ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1372 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 27421 - 27440 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
27421 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ นครนิวยอร์ก | อก | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศนำเรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ นครนิวยอร์ก ของกระทรวงอุตสาหกรรม และเรื่อง การจัดทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก ของกระทรวงพาณิชย์ ไปพิจารณาทบทวนร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเกี่ยวกับนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ของหน่วยงานดังกล่าว และหากเป็นทำเลที่เหมาะสมให้พิจารณาถึงความคุ้มค่าในการจัดซื้ออาคารที่ทำการฯ แทนวิธีการเช่าเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งเป็นการประหยัดและลดภาระงบประมาณของประเทศในระยะยาว แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๒ สัปดาห์ต่อไป
|
||||||||||||||||||
27422 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสุโขทัย พ.ศ. .... | มท | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสุโขทัย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอได้ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||
27423 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย สำหรับปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2555 รวม 2 ฉบับ | กค | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.)และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) สำหรับปี สิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ รวม ๒ ฉบับ ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการของ ธสน. ในปี ๒๕๕๕ ๑.๑ มีกำไรสุทธิ จำนวน ๑,๑๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๔๙๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๑.๙๑ ๑.๒ มีการอนุมัติวงเงินสินเชื่อและค้ำประกัน เพื่อการสนับสนุน และส่งเสริมการส่งออก การนำเข้า และการลงทุนภายในประเทศ จำนวน ๑๒๘,๕๒๕ ล้านบาท และเพื่อการสนับสนุนนักธุรกิจไทยไปลงทุนในต่างประเทศ จำนวน ๔๐,๙๖๘ ล้านบาท ๑.๓ การประกันการส่งออก ประกอบด้วย การประกันการส่งออกระยะสั้นได้ให้การรับประกันไปยังผู้ซื้อ ๗๙ ประเทศ โดยมีมูลค่าในการรับประกันเท่ากับ ๑๓๕,๐๗๓ ล้านบาท รวมค่าเบี้ยประกัน ๑๙๐ ล้านบาท และการประกันการส่งออกระยะกลางและระยะยาวเป็นการรับประกันความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระเงินที่มีระยะเวลาการชำระเงินหรือระยะสัญญาเกินกว่า ๑๘๐ วัน แต่ไม่เกิน ๕ ปี โดยผู้เอาประกันจะได้รับชดเชยค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่ไม่ได้รับชำระเงินตามสัญญาเนื่องจากความเสี่ยงทางการค้าและความเสี่ยงทางการเมือง โดยมีอัตราการชดเชยสูงสุดร้อยละ ๙๐ ของมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น ๑.๔ การประกันความเสี่ยงการลงทุน เป็นบริการรับประกันความเสี่ยงทางการเมืองจากการที่โครงการลงทุนของผู้เอาประกันได้รับความเสียหายจากการดำเนินนโยบาย กฎระเบียบ หรือการดำเนินการใด ๆ ของรัฐบาลประเทศที่ผู้เอาประกันไปลงทุน ตลอดจนภัยทางการเมืองซึ่งมีผลทางลบต่อโครงการลงทุนและความสามารถในการชำระคืนเงินกู้ของผู้เอาประกัน โดย ธสน. สามารถให้ความคุ้มครองได้ทั้งในส่วนของผู้ถือหุ้นและในส่วนเงินกู้ โดยมีอัตราการชดเชยความเสียหายสูงสุดร้อยละ ๙๐ ของมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น ๒. ผลการดำเนินงานของ บตท. ในปี ๒๕๕๕ มีกำไรสุทธิ จำนวน ๙.๙ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๕.๘๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๔๒.๑๗ จากปัจจัยสำคัญประกอบด้วย ๒.๑ มีรายได้จากดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น จำนวน ๑๖.๕๔ ล้านบาท และส่วนของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง จำนวน ๐.๒๗ ล้านบาท ๒.๒ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ๑๓.๔๒ ล้านบาท เนื่องจากมีต้นทุนค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ๑๒.๙๕ ล้านบาท ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ๐.๔๗ ล้านบาท เนื่องจากมีการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญลดลง ๒.๙๘ ล้านบาท ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๓๕ และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารสถานที่และอุปกรณ์เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๕๐ ๒.๓ ได้ซื้อสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากโครงการความร่วมมือและโครงการจัดซื้อกองสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ ๓,๒๕๖ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๒.๔ การพัฒนาตราสารหนี้ที่มีสินทรัพย์อื่นหนุนหลัง (Asset-Backed Securities : ABS) โดย บตท. ได้ลงนามในสัญญาร่วมกับการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ในการให้ความร่วมมือระหว่างกันในการพัฒนาธุรกรรมนำกองสินเชื่อที่อยู่อาศัยของ กคช. มาทำการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ จึงถือเป็นการระดมทุนผ่านตลาดทุน โดยเบื้องต้นจะคัดเลือกแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ได้ดำเนินการจ้างที่ปรึกษาทางการเงินและเริ่มเข้าทำการ Due Diligence ของสินเชื่อของ กคช. และกำหนดโครงสร้างตราสารแล้ว นอกจากนี้ ยังได้นำกองสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาคัดกรองและหนุนหลัง เพื่อออกตราสารหนี้ MBS (Mortgage-backed Securities) รวม ๙๐๐ ล้านบาท เป็นหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ จำนวน ๖๖๐ ล้านบาท และหุ้นกู้ด้อยสิทธิ จำนวน ๒๔๐ ล้านบาท โดยได้ออกขายให้แก่นักลงทุนเรียบร้อยแล้ว
|
||||||||||||||||||
27424 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดมหาสารคาม พ.ศ. .... | มท | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดมหาสารคาม พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอได้ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||
27425 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีทาจิกิสถาน | นร04 | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายเอมอมาลี เราะห์มาน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐทาจิกิสถาน ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และให้ส่วนราชการต่าง ๆ ประสานและติดตามผลการเยือนในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางติดตามผลที่กระทรวงการต่างประเทศได้จัดทำขึ้น ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. การมีกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ กรุงดูชานเบ ประธานาธิบดีทาจิกิสถานเสนอให้ทั้งสองฝ่ายจัดตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพิจารณาผลักดันการดำเนินการตามความตกลงต่าง ๆ ที่ทั้งสองฝ่ายได้เคยลงนามร่วมกันระหว่างการเยือนไทยของประธานาธิบดีทาจิกิสถาน เมื่อปี ๒๕๔๘ ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันในการมีกงสุลกิตติมศักดิ์ไทย ณ กรุงดูชานเบ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในอนาคต ๒. การมีเที่ยวบินตรงระหว่างไทย-ทาจิกิสถาน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันในการมีเที่ยวบินตรงระหว่างกันจะส่งเสริมการค้าและการท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้น ๓. ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-ทาจิกิสถาน ประธานาธิบดีทาจิกิสถานขอบคุณไทยที่ให้การสนับสนุนทาจิกิสถานในการเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) และพร้อมที่จะร่วมมือและสนับสนุนไทยในเวทีดังกล่าว ๔. ความร่วมมือทางวิชาการ ทาจิกิสถานแสดงความสนใจด้านการพัฒนาการท่องเที่ยว โดยฝ่ายไทยได้จัดให้เยี่ยมชมโครงการพัฒนาศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นตัวอย่างของรูปแบบความช่วยเหลือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรและเศรษฐกิจพอเพียง ๕. ความร่วมมือในกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) ไทยและทาจิกิสถานเห็นว่าการพัฒนาการคมนาคมตามเส้นทางสายไหมจะช่วยเชื่อมภูมิภาคเอเชียตะวันออก ตะวันออกกลางและเอเชียกลางสู่ทวีปยุโรป ซึ่งจะส่งเสริมการค้า การลงทุน และการไปมาหาสู่ระหว่างกันในอนาคต และเสนอให้ทั้งสองฝ่ายมีการจัดตั้ง working group on connectivity เพื่อปรึกษาหารือกันในด้านความเชื่อมโยงการคมนาคมอย่างใกล้ชิด โดยฝ่ายไทยได้แจ้งเชิญให้ประธานาธิบดีทาจิกิสถานเข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำ ACD ครั้งที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๘-๑๒ มีนาคม ๒๕๕๘ ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพ ๖. สถานการณ์ความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประธานาธิบดีทาจิกิสถานรับทราบการดำเนินการต่าง ๆ ของไทยในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยซึ่งเน้นการดำเนินการโดยสันติวิธี และยินดีให้การสนับสนุนไทยในองค์การความร่วมมืออิสลาม (Organisation of the Islamic Conference : OIC) ดังเช่นที่เคยทำเสมอมา ๗. การเข้าร่วมการประชุม High Level International Conference on Water Cooperation ประธานาธิบดีทาจิกิสถานได้เชิญนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ซึ่งกำหนดจะจัดขึ้นที่กรุงดูชานเบ ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ซึ่งนายกรัฐมนตรีรับทราบคำเชิญ และขอรายละเอียดเพิ่มเติมก่อนที่จะยืนยันการเข้าร่วม โดยขอให้มีการประสานผ่านช่องทางการทูต ๘. การลงสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ประธานาธิบดีทาจิกิสถานรับที่จะสนับสนุนไทยในการลงสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งดังกล่าว
|
||||||||||||||||||
27426 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลท่างาม อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลท่างาม อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลท่างาม อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
27427 | การแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำเมืองคาร์ดิฟฟ์ สหราชอาณาจักร [นายเทียโดรัส โคเลียนดริส (Mr. Theodorus Coliandris)] | กต | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายเทียโดรัส โคเลียนดริส (Mr. Theodorus Coliandris) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำเมืองคาร์ดิฟฟ์ สหราชอาณาจักร โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมแคว้นเวลส์ สืบแทนนายจอห์น เอดเวร์ด ไอลส์ (Mr. John Edward Iles) ซึ่งขอลาออกจากตำแหน่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||
27428 | การถอดถอนและการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำกรุงดับลินประเทศไอร์แลนด์ [นายแบร์รี โธมัส คอนนอลลี (Mr. Barry Thomas Connolly)] | กต | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ถอดถอนนายแพททริก เจ. ไดนีน (Mr. Patrick J. Dineen) ออกจากตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำกรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ เขตกงสุลครอบคลุมประเทศไอร์แลนด์ ๒. แต่งตั้งนายแบร์รี โธมัส คอนนอลลี (Mr. Barry Thomas Connolly) เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำกรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ เขตกงสุลครอบคลุมประเทศไอร์แลนด์
|
||||||||||||||||||
27429 | ร่างระเบียบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าด้วยหลักเกณฑ์ คุณสมบัติ และวิธีการในการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร พ.ศ. .... | กษ | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างระเบียบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าด้วยหลักเกณฑ์ คุณสมบัติ และวิธีการในการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดคุณสมบัติของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๒ กำหนดขั้นตอนการคัดสรรและคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๓ กำหนดผู้มีหน้าที่ดำเนินการรับสมัครและคัดสรรเกษตรกรและผู้แทนองค์กรเกษตรกร ๑.๔ กำหนดให้หน่วยงานระดับจังหวัดของหน่วยงานที่มีหน้าที่คัดสรรเป็นผู้ดำเนินการรับสมัครแล้วส่งรายชื่อผู้สมัครให้กับหน่วยงานต้นสังกัดดำเนินการคัดสรร ๑.๕ กำหนดให้มีคณะกรรมการคัดเลือกทำหน้าที่พิจารณาคัดเลือกผู้ที่ได้รับการคัดสรรต่อจากหน่วยงานที่มีหน้าที่คัดสรร เพื่อนำเสนอรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๑.๖ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาเลือกเกษตรกรและผู้แทนองค์กรเกษตรกรจากผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เหลือจำนวน ๑๐ คน และแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการแก้ไของค์ประกอบคณะกรรมการคัดเลือก โดยเปลี่ยนจากหัวหน้าหน่วยงานเป็นผู้แทนหน่วยงาน นั้น การประชุมหรือการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการถือเป็นการปฏิบัติราชการของผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว ซึ่งสามารถมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นปฏิบัติราชการแทนได้ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องแก้ไขโดยเพิ่มเติมคำว่า “ผู้แทน” ลงไป รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์เพื่อเผยแพร่แนวทางดำเนินการคัดสรรกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับจากการดำเนินงานของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรเพื่อเปิดโอกาสและกระตุ้นให้มีผู้แทนเกษตรกรจากภาคส่วนต่าง ๆ สมัครเข้าร่วมกระบวนการคัดสรรตามขั้นตอนและวิธีปฏิบัติภายใต้ระเบียบฯ อย่างพร้อมเพรียง ไปพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||
27430 | การลงนามในร่างพิธีสารสรุปความตกลงเปิดตลาดทวิภาคีระหว่างประเทศไทยและอัฟกานิสถานภายใต้กระบวนการภาคยานุวัติเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของอัฟกานิสถาน | พณ | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในสารัตถะของร่างพิธีสารสรุปความตกลงเปิดตลาดทวิภาคีระหว่างประเทศไทยและอัฟกานิสถานภายใต้กระบวนการภาคยานุวัติเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของอัฟกานิสถาน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเร่งรัดกระบวนการลงนามในพิธีสารสรุปความตกลงฯ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ประเทศอื่น ๆ เข้าใจผิดว่าการดำเนินการล่าช้าของไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อกีดกันการเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของอัฟกานิสถาน ๒. ให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ |
||||||||||||||||||
27431 | ผลการเยือนศรีลังกาและมัลดีฟส์อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาและสาธารณรัฐมัลดีฟส์อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๓๑ พฤษภาคม-๓ มิถุนายน ๒๕๕๖ และให้ส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางติดตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ๑.๑ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การขยายมูลค่าการค้าเป็น ๑ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การฟื้นฟูและจัดประชุมคณะอนุกรรมการด้านการค้า การจัดตั้งเวทีการหารือภาคธุรกิจระดับสูง การสร้างโอกาสการลงทุนและแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนของภาคเอกชน การลงทุนด้านหุ้นกู้ (debentures) ในศรีลังกา และการให้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีสินค้าชาแก่ศรีลังกา ๑.๒ ความร่วมมือด้านความมั่นคง ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงเพิ่มขึ้น อาทิ การแลกเปลี่ยนข้อมูล/ความมั่นคงทางทะเล ๑.๓ ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการดำเนินการตามกรอบบันทึกความเข้าใจ [Memorandum of Understanding (MOU)] ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวที่ได้มีการลงนามระหว่างการเยือน ๑.๔ ความร่วมมือด้านศาสนาและวัฒนธรรม ได้แก่ การติดตามการจัดกิจกรรมในกรอบการฉลอง ๒๖๐ ปี แห่งการสถาปนาสยามนิกายในศรีลังกา และการจัดหาที่ดินก่อสร้างวัดไทยแห่งแรกในศรีลังกา ๑.๕ ความร่วมมือด้านวิชาการและการพัฒนา ได้แก่ การจัดสรรทุนอบรมในสาขาพัฒนาชนบท การเกษตร การประมง การจัดการด้านการท่องเที่ยว ภายใต้แผนดำเนินการ ๓ ปี ไทย-ศรีลังกา ระหว่างปี ๒๕๕๖-๒๕๕๙ ๑.๖ ความร่วมมือด้านการเกษตรและประมง ได้แก่ การจัดการประชุมคณะทำงานร่วมด้านการเกษตร และการประชุมคณะทำงานร่วมด้านประมง ๑.๗ การส่งเสริมความเชื่อมโยง ได้แก่ การส่งเสริมความเชื่อมโยงทางอากาศและทางทะเล ๑.๘ ความร่วมมือในกรอบภูมิภาคและพหุภาคี ได้แก่ การสนับสนุนไทยในการสมัครสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) และในสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council : UNHRC) ๒. ผลการเยือนสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ๒.๑ เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ได้แก่ การเพิ่มมูลค่าการค้าให้เป็นสองเท่าภายในปี ๒๕๖๑ การส่งเสริมให้ภาคเอกชนไทยเข้ามาลงทุนโดยใช้มัลดีฟส์เป็นฐานการผลิตสินค้า โดยมัลดีฟส์เสนอให้นำรายการสินค้าและราคามาเปรียบเทียบ เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าของมัลดีฟส์ รวมทั้งส่งเสริมให้ภาคเอกชนไทยเข้ามาลงทุนโดยใช้มัลดีฟส์เป็นฐานการผลิตสินค้า นอกจากนี้ ฝ่ายมัลดีฟส์ต้องการร่วมมือกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าของไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการสนับสนุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของมัลดีฟส์ โดยฝ่ายมัลดีฟส์จะอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนไทยที่เข้ามาลงทุนในมัลดีฟส์ อาทิ ในเรื่องการขอใบอนุญาตทำงาน และการขยายอายุการตรวจลงตรา ๒.๒ การท่องเที่ยว ได้แก่ การขยายโครงการประกันสุขภาพแห่งชาติให้ชาวมัลดีฟส์สามารถใช้บริการรักษาพยาบาลในประเทศไทยภายใต้โครงการดังกล่าวได้ และการจัดทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราระหว่างกันในอนาคต เพื่อส่งเสริมการติดต่อระหว่างประชาชนต่อประชาชน ๒.๓ การเชื่อมโยง ได้แก่ การขยายการเชื่อมโยง โดยเฉพาะการเชื่อมโยงทางอากาศ และทางเรือ รวมทั้งการเพิ่มเที่ยวบินตรงระหว่างกัน ๒.๔ ความร่วมมือด้านวิชาการ ได้แก่ การให้ความร่วมมือทางวิชาการไทย-มัลดีฟส์ในลักษณะแผนงามสามปี (๒๕๕๗-๒๕๕๙) มุ่งเน้นในสาขาการเกษตร ประมง ระบบศาลคดีเด็กและเยาวชน สาธารณสุข การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หรือด้านอื่น ๆ ที่ตกลงกัน ๒.๕ ความมั่นคงและการทหาร ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านความมั่นคง โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขปัญหาโจรสลัดในมหาสมุทรอินเดีย ปัญหาการค้ามนุษย์ และอาชญากรรมข้ามชาติอื่น ๆ ทั้งนี้ ฝ่ายมัลดีฟส์ประสงค์จะเข้าร่วมในสถาบันฝึกอบรมระหว่างประเทศว่าด้วยการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย (International Law Enforcement Academy : ILEA) ที่กรุงเทพฯ ๒.๖ ความร่วมมือในระดับภูมิภาคและพหุภาคี ได้แก่ ความร่วมมือในการจัดการกับผลกระทบและภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และการให้ความสำคัญต่อความร่วมมือที่ใกล้ชิดในองค์การสหประชาชาติ และกรอบความร่วมมืออื่น ๆ อาทิ ความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับกลุ่มองค์กรความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียใต้ (The South Asian Association for Regional Cooperation : SAARC) รวมทั้งการสนับสนุนซึ่งกันและกันในการสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน (Human Rights Council : HRC)
|
||||||||||||||||||
27432 | หลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา | กค | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา โดยให้ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยสาระสำคัญของหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา สรุปได้ ดังนี้
๑. แนวทางการใช้อัตราเงินเดือนพื้นฐาน (Basic Salary) ข้อมูลอัตราเงินเดือนพื้นฐานของ ๕ กลุ่มวิชาชีพ ประกอบด้วย กลุ่มวิชาชีพวิศวกรรม สถาปัตยกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) การเงิน และงานวิจัย โดยแยกระดับวุฒิการศึกษาเป็นระดับปริญญาตรี โท และเอก ยกเว้นกลุ่มวิชาชีพสถาปัตยกรรมมีเฉพาะระดับปริญญาตรีที่ประกอบธุรกิจที่ปรึกษาที่เป็นนิติบุคคล ประสบการณ์การทำงานของแต่ละกลุ่มวิชาชีพแยกเป็นรายปีตั้งแต่ ๕ ปี จนถึง ๓๐ ปี และมากกว่า ๓๐ ปีขึ้นไป ๒. แนวทางการใช้ตัวคูณอัตราค่าค่าตอบแทน (Mark-Up Factor) ตัวคูณอัตราค่าตอบแทนมีพื้นฐานมาจากการคิดรวมค่าสวัสดิการสังคม (Social Charges) ค่าโสหุ้ย (Overhead) และค่าวิชาชีพ (Professional Fee) กับเงินเดือนพื้นฐาน (Basic Salary) ของที่ปรึกษา โดยคิดเป็นร้อยละของเงินเดือนพื้นฐาน ๓. แนวทางและหลักเกณฑ์ในการคำนวณราคากลางค่าจ้างที่ปรึกษา การคำนวณค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินโครงการ ประกอบด้วยค่าใช้จ่าย ๒ ส่วน คือ ค่าตอบแทนบุคลากร (Remuneration) และค่าใช้จ่ายตรง (Direct Cost) ๔. ขั้นตอนการคำนวณค่าจ้างที่ปรึกษาทั้งโครงการ ค่าจ้างที่ปรึกษาทั้งโครงการจะเป็นผลรวมของค่าตอบแทนบุคลากร (Remuneration) และค่าใช้จ่ายตรง (Direct Cost) มีขั้นตอนในการคำนวณ ประกอบด้วย ๔.๑ ขั้นตอนที่ ๑ เจ้าของโครงการจะต้องแจกแจงหรือกำหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตการดำเนินงาน ๔.๒ ขั้นตอนที่ ๒ กำหนดประเภทบุคลากรหรือผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ที่จะเข้าดำเนินการโครงการ ๔.๓ ขั้นตอนที่ ๓ กำหนดวุฒิการศึกษาและประสบการณ์ พร้อมกับประเมินระยะเวลาการทำงานของแต่ละคนที่จะใช้ในการดำเนินโครงการ ๔.๔ ขั้นตอนที่ ๔ ให้นำอัตราเงินเดือนพื้นฐานของที่ปรึกษาแต่ละคน (Basic Salary) คูณกับตัวคูณอัตราค่าตอบแทน (Mark-up Factor) และคูณกับระยะเวลาการทำงาน จะได้ค่าจ้างที่ปรึกษาของแต่ละคน ผลรวมค่าจ้างที่ปรึกษาของทุกคนจะเป็นค่าตอบแทนบุคลากร (Remuneration) ที่ใช้ในการดำเนินโครงการ ๔.๕ ขั้นตอนที่ ๕ ค่าใช้จ่ายตรง (Direct Cost) เมื่อรวมกับค่าตอบแทนบุคลากรทั้งโครงการกับค่าใช้จ่ายทางตรง (Direct Cost) จะได้ค่าที่จ้างที่ปรึกษาทั้งโครงการ ๕. การทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางการจ้างที่ปรึกษา อัตราเงินเดือนพื้นฐาน และอัตราตัวคูณค่าตอบแทนตามความเหมาะสม ดำเนินการอย่างน้อยทุก ๕ ปี |
||||||||||||||||||
27433 | มาตรการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ | กค | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ ได้แก่ มาตรการด้านการบริโภคภาคเอกชน มาตรการด้านการลงทุนภาคเอกชน มาตรการด้านการใช้จ่ายภาครัฐ และมาตรการด้านการส่งออก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในภาพรวมและการดำเนินงานในแต่ละด้าน ควรคำนึงถึงผลประโยชน์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน เพื่อให้การดำเนินมาตรการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลต่อการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และประชาชน อย่างแท้จริง และให้กระทรวงการคลังประสานกับหน่วยงานเจ้าภาพเพื่อร่วมกันกำหนดเป้าหมายและกรอบระยะเวลาการดำเนินการที่ชัดเจน รวมทั้งติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานเจ้าภาพ เพื่อรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างสม่ำเสมอ และจัดส่งข้อมูลดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกรอบการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจปี ๒๕๕๖ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้หน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพเพิ่มเติม ๓.๑ ให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักเพิ่มเติมร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงการคลังในการดำเนินการเกี่ยวกับมาตรการภาษีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาแก้ไขระเบียบที่เป็นอุปสรรคหรือปัญหาในทางปฏิบัติของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวด้วย ๓.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) รับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการในการเร่งรัดการจ่ายเงินของกองทุนตั้งตัวได้ตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ เพื่อให้ขบวนการขับเคลื่อนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเร็วขึ้น รวมทั้งให้สำนักงบประมาณรายงานสถานภาพและความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ของกองทุนนอกงบประมาณให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาสด้วย ๓.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณารายละเอียดและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเบิกจ่ายงบประมาณของจังหวัดในส่วนที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๓.๔ ให้สำนักงบประมาณรับไปดำเนินการชี้แจงกับกระทรวงต่าง ๆ เกี่ยวกับการจัดสัมมนา โดยขอความร่วมมือให้กระทรวงจัดสัมมนากระจายไปตามจังหวัดต่าง ๆ ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ภายในไตรมาส ๑ และไตรมาส ๒ ของปีงบประมาณ ๓.๕ ให้กระทรวงที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเกี่ยวกับการจัดนิทรรศการไว้แล้ว ดำเนินการจัดนิทรรศการส่งเสริมสินค้าไทยให้มากขึ้น เช่น สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ของกระทรวงมหาดไทย โครงการธงฟ้าของกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศและส่งเสริมการใช้สินค้าไทย ๓.๖ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในการจัดทำวีซ่าเพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวจากต่างชาติ |
||||||||||||||||||
27434 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย (จำนวน 7 ราย 1. นายบุญสม เลิศหิรัญวงศ์ ฯลฯ) | คค | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวน ๗ คน ตามนัยมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖ สิงหาคม ๒๕๕๖) ยกเว้นนายยุทธพงษ์ อภิรัตนรังษี ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะกรรมการอัยการอนุมัติเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. นายบุญสม เลิศหิรัญวงศ์ เป็นประธานกรรมการ ๒. นายสราวุธ เบญจกุล เป็นกรรมการ ๓. นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ เป็นกรรมการ ๔. นายชูศักดิ์ เกวี เป็นกรรมการ ๕. นายยุทธพงษ์ อภิรัตนรังษี เป็นกรรมการ ๖. นายสุธรรม ศิริทิพย์สาคร เป็นกรรมการ ๗. นายจุฬา สุขมานพ เป็นกรรมการ
|
||||||||||||||||||
27435 | การแต่งตั้งรัฐมนตรีประจำแผนงาน GMS กรอบแผนงาน IMT-GT และ กรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม (Mekong - Japan Economic Minister) | นร11 | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวราเทพ รัตนากร) เป็นรัฐมนตรีประจำแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion : GMS) รัฐมนตรีประจำกรอบแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) และรัฐมนตรีประจำกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม (Mekong-Japan Economic Minister) เพื่อปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะในการประชุมระดับรัฐมนตรีในกรอบความร่วมมือทั้งสามกรอบ และให้รายงานผลการประชุมต่อรองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) และนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||
27436 | ความคืบหน้าการดำเนินงานเรื่องน้ำมันรั่วไหลจากท่อส่งน้ำมันดิบลงสู่ทะเลจังหวัดระยอง | ทส | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง โดยผลการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลบริเวณชายหาดท่องเที่ยวรอบเกาะเสม็ด เมื่อวันที่ ๓-๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ พบว่า มีคุณภาพน้ำพารามิเตอร์พื้นฐานอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล สำหรับพารามิเตอร์อื่น ๆ เช่น โลหะหนัก ปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน (TPH) และโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (PAHs) คาดว่า จะสามารถทราบผลภายใน ๒ สัปดาห์ ส่วนการดำเนินงานของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการทำความสะอาดชายหาดอย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๖ สภาพหาดอ่าวพร้าวเกือบเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ยังพบคราบน้ำมันเป็นลักษณะฟิล์มบาง ๆ ในน้ำทะเลอยู่บ้าง สำหรับผลการสำรวจระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเล คือ ปะการัง หญ้าทะเล และสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์ เช่น เต่าทะเล พะยูน โลมา และวาฬ ไม่พบผลกระทบโดยตรงและได้รับความเสียหายจากกรณีการรั่วไหลของน้ำมันที่ชัดเจน ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจะดำเนินการติดตามตรวจสอบผลกระทบต่อระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลในระยะยาวต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงมหาดไทย ในการเร่งรัดการแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้กลับคืนสภาพเดิมโดยเร็วอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรม ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาประสานกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย ปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน พ.ศ. ๒๕๔๗ ทั้งในส่วนขององค์ประกอบและอำนาจหน้าที่เพื่อให้สอดคล้องและทันกับเหตุการณ์และสถานการณ์ปัจจุบัน แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ทั้งนี้ ในการปรับปรุงแก้ไขระเบียบฯ ให้คำนึงถึงขั้นตอนในการดำเนินงานให้อยู่ในระบบ single command และแบ่งการดำเนินการให้ชัดเจนออกเป็นการช่วยเหลือโดยทันทีเมื่อเกิดภัยพิบัติ (Response) ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงพลังงาน ส่วนการเยียวยา ฟื้นฟู (Recovery) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงาน
|
||||||||||||||||||
27437 | ผลการสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ประจำครึ่งแรกของปี 2556 (Business Sentiment Survey on Japanese Corporations in Thailand, 1st Half of 2013) | นร11 | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ประจำครึ่งแรกของปี ๒๕๕๖ (Business Sentiment Survey on Japanese Corporations in Thailand 1st Half of 2013) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สภาพธุรกิจในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๖ โดยรวมยังอยู่ในทิศทางที่ดี ดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจในครึ่งแรกและครึ่งหลังของปี ๒๕๕๕ อยู่ที่ระดับ +๖๒ และ +๔๑ ตามลำดับ แต่ปรับตัวลดลงเป็น +๑๗ และ +๑๙ ในครึ่งแรกและครึ่งหลังของปี ๒๕๕๖ ตามลำดับ โดยดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจในครึ่งแรกของปี ๒๕๕๖ มีค่าเป็นบวกในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมยกเว้นกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอ และกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร ๒. การลงทุนในสินค้าทุนของผู้ประกอบการประเภทอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการส่วนใหญ่คาดว่าจะลงทุนเพิ่มเติมในปี ๒๕๕๖ โดยอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมเคมีมีแนวโน้มที่จะลงทุนเพิ่มสูงที่สุดคิดเป็นร้อยละ ๕๔ และ ๔๗ ตามลำดับ ในขณะที่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมทั่วไปมีแนวโน้มลดการลงทุนมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ ๕๒ และ ๕๐ ตามลำดับ ๓. การส่งออก ผู้ประกอบการส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าการส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยตลาดส่งออกที่มีแนวโน้มสดใสในอนาคต ลำดับที่ ๑ คือ ตลาดอินโดนีเซีย คิดเป็นร้อยละ ๕๑ รองลงมา ได้แก่ ตลาดพม่า เวียดนาม อินเดีย และญี่ปุ่น คิดเป็นร้อยละ ๓๗ ๓๓ ๓๑ และร้อยละ ๒๒ ตามลำดับ ส่วนตลาดยุโรปอยู่ในลำดับที่ ๑๒ ร้อยละ ๙ และตลาดสหรัฐอเมริกาอยู่ในลำดับที่ ๑๐ ร้อยละ ๑๑ ๔. การขยายฐานการลงทุนไปประเทศเพื่อนบ้าน ผู้ประกอบการได้ตัดสินใจขยายฐานการลงทุนประเทศเพื่อนบ้าน โดยประเทศเพื่อนบ้านที่ผู้ประกอบการตัดสินใจขยายการลงทุนหรือได้ขยายฐานการลงทุนไปแล้ว ลำดับที่ ๑ คือ อินโดนีเซีย คิดเป็นร้อยละ ๕๙ รองลงมา ได้แก่ เวียดนาม พม่า ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา คิดเป็นร้อยละ ๓๙ ๓๐ ๑๒ และร้อยละ ๑๐ ตามลำดับ ๕. ความท้าทายในการบริหารงานของผู้ประกอบการ ผลการสำรวจพบว่า การแข่งขันทางการค้าที่รุนแรงมากขึ้นมีความสำคัญเป็นลำดับที่ ๑ คิดเป็นร้อยละ ๖๒ รองลงมา ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของค่าแรง ร้อยละ ๕๖ การขาดบุคลากรระดับบริหาร ร้อยละ ๕๔ การแข่งขันทางด้านราคาที่ส่งผลให้ราคาสินค้าต่ำลง ร้อยละ ๔๘ และการโยกย้ายงานของลูกจ้าง ร้อยละ ๓๒ ๖. ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย ผลการสำรวจพบว่า การพัฒนาพิธีการศุลกากรเป็นประเด็นที่มีข้อเรียกร้องมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ ๕๐ รองลงมา ได้แก่ การรักษาเสถียรภาพทางการเมือง ร้อยละ ๓๖ การพัฒนาการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ ร้อยละ ๓๔ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในกรุงเทพมหานคร ร้อยละ ๓๐ การผ่อนปรนกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ร้อยละ ๒๙ และการรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน ร้อยละ ๒๙ สำหรับผลสำรวจจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรม พบว่า การพัฒนาพิธีการศุลกากรเป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการเรียกร้องมากที่สุด ร้อยละ ๕๖ รองลงมา ได้แก่ การรักษาเสถียรภาพการเมือง ร้อยละ ๓๙ การรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน ร้อยละ ๓๗ ในส่วนของผู้ประกอบการที่ไม่ใช่อุตสาหกรรม ผลการสำรวจพบว่า การผ่อนคลายกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจของชาวต่างชาติเป็นประเด็นที่มีข้อเรียกร้องมากที่สุดร้อยละ ๔๔ รองลงมา ได้แก่ การพัฒนาพิธีการศุลกากร ร้อยละ ๔๑ และการขอใบอนุญาตทำงานและวีซ่า ร้อยละ ๓๖ ๗. ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มองว่าการแข็งค่าของเงินบาทมีผลกระทบทางลบ ร้อยละ ๒๗ รองลงมามองว่ามีผลกระทบทางลบเล็กน้อย ร้อยละ ๒๕ และมีผลกระทบทางบวกเล็กน้อย ร้อยละ ๒๓ ในขณะที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มองว่าการอ่อนค่าของเงินเยนมีผลกระทบทางบวกเล็กน้อย ร้อยละ ๔๐ และไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ร้อยละ ๒๘ ในด้านการรองรับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า ร้อยละ ๔๕ รองลงมา ได้แก่ การเพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อวัตถุดิบจากในประเทศ ร้อยละ ๒๕ การเพิ่มธุรกรรมในรูปเงินบาท ร้อยละ ๑๘ และการเพิ่มยอดขายในประเทศไทย ร้อยละ ๑๗ ๘. มาตรการในการขับเคลื่อนการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในระยะกลางและระยะยาว ผลการสำรวจพบว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านถนนเป็นมาตรการที่ผู้ประกอบการเห็นว่ามีความสำคัญเป็นลำดับแรก ร้อยละ ๖๒ รองลงมา ได้แก่ การพัฒนาความเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ร้อยละ ๓๘ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ ร้อยละ ๓๗ การศึกษา ร้อยละ ๓๓ และการใช้แรงงานต่างด้าว ร้อยละ ๓๑ ในด้านการพัฒนาแรงงาน ผู้ประกอบการเห็นว่าประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมมากที่สุด ร้อยละ ๓๖ รองลงมา ได้แก่ ทักษะด้านภาษา ร้อยละ ๓๓ และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ร้อยละ ๒๘ ในด้านความได้เปรียบของแรงงานไทยในภาคอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เห็นว่าแรงงานไทยมีความได้เปรียบในด้านทัศนคติการทำงาน ร้อยละ ๔๐ รองลงมา ได้แก่ ความเข้าใจในธุรกิจ ร้อยละ ๒๖ และความรู้ทั่วไป ร้อยละ ๒๕
|
||||||||||||||||||
27438 | การเลื่อนฐานะกงสุลกิตติมศักดิ์และการยกฐานะสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ กรุงทิมพู ราชอาณาจักรภูฏาน | กต | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เลื่อนฐานะ ดาโช อูเกน เชชัป ดอร์จี (Dasho Ugen Tshechup Dorji) กงสุลกิตติมศักดิ์ ณ กรุงทิมพู ราชอาณาจักรภูฏาน เป็น กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ กรุงทิมพู ราชอาณาจักรภูฏาน ๒. ยกฐานะสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ กรุงทิมพู ราชอาณาจักรภูฏาน เป็น สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ กรุงทิมพู ราชอาณาจักรภูฏาน
|
||||||||||||||||||
27439 | สถานการณ์สินค้าอาหารสดและสินค้าอุปโภคบริโภคที่สำคัญ (ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2556) | พณ | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์สินค้าอาหารสดและสินค้าอุปโภคบริโภคที่สำคัญ (ณ วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ราคาขายปลีกขายส่งสินค้าอาหารสดและสินค้าอุปโภคบริโภค เทียบกับสัปดาห์ก่อน (๑ สิงหาคม ๒๕๕๖) สินค้าอาหารสด หมวดโปรตีน สุกร ราคาเนื้อแดง-สะโพก ๑๓๐-๑๓๕ บาท/กก. สูงขึ้นร้อยละ ๒.๗๑ ไก่ ราคาไก่สดทั้งตัว (รวมเครื่องใน) ๗๐-๗๕ บาท/กก. ราคาทรงตัว และไข่ไก่ ราคาฟองละ ๓.๓๕-๓.๔๕ บาทสูง ขึ้นร้อยละ ๓.๐๓ หมวดผัก คะน้า ราคา ๑๕-๑๘ บาท/กก. ลดลงร้อยละ ๒๑.๔๓ กะหล่ำปลี และถั่วฝักยาว ราคาทรงตัว อยู่ที่ กก.ละ ๑๘-๒๐ บาท และ ๒๒-๒๕ บาท/กก. สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค ราคาทรงตัว ๒. ราคาขายปลีกขายส่งสินค้าอาหารสดและสินค้าอุปโภคบริโภค เทียบกับสัปดาห์นี้ปีก่อน (๑ สิงหาคม ๒๕๕๕) สินค้าอาหารสด คะน้า ราคาลดลงร้อยละ ๑๓.๑๖ กะหล่ำปลี ราคาทรงตัว ในขณะที่สุกร ไก่ไข่ ถั่วฝักยาว ราคาสูงขึ้นร้อยละ ๔.๔๔-๒๖.๑๙ สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค น้ำมันพืชราคาลดลง
|
||||||||||||||||||
27440 | ขออนุมัติรายชื่อผู้เข้ารับการศึกษาหลักสูตรของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ประจำปีการศึกษา 2556 - 2557 จากคณะรัฐมนตรี | กห | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรายชื่อผู้เข้ารับการศึกษาหลักสูตรของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๖-๒๕๕๗ หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ ๕๖ จำนวน ๑๑๘ คน หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) รุ่นที่ ๒๖ จำนวน ๑๑๔ คน และหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร ภาครัฐ เอกชน และการเมือง (วปม.) รุ่นที่ ๗ จำนวน ๖๒ คน หากตรวจสอบคุณสมบัติในภายหลังพบว่า ผู้ได้รับการคัดเลือกเข้ารับการศึกษาหลักสูตรดังกล่าวขาดคุณสมบัติตามระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๗ และฉบับที่ ๒ (แก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้กระทรวงกลาโหม โดยวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ตัดรายชื่อออกจากจำนวนที่ได้รับอนุมัติ หากมีความจำเป็นที่จะพิจารณาผู้ที่จะเข้าศึกษาทดแทน ให้กระทรวงกลาโหม โดยสภาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรดำเนินการตามความเหมาะสม ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
.....