕๕๕ โดยผู้กู้ยืมที่เปลี่ยนระดับนี้ อาจเลือกที่จะกู้ยืม กยศ. หรือเข้าร่วมโครงการฯ ก็ได้ ๑.๒.๒ สำหรับในปีการศึกษา ๒๕๕๕ การกำหนดหลักสูตร/สาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลักและมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคนในเบื้องต้น ให้เป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการกองทุนเพื่อการศึกษาตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๙ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไปพลางก่อน ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการฯ พิจารณาปรับปรุงให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้นก็ได้ โดยมีรายละเอียดของหลักสูตร/สาขาวิชาไม่ต่ำกว่าเดิม ๑.๒.๓ กรณีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ที่มีฐานะยากจนมีสิทธิได้รับค่าครองชีพเพิ่มเติมจากค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมการศึกษาที่สถานศึกษาเรียกเก็บตามกฎหมาย โดยใช้อัตราเดียวกับของ กยศ. ๑.๒.๔ สำหรับรายละเอียดการดำเนินการโครงการฯ อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้ใช้แนวทางเช่นเดียวกับ กยศ. ยกเว้นกรณีหลักเกณฑ์การชำระคืนเงินกู้ของโครงการฯ ที่ควรต้องให้เหมาะสมสอดคล้องกับหลักการของโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ ที่มุ่งเน้นในหลักสูตร/สาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลักฯ ดังนั้น การชำระคืนเงินกู้จะยึดโยงกับความสามารถในการหารายได้ในอนาคตเป็นสำคัญก่อนเริ่มให้มีการชำระคืนเงินกู้ยืมของโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ ๑.๒.๕ ให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อการศึกษาตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ พิจารณาจัดเตรียมรายละเอียดรูปแบบการดำเนินการและโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ โดยให้ทันต่อการเปิดภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๕ เช่น คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ การปรับปรุงรายละเอียดสาขา/วุฒิขาดแคลนเดิมจากที่ใช้ในปีการศึกษา ๒๕๕๑ ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน กรอบวงเงินและการจัดสรร เอกสารหลักฐานต่าง ๆ การประชาสัมพันธ์เสริมสร้างความเข้าใจ และการบริหารงานด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ๑.๒.๖ เพื่อให้การดำเนินการให้กู้ยืมเพื่อการศึกษามีการบูรณาการครอบคลุมการดำเนินงานของโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ และ กยศ. ในระยะต่อไป เห็นควรให้คณะกรรมการ กยศ. และคณะกรรมการกองทุนเพื่อการศึกษาเร่งจัดทำร่างกฎหมายรองรับการดำเนินการโครงการฯ ในระยะยาว โดยให้ควบรวมกฎหมาย กยศ. เป็นส่วนหนึ่ง และให้มีผลบังคับใช้ภายในปีการศึกษา ๒๕๕๖ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาหาแนวทางการปล่อยสินเชื่อและการกำกับดูแลการชำระเงินคืน โดยอาจเปิดโอกาสให้ธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ฯลฯ เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการนี้ให้มากขึ้น ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับนิสิตหรือนักศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการนี้ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30885 | การกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การเสริมสร้างภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศ | นร | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๐๐/๒๕๕๕ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การเสริมสร้างภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศ ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๑ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๒ และกรรมการอื่นอีก ๑๔ คน โดยมีปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การเสริมสร้างภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศไทยเพื่อการฟื้นฟูประเทศ เสริมสร้างเกียรติภูมิของชาติ สร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน นักท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและต่างประเทศเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งกำหนดกลไกในการปฏิบัติตามนโยบายและยุทธศาสตร์อย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนประสานงาน ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามนโยบายและยุทธศาสตร์การเสริมสร้างภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศ ๒. ให้เพิ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าวด้วย โดยให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับไปดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมในคำสั่งต่อไป ๓. อนุมัติหลักการให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์และรณรงค์เสริมสร้างภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศไทยระยะที่ ๒ เพื่อยกระดับการรับรู้และตระหนักถึงภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศไทย (Brand Preference) ไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๔๑,๘๐๙,๒๘๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
30886 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอุซเบกิสถานว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและกีฬา | กต | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา) เป็นผู้ลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอุซเบกิสถานว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและกีฬา (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Uzbekistan on Cooperation in the Fields of Culture and Sports) โดยร่างความตกลงฯ มีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมความร่วมมือในสาขาวัฒนธรรม ศิลปะ การศึกษาและวิจัย ภาพยนตร์ และการกีฬา ตลอดจนการส่งเสริมแลกเปลี่ยนกิจกรรมและการเยือนของบุคลากรด้านวัฒนธรรมและกีฬา และการจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมระหว่างกัน และจะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคีระหว่างกัน ซึ่งจะส่งผลให้ความสัมพันธ์ในระดับประชาชนต่อประชาชนของทั้งสองประเทศแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หากรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา) ไม่สามารถลงนามได้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ลงนามแทน ๒. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
30887 | โครงการแก้ไขปัญหาสับปะรดปี 2555 | กษ | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรดปี ๒๕๕๕ โดยการรับซื้อสับปะรดสดส่วนเกินในจังหวัดแหล่งผลิต จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ ตัน เพื่อนำออกนอกระบบปกติ แล้วนำไปทำอาหารสัตว์ ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ และแปรรูปเป็นสับปะรดกระป๋อง กำหนดระยะเวลาดำเนินการ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ ระยะเวลาโครงการ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ - ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) ประธานกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติเสนอ และอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ในฐานะประธานกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรให้ความเห็น โดยให้ดำเนินการเฉพาะในส่วนการรับซื้อสับปะรดสดเพื่อการแปรรูป ดังต่อไปนี้
๑. ค่าใช้จ่ายเป็นค่ารับซื้อผลผลิตสับปะรดสดส่วนเกินในราคาสับปะรดคละ ณ จุดรับซื้อกิโลกรัมละ ๔ บาท ในวงเงินไม่เกิน ๘๐๐ ล้านบาท ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากเงินกู้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ต่อไป โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าวให้เป็นไปในทำนองเดียวกันกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโครงการอื่น ๆ ๒. ค่าใช้จ่ายเป็นค่าจ้างผลิตสับปะรดสดที่รับซื้อตามข้อ ๑ เป็นสับปะรดกระป๋องเพื่อระบายจำหน่ายต่อไป ประกอบด้วย ค่าจัดจ้างแปรรูป ค่าเช่าคลัง ค่าขนส่งในการระบายสินค้า ค่าประกันภัยสินค้า รวมทั้งการตรวจสอบคุณภาพของสินค้าให้ได้มาตรฐาน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการชี้แจงโครงการฯ และค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโครงการฯ ในวงเงินรวมไม่เกิน ๖๗๔ ล้านบาท และให้ใช้จ่ายโดยถัวจ่ายกันได้และเป็นเงินจ่ายขาดเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามวงเงินที่ใช้จ่ายจริง โดยให้กระทรวงพาณิชย์ โดยองค์การคลังสินค้า (อคส.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการโครงการฯ ต่อไป ทั้งนี้ ให้สอดคล้องกับปริมาณสับปะรดและระยะเวลาดำเนินการจริงที่ปรับลดลงเป็นตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕) และระยะเวลาโครงการฯ เป็นตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ - ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีมาตรการระยะยาวในการปรับโครงสร้างการผลิตและการค้าสับปะรด พร้อมไปกับการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าสับปะรดไทย เพื่อสร้างความมั่นคงแก่เกษตรกรอย่างยั่งยืนและลดความจำเป็นของโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรดในอนาคต และควรให้ความสำคัญกับการกระจายการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยอย่างทั่วถึง เนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากราคาสับปะรดตกต่ำ และไม่มีพันธะสัญญากับโรงงานแปรรูป รวมทั้งควรมีการศึกษาแนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์สับปะรดต่าง ๆ ของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อใช้ในการวางแผนการผลิตและการพัฒนาอุตสาหกรรมสับปะรด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบและเร่งดำเนินการจำหน่ายสับปะรดกระป๋องที่ผลิตได้จากโครงการฯ โดยให้ประมาณการรายได้จากการจำหน่ายสินค้าเสนอคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและคณะรัฐมนตรีทราบตามลำดับ และให้นำรายได้จากการจำหน่ายสินค้าดังกล่าวส่งคืนคลังเป็นรายได้ของแผ่นดินต่อไป ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปดำเนินการเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่กำหนดกรอบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวทางปฏิบัติในการดำเนินการรับซื้อ ตลอดจนการจัดทำแผนการใช้เงิน การเบิกจ่ายเงิน รวมทั้งจัดทำแผนการระบายจำหน่ายสับปะรดกระป๋อง เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยต่อไป และรายงานความคืบหน้าในการดำเนินโครงการฯ ให้คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและคณะรัฐมนตรีทราบทุก ๆ เดือน จนสิ้นสุดโครงการฯ |
||||||||||||||||||||||||
30888 | การขอชดเชยรายได้ที่สูญเสียจากดำเนินการตามมาตรการเร่งด่วนเพื่อฟื้นฟูวิกฤตการท่องเที่ยวของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) | คค | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ การชดเชยรายได้ที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) สูญเสียจากการดำเนินการตามมาตรการเร่งด่วนเพื่อฟื้นฟูวิกฤตการท่องเที่ยวเนื่องจากเป็นการชดเชยรายได้ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและมติคณะรัฐมนตรีเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม โดยปรับลดวงเงินชดเชยตามที่ ทอท. เสนอมาจำนวน ๑,๕๕๐.๓๓๗ ล้านบาท เหลือจำนวน ๑,๕๑๑.๖๖๑ ล้านบาท ๑.๒ ให้มีการเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๐๐ ล้านบาท และให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อชดเชยรายได้ในส่วนที่เหลือจำนวน ๑,๒๑๑.๖๖๑ ล้านบาท ตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ ให้ ทอท. เร่งดำเนินการเพิ่มรายได้ที่ไม่ได้มาจากการบินให้มีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ ๖๐ ของรายได้รวม เพื่อยกระดับความสามารถในการประกอบการให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและรองรับสถานการณ์ที่รายได้มาจากการบินลดต่ำลง ๑.๔ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เกี่ยวกับการประเมินผลมาตรการการชดเชยรายได้จากเงินงบประมาณมาประกอบการพิจารณาดำเนินมาตรการชดเชยอื่น ๆ ในครั้งต่อไป ๒. สำหรับวงเงินและการจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้แก่ ทอท. ให้กระทรวงคมนาคมรับไปตกลงรายละเอียดกับ ทอท. อีกครั้งหนึ่ง ก่อนดำเนินการต่อไป โดยหากจำเป็นต้องขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง หรือขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
30889 | ขอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบัน (นักบริหารระดับสูง) สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ (กระทรวงยุติธรรม) | ยธ | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ซึ่งดำรงตำแหน่งติดต่อกันครบ ๔ ปี ในวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๕ ออกไปอีก ๑ ปี (ครั้งที่ ๑) ตั้งแต่วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
30890 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำนวน ๓ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. นางอัมพร นิติสิริ ๒. นายสุรชัย ธารสิทธิ์พงษ์ ๓. นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์
|
||||||||||||||||||||||||
30891 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาด | มท | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายพงศ์นิตย์ ศิธราชู และนายอนันต์ สิริแสงทักษิณ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาด แทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
30892 | รายงานผลการระบายน้ำของเขื่อนเก็บน้ำขนาดใหญ่ ณ วันที่ 30 เมษายน 2555 | กษ | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการระบายน้ำของเขื่อนเก็บน้ำขนาดใหญ่ ณ วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. เขื่อนภูมิพล ปริมาตรน้ำในอ่าง ๖,๘๕๔ ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ ๕๑ โดยมีปริมาณการระบายน้ำสะสมตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ จำนวน ๕,๙๑๔ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒. เขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาตรน้ำในอ่าง ๔,๙๗๐ ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ ๕๒ โดยมีปริมาณการระบายน้ำสะสมตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ จำนวน ๔,๒๑๖ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล มีปริมาตรน้ำในอ่าง ๑๓๖ ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ ๕๑ โดยมีปริมาณการระบายน้ำสะสมตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑๔๘ ล้านลูกบาศก์เมตร ๔. เขื่อนแม่กวงอุดมธารา มีปริมาตรน้ำในอ่าง ๑๑๕ ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ ๔๔ โดยมีปริมาณการระบายน้ำสะสมตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑๕๒ ล้านลูกบาศก์เมตร ๕. เขื่อนกิ่วลม มีปริมาตรน้ำในอ่าง ๖๔ ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ ๖๐ โดยมีปริมาณการระบายน้ำสะสมตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑๙๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ๖. เขื่อนกิ่วคอหมา มีปริมาตรน้ำในอ่าง ๙๔ ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ ๕๕ โดยมีปริมาณการระบายน้ำสะสมตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ จำนวน ๔๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๗. เขื่อนแควน้อย มีปริมาตรน้ำในอ่าง ๒๖๐ ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ ๒๘ โดยมีปริมาณการระบายน้ำสะสมตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ จำนวน ๖๒๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๘. เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาตรน้ำในอ่าง ๒๐๖ ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ ๒๖ โดยมีปริมาณการระบายน้ำสะสมตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ จำนวน ๕๔๕ ล้านลูกบาศก์เมตร
|
||||||||||||||||||||||||
30893 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า | พณ | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งพลอากาศเอก ณรงค์ศักดิ์ สังขพงศ์ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า เนื่องจากเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการและบริหารองค์กร และเป็นผู้มีรายชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อตามประกาศกระทรวงการคลัง เพื่อทดแทนตำแหน่งของกรรมการเดิมที่ลาออก ซึ่งเป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การคลังสินค้า พ.ศ. ๒๔๘๙ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
30894 | การแก้ไขปัญหาหมอกควันและภัยแล้ง | นร | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ปัญหาเกี่ยวกับหมอกควันแม้ปัจจุบันจะคลี่คลายไปแล้ว แต่ก็อาจเกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต และในปัจจุบันได้เกิดภัยแล้งในหลายพื้นที่ จึงมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาหมอกควันและภัยแล้ง ดังนี้
๑. ปัญหาหมอกควัน มอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปดำเนินการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนการดำเนินงานเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันที่จะเกิดขึ้นในฤดูกาลหน้า ทั้งนี้ เพื่อให้ปัญหาดังกล่าวมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบในระยะยาว ๒. ปัญหาภัยแล้ง มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับไปเร่งรัดติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นโดยด่วน โดยให้พิจารณาแนวทางการจัดทำท่อส่งน้ำไปยังพื้นที่ประสบภัยแล้งเพิ่มเติมนอกเหนือจากการนำน้ำไปแจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัยแล้งด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
30895 | การแก้ไขปัญหาสินค้าและพลังงานราคาแพง | นร | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ปัจจุบันค่าครองชีพของประชาชนมีแนวโน้มสูงขึ้นอันเนื่องจากราคาสินค้าและพลังงานเชื้อเพลิงมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการควบคุมดูแลราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคและพลังงานเชื้อเพลิงที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน โดยให้พิจารณาถึงต้นทุนการผลิตสินค้าและพลังงานเชื้อเพลิงตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำให้เหมาะสม และประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวให้ประชาชนทราบโดยทั่วกันด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
30896 | การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อบริหารจัดการการระบายน้ำ | นร | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้การบริหารจัดการการระบายน้ำของเขื่อนและแหล่งน้ำต่าง ๆ ในภาพรวมของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสถานการณ์และความต้องการใช้น้ำทั้งเพื่อการเกษตรและเพื่อการอุปโภคบริโภคของประชาชน จึงให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยรับไปดำเนินการจัดตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นคณะหนึ่งเพื่อทำหน้าที่บูรณาการการบริหารจัดการการระบายน้ำทั้งระบบ โดยให้นายรอยล จิตรดอน เป็นประธานคณะอนุกรรมการฯ และให้คณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าวรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกสัปดาห์ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
30897 | การแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ | นร | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า จากการที่ได้เดินทางไปตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาชายแดนตามนโยบายของรัฐบาลที่น้อมนำกระแสพระราชดำรัส “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ไปดำเนินการ และได้รับทราบถึงปัญหาสำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาที่ดินทำกิน และปัญหายาเสพติด เป็นต้น จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา) เป็นประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ เพื่อกำกับ ติดตามให้การดำเนินงานแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเน้นให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกัน ทั้งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามแผนงานความมั่นคงที่แถลงไว้ในนโยบายรัฐบาล รวมทั้งให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา) ประสานกับสำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการจัด workshop เพื่อทบทวนการขอจัดสรรงบประมาณจากส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และกำหนดแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) บูรณาการการดำเนินงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้นำแนวทางในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านมาเทียบเคียงประกอบการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ด้วย ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประสานกับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยเพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ที่มีปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ช่วยดูแลส่งเสริมการประกอบอาชีพของประชาชนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ด้วย ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประสานกับกระทรวงยุติธรรมเร่งรัดการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ๕. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ในฐานะประธานกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เร่งรัดติดตามให้การช่วยเหลือ เยียวยา ผู้ประสบภัยในพื้นที่ชายแดนภาคใต้อย่างทั่วถึง รวมทั้งสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจแนวทางการปฏิบัติงานของรัฐบาลด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
30898 | สรุปรายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | นร | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบสรุปผลการประเมินการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ในภาพรวม และแนวทางการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ตามมติ ก.พ.ร. ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการประเมินในภาพรวมหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๑๑ แห่ง ตามกรอบการประเมิน ๔ มิติ โดยมีหน่วยงานของรัฐฯ ๓ แห่ง ยังมิได้รายงาน ได้แก่ สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ๑.๑.๑ ด้านผลสัมฤทธิ์ตามพันธกิจ หน่วยงานของรัฐฯ มีผลงานบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์การจัดตั้ง และพันธกิจที่ได้รับมอบหมาย คะแนนรวมผลการประเมินอยู่ในระดับค่อนข้างสูงกว่าเป้าหมายขึ้นไป (คะแนน ๓.๖๑๐๑ -๔.๗๓๕๐) ๑.๑.๒ ด้านผู้มีส่วนได้เสีย การตอบสนองต่อความคาดหวังและความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียหลัก หน่วยงานของรัฐฯ มีการสำรวจความพึงพอใจของผู้รับบริการ การตอบสนองต่อนโยบาย/มติ/ข้อแนะนำ/ข้อสังเกต และการนำผลงานไปใช้ประโยชน์ คะแนนที่ได้รับค่อนข้างสูงกว่าเป้าหมายขึ้นไป (คะแนน ๓.๕๒๒๘ - ๕.๐๐๐๐) ๑.๑.๓ ด้านประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าของการใช้งบประมาณและทรัพยากรทางการเงินให้เกิดผลผลิตและผลลัพธ์สูงสุด คะแนนที่ได้รับค่อนข้างสูงกว่าเป้าหมายขึ้นไป (คะแนน ๓.๕๔๖๐ - ๕.๐๐๐๐) ๑.๑.๔ ด้านการกำกับดูแลและพัฒนาองค์กร ผลการประเมินด้านการกำกับดูแลและพัฒนาองค์กร และการมีระบบบริหารจัดการที่ได้มาตรฐานสากล คะแนนที่ได้ค่อนข้างสูงกว่าเป้าหมายขึ้นไป (คะแนน ๓.๑๐๙๖ - ๔.๘๘๘๙) ๑.๒ รูปแบบการประเมินผล ๑.๒.๑ กลุ่มที่ ๑ หน่วยงานของรัฐฯ ที่อยู่ในระบบการประเมินผลทุนหมุนเวียนโดยกรมบัญชีกลาง ให้ใช้ระบบการประเมินผลทุนหมุนเวียนเป็นระบบประเมินผลตามนัยของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ ๑.๒.๒ กลุ่มที่ ๒ หน่วยงานของรัฐฯ ซึ่งมีระบบการประเมินผลของตนเอง ให้นำกรอบการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ ไปปฏิบัติให้ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้ง ๔ มิติ ๑.๓ การเชื่อมโยงผลการประเมินกับการจัดสรรงบประมาณ ให้สำนักงบประมาณพิจารณานำผลการประเมินการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐฯ ประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปี ๑.๔ การรายงานผลในภาพรวมต่อคณะรัฐมนตรี ให้หน่วยงานของรัฐฯ รายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ไปยังสำนักงาน ก.พ.ร. ภายในเดือนมีนาคมของปีงบประมาณถัดไป และให้ ก.พ.ร. ประมวลรายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐฯ ในภาพรวมเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานกรมบัญชีกลาง และสำนักงบประมาณ เพื่อร่วมกันกำหนดกรอบแนวทางการเชื่อมโยงผลการประเมินการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐฯ กับการจัดสรรงบประมาณเพื่อให้การปฏิบัติภารกิจของภาครัฐมีการใช้ทรัพยากรของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าต่อการลงทุน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30899 | การค้าระหว่างประเทศของไทย เดือนกุมภาพันธ์ 2555 | พณ | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การส่งออกเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ มีมูลค่า ๑๙,๐๓๘.๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๙๑ เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมา คิดในรูปเงินบาท มีมูลค่า ๕๙๗,๑๔๕.๖ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๒๑ สำหรับการนำเข้า มีมูลค่า ๑๘,๕๐๙.๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๒๕ เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนในรูปเงินบาทมีมูลค่า ๕๘๗,๔๔๕.๒๕ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๑.๗๖ และเมื่อเทียบกับเดือนมกราคมที่ผ่านมา ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๙.๗๖ ๒. ดุลการค้า เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ไทยได้ดุลการค้ามูลค่า ๕๒๙.๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดในรูปเงินบาท ได้ดุลการค้ามีมูลค่า ๙,๗๐๐.๓ ล้านบาท ๓. การส่งออกรายสินค้า เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นโดยรวมร้อยละ ๔.๘ สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง สินค้าอาหาร [ไก่ฯ อาหารทะเลแช่แข็ง (ไม่รวมกุ้ง)] และน้ำตาล สินค้าส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าว และยางพารา สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญ ส่งออกโดยรวมลดลงร้อยละ ๖.๑ สินค้าที่ส่งออกลดลง ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ สิ่งพิมพ์ เครื่องเดินทางและเครื่องหนัง เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน สินค้าส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ อัญมณี (ไม่รวมทองคำ) เครื่องสำอาง อาหารสัตว์เลี้ยง เครื่องกีฬา และเครื่องเล่นเกมส์ ผลิตภัณฑ์ยาง ยานยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก ๔. การส่งออกเป็นรายตลาด เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตลาดหลัก ส่งออกลดลงร้อยละ ๕.๓ ได้แก่ สหภาพยุโรปสมาชิกเดิม ๑๕ ประเทศ และญี่ปุ่น ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔ ตลาดศักยภาพสูง ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๖ ได้แก่ อาเซียน (อินโดจีน และพม่า) อาเซียน ๕ อินเดีย จีน และเกาหลีใต้ ตลาดที่ลดลง ได้แก่ ฮ่องกง และไต้หวัน ตลาดศักยภาพระดับรอง ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๖ เป็นการเพิ่มขึ้นของตลาดลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกา และแคนาดา โดยตลาดที่ลดลง ได้แก่ รัสเซีย และ CIS สหภาพยุโรปสมาชิกใหม่ ๑๒ ประเทศ และทวีปออสเตรเลีย สำหรับตลาดอื่น ๆ ส่งออกลดลงร้อยละ ๓๔.๔ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ ๕. การนำเข้ารายสินค้า เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สินค้าเชื้อเพลิง นำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๐๓ สินค้าทุนนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๘๖ ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าเพื่อทดแทนเครื่องจักรเก่าที่ได้รับความเสียหายจากวิกฤตอุทกภัย สินค้าที่นำเข้าลดลง ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป นำเข้าลดลงร้อยละ ๕.๖๘ ส่วนสินค้าสำคัญที่ปรับลดลง ได้แก่ ทองคำ และแผงวงจรไฟฟ้า สำหรับสินค้าที่นำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ สินค้าอุปโภคบริโภค นำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๕.๓๖ สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง นำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕.๒๔ รวมทั้งอาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่นๆ นำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๘๒.๕๗ ๖. การค้า/การใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรจากความตกลง FTA (๘ ฉบับ คือ อาฟต้า (AFTA) ญี่ปุ่น อินเดีย จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ และเปรู) เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ การส่งออกไปประเทศคู่ค้า FTA มีมูลค่ารวม ๑๐,๕๘๖.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ ๘.๔ และเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมที่ผ่านมา ร้อยละ ๑๘.๓๕ เป็นการใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรภายใต้ FTA มูลค่า ๓,๓๕๓.๕๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๐.๖๑ คิดเป็นสัดสวนการใช้สิทธิ ร้อยละ ๓๑.๖๗ ของการส่งออกรวมภายใต้ FTA โดยประเทศที่ใช้สิทธิฯ เรียง ๓ ลำดับแรก ได้แก่ อาฟต้า (AFTA) จีน และญี่ปุ่น ๗. การค้าชายแดน (มาเลเซีย พม่า ลาว กัมพูชา) ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการส่งออก โดยเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ การค้ารวม มีมูลค่า ๗๘,๙๒๗.๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ร้อยละ ๑๓.๙ การส่งออก มีมูลค่า ๔๙,๗๙๖.๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๖ การนำเข้า มีมูลค่า ๒๙,๑๓๐.๙ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๔.๕ สำหรับดุลการค้า ไทยได้ดุลการค้าชายแดน คิดเป็นมูลค่า ๒๐,๖๖๕.๖ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
30900 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมทองแดงและทองแดงเจือสำหรับจุดประสงค์ทั่วไปทางไฟฟ้า : เส้น และแท่งต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมทองแดงและทองแดงเจือสำหรับจุดประสงค์ทั่วไปทางไฟฟ้า : เส้น และแท่งต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมทองแดงและทองแดงเจือสำหรับจุดประสงค์ทั่วไปทางไฟฟ้า : เส้น และแท่งต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. ๔๐๘ - ๒๕๕๓ ทั้งนี้ ให้ใช้บังคับร่างพระราชกฤษฎีกานี้เมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....