ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1550 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30981 - 31000 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30981 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2555 | กค | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน ๒,๓๕๐.๒๖๖ ล้านบาท และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน ๑,๒๖๓.๔๔๖ ล้านบาท ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๔ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ เพื่อให้เป็นไปตามนัยข้อ ๗(๓) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ พร้อมทั้งเห็นชอบให้ รฟท. และ ขสมก. นำความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในคราวประชุมพิจารณาข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของ รฟท. และ ขสมก. เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ไปดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งรัดการปรับโครงสร้างราคาค่าเดินรถ ค่าบริการที่สะท้อนต้นทุน การพิจารณาเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์ และการควบคุมค่าใช้จ่าย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับไปพิจารณาทบทวนการบริหารจัดการกิจการการรถไฟแห่งประเทศไทยในภาพรวม โดยเน้นการเพิ่มรายได้ การลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น การเพิ่มประสิทธิภาพ และการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากที่ดินและทรัพย์สินของ รฟท. ให้มีมูลค่ามากยิ่งขึ้น แล้วจัดทำเป็นแผนงาน/โครงการให้ชัดเจน โดยให้หารือรายละเอียดกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. เร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพให้แล้วเสร็จ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป โดยแผนฟื้นฟูดังกล่าวอาจแบ่งออกเป็นระยะ (Phase) และให้มีการวิเคราะห์เปรียบเทียบความเหมาะสมคุ้มค่าของทางเลือกในการลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้ชัดเจนและครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด เช่น กรณีการเช่า การซื้อ และการให้เอกชนเข้ามาดำเนินการรถประจำทาง (outsource) เป็นต้น ทั้งนี้ หากการดำเนินการตามแผนเรื่องใดมีความจำเป็นเร่งด่วนและมีผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง ให้กระทรวงคมนาคมนำเรื่องนั้นเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นการเฉพาะเรื่องก่อนได้ |
||||||||||||||||||||||||
30982 | การขยายเวลาพำนักในราชอาณาจักรไทย รวม 90 วัน สำหรับกรณีเดินทางเข้ามารับการรักษาพยาบาล | สธ | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการของการขยายเวลาพำนักในราชอาณาจักรไทย รวม ๙๐ วัน สำหรับกรณีชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าราชอาณาจักรเพื่อมารับการรักษาพยาบาล ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รับเรื่องนี้ไปบูรณาการในภาพรวมทั้งระบบร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อให้ครอบคลุมทั้งเรื่องการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นเลิศในผลิตภัณฑ์และการบริการด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาลในภูมิภาคเอเชีย (Medical Hub) และการส่งเสริมการท่องเที่ยว และอาจปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงภัยคุกคามด้านความมั่นคงด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เป็นประธานในการหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๖ วรรคสอง ที่บัญญัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี |
||||||||||||||||||||||||
30983 | ขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์ พื้นที่ป่าชายเลนเพื่อให้เทศบาลนครภูเก็ตสามารถดำเนินการโครงการก่อสร้างถนนสายหลักทางด้านใต้ (PH-RB-3A) ส่วนถนนยกระดับ (ระยะทางประมาณ 600 เมตร) | มท | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันให้เทศบาลนครภูเก็ตใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเลนคลองเกาะผี ตำบลวิชิต อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต เพื่อการดำเนินงานโครงการก่อสร้างถนนสายหลักทางด้านใต้ (PH-RB-3A) ส่วนถนนยกระดับ (ระยะทางประมาณ ๖๐๐ เมตร) โดยให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนมาบังคับใช้เป็นการเฉพาะราย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (เทศบาลนครภูเก็ต) ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างถนนสายหลักทางด้านใต้ (PH-RB-3A) ส่วนถนนยกระดับ (ระยะทางประมาณ ๖๐๐ เมตร) ตามโครงการพัฒนาเมืองหลักรอบที่ ๒ ระยะแรก ของเทศบาลนครภูเก็ตอย่างเคร่งครัด ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (เทศบาลนครภูเก็ต) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดมาตรการในการป้องกันการบุกรุกพื้นที่ พร้อมทั้งฟื้นฟูสภาพแวดล้อมป่าชายเลนบริเวณข้างเคียง การบูรณการแผนงาน/โครงการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการเพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาการขนส่งและจราจรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสงสุด การกำกับดูแลการก่อสร้าง และการปฏิบัติตามมาตรการลดผลกระทบทางสุขภาพที่มีต่อชุมชน โดยเฉพาะสำหรับนักเรียนโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์อย่างเคร่งครัด รวมทั้งการดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมในพื้นที่โครงการโดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ป่าชายเลนคลองเกาะผีที่เหลืออยู่อย่างเคร่งครัด การกำหนดให้มีการฟื้นฟูป่าชายเลนในพื้นที่ดังกล่าวภายหลังก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30984 | โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต | กค | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้มีการดำเนินโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต และให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนการเสนอโครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตลอดจนข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมธนารักษ์พิจารณาทบทวนผลการศึกษารายงานการวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการ โดยกำหนดสมมติฐานที่ใช้ในการประมาณการที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะการปรับปรุงประมาณการวงเงินลงทุนโครงการ รายได้ และผลตอบแทนของโครงการ การพิจารณารูปแบบธุรกิจที่สอดคล้องกับสภาพการแข่งขันและความต้องการของตลาด การบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการระหว่างภาครัฐและเอกชน ทางเลือกของรูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน รวมทั้งการกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการใช้ประโยชน์พื้นที่ของโครงการที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งและจราจรที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ให้กระทรวงการคลังประสานกระทรวงคมนาคมในเรื่องการใช้พื้นที่โครงการสำหรับการพัฒนาสถานีขนส่งรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัด เพื่อให้การศึกษาความเหมาะสมของโครงการมีความชัดเจน และสามารถกำหนดรูปแบบการใช้ประโยชน์พื้นที่ได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30985 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลปันแต และตำบลแหลมโตนด อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลปันแต และตำบลแหลมโตนด อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลปันแต และตำบลแหลมโตนด อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
30986 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การมุ่งเน้นอัตลักษณ์พื้นถิ่นอย่างสร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย" | สสป | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การมุ่งเน้นอัตลักษณ์พื้นถิ่นอย่างสร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การค้นหา กำหนดอัตลักษณ์ การทำให้เป็นที่ประจักษ์ และการรักษาอัตลักษณ์พื้นถิ่นให้คงอยู่สืบไป ได้แก่ ๑.๑ กำหนดองค์ประกอบการในการค้นหาอัตลักษณ์พื้นถิ่นและกระบวนการที่ต้องดำเนินการให้มีความชัดเจน โดยร่วมค้นหาโดยเน้นบทบาทความร่วมมืออย่างมีส่วนร่วมจากในพื้นที่เป็นหลัก ร่วมกันกำหนดประเด็นหลักของอัตลักษณ์พื้นถิ่นนั้น ๆ ทั้งพื้นที่ เพื่อให้เป็นเป้าหมายหลักเดียวกัน ร่วมกันกำหนดแผน กิจกรรม งบประมาณ และผู้รับผิดชอบ โดยใช้ความร่วมมือจาก ๕ ภาคีในพื้นที่ และร่วมกันชำระอัตลักษณ์ และขึ้นทะเบียน ๑.๒ ระบุอัตลักษณ์ในด้านต่าง ๆ ของแต่ละพื้นที่ให้ชัดเจน โดยอัตลักษณ์พื้นฐานที่ต้องระบุและกำหนดให้เป็นอัตลักษณ์ประจำท้องถิ่นตน อาจจะถูกค้นหามาจาก ๕ หมวดย่อย เช่น อัตลักษณด้านภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สถานภาพทางธรรมชาติ อัตลักษณ์ด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ตำนาน การละเล่น ดนตรี อัตลักษณ์ด้านโบราณสถาน โบราณวัตถุ และสถาปัตยกรรม อัตลักษณ์ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นและสิ่งประดิษฐ์ และอัตลักษณ์ด้านวิถีความเป็นอยู่ การใช้ชีวิต การแต่งกาย การใช้ภาษา วิธีคิด การตกแต่งบ้านและลักษณะรูปแบบที่พักอาศัย เป็นต้น ๑.๓ การรักษา สืบทอดอัตลักษณ์พื้นที่ถิ่นให้คงอยู่สืบไป โดยการแบ่งกลุ่มระดับในการพัฒนาอัตลักษณ์ให้ชัดเจนเพื่อกำหนดแผน รูปแบบในการพัฒนา ผู้รับผิดชอบ และงบประมาณ การให้บทบาทผู้ที่เกี่ยวข้องทั้ง ๕ ภาคีร่วมมือกันสืบทอดอัตลักษณ์พื้นที่ถิ่น การสร้างจิตสำนึก ความภูมิใจ โดยปลูกฝังความรู้ ความน่าชื่นชม น่าประทับใจ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์พื้นถิ่นในชุมชนทุกกลุ่มคนทุกเพศทุกวัยในพื้นที่ การกำหนดเนื้อหาและความสำคัญของอัตลักษณ์พื้นถิ่นของพื้นที่ที่ตนเองอาศัยอยู่ลงในหลักสูตรการศึกษา การสร้างบทบาทผู้สืบทอดอัตลักษณ์พื้นถิ่นให้แก่กลุ่มบุคคลต่าง ๆ ในชุมชน การจัดระดับผู้ประกอบการที่ให้ความสำคัญต่อการรักษาอัตลักษณ์พื้นถิ่น การสร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักและจดจำ (Branding) รวมทั้งการจัดทำฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และแผนที่อัตลักษณ์ไทยในพื้นถิ่นต่าง ๆ ๒. การใช้อัตลักษณ์พื้นถิ่นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ได้แก่ การส่งเสริมการสร้างผลิตภัณฑ์สินค้า ของที่ระลึกเกี่ยวกับอัตลักษณ์พื้นที่ที่มีลักษณะต่อยอด มีความคิดสร้างสรรค์ (Creative) การจัดแบ่งกลุ่มพื้นที่ (Zoning) เพื่อแสดงหรือสื่อถึงอัตลักษณ์พื้นถิ่นให้ชัดเจน การสร้างความต่อเนื่องของกิจกรรมส่งเสริมอัตลักษณ์ให้สม่ำเสมอทุกปี โดยภาครัฐให้การสนับสนุนงบประมาณแก่ท้องถิ่นในการสร้างกิจกรรมอันเป็นอัตลักษณ์พื้นถิ่นที่ได้ขึ้นทะเบียนรับรองแล้ว การสร้างคุณค่ามาตรฐานอัตลักษณ์พื้นถิ่นสู่คุณค่าอัตลักษณ์ระดับมาตรฐานสากล การสร้างพันธมิตรและเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมือระหว่างทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ทั้งในด้านธุรกิจ การค้าการลงทุน และสาธารณประโยชน์แก่สังคมหรือชุมชน รวมทั้งการมุ่งเน้นใช้อัตลักษณ์พื้นถิ่นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวในเวทีนานาชาติ
|
||||||||||||||||||||||||
30987 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอัตราการจัดเก็บเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) ต่อขีดความสามารถการค้ายางพาราของประเทศและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ" | สสป | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอัตราการจัดเก็บเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) ต่อขีดความสามารถการค้ายางพาราของประเทศและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับคณะกรรมการสงเคราะห์การทำสวนยาง คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ กรมวิชาการเกษตร สถาบันวิจัยยาง และผู้แทนสภาที่ปรึกษาฯ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. พิจารณาทบทวนอัตราการจัดเก็บเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) ที่เหมาะสม โดยไม่ควรจัดเก็บเกินอัตรากิโลกรัมละ ๑.๔๐ บาท โดยเปรียบเทียบจากอัตราที่ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน และผู้ประกอบการ คำนวณต้นทุนเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) ได้ชัดเจน เพื่อเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการและเป็นการเพิ่มรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง และเนื่องจากพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไม่ผ่านการเห็นชอบในสภาผู้แทนราษฎร จึงควรพิจารณายกเลิกการเก็บเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) ในอัตราการจัดเก็บตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การกำหนดอัตราการจัดเก็บเงินสงเคราะห์ ตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง) ๒. พิจารณากำหนดมาตรการในการปราบปรามและแก้ไขการลักลอบการส่งออกยางพาราโดยไม่จ่ายเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) ตามพรมแดนไทยทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มรายได้จากการเก็บเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) และให้เกิดความเป็นธรรมในการค้ายางพารา ๓. ปรับปรุงพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง พ.ศ. ๒๕๐๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยมอบอำนาจให้สถาบันระดับประเทศที่เป็นนิติบุคคลเป็นผู้คัดเลือกแต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับยางพาราเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนจากเกษตรกรที่แท้จริงในการมีส่วนร่วมกำหนดนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรชาวสวนยาง และการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) เพื่อให้นโยบายเรื่องยางพาราและการใช้เงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) มีประสิทธิภาพและมีความเป็นธรรม ๔. แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๘ ให้สามารถใช้เงินเพื่อพัฒนาองค์กรเกษตรกรที่เกี่ยวข้องกับสวนยางให้เข้มแข็ง โดยมาตรา ๑๘ (๓) จำนวนเงินนอกจาก (๑) และ (๒) ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ เป็นเงินที่จัดสรรไว้เพื่อสงเคราะห์เจ้าของสวนยามพระราชบัญญัตินี้ทั้งสิ้นและจะจ่ายเพื่อการอื่นใดมิได้ และจำนวนไม่เกินร้อยละ ๕ เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการของสถาบันเกษตรกรที่เป็นนิติบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับยางโดยตรง ให้เกษตรกรพึ่งพาตนเอง และส่วนที่เหลือให้นำไปพัฒนายางพาราให้ครบวงจรในการเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางอย่างเป็นระบบ ๕. แต่งตั้งและปรับโครงสร้างสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางชุดใหม่ ประกอบด้วยผู้ประกอบการและเกษตรกรเจ้าของสวนยางพาราในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น เพื่อกำหนดนโยบายด้านยางพาราให้เป็นที่น่าเชื่อถือ เป็นที่ยอมรับ และแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
|
||||||||||||||||||||||||
30988 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี กรณีขออนุมัติเงินงบกลางเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา | กค | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง ขออนุมัติเงินงบกลางเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา) โดยให้ยกเลิกข้อความในข้อ ๑ และให้ใช้ข้อความดังต่อไปนี้ แทน “๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) ดำเนินการจ่ายเงินเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดกรณีการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) ร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเจรจาขอผ่อนผันการชำระหนี้ดังกล่าวกับบริษัทผู้ฟ้องคดี เพื่อมิให้เกิดผลกระทบกับการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยให้คำนึงถึงระยะเวลาการผ่อนชำระหนี้และภาระดอกเบี้ยด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง" ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวข้างต้นเพื่อดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในการละเมิด ตามนัยพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และการดำเนินการไล่เบี้ยความเสียหายในการชำระหนี้ดังกล่าวจากเอกชนคู่สัญญาที่เป็นต้นเหตุของความเสียหายในครั้งนี้ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และรายงานคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
30989 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 | กต | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๑ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๗ - ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ ณ สาธารณรัฐเกาหลี สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศฯ ๑.๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้าสาธารณรัฐเกาหลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย กัมพูชา สปป.ลาว เวียดนาม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมียนมาร์ ได้เข้าร่วมการประชุม ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบกำหนดสาขาความร่วมมือ ได้แก่ (๑) การเชื่อมโยงประชาคมอาเซียน ซึ่งรวมถึงการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (๒) ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา โดยเน้นด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการน้ำ และ (๓) การพัฒนาโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งรวมถึงการพัฒนาด้านการเกษตร การพัฒนาชนบทและความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ๑.๑.๒ ที่ประชุมชื่นชมที่สาธารณรัฐเกาหลีแสดงเจตนารมณ์ที่จะเพิ่มความช่วยเหลือให้อาเซียนเป็นสองเท่าภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และชื่นชมความมุ่งมั่นของไทยในการให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาแก่ภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ๑.๑.๓ ที่ประชุมสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในโครงการความร่วมมือต่าง ๆ และมีการประสานความร่วมมือกับกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อนและเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรให้เป็นประโยชน์สูงสุด ๑.๑.๔ ที่ประชุมเห็นชอบให้จัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลีเป็นประจำทุกปีต่อเนื่องกับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวเนื่อง โดยสาธารณรัฐเกาหลีจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศฯ ทุก ๓ ปี และมีประเทศลุ่มน้ำโขง ๑ ประเทศกับสาธารณรัฐเกาหลีเป็นประธานร่วม ซึ่งการประชุมครั้งต่อไปจะจัดขึ้นต่อเนื่องกับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่ประเทศกัมพูชา โดย สปป.ลาว จะทำหน้าที่ประธานร่วม (co - chair) ในส่วนของประเทศลุ่มน้ำโขง ๑.๑.๕ ที่ประชุมได้รับรองปฏิญญาแม่น้ำฮันเพื่อสถาปนาความเป็นหุ้นส่วนนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี (Han-River Declaration of Establishing the Mekong-ROK Comprehensive Partnership for Mutual Prosperity) ซึ่งเป็นเอกสารผลการประชุมที่กำหนดกรอบแนวทางความร่วมมือภายใต้ความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลีในอนาคต โดยมอบหมายให้คณะเจ้าหน้าที่อาวุโสความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลีไปหารือเกี่ยวกับการจัดทำร่างแผนปฏิบัติการเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่ระบุในปฏิญญาฯ ๑.๑.๖ ที่ประชุมได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสไปหารือเกี่ยวกับการจัดทำแผนปฏิบัติการต่อไป เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามปฏิญญาฯ ทันการประชุมรัฐมนตรีครั้งต่อไปในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ บทบาทของไทยในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศฯ ไทยได้ย้ำบทบาทของไทยในฐานะประเทศที่ให้ความช่วยเหลืออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และแสดงความพร้อมที่จะร่วมมือกับสาธารณรัฐเกาหลีในการพัฒนาประเทศลุ่มน้ำโขงอื่น ๆ ให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน โดยใช้ไทยเป็นศูนย์ฝึกอบรม พร้อมทั้งขอบคุณสาธารณรัฐเกาหลี กัมพูชา และ สปป.ลาว ที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในประเทศไทย และเสนอให้มีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Green Growth) นอกจากนี้ ไทยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย การเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร โดยเสนอให้มีการถ่ายทอดความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างสาธารณรัฐเกาหลีและประเทศลุ่มน้ำโขงในเรื่องดังกล่าวให้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการส่งเสริมความมั่นคงมนุษย์ ซึ่งรวมถึงการร่วมมือกันแก้ไขผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดการภัยพิบัติ การป้องกันยาเสพติด และยินดีกับพัฒนาการทางการเมืองในพม่าที่เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นภายหลังการเลือกตั้งและสนับสนุนกระบวนการสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลีภายใต้กรอบการเจรจา ๖ ฝ่าย ๒. เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศประสานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการในทั้ง ๓ สาขา ตามปฏิญญาแม่น้ำฮันเพื่อสถาปนาความเป็นหุ้นส่วนนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี และข้อเสนอของไทยในประเด็นที่เกี่ยวข้องเพื่อยืนยันสถานะและบทบาทของไทยที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาอนุภูมิภาคแม่น้ำโขงทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม และบทบาทผู้มีส่วนพัฒนาร่วมกับสาธารณรัฐเกาหลีในกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี
|
||||||||||||||||||||||||
30990 | การดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา | ศธ | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ การเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพาในครั้งนี้ เป็นการขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ขออนุมัติหลักการและงบประมาณในการดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา) เดิม จากการจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) เป็น การทำสัญญากับบริษัทที่รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนคัดเลือก ซึ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า การจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐ นั้น ไม่มีกฎหมายหรือนิยามกำหนดเป็นการเฉพาะไว้ จึงขึ้นอยู่กับความตกลงร่วมกันระหว่างประเทศที่ได้ทำความเข้าใจไว้ว่า จะดำเนินการในลักษณะใด ซึ่งกรณีนี้เป็นการดำเนินการจัดซื้อกับบริษัทที่สาธารณรัฐประชาชนจีนจัดส่งรายชื่อมาให้รัฐบาลไทยดำเนินการคัดเลือก และในท้ายที่สุดรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนจะได้มีหนังสือรับรองและทราบการดำเนินการคัดเลือก และการจัดทำสัญญากับบริษัทดังกล่าว การดำเนินการจัดซื้อกับบริษัทโดยตรงจึงเป็นไปตามความประสงค์ของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนและเป็นประโยชน์แก่ประเทศไทย ซึ่งยังอยู่ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือในสาขาการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย คณะรัฐมนตรีจึงสามารถเสนอรายชื่อมาให้คัดเลือกได้ แทนวิธีการจัดซื้อระหว่างรัฐต่อรัฐโดยตรงตามมติคณะรัฐมนตรีเดิม ๑.๒ ในประเด็นเรื่องการจัดซื้อตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ นั้น เนื่องจากการจัดซื้อกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนในกรณีนี้ คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุได้ให้การยกเว้นไว้แล้ว การจัดซื้อจึงไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุฯ เมื่อเป็นการจัดซื้อโดยคัดเลือกบริษัทที่รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเสนอ โดยมีหลักเกณฑ์วิธีการในการดำเนินการจัดซื้อเป็นกรณีเฉพาะสำหรับกรณีนี้ ซึ่งดำเนินการโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงสามารถดำเนินการได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ยังมีส่วนอื่นที่ยังคงต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุฯ เช่น การจัดหาหลักประกัน เป็นต้น ตามความเห็นของคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ๒. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบาย ๑ คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ต่อ ๑ นักเรียน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการบริหารนโยบาย ๑ คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ต่อ ๑ นักเรียนเสนอ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) แบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ที่เสนอโดยกระทรวงศึกษาธิการ และคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยให้เป็นไปตามรูปแบบที่เป็นผลจากการเจรจากับฝ่ายจีน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานต่อคณะกรรมการบริหารนโยบาย ๑ คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ต่อ ๑ นักเรียน กล่าวคือ ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงทำความเข้าใจในการดำเนินการเพื่อความร่วมมือด้านการพัฒนาการศึกษาและทรัพยากรบุคคลในประเทศไทยในเรื่องการเข้าถึงเทคโนโลยีการสื่อสารและอุปกรณ์ทันสมัย [คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต)] โดยฝ่ายจีนตกลงที่จะจัดหา (Recommend) รายชื่อบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ตามคุณสมบัติเฉพาะ และขอบเขตของงาน (TOR) สำหรับการจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) เพื่อให้ฝ่ายไทยดำเนินการคัดเลือกบริษัทหนึ่งบริษัท และเมื่อฝ่ายไทยได้คัดเลือกบริษัทที่เหมาะสมหนึ่งบริษัทแล้ว ต้องแจ้งให้ทางการจีนทราบผลการคัดเลือก และหลังจากนั้นฝ่ายไทยจึงเจรจาจัดทำความตกลงจัดซื้อคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) กับบริษัทนั้นโดยตรงต่อไป ๒.๒ กรณีมีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อมิให้เกิดความล่าช้า เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและประโยชน์ต่อการศึกษาของชาติ เห็นชอบตามกระบวนการและขั้นตอนการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องที่ได้ดำเนินการไว้แล้ว ๒.๓ เห็นชอบให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดทำความตกลงจัดซื้อคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) กับบริษัทผู้ขายของจีนที่ได้รับคัดเลือกตามกระบวนการและขั้นตอนที่ได้ดำเนินการไว้ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนตามบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยความร่วมมือในสาขาการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย ลงนามเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ค.ศ. ๒๐๑๑ ทั้งนี้ โดยสอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบของทางการไทยและจีน และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารลงนามความตกลงจัดซื้อฯ ที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้พิจารณาตรวจสอบแล้ว กับบริษัทจีนที่ได้รับคัดเลือก ๓. สำหรับกรณีการยกเว้นภาษีอื่น ๆ ทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการในครั้งนี้ รวมทั้งการขนส่งระหว่างประเทศและสถานที่จัดเก็บในประเทศไทย ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ และคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๔. ในส่วนของร่างความตกลง/ร่างสัญญาซื้อขายเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) หากสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาแล้วยังคงเป็นไปตามแนวทางตัวอย่างร่างสัญญาที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุกำหนด โดยไม่มีข้อแตกต่างในสาระสำคัญก็ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากสำนักงานอัยการสูงสุดได้แก้ไขร่างความตกลง/ร่างสัญญาฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการลงนามต่อไป โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ และคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ไปพิจารณาประกอบการลงนามในร่างความตกลง/ร่างสัญญาฯ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30991 | ผลการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2555 | นร | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการกำหนดมาตรการเพื่อกำกับดูแลราคาสินค้าและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มอบกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการจัดทำรายการสินค้าเฝ้าระวัง โดยคำนึงถึงแนวโน้มราคา ปริมาณที่ออกสู่ตลาด และปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาพอากาศ เป็นต้น เพื่อให้สามารถมีมาตรการรองรับได้ทันท่วงที รวมทั้งศึกษาโครงการต้นทุนราคาสินค้าที่เป็นธรรม เพื่อให้ราคาสินค้าต้นทางและปลายทางมีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยร่วมศึกษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงาน เป็นต้น ๑.๒ มอบกระทรวงพาณิชย์ดำเนินมาตรการกระจายสินค้าราคาประหยัด (ธงฟ้า) ให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาสินค้าจำเป็นมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น และขอความร่วมมือภาคเอกชนในการชะลอการขึ้นราคาสินค้าจำเป็น และดำเนินการประกาศราคาที่เป็นธรรมให้ประชาชนได้ทราบอย่างต่อเนื่องและทันท่วงที ๑.๓ มอบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษาสินค้าเกษตรเป็นรายสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่มีความสำคัญ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์ รวมทั้งใช้เป็นข้อมูลประกอบการประมาณการผลผลิตสินค้าเกษตรที่จะออกสู่ตลาดตามช่วงฤดูกาลต่าง ๆ และเฝ้าระวังเพื่อหามาตรการรองรับได้ทันท่วงที พร้อมทั้งปฏิบัติงานร่วมกับกระทรวงต่าง ๆ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อศึกษาความต้องการซื้อสินค้า และนำมากำหนดนโยบายการส่งเสริมการปลูกพืชชนิดต่าง ๆ และร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อระบายวัตถุดิบทางการเกษตรกรณีสินค้าล้นตลาด โดยการจับคู่ระหว่างสินค้าเกษตรกับโรงงานที่ต้องการวัตถุดิบ เป็นต้น ๑.๔ มอบกระทรวงแรงงานและกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการจากต้นทุนแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะโครงการฝึกอบรมเพิ่มทักษะให้แก่ผู้ประกอบการและแรงงาน เป็นต้น ๑.๕ มอบกระทรวงการคลังเร่งรัดพิจารณาและศึกษาโครงสร้างภาษีทั้งระบบ โดยอาจพิจารณาความจำเป็นในการปรับโครงสร้างภาษีของสินค้าประเภทฟุ่มเฟือย และพิจารณาขยายระยะเวลาของมาตรการลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ๑.๖ มอบกระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักในการรณรงค์และสร้างความตระหนักของทุกภาคส่วนในการดำเนินมาตรการประหยัดพลังงาน ทั้งนี้ ให้ภาครัฐเป็นหน่วยงานนำร่อง โดยขอให้ทุกกระทรวงดำเนินมาตรการประหยัดพลังงานให้ได้อย่างน้อยร้อยละ ๑๐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๗ มอบสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเร่งรัดมาตรการการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายเงินให้กับระบบเศรษฐกิจ ๑.๘ มอบกรมประชาสัมพันธ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับทุกกระทรวงในการประชาสัมพันธ์มาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการ รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน และสร้างจิตสำนึกของประชาชนในการประหยัดพลังงาน ๒. ในส่วนของมาตรการกระจายสินค้าราคาประหยัด (ธงฟ้า) ให้เปลี่ยนเป็นมาตรการกระจายสินค้าราคาประหยัด (ร้านถูกใจ)
|
||||||||||||||||||||||||
30992 | ขออนุมัติต่ออายุสัญญาเงินกู้วงเงิน 800 ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไปอีก ๑ ปี ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) สำหรับใช้ในกรณีที่ รฟท. อาจขาดเงินทุนหมุนเวียนในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อไม่ให้กระทบต่อการดำเนินงาน โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้ รฟท. ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการเพื่อฟื้นฟูฐานะการเงิน เน้นการเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์ควบคู่ไปกับการควบคุมและลดค่าใช้จ่ายลงเพื่อบรรเทาภาวะการขาดสภาพคล่องทางการเงินในระยะยาว และเนื่องจาก รฟท. มีโครงการที่จะต้องดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว โดยใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมากทั้งโครงการปรับปรุงทาง โครงการรถไฟทางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูง จึงเห็นควรเร่งรัดพิจารณาแผนการปรับโครงสร้างองค์กร แผนการปรับปรุงประสิทธิภาพและศักยภาพการให้บริการ และแผนการบริหารจัดการหน่วยธุรกิจของ รฟท. เพื่อให้สามารถสร้างรายได้ที่เพียงพอกับการชำระหนี้ที่มีอยู่เดิมและภาระการลงทุนในอนาคต แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30993 | ขออนุมัติงบกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการลดค่าครองชีพไทยช่วยไทย | พณ | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการลดค่าครองชีพไทยช่วยไทย ประกอบด้วย โครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” และโครงการมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพไทยช่วยไทย ระยะเวลา ๖ เดือน ในช่วงเดือนเมษายน - กันยายน ๒๕๕๕ โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๑,๖๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” จำนวน ๑,๓๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และโครงการมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพไทยช่วยไทย จำนวน ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้กระทรวงพาณิชย์ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในส่วนของโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” เห็นควรกำหนดวิธีการที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถกระจายสินค้าให้แก่ประชาชนให้ทั่วถึงมากที่สุด และป้องกันมิให้เกิดการกักตุนสินค้า กำหนดวิธีการคัดเลือกร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการที่ชัดเจน โปร่งใสและเป็นธรรม และพิจารณาถึงผลกระทบต่อรายได้ของร้านค้าในชุมชนอื่นที่ไม่ได้รับคัดเลือก รวมทั้งเห็นควรประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจผู้เข้าร่วมโครงการโดยใช้หลักการ Corporate Social Responsibility : CSR หรือการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักจริยธรรมและการจัดการที่ดีโดยรับผิดชอบสังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับไกลและใกล้อันนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ยึดหลักการ ดังนี้ ๒.๑ การพิจารณากำหนดรายการสินค้าควรเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนผู้บริโภค โดยเฉพาะสินค้าหมวดของใช้ ๘ รายการ ได้แก่ สบู่ ยาสีฟัน แชมพู ผงซักฟอก แป้งผงโรยตัว น้ำยาล้างจาน ผ้าอนามัย ยากำจัดยุงและแมลง ต้องมีความยืดหยุ่นในการพิจารณารายการสินค้าดังกล่าวให้เหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง และต้องดำเนินการให้สินค้าที่จำเป็นดังกล่าวมีราคาจำหน่ายถูกกว่าราคาจำหน่ายปลีกในตลาด รวมทั้งมีคุณภาพและปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนด้วย ๒.๒ การคัดเลือกร้านค้าเข้าร่วมโครงการต้องมีกระบวนการและหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน เป็นธรรม และทั่วถึง เพื่อให้สินค้าต่าง ๆ เข้าถึงประชาชนผู้บริโภคอย่างแท้จริง และให้พิจารณาใช้ร้านโชห่วย ร้านค้าชุมชน ตลอดจนช่องทางการกระจายสินค้าที่มีอยู่เดิมด้วย ทั้งนี้ หากร้านค้าใดปฏิบัติไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดก็ต้องดำเนินการยกเลิกและมีบทลงโทษด้วย ๒.๓ โครงการดังกล่าวจะมีการจ้างบุคลากรในการติดตามดูแลการจำหน่ายของร้านโชห่วยและร้านอาหาร จำนวน ๑,๐๐๐ คน จึงควรมีการจัดการฝึกอบรม ชี้แจง ทำความเข้าใจให้ถูกต้องตรงกัน เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๔ การดำเนินโครงการจะต้องกำหนดกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนและเป็นการดำเนินการชั่วคราวในระยะสั้น เพราะในระยะยาวจะส่งผลกระทบเป็นการบิดเบือนกลไกตลาด ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์กำกับติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการแล้วรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีทุกเดือนด้วย ๓. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงพาณิชย์แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพประชาชน โดยให้พิจารณากำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าวให้ถูกต้อง ครบถ้วน และสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
30994 | เอกสารแถลงข่าวร่วม (Joint Press Statement) ในการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | กต | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงข่าวร่วมไทย - เกาหลีใต้ ที่ฝ่ายเกาหลีใต้ได้ส่งให้ไทยเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๕ และนายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเยือนเกาหลีใต้อย่างเป็นทางการในวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๕ โดยจะรับรองเอกสารแถลงข่าวร่วมฯ กับฝ่ายเกาหลีใต้ในช่วงการเยือนดังกล่าว ทั้งนี้ เอกสารผลลัพธ์การเยือนดังกล่าวมีสาระสำคัญเพื่อเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ร่วมและการแสดงความมุ่งมั่นของผู้นำทั้งสองฝ่ายที่กระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้ใกล้ชิดมากขึ้น และมุ่งที่จะส่งเสริมความร่วมมือทั้งในกรอบทวิภาคี ภูมิภาค และระหว่างประเทศที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ๒. อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีรับรองแถลงข่าวร่วมฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแถลงข่าวร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||
30995 | การรักษาเสถียรภาพราคายาง | กษ | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยองค์การสวนยางกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐ เพื่อดำเนินงานตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน และยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันเงินกู้ตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๕ ส่วนค่าบริหารโครงการเห็นควรอนุมัติให้องค์การสวนยางใช้จ่ายจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามแผนการใช้จ่ายเงิน (เมษายน - กันยายน ๒๕๕๕) ภายในกรอบวงเงิน จำนวน ๑๔๘ ล้านบาท และขอทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับแผนการดำเนินงานส่วนที่เหลือในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้เงินทุนหมุนเวียนในการรับซื้อยางพาราแปรรูปและจำหน่ายในระยะเวลาที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพของตลาดอย่างต่อเนื่อง และควรดำเนินการให้ครอบคลุมสถาบันเกษตรกรทั่วทั้งประเทศที่กระจายตัวอยู่ในภาคต่าง ๆ ทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรผู้ปลูกยางอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. อนุมัติให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะบรรจุเงินกู้ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ |
||||||||||||||||||||||||
30996 | มาตรการลดใช้พลังงานภาครัฐ | พน | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการลดใช้พลังงานภาครัฐ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดเป้าหมายของมาตรการลดใช้พลังงานลงให้ได้อย่างน้อย ๑๐% ๑.๒ มาตรการระยะสั้น ๑.๒.๑ ให้ตัวชี้วัด (Key Performance Index : KPI) “ระดับความสำเร็จของการดำเนินการตามมาตรการประหยัดพลังงาน” เป็นหนึ่งในกรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการต่อไป โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒.๑.๑ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนดให้ผลการประหยัดพลังงานเป็นตัววัดประสิทธิภาพของปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้บริหารระดับสูงของทุกหน่วยงาน รวมถึงรัฐวิสาหกิจ องค์การปกครองท้องถิ่น หน่วยงานตุลาการ หน่วยงานรัฐสภา และโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒.๑.๒ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานร่วมกันพิจารณากำหนดเกณฑ์ที่จะใช้สำหรับการประเมินผล ๑.๒.๑.๓ ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเป็นเจ้าภาพหลักในการติดตามผลและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ ๑.๒.๒ ลดการใช้พลังงานลงอย่างน้อยร้อยละ ๑๐ ๑.๒.๒.๑ ให้ทุกหน่วยงานกำหนดเป้าหมายลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงลงร้อยละ ๑๐ โดยเทียบกับปริมาณการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒.๒.๒ ถ้าหน่วยงานใดมีผลการใช้ไฟฟ้าและหรือน้ำมันเชื้อเพลิงในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพิ่มขึ้น จากปริมาณการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยไม่มีเหตุผลสมควร หน่วยงานนั้นต้องลดการใช้พลังงานลง ๑๕% จากปริมาณการใช้ไฟฟ้าและหรือน้ำมันเชื้อเพลิงของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ ๑.๒.๒.๓ ดำเนินการตามแนวทางประหยัดพลังงานในหน่วยงานภาครัฐ ๑.๒.๒.๔ มาตรการลดใช้ไฟฟ้า ได้แก่ การจัดซื้ออุปกรณ์/เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดต้องเป็นอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน การกำหนดเวลาเปิดปิดเครื่องปรับอากาศ เช่น ๐๘.๓๐ - ๑๖.๓๐ น. และปรับอุณหภูมิให้อยู่ที่ ๒๕ - ๒๖ องศาเซลเซียส รวมถึงตั้งงบประมาณล้างเครื่องปรับอากาศเป็นประจำทุก ๖ เดือน โดยห้ามปรับเปลี่ยนงบประมาณไปใช้ในเรื่องอื่น และการกำหนดการใช้ลิฟต์ให้หยุดเฉพาะชั้น เช่น การหยุดเฉพาะชั้นคู่หรืออาจจะสลับให้มีการหยุดเฉพาะชั้นคี่ และปิดลิฟต์บางตัวในช่วงเวลาที่มีการใช้งานน้อย และรณรงค์ขึ้น - ลงชั้นเดียวไม่ใช้ลิฟต์ ๑.๒.๒.๕ มาตรการลดใช้น้ำมัน ได้แก่ ให้มีระบบ Car Pool : หน่วยราชการระดับกรมที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันให้จัดระบบการใช้รถแบบรวมศูนย์เพื่อให้มีการใช้รถอย่างประหยัดและประสิทธิภาพสูง กำชับพนักงานขับรถยนต์ให้ขับรถในอัตราความเร็วยานพาหนะที่พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ กำหนด รวมทั้งรถเบนซินราชการและรัฐวิสาหกิจทุกคันในจังหวัดที่มีก๊าซโซฮอล์จำหน่าย ต้องใช้ก๊าซโซฮอล์ และหากมี NGV จำหน่ายให้ติดตั้ง NGV ควบคู่ไปด้วย โดยเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มี NGV ให้เติม NGV และอยู่นอกพื้นที่ให้เติมก๊าซโซฮอล์ ๑.๓ มาตรการระยะยาว ๑.๓.๑ กำหนดให้ “อาคารของรัฐที่เข้าข่ายเป็นอาคารควบคุม” ก่อนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประมาณ ๘๐๐ แห่ง เร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานไม่ให้เกิน “ค่ามาตรฐานการจัดการใช้พลังงาน” ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อเป็นตัวอย่างในการจัดการอาคารของเอกชนที่เข้าข่ายเป็นอาคารควบคุม ๑.๓.๒ ให้สำนักงบประมาณจัดทำข้อกำหนดและเงื่อนไขเพื่อหน่วยงานราชการสามารถจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือยานพาหนะใหม่มาใช้ทดแทนของเดิมที่มีอายุการใช้งานมานาน เสื่อมสภาพ และสิ้นเปลืองพลังงาน รวมถึงการจัดการอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือยานพาหนะเดิม เพื่อมิให้มีการนำไปใช้ในที่อื่น โดยการจัดการนั้นต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นถือปฏิบัติและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้กระทรวงพลังงานขอความร่วมมือภาคเอกชนในการประหยัดการใช้พลังงานด้วย ทั้งนี้ ให้ทุกหน่วยงานรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ การลดการใช้พลังงานมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ให้เกิดความประหยัดเท่าที่จำเป็น โดยมิได้มุ่งที่จะตัดทอนรายการค่าใช้จ่ายโดยตรง ๒.๒ การใช้วิธีการเปลี่ยนอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีอายุใช้งานมานาน เสื่อมสภาพ หรือชำรุดแทนวิธีการซ่อมบำรุงของเดิมอาจช่วยให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า ๒.๓ กรณีหน่วยงานใดพบว่ามีอัตราการใช้พลังงาน (เช่น ค่าน้ำและค่าไฟฟ้า) เพิ่มสูงขึ้นมากเป็นลำดับ ควรเร่งตรวจสอบอุปกรณ์และระบบสาธารณูปโภคของหน่วยงาน แล้วดำเนินการแก้ไขปรับปรุงเพื่อลดการใช้พลังงานต่าง ๆ โดยเร็ว ๓. ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
30997 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศกระทรวงการคลังฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ปรับปริมาณค่ากำมะถันของน้ำมันดีเซล ในประเภทที่ ๐๕.๐๑ (๑) จากเดิมที่มีปริมาณกำมะถันเกินร้อยละ ๐.๐๓๕ โดยน้ำหนัก เป็นที่มีปริมาณกำมะถันเกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก และ (๒) จากเดิมที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๓๕ โดยน้ำหนัก เป็นมีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ๒. ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีน้ำมันดีเซล ในประเภทที่ ๐๑.๐๕ (๒) น้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๓๕ ซึ่งจะต้องปรับปริมาณค่ากำมะถันในครั้งนี้เป็นไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราตามปริมาณลิตรละ ๐.๐๐๕ บาท และ (๕) น้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราตามปริมาณลิตรละ ๐.๐๐๕ บาท ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||||||||
30998 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลางรายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๑๑๕,๑๔๙.๙๗๓ ล้านบาท โดยมีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม (ตุลาคม ๒๕๕๔ - กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕) จำนวน ๔๑,๘๐๘.๖๙๕ ล้านบาท ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการแล้ว มีการเบิกจ่ายสะสม จำนวน ๓๗,๒๑๒.๒๙๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๙.๐๑ ของแผนการใช้จ่ายสะสม ๑.๑.๒ สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ ๑.๑.๒.๑ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่าย ประกอบด้วย ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่ายเนื่องจากยังไม่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ จำนวน ๒๓ หน่วยงาน และส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ แต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย จำนวน ๕ หน่วยงาน ๑.๑.๒.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนการใช้จ่ายสะสม ประกอบด้วย ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๓๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนฯ จำนวน ๑๐ หน่วยงาน จำนวน ๔๘๘.๖๓๘๗ ล้านบาท ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมระหว่างร้อยละ ๓๐ ถึง ๕๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนฯ จำนวน ๗ หน่วยงาน จำนวน ๔๘๓.๐๔๔๓ ล้านบาท และส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมระหว่างร้อยละ ๕๐ ถึง ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนฯ จำนวน ๖ หน่วยงาน จำนวน ๑๑๖.๙๓๕๐ ล้านบาท ๑.๑.๒.๓ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมสูงกว่าร้อยละ ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนฯ จำนวน ๑๒ หน่วยงาน วงเงิน ๓๖,๑๑๒.๖๓๘๑ ล้านบาท ๑.๒ ให้รัฐมนตรี ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๑.๒.๑ กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่ายเนื่องจากยังไม่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้เร็วกว่าที่กำหนดไว้ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยได้อย่างเหมาะสม ๑.๒.๒ กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนฯ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง และ/หรือทำสัญญา รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่กำหนดไว้ และหากไม่สามารถดำเนินการได้ ให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงโดยด่วนภายในวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๓ กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายสะสมสูงกว่าร้อยละ ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนฯ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง ตามความจำเป็นและเหมาะสม ในกรณีที่วงเงินจัดซื้อจัดจ้างต่ำกว่าวงเงินที่ได้รับจัดสรร ให้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณคืนสำนักงบประมาณโดยด่วนภายใน ๑๕ วัน ๑.๒.๔ กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจได้ลงนามในสัญญาเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมิได้ดำเนินการบันทึกข้อมูลการลงนามในสัญญาจัดซื้อ หรือ Purchase Order : PO ในระบบระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์” หรือ ระบบ Government Fiscal Management System : GFMIS ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดส่วนราชการและรัฐวิสากิจดังกล่าวดำเนินการบันทึกข้อมูลการลงนามในสัญญา (PO) ในระบบ GFMIS โดยด่วนภายใน ๓ วัน เพื่อใช้ติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการในลำดับต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการ จังหวัด และผู้เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการบันทึกข้อมูลในระบบการติดตามความก้าวหน้าในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยผ่านเว็บไซต์ www.pmocflood.com ให้เป็นปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะได้ประมวลผลและบูรณาการข้อมูลดังกล่าวกับแผนของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยต่อไป ๓. ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้วรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการต่อคณะรัฐมนตรีทุกสัปดาห์ โดยให้ส่งเรื่องถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในวันศุกร์เพื่อดำเนินการนำเสนอคณะรัฐมนตรีในวาระปกติ
|
||||||||||||||||||||||||
30999 | สรุปผลการพิจารณาแผนงาน/โครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือฟื้นฟู เยียวยาฯ ที่ผ่านความเห็นชอบจาก กฟย. | นร | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามผลการพิจารณาทบทวนแผนงาน/โครงการฟื้นฟู เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ยกเลิกไม่ดำเนินการโครงการที่มีความซ้ำซ้อน ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และเป็นภารกิจปกติของหน่วยงานในงานทางที่มีวงเงินสูงและเป็นลักษณะปรับปรุงขนาดใหญ่ จำนวน ๓,๘๘๖.๐๘๓๒ ล้านบาท ๒. โครงการที่เห็นควรนำไปเสนอเพื่อใช้เงินกู้ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๗,๘๔๔.๒๒๖๙ ล้านบาท ได้แก่ โครงการลักษณะก่อสร้างใหม่ หรือปรับปรุงให้มีสถานะดีขึ้น และโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาลักษณะยั่งยืน ๓. โครงการที่เห็นควรใช้จากโครงการช่วยเหลือฟื้นฟูความเสียหายจากภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ และสาธารณภัย วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่ตั้งงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ไว้ที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จำนวน ๑,๕๗๑.๔๗๕๓ ล้านบาท ได้แก่ โครงการที่ดำเนินการโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๔. โครงการที่ขอให้จังหวัดพิจารณาทบทวน วงเงิน ๕,๐๒๐.๐๔๒๒ ล้านบาท ได้แก่ งานด้านน้ำที่มีลักษณะดำเนินการเป็นจุด ๆ ซึ่งจะไม่มีผลต่อการระบายน้ำในภาพรวมของลุ่มน้ำสาขาและลุ่มน้ำย่อย และโครงการที่มีลักษณะดำเนินการในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
|
||||||||||||||||||||||||
31000 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 3/2555 | นร | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต โดยได้พิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีตามผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ จังหวัดภูเก็ต และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม และรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร./สทท. จำนวน ๘ เรื่อง ได้แก่ ๒.๑.๑ โครงการขยายถนนฝั่งอันดามัน (ทางหลวงหมายเลข ๔) ให้เป็นถนน ๔ ช่องทางจราจรทั้งระบบ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาเร่งรัดดำเนินการโครงการดังกล่าว ตั้งแต่แยกปฐมพร จังหวัดชุมพร - ระนอง - พังงา - ตรัง เชื่อมทางหลวงหมายเลข ๔๐๔ - หมายเลข ๔๑๖ และหมายเลข ๔๑๘๔ - ด่านวังประจัน จังหวัดสตูล โดยให้ยึดเส้นทางเพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเป็นหลัก และคำนึงถึงหลักความปลอดภัยในการเดินทางของนักท่องเที่ยวและประชาชน ๒.๑.๒ โครงการรถไฟทางคู่ภาคใต้ (เส้นทางกรุงเทพฯ - ชุมพร - สุไหงโก-ลก และปาดังเบซาร์) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการพัฒนาเร่งรัดระบบโครงการรถไฟทางคู่ภาคใต้ (เส้นทางกรุงเทพฯ - ชุมพร - สุไหงโก-ลก และปาดังเบซาร์) ให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาระบบรางและรถไฟความเร็วสูงที่กระทรวงคมนาคมได้ศึกษาไว้ รวมทั้งเร่งรัดการดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางรางให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๒.๑.๓ โครงการ “ทางรถไฟสายอันดามัน” ที่ประชุมมีมติให้ สทท. ศึกษาความเป็นไปได้ และจัดทำรายละเอียดของโครงการทั้งปริมาณการขนส่ง ผู้โดยสารและสินค้า ความคุ้มค่าในการลงทุน ตลอดจนผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ๒.๑.๔ การศึกษาโอกาสและความเป็นไปได้ในการพัฒนาสนามบินในกลุ่มพื้นที่อันดามัน (สนามบินนานาชาติภูเก็ต สนามบินกระบี่ และสนามบินตรัง) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแต่งตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อศึกษาแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการของท่าอากาศยานทั่วประเทศ ทั้งในด้านการแก้ไขปัญหาความแออัดและการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร การจัดเตรียมอัตรากำลังของภาครัฐที่เหมาะสม การปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของท่าอากาศยาน รวมทั้งการบริหารจัดการของท่าอากาศยาน และความเป็นไปได้ในการจัดจ้างหน่วยงานภายนอกมาให้บริการ โดยให้ สทท. จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการดำเนินงานของคณะทำงานต่อไป ๒.๑.๕ การอำนวยพิธีการตรวจคนเข้าเมือง เข้า - ออก ณ สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับไปดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) ซึ่งมีมติให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง และ สทท. แก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวและรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ และให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพิจารณาภาพรวมการปรับปรุงการให้บริการ ณ จุดตรวจคนเข้าเมือง โดยพิจารณารูปแบบ เทคโนโลยี และกำลังพลที่เหมาะสม และให้หารือกับกระทรวงคมนาคมในเรื่องความเพียงพอของพื้นที่กายภาพที่จะให้บริการ ๒.๑.๖ โครงการบ้านปลาเฉลิมพระเกียรติทะเลไทย (ปะการังเทียม) ฝั่งอันดามัน ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบูรณาการโครงการดังกล่าวและข้อเสนอของภาคเอกชนทั้งในเรื่องการกำหนดพื้นที่ เทคนิคการวางปะการัง งบประมาณที่เหมาะสม และการร่วมกันรับภาระค่าใช้จ่ายระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๒.๑.๗ การเร่งรัดดำเนินการ เรื่อง แนวทาง/มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้ยางพารา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) เกี่ยวกับการขยายระยะเวลาการจัดทำบัญชีไม้ การกำหนดค่ามาตรฐานในการแปลงค่าน้ำหนักเป็นปริมาตรเพื่อประกอบการจัดทำบัญชีไม้ และปรับปรุงการออกใบอนุญาตและต่ออายุใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานแปรรูปไม้ยางพารา ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเร่งรัดการพิจารณาการออกระเบียบ ข้อกำหนด และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องภายใต้พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ๒.๑.๘ กลไกในการขับเคลื่อนการพัฒนาและการแก้ปัญหาที่สามารถปฏิบัติและหวังผลได้ในกลุ่มจังหวัดอันดามัน โดยการจัดตั้ง “คณะกรรมการการพัฒนาและแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยวจังหวัดเชิงปฏิบัติการ” ทำหน้าที่ติดตามความก้าวหน้าของงานด้านต่าง ๆ จากหน่วยงานที่รับผิดชอบ และเสนอโครงการต่อนายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ที่ประชุมมีมติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดรูปแบบของกลไกที่สามารถขับเคลื่อนการบูรณาการการแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยวทั้งในระดับภาพรวม และระดับพื้นที่/กลุ่มจังหวัด ๒.๒ ข้อสั่งการเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรี จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ ๒.๒.๑ การแก้ปัญหาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ๒.๒.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับจังหวัดในการแก้ไขปัญหาระบบขนส่งมวลชน โดยเฉพาะด้านความเพียงพอและคุณภาพการให้บริการ ๒.๒.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมแต่งตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาความแออัดของสนามบินภูเก็ต การให้บริการ และการบริหารจัดการสนามบิน ๒.๒.๒.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยและจังหวัดรับไปดำเนินการในเรื่องระบบบำบัดน้ำเสียและกำจัดขยะ รวมทั้งเรื่องน้ำประปาไม่เพียงพอ ๒.๒.๒ การแก้ไขปัญหาหลอกลวงเอาเปรียบนักท่องเที่ยวและปัญหาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นคุกคามผู้ประกอบการ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาดำเนินการ โดยเร่งพัฒนายกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ๒.๒.๓ การแก้ปัญหาการบุกรุกของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และคุณภาพของชายหาดและน้ำทะเลของชายหาดสาธารณะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของกลุ่มจังหวัดอันดามัน ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและพื้นที่ (จังหวัด ท้องถิ่น และสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว) ศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาในการพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ๒.๒.๔ การสร้างศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดอันดามันเพื่อตอบสนองแนวโน้มการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ โดยเห็นควรส่งเสริมเส้นทางการท่องเที่ยวทางทะเลในกลุ่มจังหวัดสามเหลี่ยมอันดามัน (ภูเก็ต - กระบี่ - พังงา) เพื่อดึงดูดเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวระดับบน และส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของตลาดที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง ๒.๒.๕ การแก้ปัญหาพื้นที่ป่าชายเลนเริ่มเสื่อมโทรม ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับองค์กรภาคเอกชน และประชาชนร่วมกันดำเนินกิจกรรมการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และมาตรการดูแลและป้องกันผลกระทบที่มีต่อพื้นที่ป่าชายเลนในพื้นที่ ๒.๓ เรื่องอื่นที่ ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๒.๓.๑ การเร่งรัดการขยายด่านศุลกากรสะเดา ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดกระบวนการเจรจาความตกลงกับประชาชนและจ่ายค่าผลอาสินโดยเร็ว เพื่อให้สามารถพัฒนาบริการของด่านศุลกากรสะเดาต่อไป ๒.๓.๒ การขยายระยะเวลาการใช้มาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการการขยายระยะเวลาการใช้มาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการโดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันพิจารณาตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป ๒.๓.๓ การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา จังหวัดสตูล ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาศึกษารายละเอียดให้รอบครอบ โดยคำนึงถึงมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๒.๓.๔ การจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้อย่างเต็มรูปแบบในระยะที่ ๒ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
.....