ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1515 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30281 - 30300 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30281 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าให้แก่มันสำปะหลังและสินค้าเกษตรอื่น | พณ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าให้แก่มันสำปะหลังและสินค้าเกษตรอื่น ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าให้แก่มันสำปะหลัง รวมทั้งพืชผลการเกษตรชนิดอื่นที่กำลังประสบปัญหาการตลาด เช่น หอมแดง กระเทียม โดยมีมาตรการดำเนินการในภาพรวม ดังนี้ ๑.๑ ส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value added) และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้กับสินค้ามันสำปะหลัง โดยส่งเสริมเกษตรกรและลานมัน แปรรูปสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาด การสร้างรายได้เสริมจากการขายผลิตผลพลอยได้จากมันสำปะหลัง (By product) และการส่งเสริมให้มีการแปรรูปและส่งออกในรูปของสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ๑.๒ ส่งเสริมวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยสนับสนุนเงินวิจัยและพัฒนาผ่านกองทุน FTA สำหรับสินค้าเกษตร เช่น ส้ม ลำไย กระเทียม ฯลฯ โดยสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโดยสนับสนุนเงินวิจัยผ่านกองทุน FTA ๑.๓ จัดหาตลาดให้กับเกษตรกร โดยเฉพาะสินค้าที่ประสบปัญหา เช่น ส้ม หอมแดง/กระเทียม ลำไยและน้ำผึ้ง โดยให้เกษตรกรสามารถนำผลิตผลไปจำหน่ายให้กับผู้บริโภคได้โดยตรงในงานธงฟ้า หรืองานอื่น ๆ ของหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ๑.๔ ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกด้านการส่งออก เช่น อำนวยความสะดวกด้านการออกหนังสือรับรองให้รวดเร็วและถูกต้อง (one stop service) ติดตามข้อมูลสถานการณ์ทางการค้าของประเทศคู่ค้า/คู่แข่ง และแจ้งให้กับผู้ส่งออกทราบเป็นระยะ ๆ จัดคณะผู้แทนร่วมกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องไปพบปะเจรจากับผู้นำเข้าและหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลนโยบายการนำเข้าสินค้าเกษตรสำคัญ เป็นต้น ๑.๕ จัดระเบียบและบริหารการนำเข้า - ส่งออก โดยเฉพาะสินค้าที่อาจมีผลกระทบกับสินค้าเกษตรที่ผลิตได้ในประเทศ เช่น มันสำปะหลัง หอมแดง กระเทียม เป็นต้น โดยให้มีมาตรการกำกับดูแลการนำเข้าสินค้าที่เข้มงวดยิ่งขึ้น เช่น ให้ขึ้นทะเบียนผู้นำเข้า และให้รายงานปริมาณการนำเข้า เป็นต้น ๒. จัดทำร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดมาตรการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. .... ครอบคลุม ๑๕ กลุ่มสินค้า โดยมีสินค้ามันสำปะหลังและสินค้าเกษตรที่สำคัญเกือบทุกประเภทรวมอยู่ด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา หากเรียบร้อยแล้วจะดำเนินการออกระเบียบและจัดระบบมาตรการส่งออกและนำเข้าสินค้าดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||
30282 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2555 | กค | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๒ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (มกราคม - มีนาคม ๒๕๕๕) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้ารวม ๖๙๔.๗๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (มกราคม - มีนาคม ๒๕๕๔) จำนวน ๑๓๓.๘๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๓.๘๗ ๒. มูลค่าการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า เปรียบเทียบกับมูลค่านำเข้ารวมของสินค้าทุกชนิดในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๕๙,๘๒๗.๖๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๑.๑๖ ของมูลค่านำเข้ารวม ๓. มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในช่วงไตรมาสที่ ๒ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๔ กลุ่มสินค้า ตั้งแต่ร้อยละ ๓.๓๕ ถึง ๘๐.๒๒ ๔. สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ ผลไม้ มูลค่านำเข้า ๑๒๘.๙๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๔๓.๓๑ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า ๑๐๙.๑๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๑๗.๒๙ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง มูลค่านำเข้า ๘๐.๑๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๔๕.๗๕ ๕. สินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาสที่ ๒ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๔ กลุ่มสินค้า เมื่อเปรียบเทียบ (ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ) กับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และ ๕ อันดับแรก ที่มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ แว่นตา, สูท เสื้อ กระโปรง กางเกงสำหรับบุรุษ สตรี เด็กชาย เด็กหญิงและเนคไท, ไฟแช็คและอุปกรณ์, กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง และเครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหารหรือใช้ตกแต่งภายในที่ทำด้วยคริสตัล มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘๐.๒๒, ๕๗.๑๒, ๔๖.๑๕, ๔๕.๗๕ และ ๔๔.๘๓ ตามลำดับ
|
||||||||||||||||||||||||
30283 | ผลการจัดอันดับประเทศไทย ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ ประจำปี 2555 | พณ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการจัดอันดับประเทศไทย ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ ประจำปี ๒๕๕๕ โดยเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative - USTR) ได้ประกาศผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทย ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ ประจำปี ๒๕๕๕ โดยคงไทยเป็นประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List - PWL) เช่นเดิม โดยให้เหตุผลว่า ไทยยังไม่ประสบความสำเร็จในการดำเนินการเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ในปีที่ผ่านมา ได้แก่ เรื่องการปรับแก้ไขกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่ยังไม่คืบหน้า เช่น กฎหมายป้องกันการแอบถ่ายในโรงภาพยนตร์ กฎหมายเอาผิดเจ้าของพื้นที่ที่สนับสนุนการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา กฎหมายลิขสิทธิ์เพื่อพัฒนาระบบการคุ้มครองงานบนเครือข่ายดิจิทัล อินเทอร์เน็ต และเคเบิลทีวี กฎหมายป้องกันและปราบปรามการขายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบนอินเทอร์เน็ต และกฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจจับสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่เป็นสินค้าผ่านแดนและผ่านลำเรือ เป็นต้น ทั้งนี้ สหรัฐฯ เรียกร้องให้ไทยปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมาย แก้ไขปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ ละเมิดเครื่องหมายการค้า และปรับบทลงโทษผู้กระทำผิดให้สามารถป้องกันการกระทำความผิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งขอให้ไทยปรับปรุงประสิทธิภาพการคุ้มครองข้อมูลการทดสอบยาและสารเคมีทางการเกษตร เพื่อป้องกันการใช้ในเชิงพาณิชย์อย่างไม่เป็นธรรม และเรียกร้องให้ไทยให้ความสำคัญกับการหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาในสินค้ายาโปร่งใส และแก้ไขปัญหาการสาธารณสุขควบคู่ไปกับการสนับสนุนระบบสิทธิบัตรที่ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา และการสร้างสรรค์นวัตกรรม
|
||||||||||||||||||||||||
30284 | ขออนุมัติจ่ายเงินชดเชยค่าที่ดินเป็นกรณีพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยตาจู จังหวัดศรีสะเกษ | กษ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการจ่ายเงินชดเชยค่าที่ดินเป็นกรณีพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยตาจู จังหวัดศรีสะเกษ หรือทายาทของบุคคลดังกล่าว ตามรายชื่อที่ปรากฏไว้ในแผนที่ ร.ว. ๔๓ ก. จำนวน ๒๑๖ แปลง โดยให้มีสิทธิได้รับการจัดสรรที่ดินเท่ากันรายละ ๗ - ๒ - ๐ ไร่ ภายใต้เงื่อนไขว่า หากเกษตรกรมีที่ดินตามที่ปรากฏในแผนที่ ร.ว. ๔๓ ก. หลายแปลง ให้ได้รับการช่วยเหลือเพียงหนึ่งสิทธิเท่านั้น หรือคิดคำนวณเป็นเงินชดเชยค่าที่ดินแทนการจัดสรรที่ดินในอัตราไร่ละ ๓๐,๐๐๐ บาท (รายละ ๒๒๕,๐๐๐ บาท) ๑.๒ อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินชดเชยค่าที่ดินเป็นกรณีพิเศษแทนการจัดสรรที่ดิน ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานกรรมการ อัยการจังหวัดศรีสะเกษ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ นายอำเภอขุนหาญ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานศรีสะเกษ นายรณชิต ทุ่มโมง (ตัวแทนเกษตรกร) นายคาร มนตรีวงษ์ (ตัวแทนเกษตรกร) เป็นกรรมการ และหัวหน้าฝ่ายจัดหาที่ดิน ๘ กรมชลประทาน เป็นกรรมการและเลขานุการ ทำหน้าที่ตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินชดเชยฯ ให้เป็นไปอย่างถูกต้องเรียบร้อย ด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร และระมัดระวังมิให้มีการจ่ายเงินให้แก่ผู้ไม่มีสิทธิ โดยถือเอาความเห็นของคณะกรรมการฯ เป็นหลักฐานประกอบในการอนุมัติจ่ายเงิน รวมทั้งป้องกันมิให้มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลแสวงหาประโยชน์จากการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกร ๑.๓ การระบุข้อความในเอกสารการจ่ายเงิน ให้ระบุด้วยว่า “ข้าพเจ้าตกลงและยินยอมรับเงินชดเชยค่าที่ดินเป็นกรณีพิเศษแทนการจัดสรรที่ดิน ตามจำนวนเนื้อที่และอัตราที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้ และจะไม่เรียกร้องขอรับการช่วยเหลือใด ๆ เกี่ยวกับของโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยตาจู จากทางราชการอีก” ๒. สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการดังกล่าว ให้กรมชลประทานพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากแผนงานส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ รายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดิน ภายในวงเงินไม่เกิน ๔๘,๖๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้กรมชลประทานตรวจสอบความซ้ำซ้อนในจำนวนรายที่มีสิทธิอย่างเคร่งครัดด้วย และให้ทำความตกลงในรายละเอียด วงเงินค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณอีกครั้งเมื่อได้ตรวจสอบความซ้ำซ้อนเรียบร้อยแล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้มีคณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์การจ่ายเงินชดเชยฯ ประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการ และมีรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมอบหมาย และรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม ทำหน้าที่พิจารณาหลักเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยฯ ดังกล่าวในภาพรวมให้มีความโปร่งใส เป็นธรรม ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างกัน แล้วให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนผู้สนใจทั่วไปให้ชัดเจน ถูกต้องตรงกัน ก่อนดำเนินการจ่ายเงินค่าชดเชยฯ ดังกล่าว ทั้งนี้ ให้นำหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วใช้เป็นบรรทัดฐานสำหรับในกรณีที่จำเป็นจะต้องจ่ายเงินชดเชย และ/หรือค่าขนย้ายให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการอื่น ๆ ของรัฐในทำนองเดียวกันในโอกาสต่อไปด้วย เช่น กรณีขออนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษแก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
30285 | ขออนุมัติจ่ายเงินค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) เป็นกรณีพิเศษให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยขนุน จังหวัดศรีสะเกษ | กษ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการจ่ายเงินค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) เป็นกรณีพิเศษให้แก่เกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยขนุนหรือทายาทของบุคคลดังกล่าว ตามรายชื่อและเนื้อที่ที่ระบุไว้ในแผนที่ ร.ว. ๔๓ ก. ซึ่งได้ทำการรังวัดไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙ วงเงิน ๔๓,๖๕๖,๒๒๕ บาท แยกเป็นเขตพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน ๖๖ ราย (๗๑ แปลง) เนื้อที่จำนวน ๘๘๑ - ๒ - ๗๖ ไร่ และเขตพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน ๔๐ ราย (๕๒ แปลง) เนื้อที่จำนวน ๕๗๓ - ๒ - ๐๗ ไร่ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๑๐๖ ราย (๑๒๓ แปลง) เนื้อที่รวม ๑,๔๕๕ - ๐ - ๘๓ ไร่ ในอัตราไร่ละ ๓๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินค่าขนย้าย โดยในเขตพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานกรรมการ อัยการจังหวัดศรีสะเกษ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ นายอำเภอกันทรลักษ์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานศรีสะเกษ นางสาวมยุรี ศรีวิพัฒน์ (ตัวแทนเกษตรกร) นายวิจิตร นารี (ตัวแทนเกษตรกร) เป็นกรรมการ โดยมีหัวหน้าฝ่ายจัดหาที่ดิน ๘ กรมชลประทาน เป็นกรรมการและเลขานุการ และในเขตพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธานกรรมการ อัยการจังหวัดอุบลราชธานี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี นายอำเภอน้ำขุ่น ผู้อำนวยการโครงการชลประทานอุบลราชธานี นางสาวมยุรี ศรีวิพัฒน์ (ตัวแทนเกษตรกร) นายเจริญ อักโข (ตัวแทนเกษตรกร) เป็นกรรมการ โดยมีหัวหน้าฝ่ายจัดหาที่ดิน ๘ กรมชลประทาน เป็นกรรมการและเลขานุการ ทำหน้าที่ตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินค่าขนย้ายให้เป็นไปอย่างถูกต้องเรียบร้อย ด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร และระมัดระวังมิให้มีการจ่ายเงินค่าขนย้ายให้แก่ผู้ไม่มีสิทธิ โดยถือความเห็นของคณะกรรมการเป็นหลักฐานประกอบการในอนุมัติจ่ายเงิน รวมทั้งป้องกันมิให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลแสวงหาประโยชน์จากการจ่ายเงินค่าขนย้ายให้แก่เกษตรกรในครั้งนี้ ๑.๓ การระบุข้อความในเอกสารการจ่ายเงิน ให้ระบุด้วยว่า “ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยขนุน และตกลงยินยอมรับเงินค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) ตามอัตราที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้” ๒. สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการดังกล่าว ให้กรมชลประทานพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากแผนงานส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ รายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดิน ภายในวงเงิน ๔๓,๖๕๖,๒๒๕ บาท โดยให้ขอทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้มีคณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าชดเชยฯ ประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการ และมีรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมอบหมาย และรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายเป็นกรรมการและเลขานุการร่วม เพื่อทำหน้าที่พิจารณาหลักเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยฯ ดังกล่าวในภาพรวมให้มีความโปร่งใส เป็นธรรม ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างกัน แล้วให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนผู้สนใจทั่วไปให้ชัดเจน ถูกต้องตรงกัน ก่อนดำเนินการจ่ายเงินค่าขนย้ายดังกล่าว ทั้งนี้ ให้นำหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วใช้เป็นบรรทัดฐานสำหรับในกรณีที่จำเป็นจะต้องจ่ายเงินชดเชย และ/หรือค่าขนย้ายให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการอื่น ๆ ของรัฐในทำนองเดียวกันในโอกาสต่อไปด้วย เช่น กรณีขออนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษแก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
30286 | ขออนุมัติจ่ายเงินค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) เป็นกรณีพิเศษให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยด่านไอ จังหวัดศรีสะเกษ | กษ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการจ่ายเงินค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) เป็นกรณีพิเศษให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยด่านไอ จังหวัดศรีสะเกษหรือทายาทของบุคคลดังกล่าว จำนวน ๑๗ แปลง (๑๕ ราย) แปลงละ ๘ - ๓ -๐ ไร่ ในอัตราไร่ละ ๓๕,๐๐๐ บาท เนื้อที่รวม ๑๔๘ - ๓ - ๐ ไร่ วงเงิน ๕,๒๐๖,๒๕๐ บาท ๑.๒ อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานกรรมการ อัยการจังหวัดศรีสะเกษ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ นายอำเภอกันทรลักษ์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานศรีสะเกษ นางสาวมยุรี ศรีวิพัฒน์ (ตัวแทนเกษตรกร) และนายรณชิต ทุ่มโมง (ตัวแทนเกษตรกร) เป็นกรรมการ และหัวหน้าฝ่ายจัดหาที่ดิน ๘ กรมชลประทาน เป็นกรรมการและเลขานุการ ทำหน้าที่ตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) ให้เป็นไปอย่างถูกต้องเรียบร้อย ด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร และระมัดระวังมิให้มีการจ่ายเงินให้แก่ผู้ไม่มีสิทธิ โดยถือความเห็นของคณะกรรมการฯ เป็นหลักฐานประกอบในการอนุมัติจ่ายเงิน รวมทั้งป้องกันมิให้มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลแสวงหาผลประโยชน์จากการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกร ๑.๓ การระบุข้อความในเอกสารการจ่ายเงิน ให้ระบุด้วยว่า “ข้าพเจ้าตกลงและยินยอมรับเงินค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) ตามจำนวนเนื้อที่และอัตราที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้ และจะไม่ขอรับการช่วยเหลือใด ๆ เกี่ยวกับค่าทดแทนทรัพย์สินของโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยด่านไอจากทางราชการอีก” ๒. สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการดังกล่าว ให้กรมชลประทานพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากแผนงานส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ รายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดิน ภายในวงเงินไม่เกิน ๕,๒๐๖,๒๕๐ บาท ทั้งนี้ การจ่ายค่าขนย้าย (ค่าที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ) ให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ให้จ่ายได้ไม่เกินสิทธิที่เกษตรกรถือครองที่ดิน โดยมีหลักฐานของทางราชการมาประกอบ และเนื้อที่ที่จะจ่ายค่าขนย้ายต้องไม่เกินแปลงว่างที่เหลืออยู่ตามที่ปรากฏในแผนที่ ร.ว. ๔๓ ก. โดยขอทำความตกลงในรายละเอียดวงเงินค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้ดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อยแล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้มีคณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าชดเชยฯ ประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการ และมีรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมอบหมาย และรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม เพื่อทำหน้าที่พิจารณาหลักเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยฯ ดังกล่าวในภาพรวมให้มีความโปร่งใส เป็นธรรม ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างกัน แล้วให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนผู้สนใจทั่วไปให้ชัดเจน ถูกต้องตรงกัน ก่อนดำเนินการจ่ายเงินค่าขนย้ายดังกล่าว ทั้งนี้ ให้นำหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วใช้เป็นบรรทัดฐานสำหรับในกรณีที่จำเป็นจะต้องจ่ายเงินชดเชย และ/หรือค่าขนย้ายให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการอื่น ๆ ของรัฐในทำนองเดียวกันในโอกาสต่อไปด้วย เช่น กรณีขออนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษแก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
30287 | โครงการพัฒนานักวิจัยและงานวิจัยเพื่ออุตสาหกรรม | นร | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนานักวิจัยและงานวิจัยเพื่ออุตสาหกรรม ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนลินี ทวีสิน) เสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางหลักในการดำเนินการ ได้แก่ การสนับสนุนทุนวิจัยเพื่อสร้างผลงานวิจัยพร้อมกับนักวิจัยระดับปริญญาโท การสนับสนุนทุนวิจัยเพื่อสร้างผลงานวิจัยพร้อมกับนักวิจัยระดับปริญญาเอก การสนับสนุนทุนวิจัยเพื่อสร้างผลงานที่เป็นนวัตกรรมหรือแก้ปัญหาในภาคอุตสาหกรรม และการสนับสนุนการสร้างเครือข่ายนักวิจัยระหว่างนักวิจัยในสถาบันอุดมศึกษาและนักวิจัยในภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนนักวิจัยในต่างประเทศ ๑.๒ แผนการให้ทุน ช่วงแรกของการให้ทุน จะเริ่มที่ ๒๐๐ ทุน สำหรับทุนวิจัยเพื่อสร้างนักวิจัยระดับปริญญาโท และ ๑๐๐ ทุน สำหรับทุนวิจัยเพื่อสร้างนักวิจัยระดับปริญญาเอก และค่อย ๆ เพิ่มในแต่ละปีจนมีจำนวน ๑,๐๐๐ คนต่อปีในแต่ละระดับ ส่วนการให้ทุนวิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรมและแก้ปัญหาของอุตสาหกรรม จะเริ่มที่ ๑๐ ทุนในปีแรก และค่อย ๆ เพิ่มทุกปีจนถึง ๑๐๐ ทุนต่อปี รวมระยะเวลาสนับสนุนทุนทั้งสิ้น ๑๕ ปี เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๓ งบประมาณที่ต้องใช้ในระยะเวลา ๑๕ ปี เป็นเงินรวม ๒๙,๑๗๒ ล้านบาท เป็นงบประมาณสำหรับให้ทุนระดับปริญญาโท จำนวน ๓,๔๒๐ ล้านบาท ระดับปริญญาเอก จำนวน ๑๗,๘๕๐ ล้านบาท ทุนวิจัย จำนวน ๕,๒๕๐ ล้านบาท และค่าบริหารจัดการ จำนวน ๒,๖๕๒ ล้านบาท ๒. ในการพิจารณาคัดเลือกผู้รับทุนและกำหนดสาขาวิชาที่จะให้ทุน ให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาสนับสนุนการวิจัยแก่สถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาให้สอดคล้องและตรงกับศักยภาพและความชำนาญของแต่ละสถาบันการศึกษาฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันอุดมศึกษาที่มีการทำการวิจัยร่วมกับภาคเอกชน ชุมชน หรือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในการสร้างนวัตกรรม หรือที่ตอบสนองต่อการแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาเรื่องต่าง ๆ ที่สามารถนำมาต่อยอดให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมได้อย่างเป็นรูปธรรม ๓. ให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดให้อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์ (การขนส่งระบบราง) จัดอยู่ในกลุ่มสาขาอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเร่งด่วน การกำหนดมาตรการประกันคุณภาพนักวิจัย ควรคิดค้นและริเริ่มตัวชี้วัดและวิธีการประเมินผลใหม่ ๆ เพื่อเป็นการผลักดันให้นักศึกษา นักวิจัย หรืออาจารย์ผลิตผลงานที่เกิดประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่มภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง การจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายโครงการพัฒนานักวิจัยและงานวิจัยเพื่ออุตสาหกรรม ควรมีองค์ประกอบผู้แทนจากภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคเอกชน เข้าร่วมด้วย และให้คณะกรรมการดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่ครอบคลุมถึงการกำหนดโจทย์การวิจัยเพื่ออุตสาหกรรม พิจารณาหาข้อยุติในกรณีเกิดข้อพิพาท และนำเสนอรายงานการประเมินผลโครงการเมื่อดำเนินงานไปได้ครึ่งทางของระยะที่ ๑ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินโครงการในระยะต่อไป นอกจากนี้ ในการผลิตนักวิจัยที่เป็นนักศึกษาต้องกำหนดโจทย์วิจัยที่มุ่งเน้นความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และผู้ใช้ประโยชน์เห็นพ้องกันและเป็นไปตามนโยบายและยุทธศาสตร์การวิจัยของชาติที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและหน่วยงานเครือข่ายได้ร่วมกำหนดไว้ รวมทั้งมาตรการประกันคุณภาพและตัวชี้วัดความสำเร็จ ควรเน้นความสำเร็จของงานวิจัยที่ได้นำไปใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมในระดับที่ใกล้เคียงกับตัวชี้วัดด้านคุณภาพวิชาการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. สำหรับกรอบวงเงินโครงการพัฒนานักวิจัยและงานวิจัยเพื่ออุตสาหกรรม เนื่องจากกรอบวงเงินโครงการฯ ตามแผน ๑๕ ปี จำนวน ๒๙,๑๗๒ ล้านบาท เป็นวงเงินค่อนข้างสูง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยควรประสานความร่วมมือกับภาคธุรกิจเอกชน เพื่อสนับสนุนและบูรณาการการสร้างและพัฒนางานวิจัยเชิงพาณิชย์อุตสาหกรรมเพื่อพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายรองรับไว้ ในวงเงิน ๒๐๐ ล้านบาท ตามความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
30288 | การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นงบประมาณสำหรับตำแหน่งเพิ่มใหม่ 3 สายงาน (แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) | สธ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงสาธารณสุขปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง ขออนุมัติกำหนดตำแหน่งเพิ่มใหม่) ที่กำหนดให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) โดยการตรึงอัตรากำลังใหม่ (แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) ไว้สำหรับการบรรจุนักเรียนทุนคู่สัญญา และรายงานการบรรจุแต่งตั้งนักศึกษาคู่สัญญาที่ได้รับการบรรจุในครั้งนี้ไปยัง คปร. โดยในระยะต่อไป ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาภาพรวมอัตรากำลังทั้งระบบเพื่อวางระบบการบริหารอัตรากำลังและวางแผนกำลังคนของกระทรวงสาธารณสุขให้การจัดการภารกิจบริการสุขภาพมีคุณภาพและประสิทธิภาพให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาล ๓ สายงาน (แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) ที่สำเร็จการศึกษาในปี ๒๕๕๕ จำนวนทั้งสิ้น ๒,๖๖๖ อัตรา โดยใช้ตำแหน่งที่ว่างอยู่ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ แล้ว จำนวน ๕๒๑ อัตรา และส่วนที่เหลือเป็นอัตรากำลังเพิ่มใหม่ จำนวน ๒,๑๔๕ อัตรา ซึ่งไม่ได้จัดสรรงบประมาณไว้ โดยอนุมัติในหลักการการบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาล ๓ สายงาน (แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) และกรอบวงเงินค่าใช้จ่ายสำหรับอัตรากำลังเพิ่มใหม่ดังกล่าว จำนวน ๒๐๗,๐๓๔,๐๐๐ บาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากงานที่ดำเนินการล่าช้าหรือเบิกจ่ายไม่ทัน จำนวน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และส่วนที่เหลือใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๕๗,๐๓๔,๐๐๐ บาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับการบรรจุอัตรากำลังดังกล่าวไว้แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
30289 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) | กค | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ รับทราบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน) เกี่ยวกับข้อมูลการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และผลการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากรณีโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ไม่สามารถดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ๑.๒ พิจารณาแนวทางการบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ดังนี้ ๑.๒.๑ เห็นชอบแนวทางการเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ สำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ที่ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินได้ภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ โดยให้สามารถดำเนินการเบิกจ่ายเงินภายใต้พระราชกำหนดฯ ได้จนกว่าโครงการจะแล้วเสร็จ แต่ต้องไม่เกินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ไม่สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ชี้แจงเหตุผล ความจำเป็น และประมาณการเบิกจ่ายรายเดือน เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ต่อคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณาอนุมัติและรายงานผลการพิจารณาต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ๑.๒.๒ รับทราบการขอขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินของกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และสภากาชาดไทย ๑.๒.๓ อนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินสำรองจ่ายให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๒.๔ อนุมัติการขยายเวลาลงนามในสัญญา จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการเพิ่มศักยภาพโรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและอาคารเรียน) ของจังหวัดนครสวรรค์ วงเงิน ๔.๕๔๘ ล้านบาท และโครงการยกระดับคุณภาพการศึกษาท้องถิ่น (ก่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและอาคารเรียน) ของจังหวัดนครสวรรค์ วงเงิน ๓.๑๖๓ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือนนับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ๑.๒.๕ ให้สัตยาบันการลงนามในสัญญาก่อนคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขยายระยะเวลาการลงนามในสัญญาของโครงการวิจัยสู่ภาคเอกชน ณ โครงการพัฒนาที่ดิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สระบุรี ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๒ รายการ วงเงินรวม ๑,๓๙๐,๒๖๐ บาท ได้แก่ เครื่องวัดการเปล่งแสงฟลูออเรสเซนซ์ วงเงิน ๑,๓๗๑,๐๐๐ บาท และเตาให้ความร้อนพร้อมชุดกวนสารละลาย วงเงิน ๑๙,๒๖๐ บาท ๑.๒.๖ อนุมัติการยกเลิกโครงการตามที่หน่วยงานเสนอ วงเงินรวม ๕๓๓.๓๒๐ ล้านบาท ได้แก่ กรมทางหลวง จำนวน ๒ โครงการ วงเงิน ๑๑.๐๒๗ ล้านบาท กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๔.๘๘๕ ล้านบาท จังหวัดพัทลุง จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๔.๘๗๐ ล้านบาท และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๕๑๒.๕๓๘ ล้านบาท และให้นำวงเงินดังกล่าวรวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายภายใต้สาขาเศรษฐกิจนั้นต่อไป ๑.๒.๗ อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ให้แก่กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๑๙,๘๖๖,๕๒๘.๗๘ บาท และกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง วงเงิน ๓๒,๕๒๓.๐๐ บาท วงเงินรวม ๑๙,๘๙๙,๐๕๑.๗๘ บาท ๑.๒.๘ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๓ พิจารณาแนวทางการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ดังนี้ ๑.๓.๑ อนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มเติมให้กับสภากาชาดไทย เป็นวงเงิน ๘๓๖.๓๒๘๒ ล้านบาท โดยจัดสรรจากเงินกู้ DPL สำหรับการจัดหาครุภัณฑ์ วงเงิน ๗๘๙.๕๐๑๑ ล้านบาท และสภากาชาดไทยรับภาระค่าใช้จ่ายของภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นเอง วงเงิน ๔๖.๘๒๗๑ ล้านบาท ๑.๓.๒ อนุมัติการยกเลิกรายการครุภัณฑ์โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น วงเงิน ๒.๓๖๖๔ ล้านบาท ๑.๓.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาทบทวนและแจ้งยืนยันโครงการเงินกู้ DPL มายังกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาภายในวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๒. ยกเว้นในส่วนของโครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๔ โครงการ วงเงิน ๓,๔๒๖.๓๕ ล้านบาท มอบให้คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาในรายละเอียด รวมทั้งความเหมาะสมสอดคล้องกับความจำเป็นเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาลก่อน โดยให้กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงข้อมูลที่เกี่ยวข้องประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีฯ ด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||
30290 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงาน พ.ศ. .... | อก | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่ถึงกำหนดเรียกเก็บในวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ ๒ และจำพวกที่ ๓ ทุกขนาด เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบกิจการโรงงาน โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งได้รับผลกระทบสูงจากนโยบายปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น ๓๐๐ บาทต่อวัน ของรัฐบาล ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำมาตรการให้ความช่วยเหลือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างเป็น ๓๐๐ บาทต่อวัน คู่ขนานไปกับมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงาน และร่วมกับกระทรวงแรงงานและกระทรวงพลังงานเร่งรัดการดำเนินโครงการลดการสูญเสียในวงจรการผลิต และโครงการบริหารจัดการพลังงานแบบบูรณาการเพื่อลดต้นทุนและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน หรือพลังงานชีวมวล รวมทั้งติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
30291 | รายงานผลการตรวจสอบรับรองงบการเงินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2554 และ 2553 | คค | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจสอบรับรองงบการเงินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๓ ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. งบดุลปี พ.ศ. ๒๕๕๔ รฟม. มีสินทรัพย์รวม ๑๒๕,๕๓๘,๙๗๘,๐๒๔.๕๙ บาท หนี้สินรวม ๙๘,๔๐๘,๑๑๐,๙๖๔.๓๔ บาท และทุนรวม ๒๗,๑๓๐,๘๖๗,๐๖๐.๒๕ บาท สำหรับงบดุลปี พ.ศ. ๒๕๕๓ รฟม. มีสินทรัพย์รวม ๑๐๘,๕๑๕,๙๖๒,๘๓๗.๑๕ หนี้สินรวม ๗๘,๒๘๗,๒๒๔,๕๕๓.๙๖ บาท และทุนรวม ๓๐,๒๒๘,๗๓๘,๒๘๓.๑๙ บาท ๒. งบกำไรขาดทุนปี พ.ศ. ๒๕๕๔ รฟม. มีรายได้รวม ๕๕๔,๐๒๔,๘๓๕.๖๗ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๑๑,๘๒๗,๓๔๘,๗๙๘.๘๖ บาท ขาดทุนสุทธิ ๑๒,๑๐๖,๓๔๒,๕๒๓.๔๐ บาท สำหรับงบกำไรขาดทุนปี พ.ศ. ๒๕๕๓ รฟม. มีรายได้รวม ๒,๓๓๓,๘๙๒,๘๓๙.๓๐ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๒,๖๓๗,๐๑๑,๒๔๕.๑๘ บาท ขาดทุนสุทธิ ๑,๑๖๐,๙๓๕,๔๕๑.๘๘ บาท
|
||||||||||||||||||||||||
30292 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน | กค | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการประเมินผลการดำเนินงานเงินนอกงบประมาณประเภททุนหมุนเวียน ซึ่งกระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง ได้ดำเนินการระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี ๒๕๔๗ ซึ่งเป็นลักษณะนำร่อง จำนวน ๑๐ ทุนฯ และขยายจำนวนทุนฯ ในระบบฯ ตั้งแต่ปีบัญชี ๒๕๔๘ จนครอบคลุมจำนวนทุนฯ ทั้งหมดในปีบัญชี ๒๕๕๓ สามารถสรุปผลการดำเนินงานของระบบฯ เป็น ๒ ระยะ ดังนี้ ๑.๑.๑ ระยะที่ ๑ ปีบัญชี ๒๕๔๗ เป็นปีแรกที่เริ่มใช้ระบบฯ ในเบื้องต้น จำนวน ๑๐ ทุนฯ ซึ่งมีรูปแบบและวิธีการประเมินโดยเปรียบเทียบกับแผนการดำเนินงานของทุนฯ ว่าเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ เพียงใด ผลการประเมินสรุปได้ว่า ในปีบัญชี ๒๕๔๗ ส่วนใหญ่ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย กล่าวคือ มีการกำหนดตัวชี้วัดทั้งหมด ๔ ด้าน รวมจำนวน ๘๓ ตัวชี้วัด เช่น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงาน อัตราสูญเสียของผลผลิต (Loss Ratio) การจัดทำแผนการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า และระบบรับเรื่องร้องเรียน แผนการจัดระบบสถิติผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ การจัดทำแผนประจำปี เป็นต้น โดยมีตัวชี้วัดผลการดำเนินงานผ่านเกณฑ์ปกติ คือ เป็นไปตามเป้าหมายและสูงกว่าเป้าหมาย จำนวน ๖๘ ตัวชี้วัด และมีตัวชี้วัดต่ำกว่าเป้าหมาย จำนวน ๑๕ ตัวชี้วัด ๑.๑.๒ ระยะที่ ๒ ปีบัญชี ๒๕๔๘ - ๒๕๕๓ ได้มีการประเมินผลการดำเนินงานเต็มรูปแบบโดยมีเกณฑ์วัดผลการดำเนินงานทั้ง ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านการเงิน ด้านปฏิบัติการ การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และด้านการบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน และมีการประเมินผลงานออกเป็น ๕ ระดับ จาก ๑ - ๕ คือ จากการปรับปรุงไปถึงดีมาก ๑.๑.๓ สำหรับในปีบัญชี ๒๕๕๔ มีทุนฯ เข้าสู่ระบบประเมินผลฯ จำนวน ๘๑ ทุนฯ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของหน่วยงานเจ้าสังกัดทุนฯ ส่วนในปีบัญชี ๒๕๕๕ กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง มีแผนประเมินผลทุนหมุนเวียนที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบประเมินผลฯ ที่เหลือทั้งหมด ซึ่งมีทุนฯ ที่ไม่เข้าระบบประเมินผลของกระทรวงการคลัง จำนวน ๔ ทุนฯ ได้แก่ กองทุนการพัฒนาพรรคการเมือง กองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง กองทุนเพื่อการพัฒนาและเผยแพร่ประชาธิปไตย และกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เนื่องจากคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑๒) ได้วินิจฉัยว่า อาจไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนฯ หรือปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ หรือหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนดในประเด็นดังกล่าวอีก ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน เพื่อกระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลางจะได้ดำเนินการและแจ้งให้ส่วนราชการ/หน่วยงานเจ้าสังกัดของทุนหมุนเวียนดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการประเมินผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน โดยเฉพาะทุนหมุนเวียนที่ยังไม่ได้รับการประเมิน และให้เสนอรายงานผลการประเมินดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน โดยการรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียนที่มีคะแนนประเมินต่ำกว่า ๓.๐ คะแนน ติดต่อกัน ๓ ปี จะเกิดผลกระทบต่อกลุ่มเป้าหมายที่มาขอรับบริการจากกองทุนหรือไม่ โดยเฉพาะในทุนหมุนเวียนที่จัดตั้งเพื่อช่วยเหลือ ส่งเสริมการผลิตของเกษตรกร ส่วนข้อเสนอแนะในการจัดทำบัญชีต้นทุนที่แท้จริง โดยปันส่วนค่าใช้จ่ายในส่วนเงินเดือนของข้าราชการที่ปฏิบัติงานให้ทุนหมุนเวียน เพื่อให้เห็นถึงต้นทุนการดำเนินงานที่แท้จริง ควรมีการจัดทำเกณฑ์การปันส่วนที่ชัดเจน และกำหนดให้ทุกทุนหมุนเวียนถือปฏิบัติ รวมทั้งพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของทุนหมุนเวียนประกอบในการตัดสินใจของผู้บริหารด้วย สำหรับข้อเสนอให้นำหลักการ Balanced Scorecard (BSC) ไปใช้กับทุนหมุนเวียนที่มีกฎหมายเฉพาะที่จัดตั้งขึ้น รวมถึงการรายงานผลให้กระทรวงการคลังทราบ จะก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติแก่ทุนหมุนเวียนที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะ เนื่องจากกฎหมายเฉพาะนั้นได้มีการกำหนดบทบัญญัติในเรื่องการติดตามประเมินผลหรือการตรวจสอบการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนไว้เป็นการเฉพาะแล้ว นอกจากนี้ การจัดตั้งทุนหมุนเวียนใหม่ที่จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายเฉพาะของหน่วยงานของรัฐ ควรถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๑ และวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง แนวทางการจัดตั้งทุนหมุนเวียนและกรอบคู่มือการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของทางราชการ) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลังรับไปเร่งรัดดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ การกำกับดูแล ตรวจสอบ และประเมินผลกรณีที่หน่วยงานมีทุนหมุนเวียนที่มีรายได้ โดยไม่ต้องนำรายได้ส่งคลัง เพื่อให้รายได้ดังกล่าวนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ร่วมหารือในการดำเนินการดังกล่าวกับกระทรวงการคลังด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
30293 | ความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างไทยกับไต้หวัน | กค | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารแห่งความตกลงระหว่างสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทยประจำไทเป และสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าไทเปประจำประเทศไทย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ มีสาระสำคัญเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้ และป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีระหว่างกันและจะก่อให้เกิดประโยชน์ในการขจัดภาษีซ้อนระหว่างอาณาเขตการบริหารกฎหมายภาษีอากรของทั้งสอง เสริมสร้างภาพลักษณ์และบรรยากาศการลงทุนในไทย รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนไต้หวันที่เข้ามาลงทุนในไทย และในทางกลับกันก็สร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนไทยที่เข้าไปลงทุนในไต้หวัน ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมสรรพากร) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจในสถานะและข้อสงวนของความตกลงฯ ที่มีผลบังคับใช้ให้กับผู้ประกอบการและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทราบ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติในการบริหารการจัดเก็บภาษี เสริมสร้างบรรยากาศการลงทุน และส่งเสริมให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนและเทคโนโลยีระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
30294 | ร่างกฎกระทรวงสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. .... | พน | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดบทนิยามคำว่า “ก๊าซธรรมชาติ” “ก๊าซธรรมชาติอัด” “ก๊าซธรรมชาติเหลว” “สถานีบริการ” “เขตสถานีบริการ” เป็นต้น ๑.๒ กำหนดให้สถานที่ตั้งสถานีบริการต้องไม่ขัดต่อกฎหมายอื่น อาทิ การใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง เขตควบคุมมลพิษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เขตห้ามก่อสร้างอาคารบางประเภทตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร ๑.๓ กำหนดที่ตั้ง ลักษณะ และระยะความปลอดภัยของสถานีบริการที่มีไว้เพื่อจำหน่ายและให้บริการสาธารณะ กำหนดลักษณะและระยะความปลอดภัยของทางเข้าและทางออกของสถานีบริการ กำหนดระยะห่างระหว่างทางเข้าและทางออกสำหรับยานพาหนะ กำหนดระยะห่างจากสถานที่สำคัญ ๆ ๑.๔ กำหนดให้ลักษณะของถังเก็บและจ่ายก๊าซธรรมชาติอัด ถังเก็บและจ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว ต้องได้รับการออกแบบ สร้าง ตรวจสอบ และทดสอบ ให้เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือมาตรฐาน ISO หรือ ASME หรือ NEPA 52 หรือมาตรฐานอื่นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และต้องเป็นภาชนะหรือถังที่ใช้บรรจุก๊าซธรรมชาติอัดหรือก๊าซธรรมชาติเหลวโดยเฉพาะ ๑.๕ กำหนดให้ลักษณะของเครื่องสูบอัดก๊าซ เครื่องสูบก๊าซ และเครื่องทำไอก๊าซระบบท่อ ลิ้น ส่วนประกอบ และอุปกรณ์ของระบบท่อของก๊าซธรรมชาติ ตู้จ่ายหรือระบบจ่ายก๊าซธรรมชาติ ต้องได้รับการออกแบบ สร้าง ตรวจสอบ และทดสอบ ให้เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ ASME หรือ NFPA 52 หรือมาตรฐานอื่นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และต้องเป็นชนิดที่ใช้กับก๊าซธรรมชาติโดยเฉพาะ ๑.๖ กำหนดให้ถังเก็บและจ่ายก๊าซที่หมดอายุการใช้งานตามมาตรฐานการออกแบบ ห้ามนำมาใช้งาน โดยถังเก็บและจ่ายก๊าซ ตู้จ่ายก๊าซ เครื่องสูบอัดก๊าซ เครื่องสูบก๊าซ เครื่องทำไอก๊าซ จะต้องติดตั้งบนโครงสร้างที่มั่นคงแข็งแรง และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มาประกอบกับโครงสร้างจะต้องสามารถรับแรงต่าง ๆ ตามหลักวิศวกรรม รวมถึงแรงจากแผ่นดินไหวตามที่กฎหมายกำหนด ๑.๗ กำหนดให้ก่อนเริ่มดำเนินการก่อสร้างสถานีบริการ ผู้ขอรับใบอนุญาตต้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการขออนุญาตและปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายว่าด้วยการผังเมือง กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม กฎหมายว่าด้วยทางหลวง ๑.๘ กำหนดให้การก่อสร้างและการให้บริการของสถานีบริการจะต้องไม่ก่อให้เกิดเหตุรำคาญต่อผู้อยู่อาศัยข้างเคียง ไม่ทำให้เกิดมลพิษและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ โดยจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม กฎหมายว่าด้วยการผังเมือง เป็นต้น ๑.๙ กำหนดบทเฉพาะกาล กรณีสถานีบริการก๊าซธรรมชาติซึ่งได้รับอนุญาตอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงฉบับนี้จนกว่าใบอนุญาตเดิมหมดอายุ เว้นแต่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ปฏิบัติตามกฎกระทรวงนี้ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักพระราชวัง ไปประกอบการพิจารณาด้วย ดังนี้ ข้อ ๓ ของร่างกฎกระทรวงฯ ควรกำหนดให้สถานที่ตั้งสถานบริการต้องไม่ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยทางหลวง เนื่องจากพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติทางหลวง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ มาตรา ๔๙ บัญญัติเกี่ยวกับการควบคุมทางเข้าออกทางหลวง และห้ามมิให้ผู้ใดดำเนินการสร้างหรือดัดแปลงต่อเติมสถานีบริการก๊าซในที่ดินริมเขตทางหลวงที่ได้ออกพระราชกฤษฎีกาภายในระยะไม่เกิน ๑๕ เมตรจากเขตทางหลวง และข้อ ๙ ที่ได้ระบุในส่วนที่เกี่ยวกับสำนักพระราชวังเป็นผู้ให้การยินยอม ควรระบุให้ชัดแจ้งว่าได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากสำนักพระราชวัง นอกจากนี้ ควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการระงับภัยที่เกิดจากอุบัติเหตุภายในสถานีบริการก๊าซธรรมชาติด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการวางแผนตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยของคลังก๊าซธรรมชาติเป็นประจำทุกปี โดยการตรวจสอบควรดำเนินการทั้งในกรณีปกติ (Regular inspection) และกรณีการสุ่มตรวจ (Random inspection) เพื่อให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการรักษามาตรฐานความปลอดภัยของสถานีบริการก๊าซธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง และประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความรุนแรงในพื้นที่ของสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ เพื่อลดความสูญเสียในวงกว้างต่อชุมชนและประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
30295 | ร่างกฎกระทรวงคลังก๊าซธรรมชาติเหลว พ.ศ. .... | พน | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงคลังก๊าซธรรมชาติเหลว พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดบทนิยามคำว่า “ก๊าซธรรมชาติเหลว” “คลังก๊าซธรรมชาติเหลว” “กิจการคลังก๊าซธรรมชาติเหลว” “เขตคลังก๊าซธรรมชาติเหลว” “ถังเก็บและจ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว” เป็นต้น ๑.๒ กำหนดให้คลังก๊าซธรรมชาติเหลวต้องตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะสม และปลอดภัยแก่การขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว ไม่ก่อเหตุรำคาญและไม่ก่อให้เกิดมลพิษตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุขและกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑.๓ กำหนดที่ตั้ง ลักษณะ และระยะความปลอดภัยภายนอกของคลังก๊าซธรรมชาติเหลว กำหนดระยะห่างจากสถานที่สำคัญ ๆ กำหนดระยะห่างระหว่างทางเข้าและทางออกสำหรับยานพาหนะ ๑.๔ กำหนดให้การออกแบบ การทดสอบและตรวจสอบคลังก๊าซธรรมชาติเหลว การตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในคลังก๊าซธรรมชาติเหลว ต้องกระทำโดยวิศวกร ๑.๕ กำหนดให้พื้นที่ การติดตั้งหรือการก่อสร้างพื้นที่กักเก็บก๊าซธรรมชาติเหลว ถังเก็บและจ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว เครื่องทำไอก๊าซ อุปกรณ์ทำก๊าซธรรมชาติเหลว แท่นหรือท่ารับและจ่ายก๊าซธรรมชาติเหลวระบบท่อก๊าซและอุปกรณ์ตลอดจนรั้ว กำแพง หรือสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ต้องมีการออกแบบ สร้าง ตรวจสอบ และทดสอบ และการรับรองให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ๑.๖ กำหนดให้การประกอบกิจการคลังก๊าซธรรมชาติเหลวต้องจัดให้มีการป้องกันและการระงับอัคคีภัยตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ๑.๗ กำหนดให้การเลิกประกอบกิจการคลังก๊าซธรรมชาติเหลว หรือการเลิกใช้ถังเก็บและจ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว เครื่องทำไอก๊าซ อุปกรณ์ทำก๊าซธรรมชาติเหลว ระบบท่อก๊าซและอุปกรณ์ ต้องแจ้งกรมธุรกิจพลังงานทราบล่วงหน้า และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ๑.๘ กำหนดให้กิจการคลังก๊าซธรรมชาติเหลวที่ได้ดำเนินการอยู่แล้ว หรือที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตภายในกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักพระราชวังไปประกอบการพิจารณาด้วย ดังนี้ ข้อ ๑๔ ของร่างกฎกระทรวงฯ ควรกำหนดรายละเอียดให้ครอบคลุมประเด็นการประกันอุบัติเหตุหรือวิธีอื่นในการรับผิดทางแพ่ง ข้อ ๑๗ เกี่ยวกับการยื่นขอรับใบอนุญาตสำหรับคลังก๊าซธรรมชาติเหลวที่ดำเนินการอยู่ก่อนแล้ว ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ข้อ ๓ ได้ระบุในส่วนที่เกี่ยวกับสำนักพระราชวังเป็นผู้ให้การยินยอม ควรระบุให้ชัดแจ้งว่า ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากสำนักพระราชวัง รวมทั้งข้อ ๘ และข้อ ๙ ตรงข้อความว่า ตรวจสอบ และทดสอบ และการรับรอง ควรแก้ไขตรงข้อความว่า และทดสอบ และการรับรอง เป็นข้อความว่า ทดสอบ และการรับรอง แทน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการวางแผนตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยของคลังก๊าซธรรมชาติเป็นประจำทุกปี โดยการตรวจสอบควรดำเนินการทั้งในกรณีปกติ (Regular inspection) และกรณีการสุ่มตรวจ (Random inspection) เพื่อให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการรักษามาตรฐานความปลอดภัยของคลังก๊าซธรรมชาติเหลวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ของคลังก๊าซธรรมชาติเหลว อาทิ การเกิดอัคคีภัย เพื่อลดความสูญเสียในวงกว้างต่อชุมชนและประชาชน และการจัดทำแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan) เพื่อเป็นหลักประกันในการจัดหาอุปทานก๊าซธรรมชาติเหลวให้เพียงพอต่อความต้องการของภาคธุรกิจและประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
30296 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นเงิน ๑๑๗,๑๖๖.๕๗๗ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว จำนวน ๔๖๐.๗๐๓ ล้านบาท เนื่องจากสำนักงบประมาณได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณให้กับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงพฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๘๐,๕๗๓.๓๗๘ ล้านบาท ๒. สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๒.๑ มิติส่วนราชการ (Function) ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ จากระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖๒,๐๙๘.๘๙๓ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้น ๑,๘๓๕.๒๗๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓.๐๕ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๙๗,๑๑๖.๙๕๑ ล้านบาท (ร้อยละ ๘๒.๘๙ ของวงเงินจัดสรร) เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๙๓๗.๗๗๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๙๘ ๒.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ จากระบบรายงานแผน/ผลการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย สำนักงบประมาณ จำนวน ๗๓ จังหวัด เป็นเงิน ๕๐,๘๘๕.๑๗๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๓.๑๕ ๓. การส่งคืนเงินงบประมาณ ส่วนราชการแจ้งอย่างเป็นทางการส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่ายและเงินงบประมาณของโครงการ ซึ่งยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกวดราคา หรือกรณีงานดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำนวน ๔๑ หน่วยงาน รวมเป็นเงิน ๔,๙๐๗.๗๕๐ ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณจะดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนตามจำนวนดังกล่าวในระบบ GFMIS ต่อไป ๔. การติดตามผลการปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีดังนี้ ๔.๑ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดต้นน้ำ จำนวน ๑๑ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๑,๔๕๔ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๒,๗๒๐.๙๓๔ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๑,๐๐๘.๔๘๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๓.๖๐ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๖๖.๒๕ ๔.๒ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดกลางน้ำ จำนวน ๖ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๒,๑๖๙ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๖,๒๓๗.๔๓๗ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๒,๕๐๒.๙๐๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๒.๘๒ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๓๘.๒๒ ๔.๓ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดปลายน้ำ จำนวน ๑๕ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๖,๗๕๔ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๒๐,๙๖๒.๖๓๒ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๕,๔๑๑.๒๖๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๓.๘๙ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๗๕.๕๗
|
||||||||||||||||||||||||
30297 | ขออนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล | กษ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล ในแปลงที่ดินที่คณะทำงานแก้ไขปัญหาระดับอำเภอ และคณะทำงานพิจารณาคำร้องคัดค้านประกาศอำเภอ (อุทธรณ์) ได้รับรองการทำประโยชน์และผ่านความเห็นชอบการตรวจสอบจากคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล รวม ๓ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และร้อยเอ็ด โดยประกาศรับรองเนื้อที่ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคัดค้านครบกำหนด ๓๐ วัน ไม่มีผู้ใดคัดค้าน ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลกำหนดไว้ รวมจำนวน ๑,๑๔๒ แปลง เนื้อที่ ๔,๑๗๓ - ๐ - ๘๖.๗๐ ไร่ ๆ ละ ๓๒,๐๐๐ บาท เป็นเงิน ๑๓๓,๕๔๒,๙๓๖ บาท ตามบัญชีรายละเอียดผลการตรวจสอบร่องรอยการทำประโยชน์ที่ดินที่ได้รับผลกระทบฯ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และร้อยเอ็ด ๑.๒ อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงิน ทั้ง ๓ จังหวัด ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลเสนอ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานกรรมการ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด อัยการจังหวัด คลังจังหวัด นายอำเภอท้องที่ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและที่ดิน กรมชลประทาน ผู้แทนกลุ่มสมาพันธ์เกษตรกรอีสาน (นางบุรี อาจโยธา) ผู้แทนกลุ่มสมัชชาเกษตรกรภาคอีสาน (นายศักดา กาญจนเสน) ผู้แทนกลุ่มสมาพันธ์เกษตรกรแห่งประเทศไทย (นายวิพล อุปสิทธิ์) ผู้แทนกลุ่มเกษตรกรฝายราษีไศล (นายจัง ท้าวผา) ผู้แทนกลุ่มกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน (นายทองวัน อาจสาลี) ผู้แทนกลุ่มอิสระ (นางวันเพ็ญ แสงศร) ผู้แทนกลุ่มสมัชชาลุ่มน้ำมูล (นายบุญมี โสภัง) ผู้แทนกลุ่มสมัชชาคนจน (จังหวัดศรีสะเกษ นายไพฑูรย์ โถทอง จังหวัดสุรินทร์ นายประดิษฐ์ โกศล และจังหวัดร้อยเอ็ด นายพุฒ บุญเต็ม) ผู้แทนกลุ่มชาวนา ๒๐๐๐ (จังหวัดศรีสะเกษ นายอภิรักษ์ สุธาวรรณ จังหวัดสุรินทร์ นายทองอินทร์ นงรักษ์ และจังหวัดร้อยเอ็ด นายวิชัย พันทอง) เป็นกรรมการ โดยมีผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษามูลล่าง เป็นกรรมการและเลขานุการ ทำหน้าที่กำกับดูแลการจ่ายเงินและจำนวนเงินค่าชดเชยให้ถูกต้องครบถ้วนตรงตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ และจำนวนเงินค่าชดเชย เพื่อให้เป็นไปตามบัญชีรายละเอียดผลการตรวจสอบฯ ๒. สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการดังกล่าว ให้กรมชลประทานพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากแผนงานส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ รายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดิน ซึ่งมีเงินเพียงพอไปดำเนินการ ภายในวงเงินไม่เกิน ๑๓๓,๕๔๒,๙๓๖ บาท และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กรมชลประทานกำกับการตรวจสอบสิทธิของบุคคลให้เป็นไปอย่างถูกต้อง และการจ่ายเงินให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและโปร่งใสด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้มีคณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าชดเชยฯ ประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการ และมีรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมอบหมาย และรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายเป็นกรรมการและเลขานุการร่วม เพื่อทำหน้าที่พิจารณาหลักเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยฯ ดังกล่าวในภาพรวมให้มีความโปร่งใส เป็นธรรม ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างกัน แล้วให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนผู้สนใจทั่วไป ให้ชัดเจน ถูกต้องตรงกัน ก่อนดำเนินการจ่ายเงินค่าชดเชยดังกล่าว ทั้งนี้ ให้นำหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วใช้เป็นบรรทัดฐานสำหรับในกรณีที่จำเป็นจะต้องจ่ายเงินชดเชย และ/หรือค่าขนย้ายให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการอื่น ๆ ของรัฐในทำนองเดียวกันในโอกาสต่อไปด้วย เช่น กรณีขออนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษแก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
30298 | การจำแนกประเภทที่ดินจังหวัดลำปางและจังหวัดสงขลา (ขอเปลี่ยนแปลงมติคณะรัฐมนตรีเดิมเฉพาะแห่ง) | กษ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายการเกษตร และการท่องเที่ยว) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอการจำแนกประเภทที่ดินพื้นที่ “ป่าแม่จาง” จังหวัดลำปาง (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๓) โดยเปลี่ยนแปลงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๑๓ จำแนกพื้นที่ป่าไม้ถาวร “ป่าแม่จาง” เนื้อที่ประมาณ ๓๖๘ ไร่ ออกให้เป็นที่ทำกินของราษฎรหรือเพื่อใช้ประโยชน์อย่างอื่น ตามกรอบของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๓ โดยมอบให้กรมที่ดินรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ๒. เห็นชอบการจำแนกประเภทที่ดินจังหวัดสงขลา (ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๒๕) โดยเปลี่ยนแปลงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๒๕ เฉพาะในส่วนนอกเขตป่าไม้ถาวร ซึ่งไม่ได้สำรวจจำแนกประเภทที่ดิน ที่เดิมมอบให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมรับไปดำเนินการ เนื้อที่ประมาณ ๔,๗๖๐.๙๐๒ ตารางกิโลเมตร เห็นสมควรมอบให้คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติพิจารณามอบพื้นที่ดังกล่าวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
30299 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเขาเจ็ดลูก ตำบลเขาทราย ตำบลทับคล้อ ตำบลท้ายทุ่ง อำเภอทับคล้อ ตำบลหนองพยอม ตำบลวังหลุม ตำบลงิ้วราย ตำบลทุ่งโพธิ์ ตำบลดงตะขบ อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร และตำบลท้ายดง อำเภอวังโป่ง ตำบลตะกุดไร ตำบลดงขุย อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเขาเจ็ดลูก ตำบลเขาทราย ตำบลทับคล้อ ตำบลท้ายทุ่ง อำเภอทับคล้อ ตำบลหนองพยอม ตำบลวังหลุม ตำบลงิ้วราย ตำบลทุ่งโพธิ์ ตำบลดงตะขบ อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร และตำบลท้ายดง อำเภอวังโป่ง ตำบลตะกุดไร ตำบลดงขุย อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๒๖ และพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๗ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
30300 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลโนนก่อ อำเภอสิรินธร และตำบลคอแลน ตำบลโพนงาม อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลโนนก่อ อำเภอสิรินธร และตำบลคอแลน ตำบลโพนงาม อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลโนนก่อ อำเภอสิรินธร และตำบลคอแลน ตำบลโพนงาม อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
.....