ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1511 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30201 - 30220 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30201 | (ร่าง) แผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ.2555 - 2559) | กก | 26/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) เพื่อใช้เป็นกรอบและทิศทางในการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาการกีฬาของประเทศให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล ตลอดจนใช้เป็นแนวทางในการวางแผนปฏิบัติการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาให้เกิดความต่อเนื่องในการพัฒนาการกีฬาของประเทศ และให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนงานด้านการท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับแผนฯ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปสาระสำคัญของแผนฯ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ ๑.๑.๑ เพื่อส่งเสริมให้คนไทยได้รับโอกาสในการออกกำลังกายและเล่นกีฬาอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ สร้างค่านิยมวิถีชีวิตรักการเล่นกีฬาและออกกำลังกาย สู่การมีสุขภาพและสมรรถภาพที่ดี ๑.๑.๒ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสังคมทุกภาคส่วนในการใช้กิจกรรมการออกกำลังกายและการเล่นกีฬาเป็นสื่อสร้างสังคมที่มีน้ำใจนักกีฬา มีคุณธรรม จริยธรรม และสามัคคีสมานฉันท์ ๑.๑.๓ เพื่อจัดหาและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการกีฬาให้เพียงพอ โดยเฉพาะสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น สนามกีฬา วัสดุอุปกรณ์ที่ทันสมัย รวมทั้งการจัดให้มีผู้ฝึกสอนและอาสาสมัครการกีฬาประจำศูนย์และสนามกีฬา ๑.๑.๔ เพื่อปรับบทบาทของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ให้สนับสนุนภารกิจในการพัฒนานักกีฬาตั้งแต่ระดับเด็กและเยาวชน โดยจัดให้มีทุนการศึกษาและทุนสนับสนุนแก่เด็กและเยาวชนที่มีความสามารถและมีแนวโน้มว่าจะเป็นผู้มีความสามารถสูงด้านกีฬาในระดับนานาชาติ ให้สามารถพัฒนาเป็นนักกีฬาทีมชาติที่สร้างชื่อเสียงและเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เยาวชนของประเทศ ๑.๑.๕ เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุนและการบริจาคเพื่อพัฒนาการกีฬาด้วยมาตรการจูงใจที่เหมาะสม เช่น มาตรการภาษี มาตรการส่งเสริมการลงทุน และมาตรการการเงินภายใต้ความโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล ๑.๑.๖ เพื่อพัฒนากีฬาเพื่อความเป็นเลิศด้วยการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬามาประยุกต์ใช้อย่างจริงจัง เพื่อพัฒนากีฬาที่มีศักยภาพไปสู่กีฬาอาชีพ รวมทั้งพัฒนาผู้ฝึกสอนและผู้ตัดสินให้ได้มาตรฐานสากล ๑.๑.๗ เพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการองค์กรกีฬา เพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการบริหารจัดการกีฬาในทุกมิติอย่างเป็นระบบ ๑.๑.๘ เพื่อสนับสนุนให้ผู้พิการเข้าถึงการกีฬาและการแข่งขันกีฬาในทุกระดับ เพื่อพัฒนาไปสู่การเป็นนักกีฬาที่มีความสามารถในนามทีมชาติไทยในการแข่งขันกีฬาและมหกรรมกีฬาต่าง ๆ ๑.๑.๙ เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางกีฬาของภูมิภาคและของโลก จัดให้มีการแข่งขันกีฬาและกีฬาคนพิการระดับโลกที่สำคัญ ๆ ตลอดจนการประชุมเกี่ยวกับกีฬาระดับภูมิภาคและระดับโลก เพื่อเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว โดยความร่วมมือและการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายเป็น “ทีมไทยแลนด์” ๑.๒ ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ๖ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาการออกกำลังกายและการกีฬาขั้นพื้นฐาน ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การพัฒนาการออกกำลังกายและการกีฬาเพื่อมวลชน ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนาการกีฬาเพื่อความเป็นเลิศ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การพัฒนาการกีฬาเพื่อการอาชีพ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา และยุทธศาสตร์ที่ ๖ การพัฒนาการบริหารการกีฬาและการออกกำลังกาย ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการระบุความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานที่ถูกระบุในแต่ละยุทธศาสตร์ เพื่อให้ทราบถึงหน้าที่ความรับผิดชอบและสามารถดำเนินการได้ตามวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ และให้มีมาตรการรองรับการใช้ประโยชน์จากสถานกีฬา อุปกรณ์กีฬา และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้การลงทุนในสถานกีฬาเกิดการสูญเปล่า การพิจารณากำหนดกระบวนการในการบริหารจัดการ หลักเกณฑ์ การกำกับดูแล และตรวจสอบการใช้จ่ายเงินอย่างเป็นระบบ การกำหนดแนวทางในการให้การสนับสนุนอย่างชัดเจนทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ และผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่ผู้ให้การสนับสนุนจะได้รับ รวมทั้งแนวทางในการกำกับดูแล และตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของผู้รับการสนับสนุนเพื่อให้เกิดความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น การส่งเสริมให้นักกีฬามีอุปกรณ์กีฬาที่มีมาตรฐานและราคาถูกไว้ใช้อย่างแพร่หลาย การกำหนดเป้าหมายหลักให้ชัดเจนและกระชับภายใต้ประเด็นยุทธศาสตร์แต่ละประเด็นตามวัตถุประสงค์และมาตรการที่ต้องดำเนินการ การรณรงค์ให้เยาวชนและชุมชนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ให้มากขึ้นโดยใช้กิจกรรมกีฬาเป็นเครื่องมือ เพื่อลดอัตราเสี่ยงในการใช้ยาเสพติด การพิจารณาแนวทางการเชื่อมโยงการจัดการแข่งขันกีฬาอย่างบูรณาการระหว่างภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในทุกระดับโดยเชื่อมโยงกับกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม/ขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ในพื้นที่จัดการแข่งขันกีฬา กิจกรรมการส่งเสริมสินค้า/ผลิตภัณฑ์ชุมชน เช่น OTOP เพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทั้งในระดับชุมชน จังหวัด และประเทศอย่างครบวงจร การให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรที่มีอยู่โดยต่อยอดองค์ความรู้ เสริมทักษะ รวมทั้งการเชื่อมโยงความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬาสู่กลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ และมีแนวทางที่ชัดเจนในการสร้างความตื่นตัว ส่งเสริมความรู้ พัฒนาทักษะให้กับเด็ก เยาวชน และประชาชนทุกกลุ่มที่สอดคล้องกับความสนใจ และศักยภาพ ให้มีโอกาสในการพัฒนาตนเองด้านกีฬา การออกกำลังกาย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
30202 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางพรรณขนิตตา บุญครอง) | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางพรรณขนิตตา บุญครอง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ (นักวิเคราะห์รัฐวิสาหกิจทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||
30203 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 5/2555 | นร | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดชลบุรี ซึ่งได้มีการพิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดชลบุรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร./สทท. จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ ๒.๑.๑ ข้อเสนอมาตรการและกลไกเพื่อบูรณาการและเสริมสร้างความเข้มแข็งพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง ๒.๑.๑.๑ เห็นชอบข้อเสนอมาตรการระยะสั้น ตามที่ กกร. เสนอ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักในการรับไปพิจารณาแก้ไขปัญหาอุปสรรคและระยะเวลาการพิจารณาโครงการที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับการปฏิบัติตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานกระทรวงคมนาคมเพื่อพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาความแออัดของเรือสินค้าที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขนส่งทางรางในเส้นทางสายตะวันออก เพื่อให้สามารถจูงใจให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนแปลงรูปแบบจากการขนส่งทางถนนสู่รางได้ตามเป้าหมายต่อไป ๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณารูปแบบการจัดตั้งกลไกระดับชาติและระดับจังหวัดเพื่อขับเคลื่อนการบริหารจัดการความปลอดภัยและกำกับภาวะฉุกเฉินในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง ๒.๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๒.๑.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กองทัพเรือ และภาคเอกชน ศึกษาความเหมาะสมในการเปิดใช้สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา - พัทยา ในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ ๒.๑.๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาความเหมาะสมในการก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงของภาคตะวันออก สายกรุงเทพฯ - ระยอง เพื่อให้การก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยเร่งรัดการจัดทำข้อกำหนดการดำเนินโครงการ (TOR) ให้สามารถประกวดราคาได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๑.๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเหมาะสมของการขยายเส้นทางและช่องจราจรในพื้นที่ภาคตะวันออกให้แล้วเสร็จภายใน ๓ สัปดาห์ และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๓ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๒.๑.๓.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษารายละเอียดและวิเคราะห์ความเหมาะสมในการขยายเวลาการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราว/ถาวร ด่านชายแดนไทย - กัมพูชา จังหวัดจันทบุรี ตราด และสระแก้ว ให้เป็นไปตามระเบียบและขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ๒.๑.๓.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับภาคเอกชนประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำข้อเสนอให้กับกระทรวงมหาดไทยเพื่อพิจารณารายละเอียดการแก้ไขปรับปรุงผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลักและชุมชนจังหวัดระยอง (ผังมาบตาพุด) เพื่อไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งและเตรียมการรองรับการขยายตัวและการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในอนาคต ๒.๑.๓.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานจังหวัดที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณารายละเอียดโครงการศึกษาแนวทางการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก (จังหวัดระยอง - ฉะเชิงเทรา - ชลบุรี - สมุทรปราการ) โดยเฉพาะความเชื่อมโยงและความซ้ำซ้อนของแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ๒.๑.๓.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนร่วมกันศึกษาความเหมาะสมและจัดทำข้อเสนอแนวทางการบริหารจัดการโครงการสร้างห้องแช่เยือกแข็งผลไม้เพื่อเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าและส่งออกผลไม้ของภาคตะวันออก ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๒.๑.๓.๕ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาทบทวนผลการศึกษาโครงการวางและจัดทำผังอนุภาคกลุ่มจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด เพื่อประกอบการศึกษารายละเอียดในการพัฒนาเมืองศูนย์กลางกลุ่มจังหวัด “บูรพนา” (ชลบุรี - ระยอง - จันทบุรี - ตราด) เพื่อให้การจัดระเบียบ การกำหนดเขตการใช้ที่ดินและการจัดเตรียมระบบโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานของพื้นที่เมืองศูนย์กลางธุรกิจของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกมีความสอดคล้องเหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่ ๒.๑.๔ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒.๑.๔.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานพิจารณาในรายละเอียดของโครงการพัฒนาแหล่งน้ำตามแผนการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ พื้นที่ภาคตะวันออก เพื่อขอรับการสนับสนุนตามระเบียบและขั้นตอนให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดต่อไป ๒.๑.๔.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) พิจารณาความคุ้มค่าและความเหมาะสมในรายละเอียดของโครงการจัดสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติการน้ำภาคตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดรูปแบบและกลไกการบริหารจัดการโครงการฯ รวมถึงการบูรณาการจัดทำฐานข้อมูลน้ำร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่สามารถเชื่อมโยงไปยังส่วนกลางได้ ๒.๑.๔.๓ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยการประปาส่วนภูมิภาคพิจารณาในรายละเอียดของโครงการก่อสร้างระบบส่งน้ำจากอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล - โรงผลิตน้ำประปาระยอง โดยหารือกับกรมชลประทาน ผู้ประกอบการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ด้วย ๒.๑.๕ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ ๒.๑.๕.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงคมนาคมร่วมกันพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินโครงการก่อสร้างถนนรอบเกาะช้างในส่วนที่ยังขาดอยู่ช่วงบ้านบางเบ้า - บ้านสลักเพชร ให้แล้วเสร็จ โดยคำนึงถึงการประหยัดและงบประมาณด้วย ๒.๑.๕.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงแรงงานจัดประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับภาคเอกชนเพื่อร่วมกันวางแผนการพัฒนาทักษะด้านภาษาต่างประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการในระยะ ๓ ปี ข้างหน้า ๒.๑.๕.๓ ให้กระทรวงการคลังพิจารณามาตรการจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการฝึกอบรมทักษะด้านภาษาต่างประเทศแก่แรงงาน ๒.๑.๕.๔ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยพิจารณาความเหมาะสมในการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับท้องถิ่น โดยคำนึงถึงจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่จริงและจำนวนสถานประกอบการที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในท้องถิ่นนั้น ๆ ๒.๒ เรื่องอื่น ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม ได้แก่ ๒.๒.๑ รับทราบเรื่อง ผลักดันการก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ คลองใหญ่ จังหวัดตราด โดยการผ่อนปรนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างนำเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๒.๒.๒ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้าเศรษฐกิจไทย - ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๒๒ (22nd Japan-Thailand Joint Trade and Economic Committee Meeting) และให้ กกร. จัดส่งรายละเอียดให้กระทรวงการต่างประเทศต่อไป ๒.๒.๓ รับทราบการสนับสนุนกลไกดำเนินการของสมาคมขนส่งในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS-FRETA) และให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางบกเป็นหน่วยงานประสานหลักในการเชื่อมโยงการทำงานร่วมกับภาครัฐต่อไป ๒.๒.๔ รับทราบร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... (ผลกระทบตามประกาศ FATF) และให้กระทรวงยุติธรรมรับไปพิจารณาแต่งตั้งผู้แทนจากสภาธุรกิจตลาดทุนไทยเข้าร่วมในคณะทำงานเพื่อรับผิดชอบเรื่องดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||
30204 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของนายกเมืองพัทยา รองนายกเมืองพัทยา เลขานุการนายกเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการนายกเมืองพัทยา และประธานที่ปรึกษาหรือที่ปรึกษาของนายกเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานสภาเมืองพัทยา รองประธานสภาเมืองพัทยา สมาชิกสภาเมืองพัทยา เลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา และกรรมการหรืออนุกรรมการของสภาเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | มท | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของนายกเมืองพัทยา รองนายกเมืองพัทยา เลขานุการนายกเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการนายกเมืองพัทยา และประธานที่ปรึกษาหรือที่ปรึกษาของนายกเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงอัตราเงินเดือนของนายกเมืองพัทยา รองนายกเมืองพัทยา เลขานุการนายกเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการนายกเมืองพัทยา ประธานที่ปรึกษาหรือที่ปรึกษาของนายกเมืองพัทยา ดังนี้ นายกเมืองพัทยา ๑ อัตรา ได้รับ ๕๕,๕๓๐ บาท/เดือน รองนายกเมืองพัทยา ๔ อัตรา ได้รับ ๓๐,๕๔๐ บาท/เดือน เลขานุการนายกเมืองพัทยา ๑ อัตรา ได้รับ ๑๙,๔๔๐ บาท/เดือน ผู้ช่วยเลขานุการนายกเมืองพัทยา ๔ อัตรา ได้รับ ๑๓,๘๘๐ บาท/เดือน ประธานที่ปรึกษาของนายกเมืองพัทยา ๑ อัตรา ได้รับ ๑๖,๖๕๐ บาท/เดือน และที่ปรึกษาของนายกเมืองพัทยา ๔ อัตรา ได้รับ ๑๓,๘๘๐ บาท/เดือน ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานสภาเมืองพัทยา รองประธานสภาเมืองพัทยา สมาชิกสภาเมืองพัทยา เลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา และกรรมการหรืออนุกรรมการของสภาเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๒.๑ ปรับปรุงอัตราเงินประจำตำแหน่งของประธานสภาเมืองพัทยา รองประธานสภาเมืองพัทยา สมาชิกสภาเมืองพัทยา เลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ดังนี้ ประธานสภาเมืองพัทยา ๑ อัตรา ได้รับ ๓๐,๕๔๐ บาท/เดือน รองประธานสภาเมืองพัทยา ๒ อัตรา ได้รับ ๒๔,๙๙๐ บาท/เดือน สมาชิกสภาเมืองพัทยา ๒๑ อัตรา ได้รับ ๑๙,๔๔๐ บาท/เดือน เลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ๑ อัตรา ได้รับ ๑๙,๔๔๐ บาท/เดือน และผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ๒ อัตรา ได้รับ ๑๓,๘๘๐ บาท/เดือน ๑.๒.๒ ปรับปรุงบัญชีอัตราเงินค่าเบี้ยประชุมกรรมการหรืออนุกรรมการของสภาเมืองพัทยา ดังนี้ พนักงานหรือลูกจ้างในสังกัดเมืองพัทยา กรรมการ ครั้งละ ๕๐๐ บาท อนุกรรมการ ครั้งละ ๔๐๐ บาท ข้าราชการหรือลูกจ้างของทางราชการ พนักงานหรือลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ หรือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นซึ่งมิได้เป็นพนักงานหรือลูกจ้างในสังกัดเมืองพัทยา กรรมการ ครั้งละ ๘๐๐ บาท อนุกรรมการ ครั้งละ ๖๐๐ บาท และบุคคลอื่นนอกจากพนักงานหรือลูกจ้างในสังกัดเมืองพัทยา ข้าราชการหรือลูกจ้างของทางราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ หรือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นซึ่งมิได้เป็นพนักงานหรือลูกจ้างในสังกัดเมืองพัทยา กรรมการ ครั้งละ ๑,๐๐๐ บาท และอนุกรรมการ ครั้งละ ๘๐๐ บาท ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรตัดคำว่า “ลูกจ้าง” ออกจากร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานสภาเมืองพัทยา รองประธานสภาเมืองพัทยา สมาชิกสภาเมืองพัทยา เลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา และกรรมการหรืออนุกรรมการของสภาเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เนื่องจากกรรมการและอนุกรรมการของส่วนราชการที่ตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุม พ.ศ. ๒๕๔๗ ไม่มีการแต่งตั้งลูกจ้างเป็นกรรมการหรืออนุกรรมการ ส่วนค่าเบี้ยประชุมคณะกรรมการของสภาเมืองพัทยา ให้เบิกจ่ายในอัตราไม่เกินอัตราที่กรุงเทพมหานครกำหนดไว้ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุม และเงินค่าตอบแทนอื่นของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาเขตของกรุงเทพมหานคร และกรรมการของสภากรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๕๐ ไปพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. สำหรับงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากการปรับค่าตอบแทนในครั้งนี้ให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของเมืองพัทยา |
||||||||||||||||||
30205 | ขออนุมัติใช้วงเงินช่วยเหลือเยียวยาตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2555 | กษ | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการช่วยเหลือเกษตรกรที่เพาะปลูกข้าวนาปี ๒๕๕๔/๕๕ กรณีเสียหายเนื่องจากประสบอุทกภัย และกรณีจำหน่ายผลผลิตไปก่อนเริ่มโครงการรับจำนำผลผลิตข้าวนาปี ๒๕๕๔/๕๕ โดยเป็นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวผลผลิตในเดือนสิงหาคม - กันยายน ๒๕๕๔ และเกษตรกรที่ปลูกข้าว ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม - ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งเก็บเกี่ยวและขายข้าวแล้วตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน - ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ โดยให้ความช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่เพาะปลูกข้าวนาปี ๒๕๕๔/๕๕ ที่มีคุณสมบัติถูกต้องตามเงื่อนไขของมติคณะรัฐมนตรีเพิ่มเติม จำนวน ๕๕๐.๓๘๙ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สำหรับในส่วนของการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยเงินที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสำรองจ่ายไปก่อน เห็นควรชดเชยในอัตราดอกเบี้ย FDR + 1 ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตรวจสอบความถูกต้องและความซ้ำซ้อนของเกษตรกรก่อนจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รับไปกำกับติดตามการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประสบปัญหาอุทกภัยให้รวดเร็ว ครบถ้วน และเป็นธรรม โดยประสานสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการและชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประสบภัยในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับระเบียบหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือดังกล่าวให้ชัดเจนถูกต้องตรงกันด้วย |
||||||||||||||||||
30206 | มาตรการเกี่ยวกับระบบบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัย และค่าบริการทางการแพทย์ | สธ | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการเกี่ยวกับระบบบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัย และค่าบริการทางการแพทย์ ตามมติคณะกรรมการกำหนดระบบบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัย และค่าบริการทางการแพทย์ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการกำหนดระบบบริหารยาฯ เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การควบคุมกำกับการใช้ยาให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและคุ้มค่าในระบบประกันสุขภาพ ๑.๑.๑ การมีกลไกกลางในการเจรจาต่อรองราคายาที่มีราคาแพง โดยเฉพาะรายการยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติที่มีราคาแพงและมีผู้จำหน่ายรายเดียว ๑.๑.๒ มาตรการควบคุมการกำกับการเบิกจ่ายค่ายานอกบัญชียาหลักแห่งชาติและยาต้นแบบในระบบประกันสุขภาพ ได้แก่ การกำหนดเป้าหมายการลดค่าใช้จ่าย การกำหนดอัตราอ้างอิงการเบิกจ่ายยากลุ่มเป้าหมาย การปรับโครงสร้างชดเชยค่ายาและค่าบริการ และระบบสารสนเทศข้อมูลการเบิกจ่ายและการสั่งจ่ายยา ๑.๑.๓ นโยบายส่งเสริมการใช้ยาในบัญชียาหลักและยาชื่อสามัญ ได้แก่ การกำหนดเป้าหมายการใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ/ยาชื่อสามัญ การมีระบบประกันสุขภาพยาชื่อสามัญที่มีจำหน่ายในท้องตลาด และการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน ๑.๑.๔ การกำหนดแนวเวชปฏิบัติและข้อบ่งชี้การใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติในยากลุ่มเป้าหมายที่มีมูลค่าการใช้จ่ายสูง รวมถึงข้อบ่งชี้การตรวจวินิจฉัยโรคและการรักษาด้วยเทคโนโลยีราคาแพง ๑.๑.๕ การกำหนดกลไกกลางในการตรวจสอบการเบิกจ่ายและการจ่ายยา ๑.๒ การพัฒนาบัญชียาและรหัสยามาตรฐานเพื่อสนับสนุนการบริหารเวชภัณฑ์ ๑.๓ การปรับอัตราการจ่ายตามกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วมให้เป็นเอกภาพระหว่างกองทุน ๑.๔ การวิจัยและพัฒนารูปแบบการจ่ายแบบตกลงราคาล่วงหน้าบริการผู้ป่วยนอกทั้งในลักษณะต่อครั้งต่อคนที่สอดคล้องกับต้นทุนและยกระดับคุณภาพการดูแลโรคเรื้อรัง เพื่อเป็นมาตรฐานและใช้ร่วมกันระหว่างกองทุนประกันสุขภาพต่าง ๆ อันจะนำมาซึ่งความยั่งยืนในการควบคุมค่าใช้จ่ายระยะยาว ๒. ให้คณะกรรมการกำหนดระบบบริหารยาฯ รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรมีมาตรการควบคุมและส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล รวมทั้งป้องกันการแก้ไขปัญหาเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะ มีทางเลือกให้ใช้ผลิตภัณฑ์ยาในประเทศ เช่น ยาสมุนไพร การเจรจาต่อรองราคายากับผู้จำหน่ายควรมีมากกว่า ๑ ราย และมีการปรับราคากลางให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงและคุณภาพยา รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณียาราคาแพงและมีการต่อรองราคาแล้ว แต่ผู้ป่วยยังไม่สามารถเข้าถึงยาได้ อาจต้องใช้มาตรการบังคับสิทธิเหนือสิทธิบัตรยาเป็นมาตรการดำเนินการในภาพรวมของประเทศ ส่วนการกำหนดแนวเวชปฏิบัติเพื่อการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลในยากลุ่มเป้าหมายที่มีมูลค่าการใช้จ่ายสูง รวมถึงข้อบ่งชี้การตรวจวินิจฉัยโรคและการรักษาด้วยเทคโนโลยีราคาแพง ให้กรมการแพทย์ กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์ คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ และราชวิทยาลัยที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายสุขภาพ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ นอกจากนี้ เห็นควรกำหนดแผนและวิธีดำเนินงานตามมาตรการฯ โดยพิจารณาถึงผู้รับบริการสุขภาพให้ได้รับประโยชน์ ไม่กระทบหรือรอนสิทธิเดิม การกำหนดแผนดำเนินงาน โดยคำนึงถึงการบริหารจัดการและการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อมิให้เป็นการเพิ่มภาระงบประมาณในอนาคต การดำเนินการควบคุมและกำกับการใช้ยา โดยคำนึงถึงคุณภาพและประสิทธิภาพของยาต่อการรักษา และสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนในกระบวนการผลิต การคัดเลือกยาสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้ยาในบัญชียาหลักและยาชื่อสามัญมากขึ้น ตลอดจนกำกับดูแลการเบิกจ่ายยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติอย่างรัดกุม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
30207 | แนวทางการจัดสรรเงินรางวัล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 สำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา | นร | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การสนับสนุนงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เพิ่มเติมในขั้นตอนการแปรญัตติ เพื่อใช้สำหรับการจัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้กับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่ได้จัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการและประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๖,๘๓๕ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติหลักการให้บรรจุรายการเงินรางวัลและเงินเพิ่มพิเศษสำหรับผู้บริหารไว้ในรายการงบประมาณของร่างพระราชบัญญัติรายจ่ายงบประมาณประจำปี เป็นประจำทุกปี ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับวิธีการจ่ายเงินรางวัลประจำปีของส่วนราชการต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการจ่ายเงินรางวัลโดยเฉลี่ยจ่ายในจำนวนเท่าๆกัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักการการจัดสรรเงินรางวัลประจำปี จึงเห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางในการจัดสรรเงินรางวัลให้สะท้อนถึงผลการปฏิบัติงานที่แท้จริง เพื่อเป็นแรงจูงใจให้บุคลากรปฏิบัติราชการสำเร็จตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งศึกษาวิเคราะห์ผลการดำเนินการจัดสรรเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว การพิจารณาแนวทางและหลักการของการจัดสรรเงินรางวัลดังกล่าวใหม่ทั้งระบบ เพื่อให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่ชัดเจนเพื่อให้การจัดสรรเงินรางวัลเป็นไปด้วยความทั่วถึงและเป็นธรรม การกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางในการจัดสรรเงินรางวัลในส่วนเงินเพิ่มพิเศษสำหรับผู้บริหารให้สะท้อนถึงผลการปฏิบัติงานที่แท้จริงมากกว่าการพิจารณาเฉพาะค่าตอบแทนที่ได้รับทั้งหมด รวมทั้งการให้ความสำคัญต่อการจัดสรรเงินรางวัลให้กับระดับปฏิบัติมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มผู้บริหารที่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มพิเศษ ควรครอบคลุมถึงตำแหน่งผู้ตรวจราชการ ที่ปรึกษา และผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงของส่วนราชการที่มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองฯ ขององค์กร ไปดำเนินการด้วย ๓. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) รับไปวางเป้าหมายและกำกับดูแลเรื่องการจัดสรรเงินรางวัลให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลต่อไป |
||||||||||||||||||
30208 | การแก้ไขสัญญาว่าจ้างเอกชนดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ | กค | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า การพิจารณาแก้ไขสัญญาว่าจ้างเอกชนดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของผู้มีอำนาจอนุมัติของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งซึ่งจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการพัสดุของรัฐวิสาหกิจนั้น และให้รัฐวิสาหกิจพิจารณาดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดังกล่าว ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการแก้ไขสัญญาว่าจ้างเอกชนดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจในลักษณะสัญญาจ้างเหมาบริการได้เฉพาะสัญญาที่มีการลงนามก่อนที่คณะกรรมการค่าจ้างออกประกาศกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ เนื่องจากเอกชนผู้รับจ้างยังไม่ได้ประมาณการภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ โดยให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจเป็นผู้พิจารณาอนุมัติเป็นกรณี ๆ ไป ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
30209 | การจัดการข้าวที่จะบริจาคให้สาธารณรัฐเฮติในส่วนที่เหลือ จำนวน 1,599.39 ตัน | กต | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงพาณิชย์รับเรื่อง การจัดการข้าวที่จะบริจาคให้สาธารณรัฐเฮติในส่วนที่เหลือ จำนวน ๑,๕๙๙.๓๙ ตัน ไปหารือในรายละเอียดกับกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการจำหน่ายข้าวที่บริจาคให้สาธารณรัฐเฮติในส่วนที่เหลือในท้องตลาดให้ถูกต้องและเป็นไปตามกฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ หากมีเหตุขัดข้องประการใดทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||
30210 | ขออนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศและสำนักเลขาธิการองค์การรัฐอเมริกัน | กต | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาระหว่างสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักเลขาธิการองค์การรัฐอเมริกัน ซึ่งเป็นเอกสารกำหนดแนวทางความร่วมมือระหว่างสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (สพร.) กับสำนักเลขาธิการองค์การรัฐอเมริกัน (Organization of American States : OAS) สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินกิจกรรมความร่วมมือระหว่าง สพร. กับ OAS ในลักษณะของการจัดฝึกอบรมในประเทศไทยหรือในประเทศสมาชิกของ OAS ๑.๒ กรอบสาขาความร่วมมือระหว่าง สพร. กับ OAS ได้แก่ สาขาการพัฒนาวิชาชีพ (Professional Development) การบริหารจัดการการท่องเที่ยว (Tourism Management) การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม (Economic and Social Development) การจ้างงานและการลดความยากจน (Employment and Poverty Reduction) ตลอดจนสาขาอื่น ๆ ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน ๑.๓ ส่งเสริมการจัดการประชุมในระดับทวิภาคีเพื่อหารือและแลกเปลี่ยนแนวทางความร่วมมือระหว่างกันทั้งสองฝ่าย ๑.๔ เงื่อนไขการดำเนินกิจกรรมที่มีร่วมกันที่เกี่ยวข้องกับด้านเงินทุนและบุคลากร ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักความร่วมมือแบบใต้ - ใต้ (South - South Cooperation) คือ ทั้งสองฝ่ายร่วมกันรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ๒. อนุมัติให้ผู้อำนวยการ สพร. กระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่เนื้อหาสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ให้สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
||||||||||||||||||
30211 | ขอเงินงบกลางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยธรรมชาติปี 2553 - 2554 | กษ | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยแล้ง ภัยศัตรูพืชระบาด (เพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง โรคใบขาวอ้อย โรคพืชระบาด แมลงบั่วและเพลี้ยไฟ เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล) และวาตภัย ของจังหวัดเชียงราย น่าน บึงกาฬ ร้อยเอ็ด เลย นครราชสีมา พิจิตร พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี หนองคาย แพร่ และพิษณุโลก จำนวน ๒๙,๘๘๒ ราย วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๖๖,๙๔๕,๔๑๒ บาท โดยให้กรมส่งเสริมการเกษตร ตรวจสอบเอกสารหลักฐานและรวบรวมส่งสำนักงบประมาณ พร้อมทั้งจัดทำคำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณในคราวเดียว และให้ถือว่าคำขอดังกล่าว เป็นคำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พร้อมสำเนาส่ง ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมการเกษตร) ตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๒. ให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการประชุมร่วมกับผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนสำนักงบประมาณ และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดแนวทาง มาตรการ และขั้นตอนการดำเนินการประกาศภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินและการใช้จ่ายเงินทดรองราชการ ตามนัยระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งกระบวนการกำกับติดตามการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||
30212 | โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองเพื่อเพิ่มศักยภาพและส่งเสริมกิจการการขนส่งทางอากาศของประเทศ ของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) | คค | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบบทบาทท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นท่าอากาศยานหลัก (Hub Airport) รองรับเที่ยวบินแบบเต็มรูปแบบ (Full Service) และเที่ยวบินที่มีการเชื่อมต่อ (Connecting Flight) เพื่อส่งเสริมให้เป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค และท่าอากาศยานดอนเมืองเป็นท่าอากาศยานรองรับสายการบินต้นทุนต่ำ (Low Cost Carriers : LCCs) และ/หรือเส้นทางการบินในประเทศและระหว่างประเทศแบบจุดต่อจุด (Point to Point) บนหลักการของความสมัครใจของสายการบินเพื่อเป็นการใช้ท่าอากาศยานทั้ง ๒ แห่ง ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร และกรมสรรพากร) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ด่านตรวจพืช ด่านตรวจสัตว์น้ำ และด่านกักกันสัตว์) กระทรวงคมนาคม (บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ด่านตรวจสัตว์ป่า) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และสำนักอุตุนิยมวิทยาการบิน) กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) กระทรวงแรงงาน (กรมการจัดหางาน) กระทรวงสาธารณสุข (ด่านควบคุมโรคติดต่อ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สนับสนุนและเตรียมความพร้อมในการดำเนินการเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยเร่งด่วน เพื่อการรองรับสายการบินที่จะย้ายมาให้บริการที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาจัดสรรพื้นที่ ปริมาณเที่ยวบิน และการเรียกเก็บอัตราค่าบริการสำหรับสายการบินต้นทุนต่ำ และ/หรือเส้นทางบินในประเทศและระหว่างประเทศแบบจุดต่อจุดที่สมัครใจเปิดการให้บริการที่ท่าอากาศยานดอนเมือง โดยคำนึงถึงความเท่าเทียมและเป็นธรรมในการแข่งขันระหว่างสายการบิน รวมทั้งจัดให้มีบริการขนส่งระหว่างท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเพื่อต่อเที่ยวบินได้อย่างสะดวกรวดเร็ว นอกจากนี้ ให้บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด จัดทำระบบบริหารจัดการการจราจรทางอากาศและความปลอดภัยของจุดตัดการจราจรทางอากาศ เพื่อรองรับปริมาณการจราจรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
30213 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2555 (ครั้งที่ 142) | พน | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ (ครั้งที่ ๑๔๒) เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๗๓ ฉบับปรับปรุงครั้งที่ ๓ (PDP 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ ๓) ๑.๑.๑ เห็นชอบแผน PDP 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ ๓ และให้กระทรวงพลังงานดำเนินการให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในพื้นที่โรงไฟฟ้าขนอมตามที่บริษัท EGCO เสนอ และพิจารณาวางกรอบการเจรจารับซื้อไฟฟ้า โดยคำนึงถึงระยะเวลาการดำเนินโครงการ ราคาค่าไฟฟ้าที่เหมาะสมและเป็นธรรมจากที่สามารถประหยัดได้จากการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้ว รวมทั้งผลกระทบสิ่งแวดล้อม ความพร้อมด้านมวลชนสัมพันธ์ และการยอมรับของประชาชนรอบพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า และการพิจารณากรอบปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP และ SPP รอบใหม่ให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับระยะเวลาตามแผน PDP 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ ๓ ๑.๑.๒ เห็นชอบให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานออกระเบียบและหลักเกณฑ์ในการจัดหาไฟฟ้าและออกประกาศเชิญชวนต่อไป รวมทั้งเสนอผลเจรจาและผลการคัดเลือกต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับผู้ยื่นข้อเสนอ ๑.๑.๓ เห็นชอบให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จัดทำร่างแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติให้สอดคล้องกับแผน PDP 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ ๓ และนำเสนอ กพช. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ๑.๒ ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการเซเปียน - เซน้ำน้อย ๑.๒.๑ เห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการเซเปียน - เซน้ำน้อย และให้ กฟผ. ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าฯ กับผู้พัฒนาโครงการต่อไป เมื่อร่างสัญญาได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องมีการปรับกำหนดเวลาของแผนงาน (Milestone) ที่เกี่ยวข้องกับกำหนดการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในช่วงก่อนที่จะลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าฯ เพื่อให้เหมาะสมกับช่วงเวลาในการกักเก็บน้ำและการทดสอบโรงไฟฟ้า รวมถึงการแก้ไขร่างสัญญาที่ไม่กระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้าที่ระบุไว้ในร่างสัญญา และ/หรือเงื่อนไขสำคัญให้อยู่ในอำนาจการพิจารณาของคณะกรรมการ กฟผ. โดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอขอความเห็นชอบจาก กพช. อีก ๑.๒.๒ เห็นชอบให้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการเซเปียน - เซน้ำน้อย ใช้เงื่อนไขการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการ ๑.๓ แนวทางการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ ๑.๓.๑ รับทราบเหตุ ความจำเป็นและแนวทางการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศในเบื้องต้น ๑.๓.๒ เห็นชอบในหลักการให้มีการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ และให้กระทรวงพลังงานศึกษาในรายละเอียดเพื่อจัดตั้งการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศต่อไป ๑.๔ หลักเกณฑ์การคำนวณผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility ๑.๔.๑ เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility ระยะที่ ๒ ๑.๔.๒ ให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราผลตอบแทนลงทุน LPG Facility ตามหลักเกณฑ์ที่ กพช. เห็นชอบ รวมทั้งวิธีการจ่ายผลตอบแทนการลงทุนต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเพิ่มเปอร์เซ็นต์ของเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานในแผน PDP 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ ๓ และดำเนินการทั้งภาคบังคับและสนับสนุนอย่างจริงจังเพื่อให้การอนุรักษ์พลังงานเกิดผลสำเร็จ การวางแผนเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ สายส่ง การกักเก็บพลังงานไฟฟ้า กำลังไฟฟ้าสำรอง เป็นต้น ให้สอดคล้องกับแผน PDP การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับการพัฒนาด้านพลังงานที่สอดคล้องกับแผน PDP การสร้างความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีพลังงานเพื่อเป็นแรงผลักดันให้เกิดบุคลากรและนักวิจัยในการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานที่ยั่งยืน การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการจัดเตรียมแผนบริหารความเสี่ยงด้านการจัดหากำลังการผลิตไฟฟ้าในกรณีที่โรงไฟฟ้าประเภทใดประเภทหนึ่ง โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเกิดเหตุสุดวิสัยจนไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ตามแผนที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||
30214 | การให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย | อก | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย และการสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในภาคอุตสาหกรรม เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการฟื้นฟู เยียวยานิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ๗ แห่ง ที่ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดปทุมธานี ได้แก่ นิคมสหรัตนนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมโรจนะ นิคมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมนวนคร และนิคมบางกะดี ขณะนี้มีโรงงานประกอบกิจการแล้ว ๖๕๓ ราย คิดเป็นร้อยละ ๗๗.๘๓ ของโรงงานทั้งหมด ๘๓๙ ราย ๒. การดำเนินการฟื้นฟูโรงงานขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประสบอุทกภัย ซึ่งตั้งอยู่นอกเขตนิคมอุตสาหกรรม ขณะนี้มีโรงงาน สถานประกอบการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เปิดดำเนินการแล้ว ๗,๖๖๙ ราย คิดเป็นร้อยละ ๙๗.๑๖ ของสถานประกอบการทั้งหมด ๗,๘๙๓ ราย ๓. มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน อาทิ การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์แก่บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมที่นำมาทดแทนเครื่องจักรและอุปกรณ์เดิมที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย การอนุมัติวีซ่าและใบอนุญาตทำงานแก่บริษัทที่ได้รับการส่งเสริม การเพิ่มสิทธิประโยชน์หรือยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้ให้ผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายทั้งในกรณีทำการผลิตชั่วคราวหรือลงทุนใหม่ เพื่อฟื้นฟูธุรกิจในประเทศ การเพิ่มสิทธิประโยชน์หรือยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้ให้ผู้ประกอบการที่ลงทุนใหม่ในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมในจังหวัดปทุมธานีและพระนครศรีอยุธยา การยกเว้นค่าบริการในการออกใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่สูญหาย การยกเว้นค่าบริการในการต่อใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และการยกเว้นค่าบริการในการออกหนังสือรับรองสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-PP & Paperless) เป็นต้น ๔. โครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย อาทิ โครงการจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรม โครงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และกากอุตสาหกรรมในสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และการปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในสถานประกอบการทั้งในและนอกนิคม โครงการศูนย์สารพัดช่างเพื่อการฟื้นฟูผู้ประสบอุทภัย โครงการฟื้นฟูซ่อมแซมหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย โครงการบริหารจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัย และโครงการฟื้นฟูภาพลักษณ์ประเทศไทย เป็นต้น ๕. ความคืบหน้าการก่อสร้างเขื่อน นิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๗ กิโลเมตร อยู่ระหว่างดำเนินการสรรหาผู้บริหารแผนฟื้นฟูฯ ใหม่ เขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๗๕ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๓๙ นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๑.๐๓ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๕๑.๘๐ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๙.๘๙ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๔๐ เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๘ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๔๐.๐๓ และสวนอุตสาหกรรมบางกะดี ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๙.๑๒ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๕๐.๒๖
|
||||||||||||||||||
30215 | สรุปผลการประชุม World Economic forum on East Asia ปี 2555 | นร | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการระดับชาติของไทยเพื่อเตรียมการจัดประชุม World Economic Forum on East Asia ปี ๒๕๕๕ รายงานสรุปผลการประชุม World Economic Forum on East Asia ปี ๒๕๕๕ ที่ประเทศไทย ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๓๐ พฤษภาคม - ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยการประชุมแบ่งออกเป็น ดังนี้
๑. การประชุมแบบ Private Sessions ได้จัดให้มีกิจกรรมเสวนาแบบแบ่งกลุ่มย่อยใน ๕ สาขา ได้แก่ ๑.๑ การประชุมสุดยอดภายใต้หัวข้อ เปิดพรมแดน : สร้างการเติบโตให้กับทวีปเอเชีย ผ่านการเดินทาง การค้า และการท่องเที่ยว (Open Borders : Revitalizing Asia’s Growth through Travel, Trade and Tourism) ที่ประชุมพิจารณาเห็นควรเร่งสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนตั้งแต่ระดับนโยบายไปจนถึงระดับพื้นที่ลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในสาขาที่มีศักยภาพ ในขณะที่ภาคเอกชนควรเร่งปรับกลยุทธ์ในการทำการตลาดเพื่อตอบสนองผู้บริโภคผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ ๑.๒ การประชุมสุดยอดด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT Summit) ประกอบด้วย ๓ ประเด็นย่อย ได้แก่ พลังของข้อมูลกับการสร้างนวัตกรรมทางเทคโนโลยี สังคม และเศรษฐิจ (The Power of Data to Fuel Technological, Social and Economic Innovations) ความเชื่อมโยงเครือข่ายดิจิตอลและโครงสร้างทางกายภาพเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของภูมิภาค (Connectivity for Growth : Digital and Physical) และความร่วมมือในการสร้างความยืดหยุ่นเพื่อรับมือภัยทางไซเบอร์ (Partnering for Cyber Resilience (PCR) : Individual Action, Collective Good เป็นกิจกรรมที่ WEF ริเริ่มขึ้นในลักษณะพันธมิตรและความร่วมมือในระดับโลก เพื่อเพิ่มขีดความคงทนต่อการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มความยืดหยุ่นในการรับมือทางไซเบอร์ ที่ประชุมมีข้อเสนอแนะเพื่อส่งเสริมเรื่อง PCR อาทิ เสริมสร้างความตระหนักในเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ให้เกิดขึ้นกับทุกภาคส่วน จัดทำมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ โดยเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้รับทราบและเข้ามามีส่วนร่วม ๑.๓ การวางแผนโครงสร้างการพัฒนาพลังงานของแต่ละประเทศในภูมิภาครูปแบบใหม่ ที่ประชุมได้ให้ความสำคัญกับการจัดหาพลังงานให้เพียงพอ ราคาถูก และรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างสมดุลและทำให้ธุรกิจพลังงานอยู่บนพื้นฐานที่ยั่งยืน และความสามารถในการเข้าถึงพลังงานของประชาชนอย่างแท้จริง ๑.๔ การผลักดันวิสัยทัศน์ใหม่ด้านการเกษตรสู่การปฏิบัติงานภูมิภาคเอเชียตะวันออก (Putting the New Vision for Agriculture into Action in East Asia) ที่ประชุมสรุปว่าการพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกต้องอาศัยกลไกการลงทุนในรูปแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนให้มากขึ้น โดยภาครัฐควรกำหนดยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการลงทุนภาคเกษตรให้ชัดเจน เช่น ลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน จัดการเกี่ยวกับการเข้าถึงที่ดินทำกิน การบริหารความเสี่ยง การประกันภัยพืชผลเกษตร การจัดหาตลาดสำหรับสินค้าเกษตรสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ๑.๕ แนวทางความร่วมมือเพื่อสร้างสุขภาพที่ดี (Healthy Living : Collaborative solutions for Maximizing Impact) ที่ประชุมพิจารณาเห็นควรให้ประเทศในภูมิภาคร่วมกันพัฒนาแผนปฏิบัติการของภูมิภาคและส่งเสริมการประสานงานในการดำเนินการป้องกันและควบคุมโรคที่ไม่ติดต่อมากยิ่งขึ้น ๒. การประชุมแบบ Public Sessions ที่ประชุมได้เน้น ๓ ประเด็นหลัก ได้แก่ ๒.๑ การมองภูมิภาคในบริบทใหม่ของโลก (Rethinking Regional Models for a New Global Context) โดยให้มีการทบทวนและศึกษารูปแบบการพัฒนาประเทศในภูมิภาคสำหรับโลกยุคใหม่ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน ที่ประชุมได้เสนอประเด็นสำคัญ ได้แก่ การลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเพศและการเพิ่มบทบาทสตรีต่อการพัฒนาประเทศในภูมิภาคเอเชีย การสร้างรูปแบบเศรษฐกิจสมดุลใหม่ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก การลดปัญหาความยากจน การสนับสนุนให้ผู้นำทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน ผลักดันรูปแบบและระบบการคุ้มครองทางสังคมให้กับผู้สูงอายุแบบมีส่วนร่วมและยั่งยืนสู่การปฏิบัติ การพัฒนาการศึกษา ทักษะและการเชื่อมต่อกับการทำงาน รวมทั้งการจัดการกับค่านิยมที่มีอยู่และค่านิยมใหม่ที่ดีไม่ให้สูญหาย ๒.๒ การเตรียมรับมือกับความเสี่ยงในภูมิภาค (Responding to a Region@Risk) ที่ประชุมเห็นว่าประชาคมอาเซียนต้องลดผลกระทบเพื่อเตรียมรับมือกับความเสี่ยงทั้งจากภัยทางเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ และภัยก่อการร้าย โดยใช้มาตรการต่าง ๆ ได้แก่ การจัดการเพื่อลดปัญหาความรุนแรงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ การบริหารจัดการและใช้เครื่องมือทางการเงินในอนาคตเพื่อลดความเสี่ยงและความผันผวนของภาคการเงินโลก และลดปัญหาความไม่เพียงพอของแหล่งเงินทุนโดยเฉพาะการขาดแคลนสภาพคล่องในการพัฒนาเศรษฐกิจ การสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืนในอนาคต และการลดปัญหาสุขภาพเป็นพื้นฐานของการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ๒.๓ การเชื่อมโยงภูมิภาคเป็นหนึ่งเดียว (Realizing Regional Connectivity) ที่ประชุมเห็นว่า อนาคตของเอเชียตะวันออก ความเชื่อมั่น และความสามารถในการปรับตัวของภูมิภาคขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการให้สามารถสร้างความเชื่อมโยงภูมิภาคให้เป็นหนึ่งเดียว การเชื่อมโยงดังกล่าวจะช่วยตอกย้ำบทบาทที่สำคัญของเอเชียตะวันออกในการก้าวขึ้นเป็นอีกหนึ่งเสาหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี เอเชียตะวันออกยังมีประเด็นท้าทายในเรื่องความยั่งยืนของเศรษฐกิจ พลังงาน และทรัพยากร
|
||||||||||||||||||
30216 | ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) (นายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์) | ทก | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ
|
||||||||||||||||||
30217 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประเมินผลกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (กรณีพ้นตำแหน่งตามวาระ) (จำนวน 7 คน 1. ศาสตราจารย์ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ ฯลฯ) | กค | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประเมินผลกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (กรณีพ้นตำแหน่งตามวาระ) จำนวน ๗ คน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรี (๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. ศาสตราจารย์ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ เป็นประธานกรรมการ ๒. ศาสตราจารย์ศิริชัย กาญจนวาสี เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประเมินผล ๓. รองศาสตราจารย์ชาย โพธิสิตา เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประเมินผล ๔. นางนงราม เศรษฐพานิช เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประเมินผล ๕. นายกฤษณา อุทยานิน เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน ๖. นายณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ๗. นายกิติศักดิ์ สินธุวนิช เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสร้างเสริมสุขภาพ
|
||||||||||||||||||
30218 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (จำนวน 3 คน 1. นายประสิทธิ์ โฆวิไลกูล ฯลฯ) | พณ | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า จำนวน ๓ คน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายประสิทธิ์ โฆวิไลกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๒. นายณัฐศิลป์ จงสงวน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน ๓. นายประสิทธิ์ ดำรงชิตานนท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเกษตร
|
||||||||||||||||||
30219 | แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุน ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 (นายชลิต ดำรงศักดิ์) | อก | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายชลิต ดำรงศักดิ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในคณะกรรมการบริหารกองทุน ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||
30220 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชย์นาวี (จำนวน 9 คน 1. นายประพันธ์ โลหะวิริยศิริ ฯลฯ) | คค | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวี จำนวน ๙ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. นายประพันธ์ โลหะวิริยศิริ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการขนส่งทางทะเลระหว่างประเทศ ๒. นายเชาวลิต เมธยะประภาส กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการขนส่งทางน้ำ ๓. เรือตรี วิโรจน์ จงชาณสิทโธ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกิจการท่าเรือ ๔. นายชเนศร์ เพ็ญชาติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกิจการการเดินเรือไทย ๕. นายวิรัตน์ ชนะสิทธิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกิจการอู่เรือ ๖. นายสมพร ไพสิน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายพาณิชยนาวี ๗. นางคมคาย ธูสรานนท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประกันภัยทางทะเล ๘. นายสมศักดิ์ วิเศษเรืองโรจน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าระหว่างประเทศ ๙. นายเปี่ยมศักดิ์ เมนะเศวต กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อม
|
.....