ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1517 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30321 - 30340 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30321 | สรุปสถานการณ์นักท่องเที่ยว ระหว่างเดือนมกราคม - เมษายน 2555 | กก | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์นักท่องเที่ยว ระหว่างเดือนมกราคม - เมษายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์นักท่องเที่ยว ระหว่างเดือนมกราคม - เมษายน ๒๕๕๕ มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทย จำนวน ๗,๓๔๘,๑๔๘ คน เพิ่มขึ้น ๔๘๕,๑๕๕ คน หรือเพิ่มขึ้น ๗.๐๗% โดยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากที่สุด ๑๐ อันดับ ได้แก่ จีน มาเลเซีย รัสเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี สหราชอาณาจักร ลาว อินเดีย ออสเตรเลีย และเยอรมนี ตามลำดับ ๒. ปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ การขยายตัวของการเดินทางท่องเที่ยวโลก โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจใหม่ เช่น จีน อินเดีย รัสเซีย เป็นต้น ความนิยมต่อแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทย และผลการดำเนินการตามแผนงานส่งเสริมและสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ๓. แนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยว ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จากการวิเคราะห์สถิติการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และแนวโน้มสถานการณ์การเดินทางท่องเที่ยวโลก ตลอดจนแผนงานและมาตรการด้านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว การประชาสัมพันธ์และกระตุ้นตลาดของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวของไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จะขยายตัวประมาณ ๘% - ๑๐% ๔. ผู้เดินทางชาวไทยเดินทางออกไปต่างประเทศ ระหว่างเดือนมกราคม - เมษายน ๒๕๕๕ มีผู้เดินทางชาวไทยเดินทางออกไปต่างประเทศ จำนวน ๒,๕๔๐,๑๒๘ คน เพิ่มขึ้น ๙๐,๘๕๓ คน คิดเป็น ๓.๗๑% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยผู้เดินทางชาวไทยนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเป็นหลักและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||
30322 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนเมษายน 2555 | พณ | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนเมษายน ๒๕๕๕ เทียบกับเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๒ (เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๕๙) จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหาร และเครื่องดื่ม ร้อยละ ๐.๖๕ และหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๐.๒๖ เป็นผลมาจากการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงตามการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามนโยบายรัฐบาล ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นตามต้นทุนการผลิต โดยสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ สินค้าประเภท ข้าวสารเจ้า เนื้อสุกร ปลาน้ำจืด นมและผลิตภัณฑ์นม ผลไม้สด อาหารสำเร็จรูป เครื่องแบบนักเรียน ค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าน้ำประปา สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด ค่าของใช้ส่วนบุคคล ยานพาหนะและน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น ขณะที่สินค้าประเภทผักสด ไก่สด ปลาน้ำทะเลสด ไข่ไก่ ไข่เป็ด และบริภัณฑ์อื่น ๆ (เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น) มีราคาลดลงตามภาวะตลาด ๒. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนเมษายน ๒๕๕๕ เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๐ (เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๓) โดยมีผลกระทบมาจากการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ค่าของใช้ส่วนบุคคล วัสดุก่อสร้าง ค่าน้ำประปา สิ่งทอสำหรับใช้ในบ้าน สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด ค่ายาและเวชภัณฑ์ สำหรับสินค้าที่มีราคาลดลง ได้แก่ ผ้าและเสื้อผ้า และเครื่องบริภัณฑ์อื่น ๆ (เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น) เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
30323 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ และนางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์) | นร | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๕ มิถุนายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ๒. นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์ ดำรงตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||
30324 | เร่งรัดการพิจารณาการจ่ายเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | นร | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง สรุปผลการตรวจติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง) มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการปรับปรุงระเบียบ หลักเกณฑ์ และข้อปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้เหมาะสมยิ่งขึ้นและให้รายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป และให้สำนักงบประมาณรายงานการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลางของแต่ละส่วนราชการและยอดเงินคงเหลือให้นายกรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย นั้น ขอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
30325 | การจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อตอบรับข้อเสนอการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลภูฏานภายใต้โครงการอาสาสมัคร เพื่อนไทย | กต | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนตอบรับข้อเสนอการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลภูฏานภายใต้โครงการอาสาสมัครเพื่อนไทย โดยสาระสำคัญของหนังสือแลกเปลี่ยนฯ มีดังนี้ ๑.๑ เป็นการอ้างถึงบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลภูฏาน โดยคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (The Royal Civil Service Commission : RCSC) ว่าด้วยความร่วมมือด้านอาสาสมัคร ซึ่งได้มีการลงนามเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๐ และต่อมาได้ขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจฯ ออกไปอีก ๒ ปี จนถึงวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ ทั้งนี้ การลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ดำเนินการภายใต้กรอบ Comprehensive Framework Agreement ที่รัฐบาลทั้งสองประเทศได้ร่วมลงนามไว้แล้วเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ๑.๒ รัฐบาลไทยและรัฐบาลภูฏานเห็นพ้องร่วมกันที่จะให้มีการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจฯ โดยอยู่ภายใต้ข้อกำหนดและเงื่อนไขของบันทึกความเข้าใจเดิมออกไปอีก ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๗ ๑.๓ หนังสือแลกเปลี่ยนฯ เป็นการตอบรับการขยายระยะเวลาการบังคับใช้บันทึกความเข้าใจฯ ไปอีก ๓ ปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๗ ตามที่ฝ่ายภูฏานเสนอ ๒. อนุมัติให้ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศไทย กระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่เนื้อหาสาระสำคัญของหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
30326 | การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับระบบขนส่งมวลชน (การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) | นร | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นฝ่ายเลขานุการรับเรื่อง การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับระบบขนส่งมวลชน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ไปประสานในรายละเอียดกับกระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) กระทรวงคมนาคม รฟท. ขสมก. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน ชัดเจน และดำเนินการจัดประชุมหารือร่วมกันระหว่างนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้รัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ได้นำเสนอยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินงานของแต่ละรัฐวิสาหกิจในระยะยาว (๕ ปี) พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอ และแนวนโยบายของรัฐบาล เพื่อรัฐวิสาหกิจรับไปปรับปรุงแก้ไขและใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
30327 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ 2555 ของไตรมาส 2 | ทก | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (Government Contact Center : GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของไตรมาสที่ ๒ โดย GCC 1111 ได้รับมอบหมายภารกิจของรัฐบาลให้เป็นช่องทางหนึ่งในการให้บริการข้อมูลข่าวสาร และประชาสัมพันธ์โครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี โดยผ่านเลขหมาย ๑๑๑๑ กด ๖ เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ มีประชาชนให้ความสนใจสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับโครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ตั้งแต่เปิดโครงการฯ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ประมาณ ๑๒,๐๐๐ ครั้ง และได้มีการสอบถามถึงการช่วยเหลือด้านต่าง ๆ จากภาครัฐสำหรับผู้ประสบอุทกภัย กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ราคาน้ำมัน ฯลฯ นอกจากนี้ GCC 1111 ยังเป็นช่องทางหนึ่งที่ให้ความช่วยเหลือสังคม เช่น การรับเรื่องร้องเรียน รับแจ้งเบาะแส และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บริการประชาชนในเรื่องต่าง ๆ เช่น รับแจ้งเบาะแสยาเสพติดและประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับแจ้งเหตุขอความช่วยเหลือได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง
|
||||||||||||||||||||||||
30328 | การขออนุมัติค่าใช้จ่ายการระบายข้าวเปลือกในยุ้งฉางเกษตรกรตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 | กค | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติค่าใช้จ่ายในการขนย้ายข้าวเปลือกจากยุ้งฉางเกษตรกรถึงจุดรับมอบข้าวเปลือกให้เกษตรกร จำนวน ๑๗๖,๙๑๐.๐๔ ตัน ในอัตราไม่เกินตันละ ๓๐๐ บาท เป็นเงินทั้งสิ้น ๕๓.๐๗ ล้านบาท ซึ่งอยู่ภายในกรอบวงเงินและปริมาณตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ได้รับจัดสรรภายใต้โครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตร รายการค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรับจำนำผลผลิตการเกษตร ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ซึ่งค่าใช้จ่ายรายการดังกล่าวได้ครอบคลุมถึงการดำเนินการตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ ธ.ก.ส. ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการรับมอบข้าวเปลือกที่หลุดจำนำยุ้งฉางเกษตรกร การจัดหาโรงสีเพื่อสีแปรสภาพเป็นข้าวสารส่งมอบเข้าโกดังกลางตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด และการตรวจสอบสภาพข้าวเปลือกที่ขนย้ายมายังจุดรวบรวม/รับมอบ รวมทั้งประชาสัมพันธ์และขอความร่วมมือให้เกษตรกรดำเนินการคัดแยกข้าวเปลือกที่ได้คุณภาพ และสีแปรสภาพเป็นข้าวสารเข้าคลังกลางตามหลักเกณฑ์ นอกจากนี้ เห็นควรตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ให้มีความถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องก่อนการเบิกจ่ายเงิน รวมถึงต้องเข้มงวดในการตรวจสอบความถูกต้องของชนิดและปริมาณข้าวเปลือกที่จะขนย้ายมายังจุดรวบรวม และเตรียมแผนในการเร่งระบายข้าวที่รับมอบโดยเร็ว เพื่อลดภาระด้านค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาและป้องกันไม่ให้ข้าวเสื่อมคุณภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
30329 | การให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย | อก | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย และการสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในภาคอุตสาหกรรม เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการฟื้นฟู เยียวยานิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ๗ แห่ง ที่ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดปทุมธานี ได้แก่ นิคมสหรัตนนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมโรจนะ นิคมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมนวนคร และนิคมบางกะดี ขณะนี้มีโรงงานประกอบกิจการแล้ว ๖๐๙ ราย คิดเป็นร้อยละ ๗๒.๕๙ ของโรงงานทั้งหมด ๘๓๙ ราย ๒. การดำเนินการฟื้นฟูโรงงานขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประสบอุทกภัย ซึ่งตั้งอยู่นอกเขตนิคมอุตสาหกรรม ขณะนี้มีโรงงาน สถานประกอบการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เปิดดำเนินการแล้ว ๗,๕๒๓ ราย คิดเป็นร้อยละ ๙๕.๔๐ ของสถานประกอบการทั้งหมด ๗,๘๘๖ ราย ๓. มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน อาทิ การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์แก่บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมที่นำมาทดแทนเครื่องจักรและอุปกรณ์เดิมที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย การอนุมัติวีซ่าและใบอนุญาตทำงานแก่บริษัทที่ได้รับการส่งเสริม การเพิ่มสิทธิประโยชน์หรือยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้ให้ผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายทั้งในกรณีทำการผลิตชั่วคราวหรือลงทุนใหม่เพื่อฟื้นฟูธุรกิจในประเทศ การเพิ่มสิทธิประโยชน์หรือยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้ให้ผู้ประกอบการที่ลงทุนใหม่ในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมในจังหวัดปทุมธานีและพระนครศรีอยุธยา การยกเว้นค่าบริการในการออกใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่สูญหาย การยกเว้นค่าบริการในการต่อใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และการยกเว้นค่าบริการในการออกหนังสือรับรองสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-PP & Paperless) เป็นต้น ๔. โครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย อาทิ โครงการจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรม โครงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และกากอุตสาหกรรมในสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และการปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในสถานประกอบการทั้งภายในและภายนอกนิคม โครงการศูนย์สารพัดช่างเพื่อการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย โครงการฟื้นฟูซ่อมแซมหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย โครงการบริหารจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัย โครงการฟื้นฟูภาพลักษณ์ประเทศไทย เป็นต้น ๕. ความคืบหน้าการก่อสร้างเขื่อน นิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๗ กิโลเมตร อยู่ระหว่างการรออนุมัติสินเชื่อจากธนาคารออมสิน เขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๗๗.๖ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๒๒.๐๘ นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๑ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๓๗.๖๒ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๔ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๓๑.๖๘ เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๘ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๒๐.๗๙ และสวนอุตสาหกรรมบางกะดี ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๙.๕ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๒๔.๗๗
|
||||||||||||||||||||||||
30330 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 120 ปี วันพระราชสมภพ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พ.ศ. .... | กค | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๑๒๐ ปี วันพระราชสมภพ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ กำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๑๒๐ ปี วันพระราชสมภพ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก รวม ๒ ชนิดราคา ดังนี้ ๑.๑ ชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลาย และลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์เงิน ราคาแปดร้อยบาท ประเภทขัดเงา (จำนวนผลิตไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ เหรียญ) ๑.๒ ชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลาย และลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ราคายี่สิบบาท ประเภทธรรมดา (จำนวนผลิตไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ เหรียญ) และประเภทขัดเงา (จำนวนผลิตไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ เหรียญ) ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับคำบรรยายรูปแบบเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกดังกล่าว โดยคำบรรยายที่ว่า ภายใต้พระมหามงกุฎมีรูปจักรีและตรีศูลขัดกันประกอบอยู่ด้วย เมื่ออธิบายว่า กลางเหรียญมีอักษรพระนามาภิไธย “ม” ภายใต้พระมหามงกุฎจึงควรเพิ่มข้อความคำบรรยายให้ครบถ้วนเป็น “กลางเหรียญมีอักษรพระนามาภิไธย “ม” ภายใต้รูปจักรและตรีศูลขัดกันและพระมหามงกุฎ” และข้อความ “ครบ ๑๒๐ ปี วันพระราชสมภพ” ในร่างกฎกระทรวงไม่มีคำว่า “ครบ” ซึ่งเป็นไปตามชื่อเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกที่พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้กระทรวงการคลังจัดทำ จึงเห็นว่าในโอกาสต่อไป ควรดำเนินการจัดทำรายละเอียดของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกที่จะจัดทำให้สอดคล้องกันทั้งในรายละเอียดของโครงการ รูปแบบของเหรียญและคำอธิบาย และร่างกฎกระทรวง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
30331 | ระบบการรายงานและเตือนภัยแผ่นดินไหวและสึนามิและรายงานการแก้ไขปัญหาระบบการสื่อสารขัดข้องในภาวะวิกฤต | ทก | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการเกี่ยวกับระบบการรายงานและเตือนภัยแผ่นดินไหวและสึนามิ และรายงานการแก้ไขปัญหาระบบการสื่อสารขัดข้องในภาวะวิกฤต ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดทำกระบวนการและขั้นตอน (Flow Chart) การติดตามรายงานข้อมูลและการแจ้งเตือนภัยแผ่นดินไหว ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ มีกระบวนการและขั้นตอนที่ใช้เป็นคู่มือการปฏิบัติงาน (Standard Operation Procedure; SOP) อยู่แล้ว โดยมีกระบวนการและขั้นตอนทำงานหลัก ๓ ขั้นตอน คือ ขั้นตอนกระบวนการรับข้อมูล (Input) ขั้นตอนระบบการวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis) การประเมินผลและตัดสินใจ และขั้นตอนระบบการกระจายข่าว (Output) ผ่านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยเผยแพร่ข่าวให้ประชาชนได้รับทราบด้วยวิธีการผ่านทางข้อความสั้น (SMS) สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ระบบวิทยุสื่อสารสมัครเล่น (VHF) ระบบวิทยุสื่อสารภาคประชาชน (เครื่องแดง) ระบบสื่อสารประยุกต์ (E-Radio) โทรสาร อีเมล์ อักษรวิ่งทางโทรทัศน์ ออกอากาศทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์ ตลอดจนแจ้งเตือนภัยผ่านระบบสัญญาณเตือนภัยผ่านดาวเทียมไปยังหอเตือนภัยในพื้นที่เสี่ยงภัย รวมทั้งสอบถามแจ้งข้อมูลทางสายด่วนฉุกเฉิน Call Center 192 ซึ่งจากการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๕ ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้ติดตามรายงานข้อมูลและการแจ้งเตือนภัยแผ่นดินไหวตามกระบวนการและขั้นตอนปฏิบัติงาน (Flow Chart) ดังกล่าว ๒. การแก้ไขปัญหาระบบการสื่อสารขัดข้องในภาวะวิกฤต ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้จัดประชุมร่วมหารือกับหน่วยงานของรัฐและผู้ให้บริการเครือข่ายทุกเครือข่าย เพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับมาตรการป้องกันการใช้โทรศัพท์ที่เกิดขัดข้องในช่วงเกิดเหตุภัยพิบัติ โดยที่ประชุมได้มอบนโยบายให้ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมทุกรายเพิ่มจำนวนสัญญาณให้มากขึ้นและให้เสนอแนวทางมาตรการในการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวโดยเร่งด่วน และให้ผู้ประกอบกิจการทุกรายจัดทำแผนรองรับปัญหาระบบสื่อสารขัดข้องไว้ในระดับหนึ่ง โดยการเพิ่มช่องสัญญาณและเตรียมระบบสื่อสารสำรองไว้ เช่น จัดช่องสื่อสารผ่านดาวเทียม จัดรถสื่อสารผ่านดาวเทียมเคลื่อนที่ไปประจำพื้นที่ที่ใกล้จุดที่เคยเกิดภัยพิบัติ รวมทั้งให้มีการส่งเสริม/ชักชวนการใช้โทรศัพท์แบบประจำที่ (Fix Line) เมื่อเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ และเพิ่มการประชาสัมพันธ์ทางสื่อวิทยุและโทรทัศน์ให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลให้มากขึ้น |
||||||||||||||||||||||||
30332 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัย ราชภัฏยะลา พ.ศ. .... | ศธ | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ใช้บังคับพระราชกฤษฎีกานี้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ๑.๒ กำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาการศึกษา สาขาวิชานิเทศศาสตร์ สาขาวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิชาวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ และสาขาวิชาศิลปศาสตร์ ๑.๓ กำหนดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ครุยประจำตำแหน่ง และเครื่องหมายประกอบครุยประจำตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้บริหาร และคณาจารย์ของมหาวิทยาลัย ๑.๔ กำหนดเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ๑.๕ กำหนดสีประจำสาขาวิชา ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการชี้แจงเหตุผลความจำเป็นในการให้ร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับย้อนหลังเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในการนำร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ต่อไป และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
30333 | การขอความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงกลาโหมไทยกับกระทรวงกลาโหมอิสราเอล ว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลและสิ่งอุปกรณ์ ที่มีชั้นความลับร่วมกัน (Memorandum of Understanding between the Ministry of Defence of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Defence of the State of Israel Related to Mutual Protection of Classified Information and Materials) | กห | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงกลาโหมจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงกลาโหมไทยกับกระทรวงกลาโหมอิสราเอล ว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลและสิ่งอุปกรณ์ที่มีชั้นความลับร่วมกัน (Memorandum of Understanding between the Ministry of Defence of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Defence of the State of Israel Related to Mutual Protection of Classified Information and Materials) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองข้อมูลและสิ่งอุปกรณ์ที่มีชั้นความลับร่วมกัน ซึ่งในอนาคตหากกระทรวงกลาโหมไทยจะต้องมีความร่วมมือกับกระทรวงกลาโหมอิสราเอลในด้านต่าง ๆ เช่น การจัดหายุทโธปกรณ์ การวิจัยและพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ การจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ กับกระทรวงกลาโหมอิสราเอล จะทำให้ข้อมูลและสิ่งอุปกรณ์ที่มีชั้นความลับได้รับการคุ้มครองภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ นี้ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการปรับแก้ถ้อยคำในข้อ ๙ ย่อหน้าที่ ๑ ของบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อให้เกิดความชัดเจน ไปดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
30334 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... | นร | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้จัดตั้งสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) โดยให้มีวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๒. กำหนดให้ทุนและทรัพย์สินในการดำเนินกิจการของสถาบัน ประกอบด้วย เงินและทรัพย์สินที่ได้รับโอนมาตามมาตรา ๓๙ เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้ตามความเหมาะสม เป็นต้น และรายได้ของสถาบันไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ๓. กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ประกอบด้วย ประธานกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง กรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๔. กำหนดให้มีผู้อำนวยการสถาบัน ซึ่งคณะกรรมการเป็นผู้มีอำนาจสรรหา แต่งตั้ง และถอดถอน กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของผู้อำนวยการ และให้ผู้อำนวยการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๕. กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดทำบัญชี การตรวจสอบภายใน การส่งงบดุล งบการเงิน และบัญชีทำการให้แก่ผู้สอบบัญชี การจัดทำรายงานประจำปี และการประเมินผลงานของสถาบัน ๖. กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการโอนอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ไปเป็นของสถาบันการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารสถาบันวัคซีนแห่งชาติ และการปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ข้าราชการ พนักงานราชการ หรือลูกจ้างของกรมควบคุมโรค ตลอดจนระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือข้อกำหนดของสถาบันที่มีอยู่ก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ
|
||||||||||||||||||||||||
30335 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. .... | นร | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
30336 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติ จอมพล สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ในโอกาสที่วันประสูติครบ 150 ปี พ.ศ. .... | กค | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติ จอมพล สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ในโอกาสที่วันประสูติครบ ๑๕๐ ปี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติ จอมพล สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ในโอกาสที่วันประสูติครบ ๑๕๐ ปี ชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลาย และลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์โลหะสองสี ราคาสิบบาท ประเภทธรรมดา (จำนวนผลิตไม่เกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ เหรียญ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการปรับแก้ไขข้อความในบัญชีท้ายกฎกระทรวงฯ คำบรรยายรูปแบบของเหรียญและรายละเอียดโครงการ เป็น “ทรงเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ สายสร้อยจุลจอมเกล้า และตรารัตนวราภรณ์” ส่วนคำบรรยายรูปแบบของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติ ไม่สอดคล้องกับชื่อร่างกฎกระทรวง เนื่องจากในร่างกฎกระทรวงใช้ข้อความว่า “ในโอกาสที่วันประสูติครบ ๑๕๐ ปี พ.ศ. .... ซึ่งเป็นไปตามชื่อเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกที่พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้กระทรวงการคลังจัดทำ แต่คำบรรยายรูปแบบของเหรียญเป็น “ครบ ๑๕๐ ปี วันประสูติ จึงเห็นว่าในโอกาสต่อไป กระทรวงการคลังควรจัดทำรายละเอียดของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกที่จะจัดทำให้สอดคล้องกันทั้งในรายละเอียดของโครงการ รูปแบบของเหรียญและคำอธิบาย และร่างกฎกระทรวง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
30337 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เรื่อง "ปัญหาและข้อเสนอแนะต่อการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2553 - 2573 (PDP 2010)" | สว | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตเพิ่มเติมของวุฒิสภาเกี่ยวกับรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เรื่อง “ปัญหาและข้อเสนอต่อการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๗๓ (PDP 2010)” พร้อมผลการดำเนินการตามข้อสังเกตเพิ่มเติมของวุฒิสภา ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. การทบทวนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างพิจารณาปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจและสังคม โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศควบคู่กับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการเพิ่มปริมาณการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration สนับสนุนกรจัดการด้านการใช้ไฟฟ้าด้วยการพิจารณาผลประหยัดพลังงาน (Energy Efficiency : EE) ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๗๓) เพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนด้วยการปรับให้สอดคล้องกับแผนการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (Alternative Energy Development Plan : AEDP) ๒๕% ใน ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๔) ๒. รายละเอียดการดำเนินการตามแผน EE ๒๐ ปี และแผน AEDP ได้มีการนำเป้าหมายผลการประหยัดพลังงานไฟฟ้าตามแผน EE มาใช้เป็นกรอบในการปรับปรุงค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าโดยคณะอนุกรรมการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า โดยการจัดทำค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าดังกล่าวได้ปรับปรุงตามค่า GDP ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งได้ประมาณการความต้องการไฟฟ้าใหม่ตามการกระตุ้นเศรษฐกิจของนโยบายรัฐบาล ผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดขึ้น และผลกระทบโครงการรถไฟฟ้า ๑๒ สายของรัฐบาลในการประมาณการเศรษฐกิจแล้ว สำหรับกรอบการปรับปรุงแผน PDP ตามแผน AED มีการพิจารณาปรับปรุงสัดส่วนปริมาณพลังงานหมุนเวียนให้เป็นไปตามแผน AEDP ซึ่งการกำหนดประเภทเชื้อเพิลงพลังงานหมุนเวียนที่เข้าระบบจะคำนึงถึงความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ความพร้อมของระบบส่งไฟฟ้า และผลกระทบราคาค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องรับภาระ ๓. การให้ความสำคัญกับแผน PDP ที่มีความเชื่อมโยงกับภาคสังคม ๓.๑ สถานที่ตั้งโรงไฟฟ้า ๓.๑.๑ ในการจัดหาพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าเป็นหน้าที่ผู้พัฒนาโครงการในการจัดหาพื้นที่ที่มีศักยภาพเหมาะสมกับโครงการนั้น ๆ ทั้งทางด้านเทคนิคและการยอมรับของประชาชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยกระทรวงพลังงานจะเป็นผู้ติดตามการดำเนินการดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการด้านไฟฟ้าอย่างทั่วถึง เพียงพอต่อความต้องการไฟฟ้า ในราคาที่เป็นธรรม โดยคุณภาพไฟฟ้าอยู่ในเกณฑ์เชื่อถือได้ ๓.๑.๒ กระทรวงพลังงานได้กำหนดให้มีโรงไฟฟ้าใหม่ที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงตามแผน PDP โดยใช้เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและเพิ่มประสิทธิภาพโรงฟ้า
|
||||||||||||||||||||||||
30338 | รายงานต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทยปี 2553 และ 2554 | นร | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทย ปี ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทยปี ๒๕๕๓ มีมูลค่ารวมประมาณ ๑,๖๔๔.๐ พันล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนเท่ากับร้อยละ ๑๕.๒ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ณ ราคาประจำปี (GDP at Current Prices) ประกอบด้วย ต้นทุนค่าขนส่งสินค้า ๗๗๖.๔ พันล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๔๗.๒ ของต้นทุนทั้งหมด) ต้นทุนการเก็บรักษาสินค้าคงคลัง ๗๒๒.๕ พันล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๔๔.๐ ของต้นทุนทั้งหมด) และต้นทุนการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ ๑๔๕.๑ พันล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๘.๘ ของต้นทุนทั้งหมด) ทั้งนี้ สัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ต่อ GDP ปี ๒๕๕๓ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ ๑๕.๑ ของ GDP ในปี ๒๕๕๒ เป็นร้อยละ ๑๕.๒ โดยมีมูลค่าต้นทุนโลจิสติกส์เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๑๓.๙ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศและการส่งออกเพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าบริการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ปรับตัวสูงขึ้น และปัจจัยด้านราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าร้อยละ ๑๖.๘ จากปีก่อนหน้า ๒. ประมาณการต้นทุนโลจิสติกส์ต่อ GDP ปี ๒๕๕๔ คาดว่าจะลดลงเหลือร้อยละ ๑๔.๕ โดยมีสาเหตุสำคัญจากผลกระทบของอุทกภัยในช่วงไตรมาสที่ ๓ - ๔ ของปี ๒๕๕๔ ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงในพื้นที่ภาคกลางซึ่งเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมและเป็นแหล่งการผลิตสินค้าต้นน้ำ (Upstream Industry) ที่สำคัญ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ส่งผลให้คลังสินค้าและสินค้าคงคลังในพื้นที่อุทกภัยได้รับความเสียหายทันที และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงการหยุดชะงักของกระบวนการส่งผ่านสินค้าไปยังอุตสาหกรรมต่อเนื่องและผู้บริโภค (Supply Chain Disruption) ๓. ข้อเสนอแนะการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในระยะต่อไป มีดังนี้ ๓.๑ การพัฒนาการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ โดยเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งระบบรางและระบบขนส่งสินค้าทางชายฝั่งเพื่อปรับโครงสร้างการขนส่งในเส้นทางหลักของประเทศ โดยมุ่งเน้นรูปแบบการขนส่งที่ประหยัดต้นทุนพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและระบบบริหารจัดการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบเชิงบูรณาการทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ๓.๒ การเพิ่มประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Optimization) โดยเฉพาะกิจกรรมโลจิสติกส์ภาคเกษตรซึ่งอยู่ในช่วงต้นน้ำ ด้วยการบริหารจัดการสินค้าเกษตรภายหลังการเก็บเกี่ยว (Post - harvest Management) และการพัฒนาระบบห่วงโซ่ความเย็น (Cool Chain System) เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์และรักษาคุณภาพของสินค้าเกษตรทั้งประเภทเน่าเสียง่ายและสินค้าลักษณะเทกองที่มีศักยภาพสูงในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้ประเทศ รวมทั้งให้ความสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อจัดการระบบโลจิสติกส์ภายในสถานประกอบการและมีส่วนร่วมในโซ่อุปทานการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ๓.๓ การผลักดันโครงการจัดตั้งระบบ National Single Window (NSW) ของประเทศ เร่งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบปฏิบัติภายในของหน่วยงานรัฐ โดยเร่งรัดการเชื่อมต่อระบบข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนให้เสร็จสมบูรณ์ เพื่อลดความซ้ำซ้อนของกระบวนการออกใบรับรอง/ใบอนุญาตสำหรับสินค้าส่งออก/นำเข้า และลดต้นทุนการบริหารจัดการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Paperless) ในขณะที่ภาคเอกชนควรวางแผนปรับปรุงระบบงานให้มีประสิทธิภาพและขยายระบบเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับภาครัฐ และระหว่างภาคเอกชนด้วยกัน ๓.๔ การพัฒนาคุณภาพและศักยภาพของบุคลากรด้านโลจิสติกส์อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการแข่งขันระดับภูมิภาค โดยเฉพาะระดับปฏิบัติการ และระดับบริหารขั้นกลางของสถานประกอบการในภาคการผลิต การค้า และธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ด้วยการยกระดับทักษะฝีมือแรงงานไปสู่ระดับมืออาชีพและเป็นสากล (Internationalization) ควบคู่ไปกับการสร้างมาตรฐานแรงงานและมาตรฐานวิชาชีพสาขาโลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งและการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์
|
||||||||||||||||||||||||
30339 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นเงิน ๑๑๖,๗๐๕.๘๗๓ ล้านบาท ลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว จำนวน ๓,๑๐๘.๑๐๓ ล้านบาท เนื่องจากสำนักงบประมาณได้ดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนในระบบ GFMIS จากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้แจ้งส่งคืนงบประมาณอย่างเป็นทางการ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงพฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๘๐,๒๖๔.๑๐๕ ล้านบาท ๒. สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๒.๑ มิติส่วนราชการ (Function) ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จากระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖๐,๒๖๓.๖๑๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๕.๐๘ ของแผนการใช้จ่ายสะสม ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๙๖,๑๗๙.๑๗๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๒.๔๑ ของวงเงินจัดสรร ๒.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จากระบบรายงานแผน/ผลการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย สำนักงบประมาณ จำนวน ๗๔ จังหวัด เป็นเงิน ๔๘,๘๘๗.๐๘๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๐.๙๑ ๓. การส่งคืนเงินงบประมาณ ส่วนราชการแจ้งอย่างเป็นทางการส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่ายและเงินงบประมาณของโครงการ/รายการ ซึ่งยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกาศประกวดราคา หรือกรณีงานดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำนวน ๓๗ หน่วยงาน รวมเป็นเงิน ๔,๗๖๒.๔๘๙ ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณจะดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนตามจำนวนดังกล่าวในระบบ GFMIS ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
30340 | การปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ (คณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ) | นร | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ โดยปรับเปลี่ยนองค์ประกอบคณะกรรมการฯ ในฝ่ายเลขานุการ และเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการที่ดิน การวางแผน การบริหารที่ดินให้สอดคล้องกับผังเมือง การชลประทาน และการระบายน้ำ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธานกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบเสนอ โดยให้กระทรวงมหาดไทย (กรมที่ดิน) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าเบี้ยประชุมกรรมการและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของคณะกรรมการฯ ให้กรมที่ดินปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปดำเนินการ
|
.....