ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1512 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30221 - 30240 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30221 | แต่งตั้งกรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชนและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน (จำนวน 13 คน 1. นางธัญดา ปานขลิบ ฯลฯ) | กษ | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชนและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน จำนวน ๑๓ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕) เป็นต้น ไปตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. นางธัญดา ปานขลิบ กรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชนจังหวัดนครสวรรค์ ๒. นางวรรณวิสาข์ มีแก้ว กรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชนจังหวัดพิจิตร ๓. นายจิรภัทร ปาลสุทธิ์ กรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชนจังหวัดระยอง ๔. นายนฤทธิ์ คำธิศรี กรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชนจังหวัดสกลนคร ๕. นายโรจนินทร์ ทองศิริกุลวัฒน์ กรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชนจังหวัดสุรินทร์ ๖. นายวรวิทย์ บุญสร้าง กรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชนจังหวัดขอนแก่น ๗. นายสมศักดิ์ ทองจันทร์ กรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชนจังหวัดเพชรบูรณ์ ๘. นายสว่าง ชื่นอารมย์ กรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชนจังหวัดตราด ๙. นายสุริยา ศรีโพธิ์ทอง กรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชนจังหวัดสุพรรณบุรี ๑๐. นายเสถียร แสงอรุณ กรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ๑๑. นายธนิต โสรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าและอุตสาหกรรม ๑๒. นายวิวัฒน์ ไม้แก่นสาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารธุรกิจ ๑๓. นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน
|
|||||||||||||||||||||
30222 | ขอต่ออายุเงินกู้ระยะสั้น | พน | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต่ออายุเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line ในวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ระยะเวลา ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ภายใต้เงื่อนไขเดิม ประกอบด้วย กู้เบิกเกินบัญชี ตั๋วสัญญาใช้เงิน การทำ Trust Receipt (T/R) และการทำสัญญากู้เงินเมื่อทวงถาม (Call Loan) ทั้งนี้ เพื่อรองรับการบริหารสภาพคล่องให้มีประสิทธิภาพสำหรับการดำเนินงานของ กฟผ. โดยให้ กฟผ. พิจารณาทำสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ/หรือธนาคารพาณิชย์อื่นตามที่ธนาคารแต่ละแห่งเสนอ ในรูปแบบที่มีต้นทุนต่ำที่สุดตามอัตราดอกเบี้ยตลาด โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ยจากการกู้เงินดังกล่าว เพื่อให้ กฟผ. สามารถบริหารสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
30223 | การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นงบประมาณสำหรับอัตรากำลังใหม่ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | สธ | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการบรรจุอัตรากำลังใหม่สำหรับนักเรียนทุนแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร และพยาบาลวิชาชีพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๔,๘๔๖ อัตรา ก่อนขอทำความตกลงในกรอบวงเงินค่าใช้จ่าย จึงเป็นเหตุให้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีไม่เพียงพอสำหรับรองรับการบรรจุอัตรากำลังใหม่ดังกล่าว ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการบริหารจัดการกำลังคนและภารกิจด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ที่ประธานกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐแต่งตั้ง ศึกษาภาพรวมและจัดทำข้อเสนอในการแก้ปัญหากำลังคนและการบริหารจัดการภารกิจด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงควรเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เพื่อจะได้เป็นกรอบในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีกรณีต้องกำหนดอัตรากำลังใหม่เพิ่มเติมต่อไป ๑.๒ เพื่อให้การบริหารงานบุคคลและสิทธิประโยชน์ของนักเรียนทุนรัฐบาลและพยาบาลวิชาชีพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง กรณีค่าใช้จ่ายในการบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาลและพยาบาลวิชาชีพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ จำนวน ๒๙๘.๙๙๕๕ ล้านบาท เห็นสมควรที่กระทรวงสาธารณสุขจะใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุข หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากงานที่ดำเนินการล่าช้า เบิกจ่ายไม่ทัน รวมทั้งพิจารณาจากรายการเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีตามลำดับ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพในการเร่งรัดคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการศึกษาภาพรวมอัตรากำลังทั้งระบบและจัดทำข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาอัตรากำลังคนและการบริหารจัดการภารกิจด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข โดยให้กระทรวงสาธารณสุขหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อจัดทำแผนรายปีในการบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาล (แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร) พยาบาลวิชาชีพ และบุคลากร เช่น พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราว โดยกำหนดสัดส่วนให้เหมาะสมกับจำนวนประชากร ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงการกระจายตัวไปในพื้นที่ชนบทเป็นหลัก เพื่อประกอบการพิจารณาของ คปร. ในภาพรวมด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
|||||||||||||||||||||
30224 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีการดำเนินตามนโยบายของรัฐบาลในการรับจำนำข้าวเปลือก | ปช | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรียืนยันว่า การดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกมีวัตถุประสงค์ที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรในการยกระดับราคาพืชผลทางการเกษตร รวมทั้งเป็นการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกรในชนบทตามแนวนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาทุกประการ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ยืนว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวมีมาตรการและกลไกในการควบคุมกำกับดูแลให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีระบบการตรวจสอบให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความโปร่งใสและตรวจสอบได้ แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การดำเนินโครงการทั้งในระดับพื้นที่และในระดับปฏิบัติการมีประสิทธิภาพและป้องกันการทุจริต จึงมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) สั่งการให้หน่วยงานในกำกับ ดำเนินการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริตในระดับปฏิบัติ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ให้ความร่วมมือ หากตรวจสอบพบกรณีทุจริตให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
30225 | ข้อเสนอแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน | นร | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง เรื่องการใช้เงินกู้ SAL (Structural Adjustment Loan : SAL) ตามแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐ ในวงเงินทั้งสิ้น ๑,๑๑๒,๖๘๘,๘๐๐ บาท เพื่อดำเนินการตามข้อเสนอแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย โครงการส่งเสริมและพัฒนาความเป็นเลิศในการให้บริการประชาชน วงเงิน ๓๓๓,๓๕๕,๓๐๐ บาท และโครงการส่งเสริมและยกระดับธรรมาภิบาลในส่วนราชการ วงเงิน ๗๗๙,๓๓๓,๕๐๐ โดยทั้ง ๒ โครงการดังกล่าวจะส่งเสริมให้เกิดการยกระดับธรรมาภิบาลในภาคราชการอย่างทั่วถึงทั้งส่วนราชการระดับกรม และจังหวัด โดยเฉพาะโครงการส่งเสริมและยกระดับธรรมาภิบาลในส่วนราชการ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาตามแผนงานที่กำหนดไว้ มีการประเมินผลการดำเนินงานเรื่องการปรับปรุงการให้บริการให้มีความสะดวกและรวดเร็วขึ้น มีกลไกกลั่นกรองข้อเสนอโครงการในรายละเอียดและกำหนดตัวชี้วัดที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการสร้างความโปร่งใสในระบบราชการ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้มีคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองโครงการของส่วนราชการและจังหวัดที่สร้างระบบธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบในราชการ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับไปดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
30226 | แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร | นร | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการจัดทำโครงการแก้ไขปัญหามาบตาพุดในระยะต่อไป โดยแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร ประกอบด้วย สภาพปัญหาในพื้นที่และการแก้ไขปัญหาในระยะที่ผ่านมา ข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา และแผนงาน/โครงการภายใต้แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ดังนี้ ๑.๑.๑ พื้นที่เป้าหมาย ได้แก่ พื้นที่เขตควบคุมมลพิษตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๒ ประมาณ ๒๖๐,๖๖๐ ไร่ ครอบคลุม ๖ ตำบล ใน ๓ อำเภอ ได้แก่ ตำบลมาบตาพุด ตำบลห้วยโป่ง ตำบลเนินพระ ตำบลทับมา อำเภอเมืองระยอง ตำบลมาบข่า อำเภอนิคมพัฒนา และตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง ๑.๑.๒ แนวทางการแก้ไขปัญหามาบตาพุด ประกอบด้วย ๘ แนวทาง ได้แก่ การลดและขจัดมลพิษต่อเนื่อง มุ่งสู่สิ่งแวดล้อมสะอาด การยกระดับบริการสาธารณสุขเฉพาะโรคและคุณภาพชีวิต การยกระดับคุณภาพการศึกษา การพัฒนาสู่อุตสาหกรรมนิเวศ การพัฒนากิจกรรมเศรษฐกิจในพื้นที่ให้มีความหลากหลาย การพัฒนาขีดความสามารถด้านโครงสร้างพื้นฐานและจัดสรรการใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม การส่งเสริมการใช้ผังเมืองรวมในการพัฒนาพื้นที่ และการบริหารจัดการ ๑.๑.๓ แผนงาน/โครงการภายใต้แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ประกอบด้วย ๘ แผนงาน ๙๒ โครงการ วงเงินรวม ๔,๓๔๗.๖๖๖๙ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติในหลักการการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก เพื่อทำหน้าที่ในการกำกับดูแลการแก้ไขปัญหามาบตาพุด โดยมีรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการตรวจเยี่ยมนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและข้อเสนอตามผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องไปปรับปรุงแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร ให้มีรายละเอียดที่ถูกต้อง ชัดเจน ครบถ้วน โดยให้ประสานงานกับคณะกรรมการ จังหวัดระยอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้าใจถูกต้องตรงกันเพื่อดำเนินการต่อไป และให้รายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย ๓. สำหรับงบประมาณที่จะใช้ในการดำเนินการ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกในเชิงบูรณาการ และขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
30227 | ผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยอนุมัติให้ใช้เงินจากการส่งคืนงบประมาณ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท เพิ่มเติม ใน ๑๕ จังหวัด จำนวน ๒๖,๗๕๑ ครัวเรือน การฟื้นฟูจากอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่มของส่วนราชการที่ดำเนินการในพื้นที่ภาคใต้ รวม ๖ หน่วยงาน โครงการ/รายการตามข้อเสนอของจังหวัด ด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีความจำเป็นเร่งด่วน รวม ๙ จังหวัด และโครงการ/รายการของส่วนราชการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและยังไม่ได้รับการจัดสรร รวมเป็นเงินที่เห็นควรให้ใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการส่งคืนงบประมาณ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการในระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๑๙๑.๖๖๒๘ ล้านบาท โดยหลักในการพิจารณาเน้นการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ โครงการ/รายการที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) และโครงการ/รายการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม สำหรับวงเงินส่วนที่เหลือจากการจัดสรรครั้งนี้อีกเป็นเงิน ๕๐๖.๑๘๑๗ ล้านบาท (๑,๖๙๗.๘๔๔๕ - ๑,๑๙๑.๖๖๒๘ ล้านบาท) จะได้ร่วมกันพิจารณารายการที่สำคัญมีความจำเป็นต้องดำเนินการต่อไป ๒. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท เพิ่มเติม ใน ๑๕ จังหวัด (๑๔ จังหวัด และกรุงเทพมหานคร) จำนวน ๒๖,๗๕๑ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑๓๓.๗๕๕๐ ล้านบาท เห็นควรให้จังหวัดและกรุงเทพมหานครตรวจสอบ รับรองความถูกต้อง ความซ้ำซ้อนของครัวเรือนผู้ประสบภัยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีได้กำหนดเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๔ และวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ พร้อมส่งรายชื่อครัวเรือนที่จังหวัดและกรุงเทพมหานครรับรองความถูกต้องว่าผู้ขอรับความช่วยเหลือเพิ่มเติมในครั้งนี้ได้รับความเสียหายตามหลักเกณฑ์และยังไม่ได้รับการช่วยเหลือจริงให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยภายในระยะเวลา ๗ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ และให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตรวจสอบความถูกต้อง ซ้ำซ้อน พร้อมส่งรายชื่อให้ธนาคารออมสิน ภายใน ๓ วันหลังจากที่ได้รับรายชื่อจากจังหวัดและกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ให้ธนาคารออมสินจ่ายเงินให้เสร็จสิ้นภายใน ๒๐ วัน นับแต่วันที่ธนาคารออมสินได้ตรวจสอบความถูกต้องผ่านระบบธนาคารแล้ว |
|||||||||||||||||||||
30228 | การแก้ไขหลักเกณฑ์มาตรการสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยโดยธนาคารออมสิน | กค | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่เห็นชอบการแก้ไขหลักเกณฑ์มาตรการสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยโดยธนาคารออมสิน เพื่อเป็นการบรรเทาภาระให้กับนิคมอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยในการลงทุนเพื่อใช้ในการจัดทำระบบและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับป้องกันอุทกภัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ขยายระยะเวลาการกู้เงิน จากเดิม ๗ ปี เป็น ๑๕ ปี และให้จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยและไม่ต้องจ่ายคืนเงินต้นใน ๕ ปีแรก (Grace Peirod 5 ปี)
|
|||||||||||||||||||||
30229 | ขอให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยแก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับซื้อลำไยสดเพื่อแปรรูปและการตลาดลำไยอบแห้งปี 2547 | กษ | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่เห็นชอบข้อเสนอการจัดสรรงบประมาณให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยแก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับซื้อลำไยสดเพื่อแปรรูปและการตลาดลำไยอบแห้งปี ๒๕๔๗ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดังนี้
๑. ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ [ที่ อ.ต.ก. กู้จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามโครงการรับซื้อลำไยสดเพื่อแปรรูปและการตลาดลำไยอบแห้งปี ๒๕๔๗] จำนวน ๘๕๓.๗๐ ล้านบาท ระยะเวลา ๕ ปี รวมทั้งสิ้นจำนวน ๔,๒๖๘,๔๙๖,๗๐๙.๑๗ บาท ๒. ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระคืนเป็นค่าดอกเบี้ยเงินกู้ในแต่ละปี ตามที่จ่ายจริงจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จ ๓. ให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ของ อ.ต.ก. ต่อเนื่องจากเดิมวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ เป็นจนกว่าสำนักงบประมาณจะจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระหนี้ตามโครงการรับซื้อลำไยสดเพื่อแปรรูปและการตลาดลำไยอบแห้งปี ๒๕๔๗ ให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เสร็จสิ้น ทั้งนี้ จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายและการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ๔. หากมีรายได้ที่เกิดจากโครงการรับซื้อลำไยสดเพื่อแปรรูปและการตลาดลำไยอบแห้งปี ๒๕๔๗ ให้นำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน แต่หากมีค่าใช้จ่ายที่เกิดจากโครงการฯ ให้ขอรับจัดสรรงบประมาณตามที่จ่ายจริงจากสำนักงบประมาณต่อไป |
|||||||||||||||||||||
30230 | ขออนุมัติจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐกินีว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งการปรึกษาหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศ และชาวกินีในต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐกินี | กต | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจ รวม ๒ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑ ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐกินีว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ (Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Guinea on Technical Cooperation) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ แลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และสิ่งอำนวยความสะดวกในการฝึกอบรม ส่งเสริมการศึกษาและโครงการต่าง ๆ ๑.๒ ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งการปรึกษาหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและชาวกินีในต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐกินี (Memorandum of Understanding on the Establishment of Bilateral Consultations between the Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Foreign Affairs and Guineans Abroad of the Republic of Guinea) มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกรอบการปรึกษาหารืออย่างเป็นทางการเป็นประจำ เพื่อทบทวนความสัมพันธ์ทวิภาคีในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือด้านการเมือง และเศรษฐกิจ การพาณิชย์ วิชาการ วัฒนธรรมและกงสุล ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามบันทึกความเข้าใจทั้งสองฉบับดังกล่าว ๓. หากมีการแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำของบันทึกความเข้าใจทั้งสองฉบับในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ โดยถ้อยคำดังกล่าวสอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถพิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
|
|||||||||||||||||||||
30231 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก รวม 4 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดชลบุรี วันที่ 19 มิถุนายน 2555 | นร | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดและจังหวัดภาคตะวันออก รวม ๔ จังหวัด (จังหวัดชลบุรี ระยอง ตราด และจันทบุรี) จำนวน ๑๑๕ โครงการ วงเงินรวม ๑๗,๖๙๘.๔๘ ล้านบาท และรับทราบข้อเสนอโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐในจังหวัดจันทบุรี โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒. เห็นชอบโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๓๔ โครงการ วงเงินรวม ๕๑๖.๙๐ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ทั้งนี้ ให้จังหวัดประสานกับหน่วยงานรับผิดชอบหลักในพื้นที่ (Function Base) เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามมาตรฐานการก่อสร้างและการให้บริการของหน่วยงานหลัก ดังนี้ ๒.๑ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก วงเงินรวม ๑๐๑.๘๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการวางท่อระบายน้ำถนนสุขุมวิทฝั่งตะวันออก (ช่วงสถานีตำรวจทางหลวง - สุขุมวิท ซอย ๑๑) งบประมาณดำเนินการ ๙.๙๐ ล้านบาท โครงการวางท่อระบายน้ำถนนสุขุมวิท (ช่วงคลองน้ำเหม็น - ถนนบางแสนล่าง) งบประมาณดำเนินการ ๙.๙๐ ล้านบาท โครงการวางท่อขยายเขตประปาบริเวณถนนบางแสนสาย ๔ เหนือ งบประมาณดำเนินการ ๔.๐๐ ล้านบาท โครงการจัดสร้างปะการังเทียมเพื่อการป้องกันการทำประมงในเขตพื้นที่การอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและเสริมสร้างแหล่งอาศัยสัตว์น้ำจังหวัดระยอง งบประมาณดำเนินการ ๗.๕๐ ล้านบาท โครงการติดตั้งป้ายบอกทางแหล่งท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก งบประมาณดำเนินการ ๑๒.๕๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาและส่งเสริมภาพลักษณ์แหล่งท่องเที่ยวชายหาดกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก งบประมาณดำเนินการ ๕.๐๐ ล้านบาท โครงการศึกษาออกแบบวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีในการแปรรูปผลผลิตเงาะเพื่อเพิ่มศักยภาพเชิงพาณิชย์ งบประมาณดำเนินการ ๙.๐๐ ล้านบาท โครงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศป่าชายเลนขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ งบประมาณดำเนินการ ๑๐.๐๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาระบบการคมนาคมขนส่งโลจิสติกส์เพื่อรองรับประชาคมอาเซียน งบประมาณดำเนินการ ๒๙.๐๐ ล้านบาท และโครงการพัฒนาศักยภาพและเตรียมความพร้อมด้านการท่องเที่ยวของภาคตะวันออกเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน งบประมาณดำเนินการ ๕.๐๐ ล้านบาท ๒.๒ จังหวัดชลบุรี วงเงินรวม ๑๑๐.๙๓ ล้านบาท ได้แก่ โครงการพัฒนาอ่างเก็บน้ำมาบประชันเพื่อการอุปโภคบริโภค ตำบลโป่ง อำเภอบางละมุง งบประมาณดำเนินการ ๓๐.๐๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างถนน คสล. พร้อมวางท่อระบายน้ำ บริเวณซอยหนองยายรัก ๒ หมู่ที่ ๑๑, ๑๒ ตำบลนาป่า อำเภอเมืองชลบุรี งบประมาณดำเนินการ ๑๐.๑๓ ล้านบาท โครงการก่อสร้างถนน คสล. ถนนสุขุมวิทสายเก่า บ้านศรีพโลทัย หมู่ที่ ๑ ตำบลหนองไม้แดง อำเภอเมือง งบประมาณดำเนินการ ๑๐.๐๐ ล้านบาท โครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำประปาในเขตเทศบาลตำบลห้วยกะปิ งบประมาณดำเนินการ ๙.๙๙ ล้านบาท โครงการวางท่อขยายเขตน้ำประปาภูมิภาคในเขตเทศบาลเหมือง งบประมาณดำเนินการ ๙.๙๐ ล้านบาท โครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำประปาในเขต อบต. เกาะลอย งบประมาณดำเนินการ ๙.๙๒ ล้านบาท โครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลมาบไผ่ งบประมาณดำเนินการ ๖.๐๐ ล้านบาท และโครงการปรับปรุงถนนบริเวณริมหาดนาจอมเทียน งบประมาณดำเนินการ ๒๕.๐๐ ล้านบาท ๒.๓ จังหวัดจันทบุรี วงเงินรวม ๑๐๐.๖๘ ล้านบาท ได้แก่ โครงการก่อสร้างศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ด่านถาวรบ้านผักกาด เพื่อรองรับการค้าและการท่องเที่ยวชายแดน และเศรษฐกิจประชาคมอาเซียน งบประมาณดำเนินการ ๔๕.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบศูนย์บริหารจัดการอัญมณีจังหวัดจันทบุรี และจัดซื้อครุภัณฑ์ งบประมาณดำเนินการ ๑๙.๒๔ ล้านบาท โครงการพัฒนาเส้นทางเข้าศูนย์พัฒนาไม้ผลตามพระราชดำริฯ ตำบลท่าหลวง อำเภอมะขาม งบประมาณดำเนินการ ๑๒.๔๔ ล้านบาท โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว (บริเวณถนนเลียบชายฝั่งทะเล ปากน้ำแขมหนู ต.ตะกาดเง้า อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี) งบประมาณดำเนินการ ๑๒.๐๐ ล้านบาท และโครงการพัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวอำเภอแหลมสิงห์ งบประมาณดำเนินการ ๑๒.๐๐ ล้านบาท ๒.๔ จังหวัดตราด วงเงินรวม ๑๐๓.๔๘ ล้านบาท ได้แก่ โครงการขยายขีดความสามารถในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเลจังหวัดตราด งบประมาณดำเนินการ ๑๒.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงทางขึ้น - ลงเครื่องบิน (Runway) สนามบิน ๒๐๗ จังหวัดตราด งบประมาณดำเนินการ ๑๕.๐๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างระบบระบายน้ำและทางเท้าถนนภายในโครงการพัฒนาพื้นที่สนามบิน ๒๐๗ จังหวัดตราด งบประมาณดำเนินการ ๑๔.๙๐ ล้านบาท โครงการส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนไม้ผลที่ประสบปัญหาด้านราคา งบประมาณดำเนินการ ๕.๖๐ ล้านบาท โครงการติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) เพื่อรักษาความปลอดภัยในแหล่งท่องเที่ยว งบประมาณดำเนินการ ๒๔.๐๐ ล้านบาท โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำและระบายน้ำของแหล่งน้ำขนาดเล็กในพื้นที่จังหวัดตราด งบประมาณดำเนินการ ๑๐.๔๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างปรับปรุงสะพานทางเดินเท้า คสล. บริเวณภายในพื้นที่ป่าชายเลนบ้านเปร็ดในจังหวัดตราด งบประมาณดำเนินการ ๖.๗๑ ล้านบาท และโครงการพัฒนาศักยภาพโรงเรียนกีฬาและสนามกีฬาจังหวัดตราด งบประมาณดำเนินการ ๘.๐๐ ล้านบาท ๒.๕ จังหวัดระยอง วงเงินรวม ๑๐๐.๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการก่อสร้างปรับปรุงถนนปกรณ์สงเคราะห์ราษฎร์ (ช่วงที่ ๑) งบประมาณดำเนินการ ๓๐.๐๐ ล้านบาท โครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำทับมา แบบบูรณาการ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง งบประมาณดำเนินการ ๖๐.๐๐ ล้านบาท และโครงการก่อสร้างถนนสายแหลมท่าตะเคียน - แหลมยาง อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ตอนที่ ๒ งบประมาณดำเนินการ ๑๐.๐๐ ล้านบาท ๓. สำหรับแผนงาน/โครงการที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก และ ๔ จังหวัด ในส่วนที่เหลือ ให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสม และจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี และนำเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๔. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตตามผลการพิจารณาไปประกอบการพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
30232 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก | นร | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการในการแก้ไขปัญหาของรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก รวม ๔ จังหวัด (จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด) โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดโครงการและรับข้อสั่งการของรัฐมนตรีไปดำเนินการ ๒. เห็นชอบโครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน ๓. เห็นชอบตามความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากโครงการในพื้นที่ดูงานของรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
|
|||||||||||||||||||||
30233 | ผลการติดตามการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ของนายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) วันที่ 11 - 14 มิถุนายน 2555 | นร | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการติดตามการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ของนายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) เมื่อวันที่ ๑๑ - ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ รวมทั้งข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ และให้รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายไว้ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ โดยข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี มีดังนี้
๑. พื้นที่ต้นน้ำ ๑๐ จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย สุโขทัย อุตรดิตถ์ ตาก น่าน แพร่ ลำปาง ลำพูน และพะเยา ๑.๑ ให้จังหวัดพื้นที่ต้นน้ำเร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ ๑.๒ บูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน กองทัพ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) และคณะอนุกรรมการปลูกป่าต้นน้ำ ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ๑๐ จังหวัดต้นน้ำ จัดทำ Workshop รายจังหวัดในการบูรณาการการปลูกป่า รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการรายปีร่วมกับภาคเอกชน โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ กปร. รับผิดชอบในการกำหนดพันธุ์ไม้ที่จะปลูก พร้อมทั้งจัดเตรียมพื้นที่การจัดทำฝาย ๒,๐๐๐ แห่ง ๑.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) กำกับดูแลให้ทุกจังหวัดในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จัดทำแผนเตือนภัยและดำเนินการซ้อมตามแผนอย่างจริงจัง สำหรับปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประชุมหารือเพื่อรับทราบสถานการณ์และทบทวนแนวทางแก้ไขปัญหาอุทกภัยในภาคใต้ ๒. พื้นที่กลางน้ำ ๖ จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดพิษณุโลก นครสวรรค์ อุทัยธานี พิจิตร กำแพงเพชร และชัยนาท ๒.๑ ให้จังหวัดในพื้นที่กลางน้ำเร่งดำเนินโครงการทั้งหมดเพื่อการชะลอและกักเก็บน้ำให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ ๒.๒ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็นหัวหน้ากลุ่มจังหวัดจัดการให้ทุกจังหวัดประสานเชื่อมโยงกันในการเปิดทางไหลของน้ำ สำหรับภาพรวมให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) โดยคณะกรรมการระบายน้ำบูรณาการทั้งประเทศเรื่องการระบายน้ำให้ไหลได้ตามธรรมชาติ ๒.๓ ให้จังหวัดเร่งรัดการบันทึกข้อมูล PMOC ให้ละเอียดถูกต้อง และมีความเป็นปัจจุบันมากที่สุด หากมีปัญหาที่ทำให้บันทึกข้อมูลล่าช้าก็ให้เร่งแก้ไข และให้เชื่อมต่อระบบ PMOC กับศูนย์ Single Command เพื่อให้การติดตามการแก้ไขปัญหาเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ ๒.๔ ให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ร่วมกับกรมชลประทานจัดทำ Workshop ซ้อมแผนเตือนภัย เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเข้าใจหลักการทำงาน และจัดการซ้อมแผนจริงในกรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งให้กระทรวงคมนาคมสำรวจความแข็งแรงของถนนสายต่าง ๆ ๒.๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในฐานะประธาน กบอ. จัด Workshop ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ลุ่มน้ำยม เช่น อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก และรัฐมนตรีที่ดูแลจังหวัดดังกล่าว เพื่อจัดทำแนวทางและแผนงานโครงการเพื่อการบริหารจัดการลุ่มน้ำยม รวมทั้งสนับสนุนงบลงทุนต่อไป ๓. พื้นที่ปลายน้ำ ๓ จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา และสิงห์บุรี ๓.๑ ให้จังหวัดปลายน้ำเร่งดำเนินการโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ในการจ่ายค่าชดเชยเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดได้รับทราบและใช้เป็นเกณฑ์ในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งสื่อสารให้ประชาชนรับทราบในหลักเกณฑ์ดังกล่าวอย่างทั่วถึง และให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเร่งจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ตกหล่นจากการให้ความช่วยเหลือ ๕,๐๐๐ บาทต่อครัวเรือนให้ชัดเจน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนและผู้เดือดร้อนให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างเป็นธรรม ๓.๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและกองทัพบกร่วมกันดำเนินการให้ความช่วยเหลือในการเร่งดำเนินการก่อสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมของเขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ เขตนิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) เขตนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน เขตประกอบการอุตสาหกรรมนวนคร สวนอุตสาหกรรมบางกะดี และนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ซึ่งยังไม่มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานเพื่อให้การป้องกันแก้ไขปัญหาพื้นที่นิคมฯ สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนด ๓.๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเร่งรัดประสานงานกับกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงศึกษาธิการในการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานและสถานศึกษาในพื้นที่ ๓.๕ การซ้อมแผนป้องกันและเตือนภัยภายในนิคมอุตสาหกรรมให้สามารถเชื่อมโยงแผนป้องกันและเตือนภัยในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและแบบจำลองการบริหารจัดการและการระบายน้ำในภาพรวมของประเทศ ให้ กบอ. เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อรับทราบข้อมูลการดำเนินงานของนิคมดังกล่าวด้วย ๓.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับนิคมอุตสาหกรรม และ กบอ. จัดทำรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับขั้นตอนและสถานที่อพยพโยกย้ายนิคมและชุมชนในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยที่แผนการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยของจังหวัดจะต้องมีความเชื่อมโยงสอดประสานกับแผนของนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ภายในพื้นที่และสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการของ กบอ. ๓.๗ ให้ติดตั้งกล้อง CCTV และระบบโทรมาตรน้ำในพื้นที่ที่เป็นจุดเสี่ยงของนิคมอุตสาหกรรมเพื่อเชื่อมโยงและส่งต่อข้อมูลให้แก่หน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้การเตรียมการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาของนิคมสามารถทำได้เท่าเทียมกันและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
30234 | สรุปผลการประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจ ครั้งที่ 4/2555 | นร | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยที่ประชุมได้รับทราบสรุปสถานการณ์ เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และวิกฤติเศรษฐกิจยูโรโซน พร้อมทั้งมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เสนอ และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้
๑. ปัญหาของกรีซเป็นปัญหาจากการที่ประเทศซึ่งมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่างกันเข้ามาร่วมใช้เงินสกุลเดียวกัน ส่งผลให้ขาดนโยบายการเงินในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เช่น ไม่สามารถลดค่าเงินให้เหมาะสมได้ จำเป็นต้องพึ่งนโยบายการคลังเพียงอย่างเดียว ดังนั้น การช่วยเหลือกรีซโดยการให้เงินกู้เพิ่มเติมก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และอาจจะลุกลามไปถึงโปรตุเกส สเปน และอิตาลี และส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกในที่สุด จึงเป็นความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง ๒. อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสม เนื่องจากยังมีความเสี่ยงที่สถานการณ์เศรษฐกิจในยุโรปอาจส่งผลให้มีเงินไหลออกจากประเทศแถบเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ๓. ควรมีการวางแผนเตรียมการรองรับผลกระทบทางการเงินที่อาจเกิดขึ้น โดยมีข้อมูลของสถาบันการเงินในประเทศแต่ละแห่งว่ามีเงินจากยุโรปที่มีความเสี่ยงที่จะไหลออกอยู่เท่าไร และเตรียมการบริหารสภาพคล่องให้เพียงพอในกรณีที่มีเงินไหลออกเพื่อมิให้กระทบต่อค่าเงินและเศรษฐกิจไทย และในกรณีที่เศรษฐกิจยุโรปกระทบต่อเศรษฐกิจไทย และส่งผลให้ลูกหนี้ของธนาคารประสบปัญหา ควรเตรียมมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขการจัดชั้นเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ให้พร้อม ๔. กระทรวงการคลังควรเตรียมการล่วงหน้าถึงกรณีที่วิกฤติเศรษฐกิจยุโรปกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่าจะมีมาตรการใดเหมาะสมที่จะดำเนินการ เช่น การจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้น เป็นต้น ๕. กระทรวงพาณิชย์ควรวิเคราะห์ข้อมูลการส่งออกของไทยที่ส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ในยุโรป และความเชื่อมโยงถึงห่วงโซ่การผลิตในประเทศลงไปถึงระดับผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อเตรียมช่วยเหลือในกรณีที่วิกฤติเศรษฐกิจยุโรปส่งผลถึงการส่งออกและภาคการผลิตของไทย ๖. กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาแต่งตั้งผู้แทนพิเศษของไทยในยุโรป ที่คอยติดตามข้อมูลเชิงลึกของสถานการณ์ และประสานกับรัฐบาลของประเทศในยุโรปให้เห็นถึงความสำคัญของประเทศไทย เช่น โอกาสการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ของไทย ที่จะนำเข้าเครื่องมือเครื่องจักรจากยุโรป เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ประเทศในยุโรปใช้มาตรการกีดกันการค้าในช่วงเศรษฐกิจยุโรปประสบปัญหา ๗. กระทรวงแรงงานควรเตรียมมาตรการช่วยเหลือแรงงานหากประสบปัญหาการเลิกจ้างของอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจยุโรป ๘. ควรให้มีการประชุมหารือระหว่างรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ๙ กระทรวง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพลังงาน กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อติดตามสถานการณ์และเตรียมมาตรการรองรับได้ทันท่วงที ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่ได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นเจ้าภาพ ๙. ควรมอบหมายกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตั้งทีมงานติดตามสถานการณ์และรายงานข้อมูลอย่างใกล้ชิดต่อนายกรัฐมนตรี ๑๐. ควรแสวงหาโอกาสจากวิกฤติ เช่น เร่งรัดโครงการลงทุนที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศในช่วงที่เงินทุนในโลกต้องการหาแหล่งเงินลงทุนนอกยุโรป
|
|||||||||||||||||||||
30235 | ขอความเห็นชอบการแต่งตั้งผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย [แต่งตั้งผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (เรือตรี วิโรจน์ จงชาณสิทโธ)] | คค | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งเรือตรี วิโรจน์ จงชาณสิทโธ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ตามที่กระทรวงการคลังเห็นชอบแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป และให้เรือตรี วิโรจน์ จงชาณสิทโธ ลาออกจากการเป็นพนักงานก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย
|
|||||||||||||||||||||
30236 | รายงานผลการตรวจสอบรายงานการรับ - จ่ายเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร และเงินกองทุนหมุนเวียนสำหรับอุดหนุนเกษตรกรในการหาปัจจัยการผลิตตามโครงการความช่วยเหลือเพื่อเพิ่มผลผลิตทางอาหารจากรัฐบาลญี่ปุ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 - 2551 | กษ | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรและกองทุนหมุนเวียนสำหรับอุดหนุนเกษตรกรในการหาปัจจัยการผลิตตามโครงการความช่วยเหลือเพื่อเพิ่มผลผลิตทางอาหารจากรัฐบาลญี่ปุ่น ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองงบการเงินแล้ว ๑.๑.๑ กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๘ และ ๒๕๔๗ ๑.๑.๒ กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๙ และ ๒๕๔๘ ๑.๑.๓ กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๐ และ ๒๕๔๙ ๑.๑.๔ กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑ และ ๒๕๕๐ ๑.๑.๕ กองทุนหมุนเวียนสำหรับอุดหนุนเกษตรกรในการหาปัจจัยการผลิตตามโครงการความช่วยเหลือเพื่อเพิ่มผลผลิตทางอาหารจากรัฐบาลญี่ปุ่น สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๘ และ ๒๕๔๗ ๑.๑.๖ กองทุนหมุนเวียนสำหรับอุดหนุนเกษตรกรในการหาปัจจัยการผลิตตามโครงการความช่วยเหลือเพื่อเพิ่มผลผลิตทางอาหารจากรัฐบาลญี่ปุ่น สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๙ และ ๒๕๔๘ ๑.๑.๗ กองทุนหมุนเวียนสำหรับอุดหนุนเกษตรกรในการหาปัจจัยการผลิตตามโครงการความช่วยเหลือเพื่อเพิ่มผลผลิตทางอาหารจากรัฐบาลญี่ปุ่น สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๙ สิ้นสุดวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ๑.๒ รายงานผลการดำเนินงานผลการดำเนินงานของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรจากข้อสังเกตและข้อเสนอแนะประกอบการสอบบัญชีสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๘ - ๒๕๕๑ ๑.๓ รายงานผลการดำเนินงานผลการดำเนินงานของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ - ๒๕๕๕ (สิ้นสุดวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕) ในการอนุมัติจัดสรรเงิน การบริหารจัดการหนี้ ติดตามผลการดำเนินงานและเร่งรัดการชำระหนี้ ๒. ให้เสนอรายงานตามข้อ ๑.๑.๑ - ๑.๑.๗ ต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
30237 | การกู้เงินปีงบประมาณ 2555 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการกู้เงินในประเทศปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย วงเงินรวม ๑๑,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วยเงินกู้เพื่อสมทบโครงการลงทุนซึ่งเป็นโครงการลงทุนใหม่ จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท และการกู้เงินเพื่อชำระคืนเงินกู้ในประเทศที่ครบกำหนดชำระ (Roll - over) จำนวน ๖,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้ กฟผ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณากู้เงินตามความจำเป็นเพื่อลดผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กรในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
30238 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางกรศิริ พิณรัตน์) | กค | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางกรศิริ พิณรัตน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร (นักวิชาการศุลกากรทรงคุณวุฒิ) กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
30239 | สรุปผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุม World Water Forum ครั้งที่ 6 ณ สาธารณรัฐฝรั่งเศส | ทส | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุม World Water Forum ครั้งที่ ๖ ณ สาธารณรัฐฝรั่งเศส ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและคณะ ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. การประชุม World Water Forum ครั้งที่ ๖ มีการจัดการประชุมระดับรัฐมนตรี (Ministerial Conference) การประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรี 12 session/หัวข้อ และการประชุมร่วมกันระหว่างระดับ และกลุ่มต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายให้มากที่สุด ภายใต้หัวข้อหลักคือ “ถึงเวลามีแนวทางแก้ไขปัญหา” (Time for Solutions) โดยสามารถรวบรวมแนวทางแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำได้ ๑,๔๐๐ เรื่อง ๒. การประชุมโต๊ะกลมระดับสูงเรื่องภัยพิบัติด้านน้ำ ได้มีการนำเสนอผลสรุปของการประชุมเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรี (Ministerial Conference) โดยสรุปคือ ภัยพิบัติด้านน้ำ เช่น อุทกภัย ภัยแล้ง สึนามิ และอุบัติภัยจากมลพิษทางน้ำได้กลายเป็นปัญหาของโลกที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกระดับ จำเป็นต้องมีการจัดการแก้ไขโดยด่วน โดยเฉพาะประเด็นเรื่องข้อจำกัดทางโครงสร้างองค์กร การให้ประชาชนมีส่วนร่วมและการมีเครือข่าย ปัจจุบันประเทศต่าง ๆ มีมาตรการแก้ไขปัญหาที่ออกแบบให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ภายในของตนทั้งมาตรการด้านโครงสร้าง และที่มิใช่โครงสร้าง (เช่น ระบบการเตือนภัยล่วงหน้า) โดยประเทศต่าง ๆ ควรให้ความสำคัญในเรื่องมาตรการป้องกันและเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ โดยคำนึงถึงสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป จากผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแปลงสภาพเป็นชุมชนเมือง และจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ความร่วมมือระหว่างประเทศและในภูมิภาคมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการต่อสู้และรับมือกับภัยพิบัติด้านน้ำ โดยต้องร่วมมือกันในวงกว้างทั้งระดับทวิภาคี ระดับภูมิภาค และระดับโลก รวมถึงการสนับสนุนด้านการเงินในการป้องกันภัยพิบัติ ความร่วมมือทางวิชาการในการบริหารจัดการ การเสริมสร้างศักยภาพ โดยการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และข้อมูล สำหรับการใช้ระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีผู้ตัดสินใจที่มีความรับผิดชอบ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากระบบการสังเกตการณ์ ติดตาม ตรวจสอบที่ดีเพียงพอ และมีเทคโนโลยีที่เหมาะสม ทั้งนี้ ประเทศที่เข้าร่วมการประชุมมีความเห็นร่วมกันว่าจะนำผลของการประชุมไปพิจารณาเพื่อเพิ่มความพยายามดำเนินการทั้งระดับประเทศ และระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการประชุม Rio+20 และการประชุมอื่น ๆ ในอนาคต ๓. การประชุม Ministerial Declaration รัฐมนตรี และหัวหน้าคณะผู้แทนที่เข้าร่วมประชุม World Water Forum ครั้งที่ ๖ มีความเห็นร่วมกันในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๓.๑ การยืนยันผลการประชุมระหว่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ Rio Summit ปี ๑๙๙๒ และ World Summit on Sustainable Development ปี ๒๐๐๒ ว่าน้ำเป็นกุญแจสำคัญที่จะสร้างสันติภาพและความมีเสถียรภาพ และมีส่วนสำคัญที่จะส่งเสริมการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Rio+20) ในเรื่อง Green Economy และกรอบโครงสร้างเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ๓.๒ การให้ความสำคัญในเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีของประชากรทุกคน โดยส่งเสริมให้เร่งดำเนินการเรื่องการให้ประชาชนเข้าถึงน้ำดื่มสะอาดและสุขาภิบาลที่ดี รวมถึงการมีน้ำและสุขภาพดี ทั้งนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายแห่งสหัสวรรษ (MDGs) และเห็นว่าต้องมีแนวทางแบบผสมผสานในเรื่องสุขาภิบาลและการจัดการน้ำเสีย ตลอดจนพยายามใช้แนวทางอื่น ๆ เช่น การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ และการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล โดยส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี ๓.๓ การช่วยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ “เศรษฐกิจสีเขียว” น้ำเพื่อความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน ซึ่งจะต้องมีแนวทางในการวางแผนบริหารจัดการในเรื่องนี้โดยมีความเข้าใจและตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างกันของทรัพยากรน้ำ - อาหาร - พลังงาน ๓.๔ การรักษาโลกเป็นสีฟ้า - น้ำ (Keep the Planet Blue) น้ำในอนุสัญญา Rio ภัยพิบัติด้านน้ำและการพัฒนาเมือง โดยนำเรื่องน้ำประกอบการพิจารณาในการจัดทำยุทธศาสตร์และแผนงานเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ การกลายเป็นทะเลทราย ซึ่งเป็นอนุสัญญา Rio ๓ เรื่อง และอนุสัญญา Ramsar เรื่องพื้นที่ชุ่มน้ำ ทั้งนี้ ควรมีการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างกัน รวมถึงการขยายความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาระหว่างรัฐและเอกชนกับภาคประชาสังคม และกลุ่มทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ๓.๕ เงื่อนไขสู่ความสำเร็จ เห็นว่า การบริหารจัดการน้ำที่ดีจำเป็นต้องมีเวที และกรอบด้านองค์กรและกฎหมายที่เอื้อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม และจำเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งให้หน่วยงาน/องค์กรท้องถิ่นและภูมิภาคเพื่อให้ทำหน้าที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และต้องได้รับข้อมูลที่ทันสมัยและเพียงพอสำหรับการพิจารณาทางเลือกในการตัดสินใจ จำเป็นต้องมีเครื่องมือและตัวชี้วัดที่จะช่วยในการติดตาม ประเมินผล และการรายงานตรวจสอบนโยบาย เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของปฏิญญา Rio เรื่องสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา และการใช้ประโยชน์จากปีสากลว่าด้วยความร่วมมือด้านน้ำ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมทั้งมีการพิจารณาเรื่องการคืนทุนอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ และควรมีความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์ ผู้มีอำนาจตัดสินใจ ผู้ให้บริการ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นในการจัดทำ ดำเนินการ และติดตามนโยบายด้านน้ำ
|
|||||||||||||||||||||
30240 | รายงานผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 17 และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 7 (COP 17/CMP 7) | ทส | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๑๗ และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๗ (COP 17/CMP 7) ระหว่างวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน - ๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ เมืองเดอร์บัน สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๑๗ ๑.๑ ให้มีการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจใหม่อีกหนึ่งคณะ คือ Ad Hoc Working Group on the Durban Platform for Enhanced Action สำหรับพัฒนาพิธีสาร (protocol) ตราสารกฎหมาย (legal instrument) หรือผลลัพธ์ที่ตกลงกันและมีผลบังคับทางกฎหมาย (agreed outcome with legal force) อย่างช้าที่สุดภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อเสนอที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๑๗ และให้ผลลัพธ์ดังกล่าวมีผลบังคับใช้กับประเทศภาคีทุกประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ๑.๒ ให้ต่ออายุการดำเนินงานของการประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจว่าด้วยความร่วมมือระยะยาวภายใต้อนุสัญญาฯ ออกไปอีกหนึ่งปี และรายงานผลการดำเนินงานในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๑๘ ๑.๓ ให้เริ่มการดำเนินงานของคณะกรรมการด้านการปรับตัวโดยเร็ว โดยคณะกรรมการชุดนี้จะเป็นผู้ให้ข้อเสนอแนะด้านวิชาการที่เกี่ยวกับการปรับตัวให้แก่ภาคี ๑.๔ เห็นชอบให้เร่งดำเนินการจัดตั้งกองทุน Green Climate และให้เริ่มดำเนินการโดยเร็วตามข้อเสนอของ Transitional Committee ได้แก่ การจัดตั้งคณะกรรมการกำกับ การระดมทุน และหลักเกณฑ์ในการสนับสนุนทุน ๑.๕ ให้มีการจัดประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๑๘ และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารฯ ครั้งที่ ๘ ณ ประเทศกาตาร์ ๒. ผลการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๗ ๒.๑ ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปยินดีที่จะมีพันธกรณีต่อเนื่องภายใต้พิธีสารเกียวโตต่อไปอีกตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐ หรือ พ.ศ. ๒๕๖๓ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับข้อตัดสินใจของประเทศสมาชิกในการประชุมของคณะทำงานเฉพาะกิจภายใต้พิธีสารเกียวโต AWG-KP ครั้งที่ ๑๗ โดยประเทศแคนาดาแสดงความตั้งใจในการออกจากการเป็นรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต ประเทศญี่ปุ่นไม่ประสงค์ให้มีพันธกรณีระยะที่ ๒ สำหรับประเทศตน ส่วนสหพันธรัฐรัสเซียประสงค์ไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับ ๒.๒ ให้คณะทำงานเฉพาะกิจว่าด้วยพันธกรณีต่อเนื่องสำหรับประเทศในภาคผนวกที่ ๑ ภายใต้พิธีสารเกียวโต ทำงานต่อไปในการแก้ไขพิธีสารให้แล้วเสร็จ และนำไปพิจารณาในการประชุมรัฐภาคีพิธีสารฯ สมัยที่ ๘ ณ ประเทศกาตาร์
|
.....