ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1544 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30861 - 30880 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30861 | ผลการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ 2554 (1 ตุลาคม 2553 - 30 กันยายน 2554) | สธ | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้รายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. ความครอบคลุมผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ พบว่า จากประชากรผู้มีสิทธิประกันสุขภาพทั้งประเทศ จำนวน ๖๓.๙๒ ล้านคน มีผู้มาลงทะเบียนสิทธิ จำนวน ๖๓.๘๙ ล้านคน คิดเป็นความครอบคลุมได้ร้อยละ ๙๙.๙๕ ของประชากรผู้มีสิทธิหลักประกัน โดยมีประชากรที่ยังไม่ลงทะเบียนสิทธิ จำนวน ๓๑,๙๐๖ คน ๒. การใช้บริการทางการแพทย์เฉพาะผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า อาทิ การใช้บริการผู้ป่วยนอก มีจำนวน ๑๕๓.๘๑ ล้านครั้ง อัตราการใช้บริการต่อประชากรฯ เท่ากับ ๓.๒๓ ครั้ง/คน/ปี และผู้ป่วยใน มีจำนวน ๕.๓๔ ล้านครั้ง/๒๒.๒๑ ล้านวัน อัตราการใช้บริการต่อประชากรฯ เท่ากับ ๐.๑๐๘ ครั้ง/คน/ปี เป็นต้น ๓. การควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข หน่วยบริการที่ได้รับการรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน Hospital Accreditation (HA) จำนวน ๙๘๘ แห่ง ได้รับการรับรองคุณภาพในขั้นต่าง ๆ ร้อยละ ๙๙.๓๙ ในจำนวนนี้ได้รับการรับรองคุณภาพ HA ร้อยละ ๒๙.๘๖ รับรองขั้นที่ ๒ ร้อยละ ๖๓.๕๖ ผลการติดตามเฝ้าระวังและประเมินผลการเข้าถึงและคุณภาพบริการ พบมีอัตรารับไว้รักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น ในโรคหัวใจ/กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน/ปอดอุดกั้นเรื้อรังในผู้ใหญ่/โรคมะเร็ง ด้านผลสำรวจความพึงพอใจต่อระบบหลักประกันฯ พบว่าประชาชนที่เคยใช้บริการ/ผู้ให้บริการ มีความพึงพอใจร้อยละ ๙๒.๗๕/๖๖.๘๖ ๔. การคุ้มครองสิทธิ การให้บริการประชาชนเพื่อช่วยเหลือผู้มีสิทธิและผู้ให้บริการในระบบหลักประกันสุขภาพฯ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสอบถามข้อมูล ร้อยละ ๙๘.๖๓ เรื่องร้องเรียนได้รับการตอบสนองภายใน ๓๐ วันทำการ ร้อยละ ๙๖.๑๘ และเรื่องร้องทุกข์ดำเนินการแล้วเสร็จร้อยละ ๙๖.๕๖ ประสานหาเตียงผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ๔,๓๖๘ ราย ได้ชดเชยความเสียหายกรณีผู้รับบริการได้รับความเสียหายจากการใช้บริการฯ (ตามมาตรา ๔๑) จำนวน ๗๘๓ ราย เป็นเงิน ๙๒.๒๑ ล้านบาท ส่วนผู้ให้บริการได้รับชดเชย จำนวน ๕๐๕ ราย เป็นเงิน ๔.๓๗ ล้านบาท ๕. การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคี ด้านเครือข่ายองค์กรประชาชน มีหน่วยรับเรื่องร้องเรียนอื่นที่เป็นอิสระจากผู้ถูกร้องเรียน ๔๑ แห่ง รับเรื่องร้องเรียน ๑๓๕ เรื่อง/เครือข่ายองค์กรคนพิการ เช่น พัฒนาระบบบริการฟื้นฟูให้แก่ผู้พิการทางการมองเห็น ๖๗ แห่ง ใน ๕๔ จังหวัด ศูนย์การดำรงชีวิตอิสระของคนพิการ ๓๐ แห่ง ใน ๑๕ จังหวัด/เครือข่ายผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง ๕๔ ชมรม ๖ การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีการเบิกจ่ายงบกองทุนฯ รวม ๙๘,๗๐๑.๑๘ ล้านบาท (ร้อยละ ๘๙.๕๙ ของงบฯ ที่ได้รับ ๑๐๑,๐๕๗.๙๑ ล้านบาท) งบค่าบริการสุขภาพเบาหวาน - ความดันโลหิตสูง และผู้ติดเชื้อเอชไอวี - ผู้ป่วยเอดส์ ร้อยละ ๙๙.๗๑ และ ๙๘.๙๗ สามารถประหยัดงบประมาณได้ทั้งสิ้น ๑๒,๓๓๙.๖๗ ล้านบาท จากอุปกรณ์ - อวัยวะเทียม ยาและการผ่าตัด ๗. โครงการริเริ่มหรือพัฒนาระบบประกันสุขภาพฯ และปัญหาอุปสรรค สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้พัฒนาโครงการที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนในการเข้าถึงบริการได้ทั่วถึงเท่าเทียมมากขึ้น อาทิ การจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพในระดับจังหวัด การขยายสิทธิประโยชน์บริการสาธารณสุขฯ มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เป็นต้น ส่วนปัญหาและอุปสรรค เช่น ความแตกต่างในการเข้าถึงบริการสุขภาพระหว่างกองทุน สวัสดิการ ประสิทธิภาพของการดำเนินงานที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงของสังคม เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
30862 | เพิ่มกรอบวงเงินงบประมาณโครงการพัฒนาระบบมาตรวิทยาแห่งชาติ ระยะที่ 3 | วท | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการพัฒนาระบบมาตรวิทยาแห่งชาติ ระยะที่ ๓ จากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ จากเดิมวงเงินทั้งสิ้น ๕๓๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๕๙๗,๘๐๐,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ จำนวน ๕๓๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท และจากเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาระบบมาตรวิทยาแห่งชาติสมทบอีก จำนวน ๖๓,๘๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขอทำความตกลงความเหมาะสมของราคากับสำนักงบประมาณก่อนทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามนัยระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ) รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดหาเครื่องมือมาตรฐานทางฟิสิกส์ ซึ่งสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติได้จัดทำรายละเอียดของรายการครุภัณฑ์และเครื่องมือมาตรฐานทางฟิสิกส์ที่จะจัดซื้อเพื่อเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาอนุมัติจัดสรรวงเงินในการจัดซื้อเครื่องมือดังกล่าวไว้ส่วนหนึ่งแล้ว โดยเห็นควรเร่งรัดจัดทำรายละเอียดในส่วนที่เหลือให้กระทรวงการคลังพิจารณาโดยเร็วต่อไป สำหรับการจัดหาเครื่องมือมาตรฐานทางเคมีและชีวภาพ เห็นควรให้ใช้จากเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาระบบมาตรวิทยาแห่งชาติ หากไม่เพียงพอให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้เพียงพอตามความต้องการ และให้พิจารณาเร่งรัดดำเนินโครงการเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์โดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30863 | ขอส่งรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2553 และ 2552 | ปช | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองแล้ว ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. งบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ โดยปี พ.ศ. ๒๕๕๓ สำนักงาน ป.ป.ช. มีสินทรัพย์ ๒,๓๖๘,๗๗๗,๕๔๐.๓๒ บาท หักหนี้สิน ๔๒,๔๑๙,๗๓๙.๕๒ บาท รวมสินทรัพย์ ๒,๓๒๖,๓๕๗,๘๐๐.๘๐ บาท สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๒ สำนักงาน ป.ป.ช. มีสินทรัพย์ ๒,๐๗๓,๖๑๖,๒๕๗.๖๒ บาท หักหนี้สิน ๘๒,๔๗๐,๖๕๐.๓๗ บาท รวมสินทรัพย์ ๑,๙๙๑,๑๔๕,๖๐๗.๒๕ บาท ๒. งบรายได้และค่าใช้จ่าย ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ สำนักงาน ป.ป.ช. มีรายได้ ๑,๑๑๔,๘๔๘,๗๐๑.๑๗ บาท หักค่าใช้จ่าย ๗๘๐,๙๖๐,๖๗๖.๒๘ บาท คงเหลือสุทธิ ๓๓๓,๘๘๘,๐๒๔.๘๙ บาท สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๒ สำนักงาน ป.ป.ช. มีรายได้ ๘๑๗,๐๘๓,๗๙๖.๒๑ บาท หักค่าใช้จ่าย ๖๔๑,๒๙๕,๒๔๙.๕๖ บาท หักบริจาคสินทรัพย์ ๖๙,๕๙๙.๗๔ บาท คงเหลือสุทธิ ๑๗๕,๗๑๘,๙๔๖.๙๑ บาท ๓. งบกระแสเงินสด ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ สำนักงาน ป.ป.ช. มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดคงเหลือ ณ วันปลายงวด ๑,๓๒๐,๗๗๑,๘๑๔.๗๑ บาท ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดคงเหลือ ณ วันปลายงวด ๑,๔๒๒,๙๗๒,๗๐๗.๑๓ บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
30864 | การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเครือข่ายพัฒนากำลังคนและความเชี่ยวชาญเทคโนโลยีด้านระบบขนส่งทางรางของประเทศ | วท | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการศึกษาความต้องการและแนวทางการพัฒนากำลังคนด้านปฏิบัติการระบบขนส่งทางราง และการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเครือข่ายพัฒนากำลังคนและความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีด้านระบบขนส่งทางรางของประเทศ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติร่วมกับสถาบันการขนส่ง และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการศึกษาความต้องการและแนวทางการพัฒนากำลังคนด้านปฏิบัติการระบบขนส่งทางราง พบว่าในระยะเร่งด่วน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เมื่อโครงการรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีกำหนดเปิดให้บริการบางส่วน ประเทศจะมีความต้องการบุคลากรเพื่อรองรับงานปฏิบัติการด้านรถไฟฟ้าจำนวนถึง ๓,๖๗๙ คน โดยในจำนวนนี้เป็นบุคลากรด้านเทคนิคและวิศวกรรมในระดับ ปวส. และปริญญาตรี จำนวน ๒,๐๓๘ คน ซึ่งหากไม่มีการสร้างและพัฒนาบุคลากรเตรียมการไว้รองรับจะทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรเฉพาะด้านและอาจส่งผลกระทบต่อการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าแก่ประชาชน ๑.๒ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ได้วางระบบการฝึกอบรมวิศวกรจากหลากหลายสาขาให้มีความรู้ด้านวิศวกรรมระบบขนส่งทางราง โดยในการจัดหลักสูตรได้ระดมความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากทั้งภาคมหาวิทยาลัยและหน่วยงานเดินรถเข้ามาร่วมดำเนินการ ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้นำร่องฝึกอบรมรุ่นแรก จำนวน ๓๐ คน บุคลากรที่ผ่านการฝึกอบรมดังกล่าวถือเป็น “เมล็ดพันธุ์” ที่จะขยายและสร้างเครือข่ายฐานความรู้ด้านระบบขนส่งทางรางของประเทศให้มีจำนวนทวีคูณมากขึ้นต่อไป โดยในอนาคตสามารถจัดตั้งเป็นเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญระบบขนส่งทางรางของประเทศ รวมถึงสถาบันวิทยาการด้านระบบขนส่งทางราง (Thailand Railway Acacemy) ที่เป็นแหล่งสั่งสมความรู้ด้านระบบขนส่งทางรางอย่างถาวร ๑.๓ จัดให้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเครือข่ายพัฒนากำลังคนและความเชี่ยวชาญเทคโนโลยีด้านระบบขนส่งทางรางของประเทศกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากทั้งภาครัฐและเอกชน เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๕ มีหน่วยงานร่วมลงนาม จำนวน ๑๔ หน่วยงาน ประกอบด้วย การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ บมจ. รถไฟฟ้ากรุงเทพ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพัฒนาระบบมาตรฐานคุณวุฒิและวิชาชีพในระดับต่าง ๆ พิจารณาความเหมาะสมในการออกใบอนุญาต (License) ให้แก่พนักงานขับรถไฟฟ้าเพื่อยกระดับมาตรฐานวิชาชีพ และพิจารณากำหนดแนวทางการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างผู้ผลิต (Supplier) และผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดกระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยีในลักษณะบูรณาการและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งควรส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านระบบขนส่งทางราง เพื่อเพิ่มศักยภาพของบุคลากร ลดภาระการลงทุนของภาครัฐ และส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ นอกจากนี้ ควรพิจารณากำหนดขอบเขตบทบาทหน้าที่ และรูปแบบองค์กรที่มีความเหมาะสม โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับภารกิจและความพร้อมของบุคลากรของหน่วยงานที่รับผิดชอบและความสอดคล้องกับความต้องการในการพัฒนาบุคลากรด้านการขนส่งทางรางตามแผนพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งของภาครัฐในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30865 | ผลการเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี (เมื่อวันที่ 24 - 26 มกราคม 2555) | นร | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีอินเดีย ระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๖ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ซึ่งการเยือนอินเดียในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีการหารือกับนายกรัฐมนตรีอินเดียและบุคคลสำคัญของอินเดียในประเด็นสำคัญ ๆ รวมทั้งเป็นประธานการประชุมมอบหมายนโยบายแก่ทีมประเทศไทย โดยในส่วนของการหารือกับนายกรัฐมนตรีอินเดีย สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะกระชับความสัมพันธ์ความร่วมมือระหว่างกัน และพัฒนาความสัมพันธ์ไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) ๒. ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะให้การเจรจาความตกลงจัดตั้งเขตการค้าเสรี ไทย - อินเดียแล้วเสร็จและมีผลบังคับใช้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยฝ่ายไทยได้เสนอให้เพิ่มเป้าหมายมูลค่าการค้าสองฝ่ายเป็น ๑๖ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ (ค.ศ. ๒๐๑๔) ส่วนฝ่ายอินเดียเสนอให้ไทยลงทุนในสาขาที่มีความต้องการสูงในอินเดีย ได้แก่ การแปรรูปอาหาร การแช่แข็ง และโลจิสติกส์ รวมทั้งเชิญชวนให้ไทยร่วมในโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานในอินเดีย โดยเฉพาะโครงการ Delhi - Mumbai Industrial Corridor ซึ่งอินเดียมีแผนจะจัดตั้งเขตอุตสาหกรรม ๔๗ แห่ง ระหว่างเส้นทางเดลีถึงมุมไบ นอกจากนี้ ยังได้เสนอให้มีความร่วมมือกันในสาขาที่อินเดียมีความเชี่ยวชาญ ได้แก่ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและซอฟต์แวร์ ชิ้นส่วนยานยนต์ สินค้าเภสัชกรรม และเทคโนโลยีชีวภาพ ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีการจัดตั้งเวทีเพื่อหารือระหว่างผู้แทนระดับสูงจากภาคธุรกิจเพื่อพิจารณาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือทางด้านการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศ ๓. ทั้งสองฝ่ายย้ำว่าความร่วมมือด้านความมั่นคงว่าเป็นวาระสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย และขอให้จัดทำแผนปฏิบัติงานร่วมระยะเวลา ๕ ปี ภายใต้กรอบการประชุมคณะทำงานร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงไทย - อินเดีย (Joint Working Group on Security Cooperation) ให้เสร็จโดยเร็ว และได้เห็นพ้องให้เร่งรัดการเจรจาความตกลงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน และความตกลงว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในคดีแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งฝ่ายอินเดียเสนอให้ฝ่ายไทยจัดคณะไปเจรจาสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับฝ่ายอินเดียในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ๔. ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมมือด้านความเชื่อมโยง โดยให้จัดตั้งคณะทำงานร่วมว่าด้วยการเชื่อมโยงและสาธารณูปโภค (Working Group on Connectivity and Infrastructure) ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีอินเดียแจ้งว่า ทั้งสองฝ่ายอาจพิจารณามีความร่วมมือเพื่อเปิดตลาดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย และขอให้คณะทำงานร่วมฯ ดังกล่าว ดำเนินความร่วมมือให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะโครงการทางหลวงสามฝ่าย ไทย - เมียนมาร์ - อินเดีย และการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกที่เมืองทวาย ๕. ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันที่จะพิจารณาความร่วมมือในด้านใหม่ ๆ เช่น การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการป้องกันอุทกภัย ความร่วมมือในด้านพลังงาน การสำรวจก๊าซธรรมชาติและปิโตรเลียมทั้งในประเทศทั้งสองและในประเทศที่สาม ความร่วมมือในด้านการถ่ายทำภาพยนตร์ การจัดตั้งมูลนิธิไทย - อินดีย เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระดับประชาชน เป็นต้น ในการนี้ฝ่ายไทยยินดีให้การสนับสนุนโครงการฟื้นฟูมหาวิทยาลัยนาลันทาในเบื้องต้นเป็นจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ ๓ ล้านบาท) โดยภาคเอกชนไทยจะร่วมให้การสนับสนุนด้วย ๖. ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญในเรื่องความร่วมมือระดับภูมิภาค โดยเฉพาะอาเซียน ซึ่งอินเดียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ASEAN Commemorative SummiT โดยฝ่ายไทยจะให้การสนับสนุนกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ การจัด Car Rally ระหว่างอาเซียน - อินเดีย เป็นต้น ๗. นายกรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายได้เป็นสักขีพยานในการลงนามความตกลง/บันทึกความเข้าใจ จำนวน ๖ ฉบับ ได้แก่ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการทหาร สนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องโทษตามคำพิพากษา พิธีสารฉบับที่ ๒ เพื่อการแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งเขตการค้าเสรีไทย - อินเดีย แผนความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ แผนปฏิบัติการว่าด้วยโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ปี ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ และ MOU ระหว่าง Indian Council for Cultural Relations (ICCR) กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
|
|||||||||||||||||||||||||||
30866 | การบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) | กค | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ดำเนินโครงการและจัดสรรเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) วงเงิน ๑,๑๐๗.๐๕ ล้านบาท สำหรับงานติดตั้งรั้วสองข้างตามแนวเขตทางรถไฟ ๑๕ รายการ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ๑.๒ ให้ดำเนินโครงการและจัดสรรเงินกู้ DPL วงเงินรวม ๗๑๔.๘๓ ล้านบาท สำหรับดำเนินโครงการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม (Program Management Services : PMS) วงเงิน ๓๐๕.๓๐ ล้านบาท และโครงการจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central Clearing House : CCH) วงเงิน ๔๐๙.๕๓ ล้านบาท ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับงานติดตั้งรั้วสองข้างตามแนวเขตทางรถไฟ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ควรให้ความสำคัญกับชุมชนบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากการติดตั้งรั้วสองข้างทางและการออกแบบโครงสร้างที่มีความมั่นคงและปลอดภัย ส่วนการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม และระบบศูนย์บริการจัดการรายได้กลาง ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ควรเร่งรัดให้ดำเนินการแล้วเสร็จโดยเร็ว โดยเฉพาะประเด็นด้านเทคนิคของระบบตั๋วร่วมที่ต้องสามารถใช้งานร่วมกับระบบขนส่งมวลชนที่มีอยู่แล้วอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
30867 | ขออนุมัติกู้เงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงินตามรายการที่บรรจุในการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ครั้งที่ ๑ และสำหรับโครงการ/แผนงานต่อเนื่องในแผนการก่อหนี้ใหม่เพื่อการลงทุนและแผนการก่อหนี้จากต่างประเทศ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔๗,๖๗๙.๗๗๐ ล้านบาท ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม พร้อมทั้งยกเว้นการคิดค่าค้ำประกันเงินกู้ให้แก่ รฟท. ทั้งส่วนที่ รฟท. รับภาระ และรัฐบาลรับภาระ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สำหรับโครงการ/แผนงานต่อเนื่องในแผนการก่อหนี้ใหม่เพื่อการลงทุนและแผนการก่อหนี้จากต่างประเทศ มีดังนี้ ๑.๑ แผนเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่ รฟท. รับภาระ จำนวน ๑๑ รายการ เป็นเงิน ๑๓,๒๐๖.๒๒๐ ล้านบาท ๑.๒ แผนเงินกู้เพื่อการลงทุน (หนี้ในประเทศ) จำนวน ๖ โครงการ เป็นเงิน ๒๖,๔๗๗.๕๕๐ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการปรับปรุงระยะทางที่ ๕ เป็นเงิน ๖,๔๐๘.๐๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงทางระยะที่ ๖ เป็นเงิน ๕,๐๗๙.๐๐๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทางเดินเชื่อมสถานีเพชรบุรี) เป็นเงิน ๘๗.๐๐๐ ล้านบาท โครงการจัดหารถจักรพร้อมอะไหล่ จำนวน ๕๐ คัน เป็นเงิน ๖,๕๖๒.๕๐๐ ล้านบาท โครงการซ่อมบูรณะรถจักรดีเซลไฟฟ้าอัลสตอม จำนวน ๕๖ คัน เป็นเงิน ๓,๓๖๐.๐๐๐ ล้านบาท และโครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่ สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ จำนวน ๑๑๕ คัน เป็นเงิน ๔,๙๘๑.๐๕๐ ล้านบาท ๑.๓ แผนเงินกู้เพื่อดำเนินกิจการทั่วไปและอื่น ๆ (หนี้ในประเทศ) จำนวน ๔ รายการ เป็นเงิน ๓,๙๒๖.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๔ แผนการก่อหนี้จากต่างประเทศ จำนวน ๓ โครงการ เป็นเงิน ๔,๐๗๐.๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า ขนาดน้ำหนักกดเพลาสูงสุด ๒๐ ตัน/เพลา จำนวน ๗ คัน เป็นเงิน ๑,๑๕๕.๐๐๐ ล้านบาท โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า น้ำหนักกดเพลาสูงสุด ๒๐ ตัน/เพลา จำนวน ๑๓ คัน เป็นเงิน ๒,๑๔๕.๐๐๐ ล้านบาท และโครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า น้ำหนักกดเพลาสูงสุด ๒๐ ตัน/เพลา จำนวน ๓๐๘ คัน เป็นเงิน ๗๗๐.๐๐๐ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นควรจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินกู้ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานและติดตามประเมินผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้มีประสิทธิภาพ และมิให้เกิดภาระงบประมาณที่รัฐบาลจะต้องรับภาระชำระหนี้เงินกู้ที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
30868 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 6 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT) | นร | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๖ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (Indonesia - Malaysia - Thailand Growth Triangle : IMT - GT) มีสาระสำคัญเป็นการชื่นชมการดำเนินงานนโยบายความร่วมมือระหว่างกัน และการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของประเทศสมาชิกในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสามารถปรับปรุงถ้อยคำในแถลงการณ์ร่วมฯ ได้ในกรณีที่มิใช่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบอีก ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นรัฐมนตรีประจำกรอบแผนงาน IMT - GT เพื่อเข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๖ แผนงาน IMT - GT ในวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๕ ณ Peace Palace ประเทศอินโดนีเซีย และเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนระดับรัฐมนตรีของไทยในกิจกรรมด้าน IMT - GT ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
30869 | ขออนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ งานจ้างก่อสร้างเขื่อนหัวงานและอาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น โครงการอ่างเก็บน้ำมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี | กษ | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. ให้กรมชลประทานดำเนินการจ้างเหมาก่อสร้างรายการเขื่อนหัวงานและอาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น โครงการอ่างเก็บน้ำมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี ภายในวงเงิน ๑,๒๙๗,๓๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๙๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๑,๑๐๒,๓๐๐,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป ทั้งนี้ กรมชลประทานต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ เงื่อนไข และหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทุกขั้นตอน โดยพิจารณาประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ๒. เนื่องจากกรมชลประทานได้กำหนดเงื่อนไขเฉพาะของการก่อสร้าง ข้อ ๗.๓ และ ๗.๔ ตามเอกสารการประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เลขที่ E กจ.๐๑/๒๕๕๕ ให้ผู้รับจ้างจัดหายานพาหนะและเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่น ๆ สำหรับการควบคุมงานของผู้ว่าจ้าง จำนวน ๑๓,๙๙๙,๘๖๐ บาท เพื่อความคล่องตัวในการควบคุมงาน แต่โดยที่ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เป็นส่วนหนึ่งของค่าควบคุมงาน จึงขอให้นำไปคำนวณลดจากค่าควบคุมงานตามสัดส่วนด้วย นอกจากนี้ ในการกำหนดเงื่อนไขในการจัดหายานพาหนะของผู้รับจ้าง ให้พิจารณาเท่าที่จำเป็นต่อการดำเนินงานและเป็นไปโดยประหยัดงบประมาณด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
30870 | ขออนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ งานจ้างก่อสร้างเขื่อนหัวงาน และอาคารประกอบพร้อมอุโมงค์ส่งน้ำ โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดอุตรดิตถ์ | กษ | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. ให้กรมชลประทานดำเนินการจ้างเหมาก่อสร้างรายการเขื่อนหัวงานและอาคารประกอบพร้อมอุโมงค์ส่งน้ำ โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดอุตรดิตถ์ ภายในวงเงิน ๑,๑๙๓,๑๑๙,๔๘๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๑,๐๑๓,๑๑๙,๔๘๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - พ.ศ. ๒๕๕๙ ต่อไป ทั้งนี้ กรมชลประทานต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ เงื่อนไขและหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในทุกขั้นตอนโดยพิจารณาประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ๒. เนื่องจากกรมชลประทานได้กำหนดเงื่อนไขเฉพาะของการก่อสร้าง ข้อ ๗.๑๔ และ ๗.๑๕ ตามเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เลขที่ E กจ. ๐๒/๒๕๕๕ ให้ผู้รับจ้างจัดหายานพาหนะและเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่น ๆ สำหรับการควบคุมงานของผู้ว่าจ้าง จำนวน ๑๖,๓๗๘,๒๙๐ บาท เพื่อความคล่องตัวในการควบคุมงาน แต่โดยที่ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เป็นส่วนหนึ่งของค่าควบคุมงาน จึงขอให้นำไปคำนวณลดจากค่าควบคุมงานตามสัดส่วนด้วย นอกจากนี้ ในการกำหนดเงื่อนไขในการจัดหายานพาหนะของผู้รับจ้าง ให้พิจารณาเท่าที่จำเป็นต่อการดำเนินงานและเป็นไปโดยประหยัดงบประมาณด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
30871 | ขอความเห็นชอบจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานและลูกจ้างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่มีเงินเดือนหรือค่าจ้างถึงขั้นสูงของระดับตำแหน่ง | กก | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานและลูกจ้างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่มีเงินเดือนหรือค่าจ้างถึงขั้นสูงของระดับตำแหน่ง โดยให้มีผลสำหรับการเลื่อนขั้นเงินเดือนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (ผลงานปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้
๑. กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานและลูกจ้างหนึ่งขั้น ให้เบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๒ ของเงินเดือนหรือค่าจ้างขั้นสูงของระดับตำแหน่ง ๒. กรณีได้รับการประเมินเลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานและลูกจ้างหนึ่งขั้นครึ่ง ให้เบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๔ ของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ถึงขั้นสูงของระดับตำแหน่ง (โดยมีสัดส่วนของผู้ที่ได้รับเป็นจำนวนร้อยละ ๒๕ ของผู้ที่มีเงินเดือนเต็มขั้น) ๓. กรณีได้รับการประเมินเลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานและลูกจ้างสองขั้น ให้เบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๖ ของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ถึงขั้นสูงของระดับตำแหน่ง (โดยมีสัดส่วนของผู้ที่ได้รับเป็นจำนวนร้อยละ ๑๐ ของผู้ที่มีเงินเดือนเต็มขั้น) ๔. กรณีไม่ได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานและลูกจ้าง ให้เบิกจ่ายเงินเดือนในอัตราขั้นสูงของระดับตำแหน่งตามเดิม โดยการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษดังกล่าวไม่ถือเป็นเงินเดือนหรือค่าจ้างมีลักษณะเป็นการจ่ายชั่วคราว รวมทั้งไม่เป็นฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์อื่น ๆ แก่พนักงานและลูกจ้าง ซึ่ง ททท. ได้พิจารณาประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษดังกล่าวข้างต้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไว้แล้ว เป็นเงิน ๑,๓๘๐,๘๕๒ บาท ต่อปี |
|||||||||||||||||||||||||||
30872 | โครงการแก้ไขปัญหาสับปะรดปี 2555 | กษ | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้แก้ไขปัญหาผลผลิตสับปะรดปี ๒๕๕๕ มีราคาตกต่ำ โดยให้คณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลิตผลการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) ดำเนินการรับซื้อสับปะรดส่วนเกินออกนอกระบบ จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ ตัน ราคาสับปะรดคละ ณ จุดรับซื้อ กิโลกรัมละ ๔ บาท เพื่อนำไปทำอาหารสัตว์ ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ และจ้างโรงงานแปรรูปเป็นสับปะรดกระป๋อง จากเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดในจังหวัดแหล่งผลิตสับปะรด ๒๐ จังหวัด คือ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ระยอง ชลบุรี อุทัยธานี กาญจนบุรี ราชบุรี ชุมพร ลำปาง หนองคาย นครพนม ฉะเชิงเทรา ตราด พิษณุโลก เชียงราย อุตรดิตถ์ เลย ชัยภูมิ สุพรรณบุรี และจันทบุรี ระยะเวลาดำเนินการรับซื้อ ๑ เมษายน - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยใช้จ่ายจากงบสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (งบกลาง) วงเงิน ๑,๔๔๒.๕๘๐ ล้านบาท ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ค่าใช้จ่าย และรายละเอียดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน ทั้งนี้ ให้ คชก. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรขยายระยะเวลาโครงการเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการโรงงานแปรรูปเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาสับปะรด จากเดิมสิ้นสุดวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ และให้ คชก. ชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราร้อยละ ๓ เพิ่มอีก ๖ เดือน เป็นเงิน ๑๕ ล้านบาท นอกจากนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนการส่งเสริมการผลิตสับปะรดให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในแต่ละปี ในด้านการปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสมและมีศักยภาพ และมีแหล่งอุตสาหกรรมการแปรรูปรองรับในพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการปลูกสับปะรดที่กระจัดกระจายในหลายพื้นที่ และเพื่อลดการพึ่งพาตลาดหลักที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการรณรงค์ส่งเสริมการบริโภคสับปะรดและผลิตภัณฑ์ภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปดำเนินการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ในการจัดทำร่างแผนแม่บทในการป้องกันและแก้ไขปัญหาพืชผลทางการเกษตรชนิดต่าง ๆ ในระยะยาวทั้งระบบเพื่อรองรับการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน) |
|||||||||||||||||||||||||||
30873 | รายงานผลการระบายน้ำของเขื่อนเก็บน้ำขนาดใหญ่ ณ วันที่ 29 มีนาคม 2555 | กษ | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการระบายน้ำของเขื่อนเก็บน้ำขนาดใหญ่ ณ วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕ เขื่อนภูมิพลมีปริมาตรน้ำในอ่าง ๗,๘๘๗ ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ ๕๙ โดยมีปริมาณการระบายน้ำสะสมตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ จำนวน ๔,๙๓๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนเขื่อนสิริกิติ์มีปริมาตรน้ำในอ่าง ๕,๖๔๒ ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ ๕๙ โดยมีปริมาณการระบายน้ำสะสมตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ จำนวน ๓,๕๒๒ ล้านลูกบาศก์เมตร
|
|||||||||||||||||||||||||||
30874 | การเสนอรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อให้เป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ | ยธ | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเสนอชื่อนายอุดม มั่งมีดี ให้เป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามลำดับต่อไป ทั้งนี้ เมื่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ให้กระทรวงยุติธรรมรับไปดำเนินการตามมาตรา ๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อแต่งตั้งบุคคลดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
30875 | การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ | นร | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ชุดแรก ของคณะกรรมการบริหารสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ เมษายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. พลเอก เลิศรัตน์ รัตนวานิช ประธานกรรมการ ๒. นายถาวร ชลัษเฐียร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นางอัญชลี ชวนิชย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30876 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ | กค | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ แทนนางสาวนวพร เรืองสกุล ซึ่งจะพ้นจากตำแหน่งตามวาระ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
|
|||||||||||||||||||||||||||
30877 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง | นร | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองกรณีผู้ช่วยศาสตราจารย์ เสถียร วิพรมหา ให้ดำรงตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้การแต่งตั้งมีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ เมษายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
30878 | ขอความเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 20 | กต | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสาร จำนวน ๑ ฉบับ ได้แก่ วาระพนมเปญว่าด้วยการสร้างประชาคมอาเซียน (Phnom Penh Agenda for ASEAN Community Building) ซึ่งคาดว่าจะรับรองโดยผู้นำอาเซียน มีสาระสำคัญเพื่อจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายในการสร้างประชาคมอาเซียนอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามกำหนดเวลา อาทิ ความริเริ่มเพื่อการรวมตัวของอาเซียน ความเชื่อมโยง การบริหารจัดการภัยพิบัติ และความมั่นคงทางอาหาร ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๑.๒ ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การเสนอเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย)
|
|||||||||||||||||||||||||||
30879 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการประปานครหลวง | มท | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายชาย พานิชพรพันธุ์ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการการประปานครหลวง แทนนายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ที่ขอลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ เมษายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
30880 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร (จำนวน 12 คน) | พณ | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร จำนวน ๑๒ คน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ เมษายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายมงคล รักษาพัชรวงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๒. นายบุญสนอง รัตนสุนทรากุล ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ๓. นายพงศ์พันธ์ อนันต์วรณิชย์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ๔. นายสำเริง จักรใจ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๕. นายอุดมเกียรติ นนทแก้ว ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๖. นายธีรยศ เวียงทอง ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๗. นายกิตติ ตั้งจิตรมณีศักดา ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขานิติศาสตร์ ๘. นายอำพล ไมตรีเวช ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาเภสัชศาสตร์ ๙. นายชำนาญ ภัตรพานิช ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาเภสัชศาสตร์ ๑๐. นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาเศรษฐศาสตร์ ๑๑. นายวิชา ธิติประเสริฐ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาเกษตรศาสตร์ ๑๒. นายพงษ์ศักดิ์ วิบูลย์จันทร์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาวิทยาศาสตร์
|
.....