ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1510 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 30181 - 30200 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
30181 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว สำหรับโครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สำหรับโครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ ในวงเงิน ๙๕.๔๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีขอบเขตการดำเนินโครงการ แหล่งเงินทุน และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ดังนี้ ๑.๑ ขอบเขตการดำเนินโครงการ ประกอบด้วย งานปรับปรุงบึงหนองด้วงน้อยให้เป็นแก้มลิงย่อย งานปรับปรุงร่องระบายน้ำหนองด้วงน้อย (Drainage Channel) และงานก่อสร้างทางบริการ (Service Road) และระบบระบายน้ำชั่วคราว ๑.๒ แหล่งเงินทุน ใช้เงินทุนจากเงินสะสมของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ๑.๓ รายละเอียดเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ๑.๓.๑ วงเงินให้ความช่วยเหลือ ๙๕.๔๐ ล้านบาท (เงินกู้ทั้งจำนวน) ๑.๓.๒ อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ ๑.๕ ต่อปี ๑.๓.๓ อายุสัญญา ๒๐ ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ ๕ ปี) ๑.๓.๔ ค่าบริหารจัดการของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ร้อยละ ๐.๑๕ ของวงเงินกู้ ๑.๓.๕ กำหนดชำระดอกเบี้ย ปีละ ๒ ครั้ง ๒. ให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูลตัวเลขหรือสถิติที่เกี่ยวกับปริมาณน้ำฝน และศึกษาความสามารถในการระบายน้ำเพื่อวิเคราะห์ว่าโครงการสามารถช่วยลดปัญหาอุทกภัยบริเวณนครหลวงเวียงจันทน์และพื้นที่ใกล้เคียงได้มากน้อยเพียงใด โดยการเปรียบเทียบสภาพก่อนและหลังดำเนินโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30182 | การลงนามในร่างพิธีสารสรุปความตกลงเปิดตลาดทวิภาคีระหว่างประเทศไทยและทาจิกิสถานภายใต้กระบวนการภาคยานุวัติเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของทาจิกิสถาน | พณ | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในสารัตถะของร่างพิธีสารสรุปความตกลงเปิดตลาดทวิภาคีระหว่างประเทศไทยและทาจิกิสถานภายใต้กระบวนการภาคยานุวัติเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของทาจิกิสถาน และให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ โดยสาระสำคัญของสารัตถะของร่างพิธีสารฯ มีดังนี้
๑. ทาจิกิสถานตกลงเปิดตลาดทวิภาคีให้สินค้าของไทย ๔ รายการ ตามที่ไทยเรียกร้อง ได้แก่ สินค้าพิกัด ๗๓๒๑๑๑๑๐๐๐ เครื่องใช้ไฟฟ้าในการหุงต้ม และแผ่นใช้สำหรับอุ่นอาหารที่ใช้ก๊าซเชื้อเพลิง หรือที่ใช้ได้ทั้งก๊าซเชื้อเพลิงและเชื้อเพลิงอื่น ๆ สินค้าพิกัด ๘๔๑๘๑๐๑๐๐๐ ตู้เย็นที่มีตู้แช่แข็งประกอบอยู่ด้วยกันโดยมีประตูนอกแยกกัน ชนิดที่ใช้ในเครื่องบินพลเรือน สินค้าพิกัด ๘๕๑๔๑๐๐๕๐๐ เตาเผาและเตาอบแบบทำความร้อนโดยใช้ความต้านทาน สำหรับการผลิตอุปกรณ์กึ่งตัวนำซึ่งเป็นส่วนประกอบสำหรับวัสดุกึ่งตัวนำแบบเวเฟอร์ และสินค้าพิกัด ๘๕๑๖๑๐๑๑๐๐ เครื่องทำน้ำร้อนด้วยไฟฟ้าแบบทำน้ำร้อนชั่วขณะที่ใช้หรือแบบทำน้ำร้อนเก็บสะสม และเครื่องทำความร้อนด้วยไฟฟ้าแบบจุ่ม โดยทาจิกิสถานยอมรับข้อเรียกร้องของไทย โดยลดอัตราภาษีที่จะผูกพันเป็นอัตราเดียวกับที่จัดเก็บในปัจจุบัน (ร้อยละ ๕) สำหรับสินค้าพิกัด ๗๓๒๑๑๑๑๐๐๐ ขอเวลาลดภาษี ๓ ปี ส่วนอีก ๓ รายการที่เหลือจะลดทันที ๒. ไทยได้แจ้งให้ทาจิกิสถานเพิ่มถ้อยคำเพื่อให้ไทยสามารถรักษาสิทธิที่จะขอหารือทวิภาคีกับทาจิกิสถานในอนาคตหากมีข้อเรียกร้องเพิ่มขึ้น โดยที่ทาจิกิสถานได้ปรับถ้อยคำดังกล่าวลงในร่างพิธีสารฯ เรียบร้อยแล้ว |
||||||||||||||||||||||||||||||
30183 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจร่วมกันว่าด้วยการพัฒนาและปรับปรุงบัญชีเศรษฐกิจเงินทุนของประเทศไทย ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กับสถาบันที่ปรึกษาระบบการเงินและความยากจนแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก (Consortium on Financial System and Poverty/University of Chicago) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาปรับปรุงบัญชีเศรษฐกิจเงินทุนของประเทศไทย ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กับสถาบันที่ปรึกษาระบบการเงินและความยากจนแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก (Consortium on Financial System and Poverty/University of Chicago) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาปรับปรุงบัญชีเศรษฐกิจเงินทุนให้มีความถูกต้องตามมาตรฐานสากลและมีความสมบูรณ์สามารถตอบสนองต่อการใช้ประโยชน์มากขึ้น และส่งเสริมการประยุกต์ใช้บัญชีเศรษฐกิจเงินทุนเชิงลึกให้แพร่หลาย ๑.๒ ผลที่คาดว่าจะได้รับ มีข้อมูลบัญชีเศรษฐกิจเงินทุนที่มีคุณภาพและมีความครบถ้วนสมบูรณ์สนองต่อการใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่องานวิจัยและการวางแผนและการจัดทำนโยบาย ได้รับความรู้ความเข้าใจธุรกรรมต่าง ๆ ในตลาดการเงินอย่างลึกซึ้ง สามารถนำผลการศึกษาเสนอแนะเป็นนโยบายพัฒนาประเทศได้ ๑.๓ กรอบระยะเวลา ๓ ปี เริ่ม ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ สิ้นสุด ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ ๒. อนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือผู้แทนลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่เนื้อหาสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||||||||
30184 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ พ.ศ. .... | พณ | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดคำนิยามคำว่า “ทรัพย์สินทางปัญญา” “คณะกรรมการ” และ “กรรมการ” ๑.๒ กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า “คทป.” ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ และคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยภาคราชการ จำนวน ๑๘ คน ภาคเอกชน จำนวน ๕ คน โดยมีอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นกรรมการและเลขานุการ ๑.๓ ให้คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ เช่น ๑.๓.๑ กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริม คุ้มครอง และการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญา และด้านการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศ รวมถึง สั่งการ ตรวจสอบ และติดตามการปฏิบัติงานของส่วนราชการ ตลอดจนหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศสัมฤทธิ์ผลเป็นรูปธรรม ๑.๓.๒ ติดตามการดำเนินการของส่วนราชการ ตลอดจนหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ ๑.๓.๓ กำหนดแนวทางและมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพบุคลากร งบประมาณ อำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ ตลอดจนหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ และการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ๑.๓.๔ รายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ๑.๔ ให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาทำหน้าที่สำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ โดยมีอำนาจหน้าที่ เช่น รับผิดชอบในงานวิชาการและงานเลขานุการของคณะกรรมการฯ ตลอดจนศึกษา วิเคราะห์ข้อมูล ประเมินผลการปฏิบัติงานตามนโยบายและยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ และการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งรายงานผลการปฏิบัติงานตามระเบียบนี้ต่อคณะกรรมการฯ ๑.๕ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ความร่วมมือและสนับสนุนในการปฏิบัติตามนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศ รวมทั้งแผนปฏิบัติการและมาตรการต่าง ๆ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรแต่งตั้งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (ลสวทน.) เป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ และเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ในการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญา จาก “กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริม คุ้มครอง และการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญา” เป็น “กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริม คุ้มครอง และการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญา โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมให้มีการสร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญาและการนำทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์” นอกจากนี้ เห็นควรให้คณะกรรมการฯ มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและรูปแบบการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาประเภทใหม่ที่สมควรได้รับการคุ้มครองนอกเหนือจากสิ่งที่กฎหมายให้การคุ้มครองไว้แล้ว โดยกำหนดนโยบายเพื่อสร้างระบบกฎหมายเฉพาะ (Sui Generis) ที่เหมาะสมกับประเทศไทย รวมทั้งให้คณะกรรมการฯ พิจารณาประชุมในเรื่องเร่งด่วนเพื่อให้สังคมไทยผลิตทรัพย์สินทางปัญญาของตนเองให้มากขึ้น ตลอดจนกำหนดแนวทางพัฒนาประสิทธิภาพของบุคลากรภายใต้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||
30185 | การแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงเกี่ยวกับการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ จำนวน 3 ฉบับ | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ในส่วนที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ และการจัดการเงินร่วมลงทุน มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ แก้ไขชื่อประกาศในข้อ ๑๑ (๔) ของกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามอย่างอื่นของผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ โดยเปลี่ยนจากชื่อประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. เป็นประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา ๑๐๓ (๙) และ (๑๐) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ๑.๒ แก้ไขระยะเวลาในการพิจารณาเพื่อออกใบอนุญาตฯ ของคณะกรรมการ ก.ล.ต. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้มีระยะเวลาเพิ่มขึ้นจากเดิมเพื่อให้มีความรอบคอบและรัดกุมยิ่งขึ้น ๑.๓ แก้ไขให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ และการจัดการเงินร่วมลงทุน ในข้อ ๑๖ (๖) ของกฎกระทรวงฯ ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด จากเดิมที่ให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด ๒. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าระหว่างผู้ค้าหลักทรัพย์ (พ.ศ. ....) เป็นการปรับปรุงแก้ไขการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าระหว่างผู้ค้าหลักทรัพย์ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ ยกเลิกกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าระหว่างผู้ค้าหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๕ ๒.๒ กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตเพื่อประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ดังกล่าวต้องเป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ๒.๓ แก้ไขระยะเวลาในการพิจารณาเพื่อออกใบอนุญาตฯ ของคณะกรรมการ ก.ล.ต. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้มีระยะเวลาเพิ่มขึ้นจากเดิม เพื่อให้มีความรอบคอบและรัดกุมยิ่งขึ้น ๒.๔ กำหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตดังกล่าวต้องดำรงคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดตลอดเวลาตามที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด จากเดิมที่กำหนดให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. เป็นผู้กำหนด ทั้งนี้ อัตราค่าธรรมเนียมยังคงอัตราเดิม คือ ค่าธรรมเนียมคำขอรับใบอนุญาตฯ ๑๐,๐๐๐ บาท และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตฯ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ๓. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ (พ.ศ. ....) เป็นการปรับปรุงแก้ไขการอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๓.๑ ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ และกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๐ (พ.ศ. ๒๕๔๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๓.๒ กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตเพื่อประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ดังกล่าวต้องเป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ๓.๓ แก้ไขระยะเวลาในการพิจารณาเพื่อออกใบอนุญาตฯ ของคณะกรรมการ ก.ล.ต. และรัฐมนตรีว่าการกระทวงการคลัง ให้มีระยะเวลาเพิ่มขึ้นจากเดิม เพื่อให้มีความรอบคอบและรัดกุมยิ่งขึ้น ๓.๔ กำหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตดังกล่าวต้องดำเนินงานตามที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด จากเดิมที่ให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด ทั้งนี้ อัตราค่าธรรมเนียมยังคงอัตราเดิม คือ ค่าธรรมเนียมคำขอรับใบอนุญาตฯ ๑๐,๐๐๐ บาท และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตฯ ๑๐,๐๐๐ บาท |
||||||||||||||||||||||||||||||
30186 | การเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทาง หลักเกณฑ์ และขั้นตอนการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. แนวทางและหลักเกณฑ์การเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๑ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเสนอคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีฯ เฉพาะรายการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนอย่างแท้จริงและสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ โดยมีแนวทางและหลักเกณฑ์ ดังนี้ ๑.๑.๑ เป็นไปตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การสร้างรากฐานการพัฒนาที่สมดุลสู่สังคม ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งรัฐ ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ยุทธศาสตร์การศึกษา คุณธรรม จริยธรรม คุณภาพชีวิต และความเท่าเทียมกันในสังคม ยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม ยุทธศาสตร์การต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ยุทธศาสตร์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ๑.๑.๒ เป็นรายจ่ายในการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภา โดยเฉพาะนโยบายสำคัญเร่งด่วน ๑๖ ข้อ ๑.๑.๓ เป็นรายจ่ายที่ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศ ส่งเสริมการผลิตให้เกิดการจ้างงานและกระจายรายได้ หรือเป็นรายจ่ายลงทุนที่สำคัญก่อให้เกิดผลในการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาที่ยั่งยืนหรือเป็นรายจ่ายที่ประชาชนได้รับประโยชน์โดยตรง ๒. ขั้นตอนในการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ๒.๑ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นจัดทำคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีฯ ที่ได้มีการตรวจสอบและรับรองข้อมูลแล้วว่าการดำเนินการนั้นไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ กฎหมายหรือระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และให้เสนอขอรับความเห็นชอบต่อนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับ หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด รวมทั้งรวบรวมจัดส่งให้สำนักงบประมาณ ภายในวันศุกร์ที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ๒.๒ สำหรับหน่วยงานของรัฐสภา หน่วยงานของศาล และหน่วยงานขององค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ ให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๖๘ วรรคเก้า ที่กำหนดว่า “หากหน่วยงานดังกล่าวเห็นว่างบประมาณรายจ่ายที่ได้รับการจัดสรรให้นั้นไม่เพียงพอ ให้สามารถเสนอคำขอแปรญัตติต่อคณะกรรมาธิการได้โดยตรง” ๒.๓ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และนำเสนอผลการพิจารณาต่อคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เพื่อนำเสนอคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30187 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นเงิน ๑๑๗,๗๑๖.๖๕๑ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว จำนวน ๕๓.๖๕๑ ล้านบาท เนื่องจากสำนักงบประมาณได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณให้กับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงมิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๘๘,๐๒๙.๙๘๓ ล้านบาท ๑.๑ สถานการณ์เบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๑.๑.๑ มิติส่วนราชการ (Function) ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ จากระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖๗,๓๓๐.๘๐๗ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้น ๒,๕๓๖.๘๗๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓.๙๒ โดยส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑,๕๓๖.๔๓๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑.๕๕ ๑.๑.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ จากระบบรายงานแผน/ผลการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย สำนักงบประมาณ จำนวน ๗๓ จังหวัด เป็นเงิน ๕๓,๖๒๖.๒๓๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๐.๙๒ ๑.๒ การส่งคืนเงินงบประมาณ ส่วนราชการแจ้งอย่างเป็นทางการส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่ายและเงินงบประมาณของโครงการ/รายการ ซึ่งยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกาศประกวดราคา หรือกรณีงานดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำนวน ๔๒ หน่วยงาน รวมเป็นเงิน ๕,๐๒๐.๐๖๔ ล้านบาท สำนักงบประมาณจะดำเนินการคืนเงินประจำงวดกลับคืนตามจำนวนดังกล่าวในระบบ GFMIS ต่อไป ๓. การติดตามผลการปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีดังนี้ ๓.๑ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดต้นน้ำ จำนวน ๑๑ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๑,๔๔๕ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๒,๗๑๘.๔๓๒ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๑,๑๑๑.๐๐๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๐.๘๗ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๕๙.๘๓ ๓.๒ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดกลางน้ำ จำนวน ๖ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๒,๑๕๓ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๖,๒๓๓.๓๖๖ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๒,๗๐๐.๑๔๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๕.๖๙ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๓๗.๗๘ ๓.๓ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดปลายน้ำ จำนวน ๑๕ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๖,๖๕๘ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๒๐,๖๓๘.๙๐๒ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๖,๐๘๐.๔๕๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๐.๒๓ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๕๗.๙๗
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30188 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๓๑,๓๖๓ ครั้ง เปรียบเทียบกับในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่าในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประชาชนใช้บริการร้องทุกข์เพิ่มขึ้น จำนวน ๑๔,๐๐๔ ครั้ง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ สวัสดิการสงเคราะห์ผู้ประสบภัย การปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามลำดับ ๑.๒ ข้อมูลเรื่องร้องทุกข์ที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ได้แก่ การแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการจำหน่ายและเสพยาเสพติด การแจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนการพนัน/เล่นการพนัน การปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐในระดับปริญญาตรี ราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง การปรับขึ้นราคาจำหน่ายก๊าซ LGP และ NGV นโยบายสร้างความปรองดองของรัฐบาลเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อนำไปสู่ความปรองดอง ๒. ข้อมูลการแจ้งเบาะแสจากประชาชนในประเด็นที่เกี่ยวกับยาเสพติดในรอบ ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นหน่วยงานหลักในการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำข้อมูลไปดำเนินการขยายผลการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป โดยสถิติการแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติด พบว่า ประชาชนแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติดในพื้นที่ของกรุงเทพมหานครมากที่สุด รองลงมาคือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชลบุรี นนทบุรี และสุราษฎร์ธานี ตามลำดับ โดยประเภทของยาเสพติดที่มีการแจ้งเบาะแสมากที่สุด ได้แก่ ยาบ้า รองลงมาคือ ยาไอซ์ และกัญชา ตามลำดับ ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้จัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนของสถานที่จำหน่ายหรือเสพยาเสพติด จำแนกเป็นรายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัดเพื่อเตรียมจัดส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในการเป็นหน่วยงานหลักประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำข้อมูลไปดำเนินการขยายผลการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
30189 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา ศาสนาประจำชาติไทย" | สสป | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “การทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา ศาสนาประจำชาติไทย” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรรมการศาสนา ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และสภาที่ปรึกษาฯ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเฉลิมฉลองพุทธชยันดี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ๑.๑ ขอให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพจัดงานเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยจัดให้ยิ่งใหญ่ทั้งปีทั่วประเทศให้สมกับพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นพระบรมศาสดาเอกของโลก ๑.๒ ขอให้รัฐบาลแต่งตั้งคณะกรรมการเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นรองประธาน มีผู้แทนของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง องค์การและสถาบันที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาร่วมเป็นกรรมการและที่ปรึกษา ๑.๓ ขอให้รัฐบาลประกาศให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก ๑.๔ ขอให้รัฐบาลน้อมนำอุดมการณ์แผ่นดินธรรมแผ่นดินทองเป็นอุดมการณ์ เพื่อสร้างสรรค์แผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินทอง และน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาของชาติ ๑.๕ ขอให้รัฐบาลจัดทำแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระบรมศาสดาของโลกในมหามงคลสมัยการเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ๑.๖ ของรัฐบาลส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้งและการดำเนินงานของสมัชชาชาวพุทธแห่งชาติและประจำจังหวัดต่าง ๆ โดยออกเป็นพระราชกฤษฎีกา กำหนดให้สมัชชาชาวพุทธแห่งชาติและประจำจังหวัดเป็นองค์การมหาชน เพื่อเป็นกลไกและพลังที่สำคัญของชาวพุทธในการทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา ๒. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง และปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๒.๑ ขอให้รัฐบาลน้อมนำอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ซึ่งมาจากพระบรมราชปณิธานในพระบรมราชโองการที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” กำหนดเป็นอุดมการณ์ของชาติ เพื่อสร้างสรรค์แผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง เป็นการถวายราชสักการะบูชาแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นธัมมิกมหาราชา-พระมหาราชาผู้ทรงอยู่ในธรรม ๒.๒ ขอให้รัฐบาลน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นปรัชญาของชาติ ชี้นำการบริหารประเทศ การพัฒนาประเทศ การดำรงชีวิตประชาชนทุกระดับ เพื่อพัฒนาแผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๓. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ๓.๑ จัดให้มีแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อเป็นพุทธบูชาในมหามงคลสมัยการเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ๓.๒ แผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ควรระบุให้ชัดเจนเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมพระพุทธศาสนา นโยบายของรัฐบาลในการทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา ยุทธศาสตร์ในการทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา การส่งเสริมบทบาทของวัดซึ่งเป็นศาสนสถน การส่งเสริมบทบาทของพระผู้เป็นศาสนทายาท ตามร่างแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ๔. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริมการจัดตั้ง และการดำเนินงานของสมัชชาชาวพุทธทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด ๔.๑ ขอให้รัฐบาลสนับสนุนการจัดตั้งและการดำเนินงานของสมัชชาชาวพุทธทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด เพื่อเป็นกลไกที่สร้างสรรค์ในการส่งเสริมพระพุทธศาสนา ๔.๒ รัฐบาลควรให้การสนับสนุนด้านงบประมาณแก่การดำเนินงานของสมัชชาชาวพุทธทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด เพื่อสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผล ๕. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการตราและปรับปรุงกฎหมาย ๕.๑ รัฐบาลควรตราพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นกฎหมายรองรับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๗๙ ๕.๒ รัฐบาลควรปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ให้มีความเหมาะสม เพื่อให้การบริหารของคณะสงฆ์ การศึกษาของพระสงฆ์ การปฏิบัติหน้าที่ของวัดและพระสงฆ์ มีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผลยิ่งขึ้น ให้สมกับที่ประเทศไทยเป็นเมืองพระพุทธศาสนา และเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก ๕.๓ รัฐบาลควรตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้สมัชชาชาวพุทธแห่งชาติเป็นองค์การมหาชน เพื่อให้มีสถานภาพเป็นนิติบุคคล เป็นที่รวมพลังของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งคณะสงฆ์ ภาครัฐ และภาคประชาชน ในการทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา ในการส่งเสริมบทบาทของพระพุทธศาสนาในการพัฒนาคน สังคม และประเทศชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30190 | การรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลกว่าด้วยตัวชี้วัดด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (World Telecommunication/ICT Indicators Meeting) ค.ศ.2012 | ทก | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารลงนามในร่างหนังสือถึงสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) เพื่อแจ้งตอบรับข้อเสนอของประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลกว่าด้วยตัวชี้วัดด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ค.ศ. ๒๐๑๒ (World Telecommunication/ICT Indicators Meeting 2012 : WTIM 2012) ๒. ให้ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||||||||
30191 | มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่ได้รับความเสียหายโดยทางตรงหรือทางอ้อมจากอุทกภัย | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่ได้รับความเสียหายโดยทางตรงหรือทางอ้อมจากอุทกภัย โดยให้กำหนดระยะเวลาการดำเนินมาตรการดังกล่าวถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา และร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑.๑ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัยของสถาบันการเงินหรือลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัยของเจ้าหนี้อื่น สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการปลดหนี้ของสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ทั้งนี้ เฉพาะการปลดหนี้ที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๒.๑.๒ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่ลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัยของสถาบันการเงินหรือลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัยของเจ้าหนี้อื่น และสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้าหรือการให้บริการ และการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ทั้งนี้ เฉพาะการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้าหรือการให้บริการ และการกระทำตราสารที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๒.๑.๓ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัยของสถาบันการเงินและผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัยที่จำนองอสังหาริมทรัพย์เป็นประกันหนี้กับเจ้าหนี้สถาบันการเงินและได้มีการขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวให้บุคคลอื่นเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้สถาบันการเงิน ซึ่งได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินกว่าหนี้ที่ค้างชำระอยู่กับสถาบันการเงินหรือมีภาระผูกพันตามสัญญาประกันหนี้กับสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด โดยการโอนอสังหาริมทรัพย์และการกระทำตราสารต้องกระทำในระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๒.๒ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นการดำเนินการตามหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ที่กรมสรรพากรกำหนด สำหรับการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของเจ้าหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ในส่วนของหนี้ที่เจ้าหนี้ดังกล่าวได้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัย ทั้งนี้ เฉพาะการปลดหนี้ที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๓. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๒ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยให้กระทรวงการคลังแจ้งคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) และคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และความเป็นอยู่ของประชาชน (กศอ.) ทราบด้วย ดังนี้ ๓.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงหรือทางอ้อมจากอุทกภัย ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน เหลือร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัย ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๓.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงหรือทางอ้อมจากอุทกภัย ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจำนองห้องชุด ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด เหลือร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัย ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๔. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบถึงผลการดำเนินงานตามมาตรการของกระทรวงการคลังเพื่อเป็นการประเมินความสำเร็จของนโยบายการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบอุทกภัย และการกำหนดมาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมถึงมาตรการจูงใจผู้ที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เพื่อเป็นแนวทางในการถือปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
30192 | โครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู และขอนแก่น เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการใน สปป. ลาว ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) รับเรื่อง โครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู และขอนแก่น เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ไปพิจารณากลั่นกรองก่อน ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การเสนอเรื่องเกี่ยวกับแผนงาน/โครงการลงทุน) ๒. ให้นำความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนในพื้นที่อย่างรอบด้าน และมีกระบวนการรับฟังความเห็นของสาธารณชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการดำเนินโครงการฯ อย่างโปร่งใสและครอบคลุม การคำนึงถึงความเสี่ยงจากการลงทุน (economic risk) และการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ (opportunity cost) จากการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้า หากมีการก่อสร้างหรือการกระทำใดๆ ที่อาจกระทบต่อเส้นเขตแดนและท่าทีในการเจรจาที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหารืออย่างใกล้ชิดกับกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ การติดตามการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission : MRC) เกี่ยวกับการพิจารณาให้ความเห็นต่อโครงการก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรี เพื่อให้สามารถวางแผนโครงการฯ เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนไซยะบุรีได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์การก่อสร้างโรงไฟฟ้าใน สปป.ลาว การเตรียมแผนบริหารความเสี่ยงในการจัดหากำลังผลิตไฟฟ้าจากแหล่งอื่นเข้ามาเสริมระบบแทนในกรณีที่ไม่สามารถรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนไซยะบุรีได้ หรือการก่อสร้างมีความล่าช้าออกไป การประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจกับชุมชนในพื้นที่ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการฯ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อระดับน้ำในแม่น้ำโขงบริเวณชายแดนไทย และผลกระทบต่อชุมชนท้ายน้ำในฝั่งไทย การติดตามเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชนจากการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องทั้งในช่วงการก่อสร้างโครงการและภายหลังโครงการแล้วเสร็จ รวมทั้งการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เยาวชน ประชาชน และชุมชนในด้านการจัดหาพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งต่าง ๆ โดยเฉพาะข้อดีข้อเสียของการจัดหาพลังงานไฟฟ้าจากแต่ละแหล่งผลิต ไปประกอบการพิจารณาต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
30193 | มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยให้ขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการดังกล่าวออกไปอีก ๑ ปี จากสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา และร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑.๑ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินหรือลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น สำหรับเงินได้ที่รับการปลดหนี้ของสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ทั้งนี้ เฉพาะการปลดหนี้ที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๒.๑.๒ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินหรือลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น และสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น สำหรับเงินได้ที่รับจากการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้าหรือการให้บริการ และการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ทั้งนี้ เฉพาะการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้าหรือการให้บริการ และการกระทำตราสารที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๒.๑.๓ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินและผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ที่จำนองอสังหาริมทรัพย์เป็นประกันหนี้กับเจ้าหนี้สถาบันการเงินและได้มีการขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวให้บุคคลอื่น เพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้สถาบันการเงิน ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินกว่าหนี้ที่ค้างชำระอยู่กับสถาบันการเงินหรือมีภาระผูกพันตามสัญญาประกันหนี้กับสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด โดยการโอนอสังหาริมทรัพย์และการกระทำตราสารต้องกระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๒.๒ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นการดำเนินการตามหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ที่กรมสรรพากรกำหนด สำหรับการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของเจ้าหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้อื่น ในส่วนของหนี้ที่เจ้าหนี้ดังกล่าวได้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้อันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด ทั้งนี้ เฉพาะการปลดหนี้ที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๓. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๒ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๓.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน เหลือร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๓.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจำนองห้องชุด ตามประมวลกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด เหลือร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๔. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร และสิทธิประโยชน์ทางค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ควรให้สิทธิประโยชน์ดังกล่าวเฉพาะหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non - Performing Loans : NPL) ที่เกิดจากลูกหนี้รายย่อย ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และวิสาหกิจชุมชน โดยขยายมาตรการออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ เท่านั้น เพื่อป้องกันการวางแผนหลีกเลี่ยงภาษีของบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลอันจะส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30194 | ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงบัญชีท้ายกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยกำหนดสายงานและระดับตำแหน่งเพื่อให้ข้าราชการพลเรือนสามัญมีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งเพิ่มเติม จำนวน ๗ สายงาน ได้แก่ สายงานวิชาการช่างศิลป์ ระดับทรงคุณวุฒิ สายงานมัณฑนศิลป์ ระดับทรงคุณวุฒิ สายงานจิตรกรรม ระดับทรงคุณวุฒิ สายงานเภสัชกรรม ระดับทรงคุณวุฒิ สายงานพยาบาลวิชาชีพ ระดับทรงคุณวุฒิ สายงานแพทย์แผนไทย ระดับชำนาญการ และระดับชำนาญการพิเศษ และสายงานจิตวิทยาคลินิก ระดับชำนาญการ ระดับชำนาญการพิเศษ และระดับเชี่ยวชาญ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30195 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเพิ่มขึ้น พ.ศ. .... (การกำหนดวงเงินความคุ้มครองเงินฝาก) | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเพิ่มขึ้น พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไป โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๑.๒ ให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองเพิ่มขึ้น พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๓ กำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองไม่เกินจำนวนเงินห้าสิบล้านบาท ๒. กำหนดวงเงินการคุ้มครองเงินฝากเป็นขั้นบันไดในระยะเวลา ๕ ปี ตามความเห็นของคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ปีที่หนึ่ง ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ - ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๕๐ ล้านบาท ปีที่สอง ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ - ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๗ จำนวน ๕๐ ล้านบาท ปีที่สาม ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๗ - ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๕๐ ล้านบาท ปีที่สี่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ - ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ จำนวน ๒๕ ล้านบาท และปีที่ห้า ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ - ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๑ ล้านบาท ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดกรอบระยะเวลาการลดระดับวงเงินคุ้มครองเงินฝากให้ชัดเจน และมีแนวทางปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากแบบขั้นบันไดจนกระทั่งถึงวงเงินคุ้มครอง ๑ ล้านบาท รวมทั้งให้ความรู้ความเข้าใจทางด้านการเงิน (Financial Literacy) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝากที่มีอาชีพอิสระและผู้ฝากเงินที่เกษียณอายุที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราผลตอบแทนของสถาบันการเงิน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
30196 | การติดตามสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจยูโร | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ) มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงด้านเศรษฐกิจเพื่อติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในทวีปยุโรป และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกสัปดาห์ นั้น เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจยูโรมีแนวโน้มต่อเนื่องยาวนานและต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไขปัญหา ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบและความผันผวนทั้งในตลาดการค้าและการเงิน และประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงมอบให้ทุกส่วนราชการ โดยเฉพาะกระทรวงด้านเศรษฐกิจติดตามสถานการณ์และผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และให้รายงานมาที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะได้รวบรวม วิเคราะห์ และกำหนดยุทธศาสตร์และมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ทันต่อสถานการณ์ และให้รายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30197 | การปรับปรุงแผนปฏิบัติการ | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่กระทรวง ส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ได้จัดทำแผนปฏิบัติการให้เป็นไปตามแผนบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล นั้น เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมเข้าสู่ความเป็นประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งบูรณาการการบริหารจัดการปัญหาอุทกภัยอย่างเป็นระบบ จึงมอบให้กระทรวง ส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐรับไปพิจารณาทบทวนและปรับปรุงแผนปฏิบัติการของแต่ละหน่วยงานให้เหมาะสมสอดคล้องกับข้อเท็จจริงดังกล่าว แล้วแจ้งไปยังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) เพื่อบูรณาการแผนปฏิบัติการในภาพรวมจัดทำเป็นแผนแม่บทต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30198 | งานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ จึงให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐที่มีแผนงาน/โครงการที่จะดำเนินการเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ไปยังรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) รวมทั้งขอความร่วมมือภาคเอกชนแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับแผนงาน/โครงการในลักษณะเดียวกันไปยังรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ด้วย เพื่อให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ประสานความร่วมมือและบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ในแต่ละภาคส่วนให้เป็นเอกภาพต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30199 | การจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุรินทร์ | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งต่อไปในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ ที่จังหวัดสุรินทร์ ในระหว่างวันที่ ๓๐ - ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพหลักรับไปหารือในรายละเอียดร่วมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์) และผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
30200 | ขอทบทวนมติการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข | สธ | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ เรื่อง การลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข จากเดิม ที่เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ เป็น พิจารณาอนุมัติในหลักการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้แทนที่จะเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน - จีน ครั้งที่ ๔ ในวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำหรือประเด็นที่มิใช่สาระสำคัญ ขอให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ลงนาม โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หรือผู้แทนที่จะลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
.....