ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1548 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 30941 - 30960 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30941 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง "แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติจากอุทกภัย ดินถล่ม หินถล่ม กรณีศึกษาภาคใต้" | สสป | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติจากอุทกภัย ดินถล่ม หินถล่ม กรณีศึกษาภาคใต้" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และผู้แทนสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐต้องจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอสำหรับการป้องกันภัยพิบัติที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด และปรับปรุงพัฒนาระบบเตือนภัยให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ๒. รัฐควรปรับปรุงวิธีการอนุมัติและสั่งจ่ายงบประมาณให้ทันต่อสถานการณ์ในการแก้ปัญหาอุทกภัยอย่างเร่งด่วนในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้หน่วยงานในพื้นที่นั้น ๆ สามารถบูรณาการกิจกรรมต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ๓. รัฐต้องบูรณาการเรื่องปรับปรุงและจัดทำผังเมือง โดยเน้นเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่ให้เหมาะสม ๔. รัฐควรดำเนินการให้มีการบูรณาการแผนงานด้านการจัดการน้ำโดยมีการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นพื้นที่เป็นหลัก เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๕. รัฐควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจตัดสินใจสั่งการ จัดตั้งศูนย์เตือนภัย กลุ่มอาสาสมัครเฝ้าระวังภัย สร้างเครือขายตั้งแต่ระดับชุมชนจนถึงระดับประเทศ โดยการส่งเสริมให้มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย อีกทั้งพัฒนาบุคลากรที่เป็นอาสาสมัครให้สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๖. รัฐต้องป้องกันและแก้ไขไม่ให้ประชาชนเข้าไปอยู่อาศัยในพื้นที่อนุรักษ์ ป่าสงวน และพื้นที่เสี่ยงภัย ๗. รัฐควรมีมาตรการควบคุมการสัมปทานเหมืองแร่โดยเข้มงวด หรืองดการให้สัมปทานเพื่อใช้ประโยชน์ใด ๆ ในพื้นที่เสี่ยงภัย ๘. รัฐควรบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันแก้ไขในพื้นที่เสี่ยงภัยอย่างเคร่งครัด ๙. รัฐควรส่งเสริมการปลูกป่าถาวร โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบำรุงรักษา
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30942 | รายงานผลการประชุมสมัชชาองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ สำหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก สมัยที่ 31 | กษ | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมสมัชชาองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟ เอ โอ) สำหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก สมัยที่ ๓๑ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และคณะได้เข้าร่วมการประชุมระหว่างวันที่ ๑๔ - ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมที่สำคัญ ๑.๑ ที่ประชุมได้ขอให้ เอฟ เอ โอ สนับสนุนและให้ความช่วยเหลือในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของงานวิจัยทางการเกษตร และการจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งช่วยเหลือประเทศสมาชิกในการวิเคราะห์แนวทางยุทธศาสตร์การลงทุน การวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ การถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร การเสริมสร้างสมรรถนะสถาบันและบุคลากร การวิเคราะห์และพัฒนาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว การเสริมสร้างสมรรถนะแก่เกษตรกรรายย่อยให้มีความรู้ความสามารถในการจัดการพืชผลอย่างมีประสิทธิภาพ และการเสริมสร้างให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก ๑.๒ ที่ประชุมเห็นชอบแผนงานและงบประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ ส่วนแผนงานและงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๕๕๘ ให้ เอฟ เอ โอ จัดสรรงบประมาณและดำเนินการตามกรอบยุทธศาสตร์ลำดับความสำคัญของภูมิภาค (๒๕๕๓ - ๒๕๖๒) ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมสมัชชาภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกครั้งที่แล้ว โดยคำนึงถึงกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก กับ เอฟ เอ โอ (Country Programming Framework) หรือ CPF เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของภูมิภาคและของประเทศสมาชิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้เพิ่มงบประมาณสำหรับภูมิภาคมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงความต้องการเฉพาะด้านของภูมิภาค เช่น การเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร รวมถึงข้าว โดยคำนึงถึงทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด ส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ส่งเสริมเกษตรกรรายย่อยให้สามารถแข่งขันได้ และส่งเสริมความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการ เป็นต้น ๑.๓ ที่ประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการประชุมโต๊ะกลมหัวข้อเกี่ยวกับนโยบายในการแก้ไขปัญหาความผันผวนของราคาอาหารซึ่งเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการในการบริโภคอันเนื่องมาจากอิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคระบาดในพืชและสัตว์ รวมทั้งภัยพิบัติธรรมชาติ ๒. การหารือทวิภาคี ๒.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้หารือทวิภาคีกับผู้อำนวยการใหญ่ เอฟ เอ โอ เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ที่ได้ทรงอุทิศพระวรกายในการช่วยเหลือประชาชนในเรื่องความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการผ่านทางโครงการอาหารกลางวันโรงเรียนและโครงการอื่น ๆ เป็นจำนวนมาก และทาง United Nations World Food Programme ได้ถวายพระเกียรติยศให้ดำรงตำแหน่ง Goodwill Ambassador ด้านโครงการอาหารกลางวันโรงเรียน ของโครงการอาหารโลก ในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ และขอให้ เอฟ เอ โอ พิจารณาสนับสนุนเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่สำนักงานภูมิภาค เอฟ เอ โอ ที่กรุงเทพฯ ให้เป็นศูนย์กลางความรู้ของภูมิภาค และสนับสนุนการจัดทำยุทธศาสตร์เรื่องข้าวระดับภูมิภาค ๒.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทของเวียดนามเกี่ยวกับด้านการเกษตร สืบเนื่องจากที่นายกรัฐมนตรีของไทยและเวียดนามได้พบปะหารือกัน เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยผู้นำทั้งสองประเทศเห็นชอบให้มีการดำเนินงานความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างกัน เช่น การวิจัยและแลกเปลี่ยนพันธุ์พืชและสัตว์ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอให้นำประเด็นดังกล่าวประชุมคณะทำงานภายใต้ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร ครั้งที่ ๔ ที่ประเทศไทย เพื่อผลักดันให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ซึ่งฝ่ายเวียดนามเห็นด้วยกับข้อเสนอของฝ่ายไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30943 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช 2478 | กษ | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๘ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีฯ มีสาระสำคัญคือ กำหนดเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมประมง ดังนี้
๑. กำหนดให้หมวกมี ๗ แบบ คือ แบบทรงหม้อตาลสีน้ำเงิน หมวกทรงหม้อตาลสีขาว หมวกแก็ปทรงอ่อนมีกระบังสีขาว หมวกแก๊ปทรงอ่อนมีกะบังสีน้ำเงิน หมวกแก๊ปทรงอ่อนไม่มีกะบังสีน้ำเงิน หมวกหนีบสีขาว และหมวกหนีบสีน้ำเงิน ๒. กำหนดให้สายนกหวีด มี ๒ แบบ คือ สายนกหวีดทำด้วยไหมหรือด้ายถักสีขาวขนาดใหญ่ ๒ เส้น เกลี้ยง ๑ เส้น ใช้ได้เฉพาะข้าราชการตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับชำนาญงาน และตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ และสายนกหวีดทำด้วยไหมหรือด้ายถักสีขาวขนาดใหญ่ ๑ เส้น เกลี้ยง ๑ เส้น ใช้ได้เฉพาะข้าราชการตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ๓. กำหนดเครื่องหมายแสดงระดับ ซึ่งให้ติดที่อินทรธนู มีดังนี้ “เครื่องหมายปลาดาว” “แถบพิเศษ” “แถบใหญ่” และ “แถบปกติ” เช่น ข้าราชการตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน มีแถบปกติ ๔ แถบ ตรึงตามขวางบนอินทรธนูทั้งสองข้าง ข้าราชการตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับชำนาญงาน และตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ มีแถบใหญ่ ๑ แถบ และแถบปกติ ๑ แถบ ตรึงตามขวางบนอินทรธนูทั้งสองข้าง เป็นต้น ๔. กำหนดเครื่องหมายโลหะสีทองแสดงระดับซึ่งใช้ประดับแทนอินทรธนู และเครื่องหมายแสดงระดับของเครื่องแบบทุกชนิด ตามข้อ ๑๘ มีดังนี้ “เครื่องหมายปลาดาว” “แถบพิเศษ” และ “แถบใหญ่” เช่น ข้าราชการตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ประดับแถบใหญ่วางตามขวางที่คอปกเสื้อทั้งสองข้าง ๆ ละ ๔ แถบ ข้าราชการตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับทักษะพิเศษ ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ ตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับสูง และตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับต้น ประดับเครื่องหมายปลาดาวที่คอปกเสื้อทั้งสองข้าง ๆ ละ ๒ ดวง ติดเรียงกันไปตามส่วนยาวของคอปกเสื้อ เว้นระยะระหว่างเครื่องหมายปลาดาวพองาม เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30944 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการเช่าบ้านพักข้าราชการของหน่วยงานที่ประจำในต่างประเทศ | กษ | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติยกเว้นให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการเช่าบ้านพักข้าราชการของหน่วยงานที่ประจำในต่างประเทศ ระยะเวลาการเช่าตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ตั้งแต่วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ - ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ เป็นเงิน ๔,๐๑๓,๑๐๐ บาท หรือ ๑๓๐,๑๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ อัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๐.๘๔๙ บาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๑,๐๐๖,๖๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๓,๐๐๖,๕๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30945 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการตั้งโรงฆ่าสัตว์ โรงพักสัตว์ และการฆ่าสัตว์ พ.ศ. .... | กษ | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการตั้งโรงฆ่าสัตว์ โรงพักสัตว์ และการฆ่าสัตว์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์และจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๒. กำหนดบทนิยามคำว่า “ใบอนุญาต” “ศาสนสถาน” “สถานศึกษา” “สถานพยาบาล” “หอพัก” “ห้องผลิต” ๓. กำหนดให้ผู้มีความประสงค์จะตั้งโรงฆ่าสัตว์ โรงพักสัตว์ และการฆ่าสัตว์ ให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายตามแบบที่รัฐมนตรีกำหนดพร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน การยื่นคำขอรับใบอนุญาตในกรุงเทพมหานครให้ยื่น ณ กรมปศุสัตว์ ในเขตจังหวัดอื่นให้ยื่น ณ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดแห่งท้องที่ที่โรงฆ่าสัตว์และโรงพักสัตว์นั้นตั้งอยู่ และกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาออกใบอนุญาต ๔. กำหนดให้สถานที่ตั้งโรงฆ่าสัตว์และโรงพักสัตว์ต้องอยู่ในทำเลที่เหมาะสม มีการคมนาคมที่สะดวก มีบริเวณเพียงพอต่อการประกอบกิจการโรงฆ่าสัตว์ โรงพักสัตว์ และการฆ่าสัตว์ โดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย เหตุรำคาญ หรือความเสียหายต่อบุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น และห้ามตั้งอยู่ในบริเวณ เช่น บริเวณที่ห้ามตั้งโรงงานหรือห้ามตั้งโรงฆ่าสัตว์ตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง เป็นต้น กำหนดลักษณะของโรงฆ่าสัตว์ในบริเวณรอบนอกอาคาร โครงสร้างภายในอาคาร บริเวณภายในอาคาร เครื่องมือ เครื่องจักร และอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงฆ่าสัตว์ และลักษณะของโรงพักสัตว์ ๕. กำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้รับใบอนุญาตต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ เช่น จัดให้มีการพักสัตว์ภายในระยะเวลาที่เหมาะสม งดให้อาหารสัตว์ก่อนทำการฆ่าสัตว์ เป็นต้น กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการป้องกันการระบาดของโรคติดต่อ เช่น จัดให้มีการตรวจโรคสัตว์ภายในเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนทำการฆ่าสัตว์ เป็นต้น รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการควบคุมสุขลักษณะส่วนบุคคลและสุขลักษณะในการปฏิบัติงาน ๖. กำหนดให้หยุดทำการฆ่าสัตว์ในวันพระ ยกเว้นสัตว์ปีก และวันสำคัญตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ๗. กำหนดให้โรงฆ่าสัตว์ โรงพักสัตว์ และการฆ่าสัตว์ใดที่ได้รับใบอนุญาตอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้เป็นไปตามกฎกระทรวงนี้ ภายในระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ โรงฆ่าสัตว์ โรงพักสัตว์ และการฆ่าสัตว์จำพวกไก่ เป็ด และห่านที่ได้ดำเนินการอยู่ก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์และจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. ๒๕๓๕ บังคับกับไก่ เป็ด และห่านในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๔๙ ใช้บังคับ ให้ได้รับยกเว้นหลักเกณฑ์ตามข้อ ๖(๑) และ (๒)
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30946 | (ร่าง) บันทึกความเข้าใจความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แห่งราชอาณาจักรไทย และคณะกรรมการชาติพันธุ์แห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ว่าด้วยกิจการชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ | พม | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ (ร่าง) บันทึกความเข้าใจความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แห่งราชอาณาจักรไทย และคณะกรรมการชาติพันธุ์แห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ว่าด้วยกิจการชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นเอกสารที่แสดงเจตนารมณ์ในการสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้และแนวทางในการพัฒนาชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ และส่งเสริมความก้าวหน้าในด้านกิจการชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ของทั้งสองประเทศ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนามในการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ ให้สามารถปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำใน (ร่าง) บันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคญได้ก่อนการลงนามโดยหารือกับกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงกลาโหมเกี่ยวกับปัญหาชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งยังคงเป็นปัญหาและส่งผลกระทบต่อความมั่นคบของชาติในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การพิจารณาดำเนินการใด ๆ ควรทำให้เกิดความสมดุลให้ครอบคลุมทุกมิติระหว่างสิทธิมนุษยชน ความมั่นคงของมนุษย์ และความมั่นคงของชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
30947 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เรื่อง ผลการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 | สว | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เรื่อง ผลการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ควรมีการแก้ไขบทบัญญัติของพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยเฉพาะคำนิยามที่มีความบกพร่อง ไม่ชัดเจน คลุมเครือ ๒. ต้องมีการออกกฎหมายลำดับรองเพื่อบัญญัติและกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยงานขึ้นมา และควรจัดทำคู่มือของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนสรุปข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานช่วยเหลือผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ๓. ต้องออกกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานและบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมที่ปฏิบัติงานคุ้มครองช่วยเหลือบุคคลที่ได้รับความรุนแรงในครอบครัวหรือทีมสหวิชาชีพ มีบทบาทที่ชัดเจน และควรมีการจัดฝึกอบรมผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานทุกหน่วยงาน ๔. ต้องมีกฎหมาย ระเบียบวิธีปฏิบัติหรือคำสั่งที่บังคับหรือส่งเสริมและสนับสนุนให้ศาลออกคำสั่งกำหนดการมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ตามมาตรา ๑๐ ๕. ควรปฏิรูปบุคลากรในหน่วยงานของกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ให้มีความเข้าใจในกฎหมายและให้ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย อีกทั้งนำกฎหมายไปบังคับใช้อย่างจริงจัง รวมทั้งต้องทำงานให้สอดคล้องกันและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๖. รัฐต้องส่งเสริมศักยภาพโดยเฉพาะด้านงบประมาณให้แก่หน่วยงานภาครัฐและองค์กรภาคเอกชนให้ทำงานกันอย่างใกล้ชิดในการป้องกันและยุติปัญหาความรุนแรงในครอบครัว โดยการรณรงค์ปรับเปลี่ยนทัศนคติและการเลือกปฏิบัติของประชาชน ๗. พนักงานสอบสวนควรทำความเข้าใจกฎหมาย ปรับปรุงรูปแบบการทำงานทัศนคติและวิธีการดำเนินคดี ๘. สำนักงานอัยการสูงสุดต้องออกระเบียบการดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ขึ้นมาบังคับใช้ ๙. สำนักงานศาลยุติธรรมต้องมีการคัดเลือกและอบรมผู้พิพากษาให้มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ๑๐. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ควรมีการจัดอบรมเผยแพร่และให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง กว้างขวาง และครอบคลุมทุกพื้นที่เท่าที่สามารถทำได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30948 | ผลการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ปี 2555 | กต | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ปี ๒๕๕๕ (2012 Nuclear Security Summit : NSS) ซึ่งนายกรัฐมนตรีและคณะได้เข้าร่วมการประชุมระหว่างวันที่ ๒๖ - ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงโซล และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามความเหมาะสมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุมเต็มคณะ มีเนื้อหาโดยสรุปเกี่ยวกับการดำเนินการของไทยเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางนิวเคลียร์ในฐานะหนึ่งในประเทศที่เป็นศูนย์กลางด้านการค้าและการขนส่งของภูมิภาค ได้แก่ การเข้าร่วมความริเริ่มระดับโลกเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายที่ใช้นิวเคลียร์ (Global Initiative to Combat Nuclear Terrorism - GICNT) ภายหลังจากการประชุม NSS ครั้งแรก การเตรียมการเข้าร่วมความริเริ่มด้านความมั่นคงเกี่ยวกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (Proliferation Security Initiative - PSI) การให้ความสำคัญกับการสืบค้นร่องรอยทางนิวเคลียร์ และการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านนี้ของไทย พร้อมทั้งได้เสนอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเตรียมการ (Sherpa meeting) สำหรับการประชุม NSS ครั้งต่อไปที่กรุงเฮกในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยจะเป็นเจ้าภาพต่อจากการประชุม Sherpa ครั้งแรก ซึ่งตุรกีได้เสนอจะจัดการประชุมดังกล่าวแล้ว ๒. ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์กรุงโซลเป็นผลลัพธ์ของการประชุม โดยแถลงการณ์ดังกล่าวมีเนื้อหาเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงทางนิวเคลียร์ โดยเฉพาะการคุ้มครองทางกายภาพต่อวัสดุนิวเคลียร์ และการป้องกันการลักลอบค้าวัสดุนิวเคลียร์ บทบาทของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency : IAEA) ในการเสริมสร้างความมั่นคงทางนิวเคลียร์ การลดการใช้แร่ยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูง การสร้างศักยภาพด้านการตรวจพิสูจน์หาร่องรอยวัสดุนิวเคลียร์ และการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งได้ระบุว่าจะมีการจัดการประชุม NSS ครั้งต่อไปที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ๓. การประชุม NSS ครั้งนี้ เป็นเพียงการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางนิวเคลียร์และการต่อต้านการก่อการร้ายที่ใช้นิวเคลียร์ แต่อาจเกี่ยวพันกับรัฐบาลไทยในเชิงนโยบายและเกี่ยวข้องกับการดำเนินการของหลายหน่วยงานของไทย เพื่อให้บรรลุตามเจตนารมณ์ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการทำงานที่มีความเชื่อมโยงและบูรณาการกันของหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องและการส่งเสริมความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยหน่วยงานของไทยที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการดังกล่าว ได้แก่ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ) กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) กระทรวงคมนาคม (กรมการขนส่งทางบก กรมเจ้าท่า กรมการบินพลเรือน) กระทรวงกลาโหม (กรมยุทธการทหารบก กรมยุทธการทหารเรือ กรมยุทธการทหารอากาศ กรมยุทธการทหาร) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล การท่าเรือแห่งประเทศไทย และบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) |
||||||||||||||||||||||||||||||
30949 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหาหลังภัยพิบัติอุทกภัย" | สสป | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหาหลังภัยพิบัติอุทกภัย" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทย โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การช่วยเหลือและเยียวยา ระยะเร่งด่วน ดำเนินการโดยใช้ระยะเวลาไม่เกิน ๖ เดือน เช่น ควรเร่งรัดการให้เงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามมาตรการที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ โดยด่วนที่สุด อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม การให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และควรมีมาตรการช่วยเหลือ เยียวยาประชาชนผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ประสบอุทกภัยแต่ไม่มีบ้านเลขที่ โดยให้ผู้ใหญ่บ้าน หรือผู้นำชุมชน หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ลงนามรับรองว่าบุคคลดังกล่าวได้รับความเสียหายจากอุทกภัยจริง เป็นต้น ๒. การฟื้นฟู ระยะสั้น-ปานกลาง ดำเนินการโดยใช้ระยะเวลาอย่างน้อย ๑-๕ ปี เช่น กระทรวงการคลังควรกำหนดนโยบายให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินนโยบายด้านการเงิน โดยการผ่อนปรนการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย สำหรับกิจการที่ได้รับผลกระทบ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ให้มีการรีไฟแนนซ์ หรือพิจารณาเงินกู้พิเศษสำหรับฟื้นฟูธุรกิจ และควรมีมาตรการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้ให้กับประชาชน หรือแรงงานตกงานจากอุทกภัย เป็นต้น ๓. การพัฒนา ระยะยาว ดำเนินการโดยใช้ระยะเวลามากกว่า ๕ ปี เช่น ควรเพิ่มอำนาจหน้าที่และประสิทธิภาพขององค์กรด้านการอำนวยการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติระดับชาติที่มีอยู่แล้วให้มากขึ้น และมีการบริหารจัดการอย่างมีเอกภาพ รับผิดชอบในการอำนวยการช่วยเหลือ เยียวยาผู้ประสบภัย ให้ข้อมูลข่าวสารแก่สาธารณะอย่างถูกต้องและทันต่อสถานการณ์ ควรปรับปรุงผังเมืองรวมของประเทศให้รองรับต่อการจัดการอุทกภัย ควรตั้งคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัย การช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ประสบอุกทกภัย ควรให้มีผู้แทนของภาคประชาสังคม หรือประชาชนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงาน และควรมีกระบวนการกำกับ ติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกลไกการปฏิบัติงานฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย เป็นต้น ๔. ควรดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติจากอุทกภัย การช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ประสบภัยอย่างโปร่งใส ทั่วถึง ปราศจากการคอร์รัปชั่น และรัฐบาลต้องกล้าตัดสินใจดำเนินการในภาวะวิกฤติ ๕. ควรให้มีผู้แทนของภาคประชาสังคม หรือประชาชนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการตั้งคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัย การช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ๖. ควรมีกระบวนการกำกับ ติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกลไกการปฏิบัติงานฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ๗. ควรจัดเวทีให้ทุกภาคส่วนในสังคมมาร่วมกันสรุปบทเรียนจากมหาอุทกภัยในครั้งนี้ เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในปัจจุบัน และที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งระหว่างผู้ประสบภัยในแต่ละพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30950 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนทากาศ จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... | มท | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนทากาศ จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่บางส่วนของตำบลทาขุมเงิน ตำบลทาทุ่งหลวง และตำบลทากาศ อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30951 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลคูหาสวรรค์ ตำบลท่ามิหรำ ตำบลตำนาน และตำบลควนมะพร้าว อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลคูหาสวรรค์ ตำบลท่ามิหรำ ตำบลตำนาน และตำบลควนมะพร้าว อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลคูหาสวรรค์ ตำบลท่ามิหรำ ตำบลตำนาน และตำบลควนมะพร้าว อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินค่าทดแทนเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์และส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างได้ทันตามกำหนดเวลา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30952 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ พ.ศ. .... | ศธ | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาเทคโนโลยีและสาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์เพิ่มขึ้น ๑.๒ กำหนดสีประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีและสาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์เพิ่มขึ้น ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า ร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้มีสาระสำคัญเป็นเพียงการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา และกำหนดสีประจำสาขาวิชาเพิ่มเติมเท่านั้น เห็นควรจัดทำเป็นร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับแก้ไขเพิ่มเติมแทนการปรับปรุงทั้งฉบับ ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30953 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร | รง | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร จำนวน ๗ คน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ เมษายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. พลโท มงคล จิวะสันติการ ผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงาน ๒. นายไกรจักร แก้วนิล ผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงาน ๓. นายวนิชย์ ปักกิ่งเมือง ผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงาน ๔. นายวัชระ แววดำ ผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงาน ๕. นางรัตนา ร่มไทรทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ๖. นายธีรัชฌานนท์ เจียมวิจิตร ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรม ๗. นายอภิชาติ ถนอมทรัพย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30954 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ เขตเลือกตั้งที่ 3 แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... | ลต | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ เขตเลือกตั้งที่ ๓ แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่าง โดยกำหนดให้วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นวันเลือกตั้ง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30955 | สรุปผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวก ปลอดภัยและมั่นคงในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2555 กระทรวงคมนาคม | คค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวก ปลอดภัยและมั่นคงในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปจำนวนอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๕ ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ ๑.๑ การเกิดอุบัติเหตุทางถนน เปรียบเทียบระหว่างช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี ๒๕๕๔ มีจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุ จำนวน ๗๙๙ ครั้ง ลดลงร้อยละ ๔.๓๑ ผู้เสียชีวิต ๑๘๒ คน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๙.๖๔ และจำนวนผู้บาดเจ็บ ๙๐๘ คน ลดลงร้อยละ ๗.๓๕ ตามลำดับ มูลเหตุสันนิษฐานของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ๓ อันดับแรก คือ ขับรถเร็วเกินกำหนด เมาสุราหรือยาบ้า และคนหรือรถตัดหน้ากระชั้นชิด ประเภทของยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุทางถนน ๓ อันดับแรก คือ รถจักรยานยนต์ รถปิคอัพบรรทุก ๔ ล้อ และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล/รถยนต์นั่งสาธารณะ ๑.๒ การเกิดอุบัติเหตุทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๕ มีการเกิดอุบัติเหตุทางรถไฟ จำนวน ๗ ครั้ง ผู้เสียชีวิต ๒ คน และผู้บาดเจ็บ ๓ คน และการเกิดอุบัติเหตุทางน้ำ จำนวน ๒ ครั้ง ผู้เสียชีวิต ๔ คน และผู้บาดเจ็บ ๔ คน สำหรับทางอากาศ ไม่มีรายงานการเกิดอุบัติเหตุ ๑.๓ การเกิดอุบัติเหตุที่เกิดจากรถโดยสารสาธารณะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๕ มีรถโดยสารสาธารณะเกิดอุบัติเหตุทั้งสิ้น ๔ คัน (รถโดยสารขนาดใหญ่ จำนวน ๒ คัน และรถสองแถว ๒ คัน) ผู้เสียชีวิต ๓ คน และผู้บาดเจ็บ ๒๓ คน ๒. แนวทางการแก้ไขปัญหา ๒.๑ ให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทศึกษาและพิจารณาหาแนวทางในการควบคุมความเร็วบนทางหลวงและทางหลวงชนบทให้เพิ่มมากขึ้น ๒.๒ ให้กรมการขนส่งทางบกศึกษาและพิจารณาขยายผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี RFID (Radio Frequency Identification) ในการควบคุมความเร็วอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งหาแนวทางในการควบคุมการใช้รถจักรยานยนต์และรถปิคอัพที่ปลอดภัย เนื่องจากเป็นยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30956 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงวุฒิในคณะกรรมการจัดทำบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ (จำนวน 6 คน) | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดทำบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ (จำนวน ๖ คน) แทนกรรมการชุดเดิมที่ครบวาระการดำรงตำแหน่ง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ เมษายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายพนัส สิมะเสถียร ๒. นายหิรัญ รดีศรี ๓. นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ๔. นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ๕. นายเรวัติ ฉ่ำเฉลิม ๖. นายสมชัย ฤชุพันธุ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30957 | การบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบแนวทางการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต และงบประมาณในการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตของส่วนราชการ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบแนวทางการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต ประกอบด้วย ๒ ระยะ ๔ ขั้นตอน สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ระยะเร่งด่วน ดำเนินการในช่วงเดือนมีนาคม - มิถุนายน ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ๑.๑.๑.๑ ขั้นตอนที่ ๑ สร้างความรู้ ความเข้าใจ (เดือนมีนาคม ๒๕๕๕) ได้แก่ การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ เรื่อง “การบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต” ให้แก่ส่วนราชการ การกำหนดแบบประเมินความพร้อมของการบริหารจัดการในสภาวะวิกฤต (Checklist) และการพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ด้วยตนเองให้แก่ส่วนราชการ และพัฒนาช่องทางการเรียนรู้ผ่าน e-learning หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ สำนักงาน ก.พ.ร. ๑.๑.๑.๒ ขั้นตอนที่ ๒ การเตรียมความพร้อมให้ส่วนราชการ (เดือนมีนาคม - เมษายน ๒๕๕๕) ได้แก่ การทบทวนแผนสำรองฉุกเฉินของส่วนราชการเพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต ซึ่งการจัดทำแผนดังกล่าวต้องพิจารณาให้ครอบคลุมในประเด็นสำคัญ เช่น การระบุงานสำคัญที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการส่งมอบงานบริการ การประเมินความเสี่ยงและโอกาสที่งานสำคัญจะหยุดชะงัก การวิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเพื่อประเมินความเสียหายของงานสำคัญที่จะหยุดชะงัก กำหนดลำดับความสำคัญ และจัดสรรทรัพยากร เป็นต้น การกำหนดมาตรการการเตรียมความพร้อมของส่วนราชการ ได้แก่ มาตรการการเตรียมความพร้อมด้านกระบวนการ มาตรการการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร มาตรการการเตรียมความพร้อมด้านข้อมูล และมาตรการการเตรียมความพร้อมด้านสถานที่และงบประมาณ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การมหาชน และรัฐวิสาหกิจ ๑.๑.๑.๓ ขั้นตอนที่ ๓ ซักซ้อมแผนและนำไปปฏิบัติจริง (เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๕๕) ได้แก่ ส่วนราชการจัดให้มีการอบรมและประชาสัมพันธ์แผนรองรับการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอก การจัดให้มีการสื่อสารเพื่อป้องกันและลดความตระหนกของผู้ที่เกี่ยวข้อง และสาธารณชน รวมทั้งสามารถแจ้งเหตุแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างทันท่วงที การกำหนดสถานที่สำรองเพื่อทำการทดสอบ การทดสอบกับสถานการณ์จริงอย่างน้อยปีละครั้ง โดยบุคลากรของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุกระดับต้องมีส่วนร่วมในการทดสอบ การทดสอบและประเมิน รวมทั้งการปรับปรุงแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การมหาชน และรัฐวิสาหกิจ ๑.๑.๒ ระยะยาว ขั้นตอนที่ ๔ ส่งเสริมให้มีการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตอย่างยั่งยืน ดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ได้แก่ การส่งเสริมส่วนราชการให้มีระบบรองรับภาวะวิกฤตที่ยั่งยืน โดยส่วนราชการต้องติดตามประเมินผลการปฏิบัติตามระบบที่วางแผนไว้ การปรับปรุง สื่อสารสร้างความเข้าใจ และซักซ้อมแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตให้ครอบคลุมทั้งกระบวนการตามพันธกิจ และผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการเตรียมความพร้อมด้านระบบงานต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การมหาชน และรัฐวิสาหกิจ ๑.๒ งบประมาณในการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตของส่วนราชการ ได้แก่ งบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการในส่วนของการสร้างความรู้ความเข้าใจให้ส่วนราชการผนวกรวมเข้าไปกับแผนการฝึกอบรมที่ส่วนราชการต้องดำเนินการอยู่แล้ว และงบประมาณในส่วนของการนำไปสู่การปฏิบัติ เช่น การจัดหาสถานที่สำรอง การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อให้การบริการไม่หยุดชะงัก เป็นต้น ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตควรคำนึงถึงการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจภายใต้ทรัพยากรและงบประมาณที่มีอย่างจำกัดได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และในการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตของแต่ละส่วนราชการควรมีการเชื่อมโยงให้เกิดการบริหารจัดการในภาวะวิกฤตในระดับประเทศ รวมทั้งกรอบระยะเวลาดำเนินการควรพิจารณาปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมและสามารถปฏิบัติงานตามกรอบเวลาได้จริง และควรมีแนวทางการจัดทำแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตเพื่อให้ทุกส่วนราชการนำไปจัดทำแผนการดำเนินงานตามแต่ภารกิจของแต่ละหน่วยงาน พร้อมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจให้ทุกส่วนราชการที่ต้องจัดทำแผน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการทำงานในภาพรวมกรณีเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ภาคราชการ และภาคเอกชนสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ และจัดทำแผนบูรณาการในเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
30958 | การปรับปรุงโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักการปรับปรุงโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ดังนี้ ๑.๑.๑ ปรับปรุงเงื่อนไขการดำเนินงานโครงการพักหนี้ฯ ที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ แล้ว โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ร่วมโครงการพักหนื้ฯ ซึ่งมีลูกหนี้ที่ต้องเข้ากระบวนการฟื้นฟูศักยภาพต้องเร่งรัดการจัดทำแผนฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้และเริ่มฟื้นฟูลูกหนี้อย่างเป็นรูปธรรมภายหลังสิ้นสุดการรับยื่นแบบแสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๕ ตามแผนงานที่คณะทำงานฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้โครงการพักหนี้ฯ กำหนด พร้อมจัดทำแผนการชำระหนี้ใหม่ร่วมกับลูกหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้เริ่มชำระหนี้คืนได้หลังจาก ๑๒ เดือนนับแต่วันที่สิ้นสุดการฟื้นฟูลูกหนี้แต่ละราย หากลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ตามแผนชำระหนี้ใหม่ได้ หรือไม่สามารถแสดงให้เห็นว่ามีความสามารถในการชำระหนี้ได้ดีขึ้นจากก่อนเข้าโครงการ ลูกหนี้ดังกล่าวจะยังคงมีสถานะเป็นลูกหนี้พักหนี้ในโครงการพักหนี้ฯ แต่รัฐบาลจะไม่ต่อระยะเวลาชดเชยต้นทุนเงินสำหรับการพักหนี้ในอัตราร้อยละ ๔ ต่อปี ๑.๑.๒ ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการซึ่งได้รับการชดเชยต้นทุนเงินจากรัฐบาลในอัตราร้อยละ ๔ ต่อปี สามารถนำเงินชดเชยที่ได้ไปขยายการให้สินเชื่อพัฒนาภาคเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจมีการขยายวงเงินสินเชื่อใหม่สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จากเงินชดเชยที่ได้รับ ๑.๑.๓ ขยายกลุ่มเป้าหมายและเพิ่มเติมรูปแบบการช่วยเหลือ โดยเปิดโอกาสให้ลูกหนี้สถานะปกติของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) เข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ โดยมีคุณสมบัติคือ ต้องมีหนี้คงค้างไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น ก่อนวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ และมีสถานะหนี้ปกติ ณ วันที่มายื่นความจำนงเข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ ต้องไม่เป็นหนี้ประเภทสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่าซื้อ/ลิสซิ่ง และสินเชื่อสำหรับผู้มีรายได้ประจำ และต้องไม่เป็นลูกหนี้ที่ได้รับการลดอัตราดอกเบี้ย หรือได้รับอัตราดอกเบี้ยเป็นกรณีพิเศษตามข้อตกลงจากสถาบันการเงินนั้น ๆ อยู่แล้ว ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่มีสถานะหนี้ปกติตามเงื่อนไขดังกล่าว สามารถปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ โดยลูกหนี้สามารถสมัครใจเลือกพักเงินต้นและลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีอยู่เดิมในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี หรือลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีอยู่เดิมในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปีโดยไม่พักเงินต้น เป็นระยะเวลา ๓ ปี และลูกหนี้สามารถมีสิทธิ์ขอกู้เพิ่มจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้นตามความสามารถในการชำระหนี้ได้ทั้ง ๒ กรณี โดยการกู้ยืมเพิ่มจะชำระดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน ณ วันที่ได้รับการอนุมัติให้กู้เพิ่ม ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาและดำเนินการในรายละเอียดเกี่ยวกับการกำหนดเงื่อนไขคุณสมบัติลูกหนี้ที่เข้าพักหนี้หรือลดภาระหนี้ และเงื่อนไขโครงการสำหรับการเกษตร ตามที่เสนอ ๑.๓ แนวทางเบื้องต้นสำหรับการบรรเทาผลกระทบทางการเงินให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๔ กรอบวงเงินงบประมาณเพื่อชดเชยรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงของสถาบันการเงินเฉพาะกิจจากการดำเนินโครงการที่ปรับปรุงใหม่ ในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อปี คิดเป็นวงเงินในช่วงโครงการพักหนี้ ๓ ปี รวมเป็นเงิน ๒๒,๘๕๑.๘๒ ล้านบาท โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ร่วมโครงการทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เสนอเพิ่มเติมว่า เห็นควรปรับปรุงคุณสมบัติของลูกหนี้ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของโครงการ จากเดิม “๔.๒.๑ ต้องมีหนี้คงค้างไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น ก่อนวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ ...” เป็น “๔.๒.๑ ต้องมีหนี้คงค้างไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น ก่อนวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ...” ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้กับสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรด้วย เพื่อให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรดังกล่าวพักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้กับสมาชิกต่อเนื่องได้ และในการจัดทำแผนฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้ ควรให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ความเข้าใจทางการเงิน การออม การลงทุน การบริหารความเสี่ยง และการสร้างวินัยทางการเงิน รวมทั้งการเพิ่มรายได้จากการพัฒนาประสิทธิภาพและมูลค่าของสินค้าและผลิตภัณฑ์ การลดรายจ่ายและต้นทุนในการประกอบอาชีพ และการสร้างความมั่นคงด้านอาหารในครัวเรือนควบคู่ไปด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
30959 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 3 พ.ศ. 2553 มติ 5 นโยบายสนับสนุนพื้นที่จัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะ | สช | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ มติ ๕ นโยบายสนับสนุนพื้นที่จัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะ ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขอให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้การสนับสนุนพื้นที่จัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะ เป็นนโยบายสำคัญ โดยมอบให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นแกนประสานการดำเนินงานโดยขอความร่วมมือจากสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย เพื่อให้เกิดคณะกรรมการที่เป็นกลไกการดำเนินการ ประกอบด้วยตัวแทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการชุมชนท้องถิ่น ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาชน โดยให้มีผู้แทนชุมชน ในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๖๐ ๑.๒ ขอให้สมาชิกสมัชชาสุขภาพแห่งชาติพิจารณากำหนดเรื่องพื้นที่จัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะเป็นหนึ่งในระเบียบวาระของสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่ ทั้งนี้ เพื่อติดตาม ประเมินผลแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ทุกระดับภายในจังหวัด ๑.๓ ขอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นองค์กรหลักในการสนับสนุนงบประมาณ และประสานการดำเนินงานร่วมกับสภาองค์กรชุมชน เครือข่ายองค์กรชุมชน เครือข่ายภาคประชาสังคม เครือข่ายสมัชชาสุขภาพจังหวัด เครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในจังหวัดใช้เงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๖ มาตรา ๗๘(๓) มาตรา ๘๗(๑) และ (๔) และมาตรา ๑๖๓ ดำเนินการออกแบบและผลักดันให้ชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทในการจัดการตนเองตามรูปแบบที่เหมาะสม ๒. ให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการตั้งงบประมาณสนับสนุนจากท้องถิ่น ไม่ควรกำหนดสัดส่วนไว้เป็นการเฉพาะ แต่ควรขึ้นอยู่กับศักยภาพ ความพร้อมและสถานการณ์คลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และเห็นควรระบุเจ้าภาพหลักในการประสานการจัดตั้งแกนประสานการดำเนินการเพื่อให้เกิดคณะกรรมการที่มีหน้าที่พัฒนากลไกการจัดการตนเองและพัฒนาศักยภาพชุมชนท้องถิ่นให้จัดการตนเองในทุกระดับ ส่วนการให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนงบประมาณ ต้องขึ้นอยู่กับศักยภาพและสถานะทางการคลังของ อปท. เป็นหลัก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๓.๑ การเข้าไปมีส่วนร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติดังกล่าวให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานและอยู่ภายในกรอบของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๓.๒ กรณีเรื่องงบประมาณให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กฎหมายหรือระเบียบกำหนด ๓.๓ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้รัฐต้องให้ความเป็นอิสระแก่ อปท. และให้ อปท. มีความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบาย การบริหาร การเงินการคลัง และมีอำนาจหน้าที่ของตนเองโดยเฉพาะ ดังนั้น การดำเนินการตามมติดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อความเป็นอิสระของ อปท. |
||||||||||||||||||||||||||||||
30960 | ขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการปรับแก้ไขหลักเกณฑ์และแนวทางในการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดระยะเวลาการทำสัญญาเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ จาก ๓ ปี เป็น ๕ ปี เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณในส่วนของรายการค่าเช่ารถยนต์ เนื่องจากผู้ประกอบการให้เช่ารถยนต์จะเสนอราคาค่าเช่าในอัตราที่ต่ำกว่าการทำสัญญาเช่ารถยนต์เป็นระยะเวลา ๓ ปี ประกอบกับมีข้อเสนอแนะของส่วนราชการหลายแห่งที่เห็นว่า รถยนต์ที่ใช้ในการปฏิบัติภารกิจของหน่วยงานที่มีระยะเวลาการใช้ ๕ ปี หากมีการบำรุงรักษาที่ดีอย่างต่อเนื่องจะมีสภาพและสมรรถนะที่สามารถรองรับการปฏิบัติงานตามภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒ ปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการคำนวณอัตราค่าเช่ารถยนต์จากอัตราเดิม ปรับลดลงประมาณร้อยละ ๑๐ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและประหยัดงบประมาณของทางราชการสูงสุด โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๒.๑ ปรับลดรายการค่ากำไร จากเดิมร้อยละ ๘ เป็นร้อยละ ๕ เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารปัจจุบันที่ปรับลดลงซึ่งอัตราที่ปรับลดดังกล่าวยังคงสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร ๑.๒.๒ ปรับลดค่าซ่อมบำรุงรักษาและน้ำมันหล่อลื่น ให้ปรับลดลงในภาพรวมร้อยละ ๑๐ จากที่กำหนดไว้เดิม เนื่องจากการคำนวณอัตราค่าเช่าเดิมกำหนดให้มีค่าซ่อม ๒ รายการ คือ ค่าซ่อมปกติ ค่าซ่อมกลางและค่าน้ำมันหล่อลื่น ๑.๒.๓ ปรับค่าอำนวยการและค่ารถทดแทน จากเดิมร้อยละ ๑๒ เป็นร้อยละ ๘ เนื่องจากข้อเท็จจริงพบว่า การใช้รถยนต์ของส่วนราชการมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นน้อยมาก โอกาสที่ผู้ประกอบการให้เช่ารถยนต์ต้องจัดรถทดแทนให้ส่วนราชการจึงมีน้อย ๑.๒.๔ ปรับลดค่าเบี้ยประกันภัยชั้น ๑ จากเดิมร้อยละ ๒.๔ ของราคารถยนต์ เป็นร้อยละ ๑.๒ เนื่องจากสูตรการคำนวณอัตราค่าเช่ารถยนต์ได้กำหนดค่ากำไรให้ผู้ประกอบการให้เช่ารถยนต์แล้ว จึงเห็นควรให้ผู้ประกอบการให้เช่ารถยนต์ร่วมรับผิดชอบค่าเบี้ยประกันภัยกับรัฐในอัตราส่วนที่เท่ากัน จากการปรับสูตรการคำนวณตามรายการข้างต้นจะทำให้อัตราค่าเช่ารถยนต์ประเภทต่าง ๆ มีอัตราลดลงประมาณร้อยละ ๑๐ ทั้งนี้ การปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการคำนวณอัตราค่าเช่ารถยนต์ดังกล่าว ให้ใช้กับการทำสัญญาเช่ารถยนต์ใหม่เท่านั้น ส่วนสัญญาเช่ารถยนต์ที่ทำไปแล้วก่อนที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์เดิมต่อไปจนกว่าสัญญาเช่าจะสิ้นสุด ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับรถยนต์ที่นำมาใช้ในราชการ เช่น การจ้างพนักงานขับรถ การเบิกจ่ายเงินตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการของพนักงานขับรถที่จ้างจากภายนอก (outsource) และการดำเนินการสำหรับรถราชการที่มีอายุใช้งานนาน เช่น ใช้งานมาเกินกว่า ๑๐ ปี และยังไม่สามารถจัดหารถยนต์ใหม่ทดแทน เป็นต้น และหากจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องก็ให้ดำเนินการ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
.....