ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1380 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 27581 - 27600 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
27581 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (นายธานินทร์ อังสุวรังษี) | กค | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายธานินทร์ อังสุวรังษี เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์แทนนายชัยเกษม นิติสิริ กรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่ขอลาออก ทั้งนี้ ให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
27582 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 4/2556 | นร11 | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร. ๒.๑.๑ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๒.๑.๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมพิจารณาในรายละเอียดของความคุ้มค่าและความเหมาะสมของโครงการพัฒนานวัตกรรมการเลี้ยงโคนมและนมอินทรีย์ครบวงจร โดยเฉพาะรูปแบบและกลไกการบริหารจัดการที่ไม่เป็นภาระต่องบประมาณของรัฐในอนาคต รวมทั้งความเชื่อมโยงกับกลไกดำเนินงานที่มีอยู่ในพื้นที่ ๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ และภาคเอกชน เพื่อปรับปรุงประกาศกฎกระทรวงใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดสระบุรีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๑.๓ ให้สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจัดทำรายละเอียดคำร้องพร้อมเหตุผลการขอเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินต่อเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา เพื่อประกอบการปรับปรุงผังเมืองรวมพระนครศรีอยุธยาต่อไป และให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาเร่งรัดขั้นตอนการปรับปรุงประกาศกฎกระทรวงใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสระบุรีตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๑๘ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๑.๑.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมของโครงการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมการเกษตร ตามที่ภาคเอกชนเสนอ รวมทั้งรูปแบบการบริหารจัดการของโครงการฯ อย่างยั่งยืน และความเชื่อมโยงกลไกดำเนินการที่มีอยู่ในพื้นที่ ๒.๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณา ๒.๑.๒.๑ เร่งรัดโครงการก่อสร้างถนน ๓ เส้นทาง [ถนนวงแหวนต่างระดับ ๙ สาย ตัด ๓๔๐ และตัด ๓๔๕ เชื่อมโยงจังหวัดนนทบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี, ทางด่วนโทลเวย์ (รังสิต-ประตูน้ำพระอินทร์) และเส้นทางหมายเลข ๓๒ ต่อเชื่อมกับสถานีรถไฟมาบพระจันทร์ ที่อำเภอนครหลวง (สถานีขนส่งสินค้า)] การขยายช่องจราจรจาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร ๓ เส้นทาง [ถนนเลียบคลองเจ็ด ฝั่งตะวันตก (ปท. ๓๐๐๔) อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ระยะทาง ๑๐.๔ กิโลเมตร, เส้นทางหมายเลข ๓๒๙ (มาจากหินกอง) ช่วงอำเภอนครหลวง-อำเภอบางปะหัน เพื่อการขนส่งลงทางน้ำของแม่น้ำป่าสัก และถนน ๓๐๕๖ อำเภอภาชี-อำเภออุทัย-อำเภอบางปะอิน ชนหมายเลข ๓๒ เส้นทางหลักของทางออกนิคมอุตสาหกรรมโรจนะไปกรุงเทพมหานคร] และโครงการก่อสร้างขยายถนนหมายเลข ๙ จากแยกทางต่างระดับ ๓๔๐ (จังหวัดนนทบุรี พระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี) จาก ๔ ช่องจราจร เป็น ๑๐ ช่องจราจร ตามที่ภาคเอกชนเสนอ ไปประกอบการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางตามความจำเป็นและความเร่งด่วน เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีหรือการสนับสนุนจากแหล่งเงินกู้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน ๒ ล้านล้านบาท ตามขั้นตอนต่อไป โดยให้พิจารณาข้อจำกัดของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ๒.๑.๒.๒ รับข้อเสนอการขยายเส้นทางรถไฟสายสีม่วงจากบางใหญ่-ไทรน้อย (๒.๕ กิโลเมตร) และเชื่อมโยงกับรถไฟฟ้าสายสีชมพูบนถนนชัยพฤกษ์ ระยะทาง ๙ กิโลเมตร (สายสีทอง) ไปพิจารณาการออกแบบในภาพรวม โดยอาจดำเนินการจัดระบบขนส่งผู้โดยสารเพื่อเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าทั้งสองสายด้วย ๒.๑.๒.๓ รับข้อเสนอการสนับสนุนโครงการศึกษา ๒ โครงการ ได้แก่ การปรับปรุงสะพานนวลฉวีเพื่อการสัญจรทางน้ำ และการยกระดับเส้นทางรถไฟ เพื่อการแก้ไขปัญหาการจราจร กรณีเส้นทางรถไฟผ่ากลางเมือง จังหวัดสระบุรี ไปประกอบการศึกษาความเหมาะสมและความจำเป็นของโครงการ รวมทั้งพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการตามความจำเป็นและความเร่งด่วนเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณจากแหล่งเงินที่เหมาะสมต่อไป ๒.๑.๓ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒.๑.๓.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาในรายละเอียดของโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำคลองบางบัวทอง และเสนอต่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามข้อเสนอของภาคเอกชนต่อไป ทั้งนี้ ในการดำเนินการต้องทำความเข้าใจกับประชาชนและให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบและประเมินผลโครงการอย่างใกล้ชิด ๒.๑.๓.๒ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นและข้อเสนอแนะของภาคเอกชนไปประกอบการพิจารณาโครงการศึกษาความเหมาะสมของการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพังในแม่น้ำป่าสัก และการพิจารณาจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางน้ำได้ตามเป้าหมาย ๒.๒ ข้อเสนอของ กกร./สทท. ๒.๒.๑ การส่งเสริมการท่องเที่ยว ๒.๒.๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปหารือร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ สทท. เพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด โดยคำนึงถึงความเชื่อมโยงกับแผนแม่บทการอนุรักษ์พัฒนาและฟื้นฟูประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และแนวทางการบริหารจัดการศูนย์บริการนักท่องเที่ยวให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากการท่องเที่ยวอยุธยาเมืองมรดกโลก รวมทั้งเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ๒.๒.๑.๒ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย และ สทท. พิจารณาในรายละเอียดการพัฒนาถนนวัฒนธรรมไท-ยวนเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยให้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรม การเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมภายในกลุ่มจังหวัดและการส่งเสริมด้านการตลาด ๒.๓ เรื่องอื่น ๆ รวม ๖ เรื่อง เสนอโดย สทท./กกร. ๒.๓.๑ การเร่งรัดการวางแผนการบริหารจัดการสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินภูเก็ต เพื่อเตรียมรองรับ High Season ๒.๓.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรูปแบบเดียวกับที่เคยใช้แก้ไขปัญหากรณีท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ เพื่อแก้ไขปัญหาแออัดรองรับนักท่องเที่ยวของท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตให้ทันกับฤดูกาลท่องเที่ยว ๒.๓.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมประสานบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการเสนอแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานภูเก็ต โดยเฉพาะในด้านการรองรับปริมาณผู้โดยสารที่จะเดินทางสู่กรุงเทพฯ โดยคำนึงถึงการแก้ไขปัญหาด้านผลกระทบของสิ่งแวดล้อมโดยรอบของท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิด้วย ๒.๓.๒ แนวทางการรณรงค์เพื่อดำเนินการด้านการใช้แรงงานเด็กและการใช้แรงงานบังคับ (ตามรายงานกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กและการใช้แรงงานบังคับ) ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาหาแนวทางและมาตรการป้องกันและแก้ไขร่วมกัน โดยใช้กลไกต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้สามารถดำเนินงานได้อย่างเร่งด่วนและเป็นรูปธรรม ตลอดจนเผยแพร่แนวปฏิบัติด้านการใช้แรงงานที่ดีเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของอุตสาหกรรมและประเทศชาติต่อไป ๒.๓.๓ การทบทวนเกณฑ์การรวมธุรกิจที่ต้องขออนุญาตตามบทบัญญัติมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และ กกร. พิจารณาการกำหนดแนวทางการหารือเพื่อทบทวนเกณฑ์การรวมธุรกิจที่ต้องขออนุญาต ตามบทบัญญัติมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยการพิจารณาให้คำนึงถึงผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในทุกระดับทั้งระบบร่วมกัน ๒.๓.๔ การแก้ไขพระราชบัญญัติศุลกากรในประเด็นว่าด้วยโทษสำ
|
|||||||||||||||||||||
27583 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ และนายกฤษ ศรีฟ้า) | สธ | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. ให้ถอนการแต่งตั้งนายกฤษ ศรีฟ้า ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข คืนไปได้ ๒. ให้แต่งตั้งนายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
|
|||||||||||||||||||||
27584 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 1 รวม 4 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ 18 - 19 กรกฎาคม 2556 | นร11 | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๒๓ โครงการ วงเงินรวม ๕๐๙.๓๘ ล้านบาท ประกอบด้วย ภาคกลางตอนบน ๑ (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี และสระบุรี) จำนวน ๕ โครงการ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน ๔ โครงการ จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๖ โครงการ จังหวัดปทุมธานี จำนวน ๓ โครงการ และจังหวัดสระบุรี จำนวน ๕ โครงการ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๑.๒ ในกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการและบำรุงรักษาภายหลังจากก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน ก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๓ สำหรับโครงการบริหารจัดการโครงข่ายแหล่งน้ำ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วงเงิน ๓๖.๑๗ ล้านบาท ให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยารับไปหารือร่วมกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กรมชลประทาน และกรมทรัพยากรน้ำ) เพื่อพิจารณาความเหมาะสมและความจำเป็นในการดำเนินโครงการฯ ให้ชัดเจนก่อน ทั้งนี้ หากผลการหารือได้ข้อยุติว่าโครงการฯ มีความจำเป็นในการดำเนินการ ให้จังหวัดยืนยันโดยให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดตามขั้นตอน แต่หากมีการปรับเปลี่ยนการดำเนินโครงการใหม่ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๔ ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานรับไปพิจารณาดำเนินการโครงการก่อสร้างอาคารเรียนระดับประถมศึกษา อาคารเรียนแบบ สปช ๒/๒๘ [โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๕๕ (วัดโบสถ์ดอนพรหม) ตำบลบางกร่าง อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี และโรงเรียนวัดเสนีวงศ์ หมู่ที่ ๙ ตำบลหนองเพรางาย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี] วงเงิน ๑๓.๖๐ ล้านบาท ของสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษานนทบุรี เขต ๑ และ ๒ โดยปรับแผนเจียดจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อดำเนินการตามความเหมาะสม ๑.๕ ให้กรมทางหลวงชนบทรับไปพิจารณาดำเนินการโครงการปรับปรุงเส้นทางขนส่งสินค้าอุตสาหกรรม สายแยก ทล.๓๓๓๔-บ.ถนนโค้ง วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท และโครงการปรับปรุงเส้นทางเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว สายบ้านหินซ้อน วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท ของสำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัดสระบุรี โดยปรับแผนเจียดจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อดำเนินการตามความเหมาะสม ๑.๖ เห็นชอบในหลักการของกรอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๑ รวม ๔ จังหวัด จำนวน ๓๔ โครงการ วงเงินรวม ๗๓,๒๐๒.๔๐ ล้านบาท โดยเห็นควรมอบให้หน่วยงานที่รับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสม และจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี เพื่อให้สำนักงบประมาณใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีตามลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามขั้นตอน ๒. สำหรับโครงการพัฒนาศูนย์ OTOP คอมเพล็กซ์สระบุรี มอบให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการพัฒนาชุมชน) ประสานหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อให้การจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวที่จะดำเนินการในที่ดินของเอกชนเป็นไปโดยถูกต้องตามข้อกฎหมายด้วย ๓. คณะรัฐมนตรีเห็นว่า โครงการแก้มลิงบ้านมาบพระจันทร์ กรอบวงเงิน ๓๘ ล้านบาท ของกรมชลประทาน เป็นโครงการที่จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรในการใช้น้ำเพื่อการเกษตร แต่อาจมีผลกระทบต่อกรุงเทพมหานครเนื่องจากเป็นพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งถ้าสามารถออกแบบให้ใช้ประโยชน์ได้ทั้งในด้านการส่งน้ำ การระบายน้ำ และการกักเก็บน้ำ ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า จึงขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับโครงการดังกล่าวไปพิจารณา หากมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการดังกล่าวให้เจียดจ่ายจากงบประมาณปกติที่ได้รับการจัดสรรไว้ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
27585 | การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF 1 และ FIDF 3 | กค | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institution Development Fund : FIDF) เข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ เพิ่มเติม จำนวน ๑๖,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF 1 และ FIDF 3 โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามความต้องการใช้เงินในแต่ละช่วงเวลา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาแนวทางในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินและบริหารจัดการสภาพคล่องของกองทุนฯ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับบทบาทหน้าที่และภารกิจ ไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
27586 | การเสนองบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี 2557 ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย | พน | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบงบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี ๒๕๕๗ ขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยมีรายละเอียดของแผนการใช้จ่ายเงินและแผนงาน ดังนี้
๑. งบประมาณประจำปี ๒๕๕๗ จำนวน ๔,๑๖๕,๙๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operation Expenditure) จำนวน ๔,๑๔๗,๓๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ และค่าใช้จ่ายที่เป็นทุน (Capital Expenditure) จำนวน ๑๘,๖๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๓.๔๓ หรือ ๑๔๘,๑๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ จากงบประมาณที่ได้รับอนุมัติในปี ๒๕๕๖ ๒. ที่มาของเงินงบประมาณประจำปี ๒๕๕๗ ได้เสนอขอใช้เงินจากปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไรในไตรมาสสุดท้ายของปี ๒๕๕๖ จำนวน ๓,๕๑๙,๘๐๖.๒๖ ดอลลาร์สหรัฐ และงบประมาณเหลือจ่ายของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๖๔๖,๐๙๓.๗๔ ดอลลาร์สหรัฐ ๓. ในปี ๒๕๕๗ องค์กรร่วมไทย-มาเลเซียจะมีรายได้จากค่าภาคหลวง จำนวน ๓๒๘.๑๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไร จำนวน ๗๑๓.๖๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวม ๑.๐๔ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ |
|||||||||||||||||||||
27587 | รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2553 ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | กค | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบรายงานผลการให้บริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งมีประมาณการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ จำนวน ๑,๘๗๕.๗๒ ล้านบาท และจำนวน ๓๕๖.๖๓๗ ล้านบาท ตามลำดับ ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ รฟท. ดำเนินการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ งวดที่ ๒ จำนวน ๑๘๖.๑๕ ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับผลการประเมินค่าตัวชี้วัดในบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ๑.๒ ให้ ขสมก. ส่งคืนเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ให้กระทรวงการคลัง จำนวน ๑๒๘.๒๕๐ ล้านบาท ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ ข้อ ๑๕ ที่กำหนดให้รัฐวิสากิจนำเงินอุดหนุนบริการสาธารณะส่วนเกินส่งคืนคลัง หากผลประกอบการจากการให้บริการสาธารณะเมื่อสิ้นปีบัญชีต่ำกว่าวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะที่กำหนดในบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะ ๑.๓ ให้ รฟท. และ ขสมก. รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะอนุกรรมการพิจารณาเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ สาขาขนส่งทางบก ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องพร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะทราบ ดังนี้ ๑.๓.๑ ปรับปรุงระบบการปันส่วนต้นทุนให้ใกล้เคียงกับข้อเท็จจริง พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการตรวจสอบตั๋วให้สอดคล้องกับจำนวนและระยะทางที่ผู้โดยสารเดินทางจริง เพื่อให้การประเมินผลการดำเนินงานมีความถูกต้องและชัดเจนยิ่งขึ้น ๑.๓.๒ เร่งรัดการดำเนินงานก่อสร้างและซ่อมบำรุงโครงสร้างพื้นฐานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ตลอดจนปรับปรุงคุณภาพและความสะอาดของการให้บริการภายในตัวรถโดยสารให้ได้มาตรฐาน ๑.๓.๓ จัดทำแนวทางการปรับปรุงผลการดำเนินงานการให้บริการสาธารณะสำหรับตัวชี้วัดที่ไม่ผ่านเกณฑ์ค่าเป้าหมาย พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามแนวทางดังกล่าวต่อคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อให้การกำกับดูแลการดำเนินงานให้บริการสาธารณะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ๑.๓.๔ พิจารณาปรับโครงสร้างอัตราค่าโดยสารเชิงสังคมและเชิงพาณิชย์ให้สอดคล้องกับต้นทุนการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ ภายในกรอบระยะเวลาดำเนินการที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อประชาชนผู้ใช้บริการทุกระดับและภาระการอุดหนุนโดยรวมของรัฐบาลในระยะยาว ๑.๓.๕ ดำเนินการศึกษาต้นทุนต่อหน่วยในการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนพิจารณากำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงานบริการสาธารณะที่มีมาตรฐานรองรับเพื่อประกอบการพิจารณาข้อเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของการรถไฟแห่งประเทศไทยในปีต่อไป ๑.๓.๖ เร่งรัดการปิดบัญชีเพื่อส่งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินรับรองความถูกต้องโดยเร็ว ๒. กรณีการให้ ขสมก. ส่งคืนเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ให้กระทรวงการคลัง จำนวน ๑๒๘.๒๕๐ ล้านบาท นั้น เห็นชอบให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่ให้ ขสมก. ชะลอการส่งเงินคืนคลังออกไปก่อน เนื่องจากปัจจุบัน ขสมก. ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินเพราะไม่ได้รับเงินชดเชยจากมาตรการรถเมล์ฟรี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ จนถึงปัจจุบัน และเมื่อ ขสมก. ได้รับเงินชดเชยจากมาตรการดังกล่าวและมีสภาพคล่องทางการเงิน จะดำเนินการทยอยส่งเงินคืนคลังต่อไป |
|||||||||||||||||||||
27588 | ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการศึกษา กรณีขอให้ตรวจสอบและดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการเก็บเงินบำรุงการศึกษาตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ) | สม | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเกี่ยวกับผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการศึกษา กรณีขอให้ตรวจสอบและดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการเก็บเงินบำรุงการศึกษาตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงศึกษาธิการควรส่งประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การเก็บเงินบำรุงการศึกษาของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๓ ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เนื่องจากเป็นประกาศที่ใช้บังคับเป็นการทั่วไป และเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ๑.๒ กระทรวงศึกษาธิการควรมีการปรับปรุงชื่อเรื่องของประกาศที่ชัดเจน และสามารถสื่อความหมายให้เข้าใจได้โดยไม่เกิดความสับสน เนื่องจากประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การเก็บเงินบำรุงการศึกษาของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๓ เป็นประกาศที่ระบุเกี่ยวกับการเก็บเงินบำรุงการศึกษาของสถานศึกษาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเรียนการสอนนอกหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้ เพื่อมิให้เป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ๑.๓ คณะรัฐมนตรี โดยกระทรวงศึกษาธิการ ควรมีการบรรจุการจัดการเรียนการสอนนอกหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเข้าไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานของสถานศึกษา โดยให้เหลือเฉพาะรายการที่เป็นการจัดการศึกษานอกหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างแท้จริง โดยเรียกเก็บค่าใช้จ่ายตามความสมัครใจของผู้ปกครองและนักเรียน ๒. กรณีการออกประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การเก็บเงินบำรุงการศึกษาของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า การที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานออกประกาศให้สถานศึกษาของรัฐในสังกัดเก็บค่าใช้จ่ายเพื่อจัดการศึกษานอกหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานได้นั้น เป็นการออกประกาศเพื่อกำหนดว่า กรณีใดบ้างที่เป็นการจัดการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและให้มีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย และกรณีใดบ้างที่อยู่นอกหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานอันอาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายได้ ซึ่งประกาศดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับภายในสถานศึกษา เพื่อให้สถานศึกษานำไปใช้เป็นแนวทางในการประกาศให้นักเรียนและผู้ปกครองแสดงความสมัครใจว่า ประสงค์จะเข้าร่วมในการศึกษานอกหลักสูตรโดยเสียค่าใช้จ่ายหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ ประกาศดังกล่าวจึงมิได้มุ่งหมายที่จะใช้บังคับแก่ประชาชนทั่วไปให้ต้องปฏิบัติตาม ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาแต่อย่างใด ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่เห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการควรมีการปรับปรุงชื่อเรื่องของประกาศให้ชัดเจนสามารถสื่อความหมายให้เข้าใจได้โดยไม่เกิดความสับสน และข้อเสนอแนะที่ควรมีการบรรจุการจัดการเรียนการสอนนอกหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเข้าไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานของสถานศึกษา ให้เหลือเฉพาะรายการที่เป็นการจัดการศึกษานอกหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างแท้จริง ไปพิจารณาในรายละเอียดตามอำนาจหน้าที่ว่าจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ อย่างไร แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๔. อนุมัติให้ถอนความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการตามหนังสือกระทรวงศึกษาธิการ ด่วนที่สุด ที่ ศธ ๐๔๐๐๖/๒๔๗๑ ลงวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เรื่อง ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในการศึกษา กรณีขอให้ตรวจสอบและดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการเก็บเงินบำรุงการศึกษาตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ) ไปได้ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ |
|||||||||||||||||||||
27589 | สรุปผลการเข้าร่วมการประชุมติดตามผลการประชุมสุดยอดผู้นำว่าด้วยสังคมสารสนเทศ ค.ศ. 2013 | ทก | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเข้าร่วมการประชุมติดตามผลการประชุมสุดยอดผู้นำว่าด้วยสังคมสารสนเทศ ค.ศ. ๒๐๑๓ (World Summit on the Information Society Forum 2013 : WSIS Forum 2013) และการเข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรี ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ซึ่งจัดโดยสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้ร่วมกล่าวในฐานะแขกพิเศษในช่วงพิธีเปิดการประชุม High-level session เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยกล่าวถึงความคืบหน้าในการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมาย WSIS ซึ่งในส่วนของประเทศไทย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้มีการดำเนินการภายใต้โครงการต่าง ๆ เช่น การกำหนดนโยบายบอร์ดแบนด์แห่งชาติ โครงการ “One Tablet per Child” การจัดตั้งศูนย์ ICT ชุมชน และโครงการ “Free Wi-Fi” พร้อมทั้งเชิญชวนรัฐมนตรีและผู้แทนประเทศต่าง ๆ ที่เข้าร่วมการประชุมฯ ให้เข้าร่วมการประชุม Connect Asia-Pacific Summit 2013 ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ณ กรุงเทพฯ ก่อนงาน ITU Telecom World 2013 ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๒. การเข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๒.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้เข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการเสวนาภายใต้หัวข้อ “Future of the Information Society and Challenges to Address beyond 2015” เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับแนวทางที่ควรดำเนินการหรือเป้าหมายที่จะต้องบรรลุหลังปี ค.ศ. ๒๐๑๕ โดยมีประเด็นสนทนาหลัก ๔ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) ในช่วง ๑๐ ปี หลังจากการประชุม WSIS ช่วงที่ ๑ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๖ ประเทศต่าง ๆ ได้บรรลุผลสำเร็จอย่างไร และอะไรคือความท้าทายที่ต้องเผชิญในแง่การพัฒนาสังคมสารสนเทศ (๒) ขบวนการสร้างสังคมสารสนเทศเป็นสิ่งจำเป็นในอนาคตที่จะทำให้แน่ใจว่ามีความสมดุลในการประสานงานในระดับระหว่างประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ ในการกำหนดความท้าทายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ (๓) ทำอย่างไรที่จะทำให้กระบวนการในการสร้างสังคมสารสนเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับกระบวนการตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (MDGs) หลังปี ค.ศ. ๒๐๑๕ และ (๔) โอกาสจากกระบวนการทบทวนการสร้างสังคมสารสนเทศที่เราได้รับและปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา ๒.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้กล่าวว่าเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาและเร่งความเติบโตทางเศรษฐกิจโลก โดยในส่วนของประเทศไทยการเข้าถึง mobile cellular คิดเป็นร้อยละ ๑๒๔ ในช่วงต้นปี ๒๕๕๖ และคาดว่าจะสูงขึ้นอย่างมากเนื่องจากการเริ่มใช้ 3G เมื่อเร็ว ๆ นี้ อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญคือ การพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศและของเศรษฐกิจโลก และการพัฒนาในแง่การประสานความร่วมมือทั้งในระดับโลก ระดับภูมิภาค และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระดับประเทศ ในการสร้างสังคมสารสนเทศเพื่อประชาชนทุกคนได้เข้าถึงและได้ใช้ประโยชน์อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง ทั้งนี้ กระบวนการ MDGs หลังปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ยังคงต้องเน้นถึงความสำคัญของ cross-cutting ICT เช่น การใช้ ICT สำหรับคนพิการหรือกลุ่มคนที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ ซึ่งไม่มีการกำหนดไว้ใน MDGs ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้พบหารือกับ Dr. Hamadoun Toure เลขาธิการ ITU เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยเลขาธิการ ITU ได้แสดงความขอบคุณประเทศไทยที่ได้ให้การต้อนรับอย่างดี เมื่อครั้งมาเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๓-๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และขอบคุณรัฐบาลไทยที่จัดหาสำนักงานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกแห่งใหม่ให้ ITU ซึ่งมีความสวยงามและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ รวมทั้งขอบคุณประเทศไทยที่รับเป็นเจ้าภาพจัดประชุม Connect Asia-Pacific Summit 2013 และงาน ITU Telecom World 2013 ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้พบเจรจาหารือแบบทวิภาคีกับรัฐมนตรีประเทศต่าง ๆ ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐโปแลนด์ สาธารณรัฐมอนเตเนโกร โดยมีประเด็นหารือเกี่ยวกับการสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งต่าง ๆ และการขอเสียงสนับสนุนการเลือกตั้งในเวทีระหว่างประเทศ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
27590 | รัฐบาลสาธารณรัฐออสเตรียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายเอนโน โดรฟีนิก (Mr. Enno Drofenik)] | กต | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายเอนโน โดรฟีนิก (Mr. Enno Drofenik) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐออสเตรียประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทนนายโยฮันเนิส เปเทอร์ลิค (Mr. Johannes Peterlik) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
27591 | รายงานการกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ครั้งที่ 4 | กค | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) ผู้ให้กู้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตามสัญญาเงินกู้ จำนวน ๔ สัญญา ได้แก่ TXXI-7 TXXII-7 TXXIII-4 และ TXXVI-1 ได้เห็นชอบให้ชำระหนี้ในวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย เงินต้นที่จะชำระคืนก่อนครบกำหนด จำนวน ๑๑,๘๙๒,๕๕๑,๐๐๐ เยน และดอกเบี้ย จำนวน ๕๖,๘๑๘,๐๖๘ เยน รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๑๑,๙๔๙,๓๖๙,๐๖๘ เยน หรือเท่ากับ ๓,๕๒๖,๗๓๖,๗๘๖.๗๓ บาท (อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยต่อ ๑ เยน เท่ากับ ๐.๒๙๕๑๔ บาท) โดย กฟภ. ขอให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดหาเงินกู้เพื่อชำระหนี้ดังกล่าว จำนวน ๓,๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยวิธีการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน และ กฟภ. จะดำเนินการโอนเงินบาทมาสมทบกับเงินกู้ที่ได้จากการออกตั๋วสัญญาใช้เงินอีก จำนวน ๒๖,๗๓๖,๗๘๖.๗๓ บาท ๒. กระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงินในประเทศเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ต่างประเทศที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน สำหรับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตามสัญญาเงินกู้ จำนวน ๔ สัญญา ดังกล่าว ในวงเงิน ๓,๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๔ อายุ ๑๐ ปี มีอัตราดอกเบี้ยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง [อัตราต่ำสุดของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดา เฉลี่ย ๗ วัน ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ๔ แห่ง (FDR) ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย] บวกด้วย Spread โดยดอกเบี้ยงวดแรกของตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกให้ในวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ มีอัตราดอกเบี้ยเท่ากับร้อยละ ๓.๖๖๘ ต่อปี ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๔ ลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้นำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
|
|||||||||||||||||||||
27592 | รายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) เพื่อเข้าร่วมการประชุมสมัชชาองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO-Food and Agriculture Organization of the United Nations) สมัยที่ ๓๘ (FAO Conference 38 Session) และเข้ารับรางวัล Recognizing notable and outstanding progress in fighting hunger ณ สาธารณรัฐอิตาลี ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๖ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีในฐานะตัวแทนของประเทศไทยให้เข้ารับรางวัล Recognizing notable and outstanding progress in fighting hunger จากผู้อำนวยการใหญ่ FAO ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับประเทศที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินการลดจำนวนประชากรผู้ขาดสารอาหาร โดยประเทศไทยสามารถลดจำนวนประชากรได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในการประชุมสุดยอดอาหารโลก ปี ๑๙๙๖ (World Food Summit) และลดสัดส่วนของประชากรตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals : MDGs) คือ ลดจำนวนประชากรผู้ขาดสารอาหารได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรผู้ขาดสารอาหารในประเทศ ซึ่งประเทศไทยสามารถดำเนินการสำเร็จในปี ๒๕๕๕ ถือว่าสำเร็จก่อนล่วงหน้า ๓ ปี ๒. การเข้าร่วมการประชุมสมัชชา FAO สมัยที่ ๓๘ วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ๒.๑ ที่ประชุมฯ ได้แสดงความยินดีกับสมาชิกใหม่อีก ๓ ประเทศ ได้แก่ ประเทศเนการาบรูไนดารุสซาลาม สาธารณรัฐสิงคโปร์ และสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน ทำให้ FAO มีสมาชิกทั้งหมด ๑๙๗ ประเทศ ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้กล่าวสุนทรพจน์ภายใต้หัวข้อ Sustainable food system, Food Security and Nutrition โดยกล่าวว่า ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญในด้านความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการ และได้มีการจัดทำกรอบยุทธศาสตร์การจัดการอาหาร เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานในด้านความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการของประเทศไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยได้มีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับกรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าวใน ๒ แนวทาง คือ การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจการเกษตรและโครงการเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Famer) และเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Famer) และการพัฒนาด้านการเกษตรในชนบท โดยได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเป็นแนวทางในการพัฒนา ๒.๒ ที่ประชุมฯ เห็นชอบแผนงานและงบประมาณระหว่างปี ๒๐๑๔-๒๐๑๕ โดยเพิ่มค่าสมาชิกเป็นจำนวน ๑,๐๒๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๒ ในสองปี ซึ่งประเทศไทยจะต้องจ่ายค่าสมาชิกเพิ่มเติมอีกจำนวนประมาณ ๑,๒๑๗,๘๔๗ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ทั้งนี้ การเพิ่มค่าสมาชิกดังกล่าวจะสามารถดำเนินการตามกรอบยุทธศาสตร์การดำเนินงาน (Strategic Framework) โดยจะเน้น (๑) ขจัดความอดอยากหิวโหย ความไม่มั่นคงทางอาหาร และการขาดแคลนสารอาหาร (๒) เพิ่มและปรับปรุงข้อกำหนดของสินค้าและการบริการด้านการเกษตร ป่าไม้ และประมงอย่างยั่งยืน (๓) ลดความยากจนในชนบท (๔) เน้นระบบด้านการเกษตรและอาหารสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และนานาชาติ และ (๕) เพิ่มความยืดหยุ่นสำหรับการใช้ชีวิตในยามวิกฤต ๒.๓ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้กล่าวสุนทรพจน์ในวาระการประชุมวันดินโลกและปีดินสากล เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ โดยกล่าวว่า ดินเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารของโลก ในส่วนของประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงสนพระทัยและทรงค้นคว้าศึกษาแนวทางในการดูแลและแก้ไขปัญหาของดิน โดยทรงมีกระแสพระราชดำริให้ตั้งศูนย์ศึกษา เพื่อศึกษาลักษณะของดินและแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหา และการนำหญ้าแฝกมาใช้ในการป้องกันการกัดเซาะพังทลายของดิน นอกจากนี้ ได้ให้ประเทศสมาชิก FAO ร่วมกันรณรงค์ให้ความสำคัญของดินในวันดินโลกซึ่งตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคมของทุกปี เนื่องจากเป็นวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และร่วมกันรณรงค์ในปี ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นปีดินสากล โดยขอให้ FAO สนับสนุนการรณรงค์เรื่องทรัพยากรดินและนำเรื่องนี้ไปบรรจุในวาระการประชุมของสหประชาชาติเพื่อประกาศให้มีการดำเนินการต่อไป ซึ่งที่ประชุมให้ความเห็นชอบในวาระนี้แล้ว ๓. การประชุมทวิภาคี ๓.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนได้เข้าพบหารือความร่วมมือด้านการเกษตรกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ในวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือเพื่อติดตามความก้าวหน้าในการจัดทำบันทึกความเข้าใจด้านการเกษตร และหวังว่าจะได้มีการลงนามโดยเร็ว ทั้งนี้ ได้กล่าวว่าบันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะเป็นกลไกที่สำคัญในการหารือร่วมกัน ๓.๒ ผู้อำนวยการใหญ่ FAO ได้เข้าหารือกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ โดยผู้อำนวยการใหญ่ FAO ได้กล่าวชื่นชมประเทศไทยในการเป็นผู้นำในภูมิภาคเอเชียในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านการเกษตรและมีการดำเนินโครงการที่รับผิดชอบต่อประเทศเพื่อนบ้านด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการควบคุมโรคระบาดสัตว์ ได้แก่ โรคไข้หวัดนก ส่วนรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้กล่าวขอบคุณ FAO ที่ให้การสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ที่ผ่านมาและเห็นว่าการสนับสนุนเพื่อกระจายการพัฒนาการเกษตรซึ่งรวมถึงการควบคุมโรคระบาดจะเป็นการยกระดับการพัฒนาในภูมิภาคด้วย จึงขอให้ FAO ให้การสนับสนุนเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และได้ขอบคุณ FAO ที่ให้การสนับสนุนการให้วันที่ ๕ ธันวาคมของทุกปีเป็นวันดินโลก และปี ๒๕๕๘ เป็นปีดินสากล รวมทั้งให้มีการจัดเจ้าหน้าที่ของไทย และ FAO ร่วมหารือกันเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
27593 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม พ.ศ. ...." | สสป | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม พ.ศ. ...." และรับทราบความเห็นและผลการพิจารณาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนของสภาที่ปรึกษาฯ มีความเห็นและข้อเสนอแนะในการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรมของประเทศไทย และสาระสำคัญที่ควรกำหนดไว้ใน (ร่าง) พระราชบัญญัติการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม พ.ศ. .... สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐต้องกำชับและสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ที่ดินที่มีอยู่อย่างเข้มงวดและเคร่งครัด เพื่อสงวนและรักษาที่ดินไว้เป็นสมบัติของไทยอย่างยั่งยืน ๒. รัฐต้องเร่งดำเนินการให้มีการตรากฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อเป็นการสงวนพื้นที่ของประเทศไทย ที่มีคุณลักษณะของสภาพพื้นที่เหมาะสม หรือมีการจัดสร้างโครงสร้างพื้นฐานและการจัดการชลประทานที่เหมาะสมไว้สำหรับการทำการเกษตรและเพื่อการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร ๓. ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เห็นควรกำหนดเหตุผลในการออกกฎหมาย ดังนี้ "เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมที่ดินจึงเป็นปัจจัยสำคัญและเป็นรากฐานของการผลิตทางการเกษตร ซึ่งจำเป็นต้องบำรุงรักษาและฟื้นฟูดิน รวมทั้งพัฒนาให้เหมาะสมแก่การประกอบการเกษตรได้อย่างยั่งยืนและนำไปสู่การเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของโลก และจากผลของการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้มีการนำที่ดินที่เหมาะสมกับการเกษตรไปใช้เพื่อกิจกรรมอื่น ๆ หรือเป็นเจ้าของที่ดินแทนคนต่างด้าวด้วยประการใด ๆ ซึ่งอาจเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศและความเป็นอยู่ของเกษตรกร ประกอบกับยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรมในลักษณะที่เป็นองค์รวม ดังนั้นเพื่อป้องกันมิให้เกษตรกรสูญเสียที่ดิน และเพื่อควบคุมการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดทางด้านเกษตรกรรม อันจะมีผลกระทบต่อศักยภาพการผลิตด้านการเกษตรและต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศ ตลอดจนเพื่อควบคุมการใช้ที่ดิน ให้เกิดประโยชน์ด้านเกษตรกรรมอย่างเต็มที่ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น" ๔. ในคำจำกัดความคำว่า "พื้นที่เกษตรกรรม" ใน (ร่าง) พระราชบัญญัติฯ ควรมีการพิจารณาให้ความหมายครอบคลุมกิจกรรมการเกษตรทุกประเภท และควรหมายรวมถึงภารกิจที่เป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรกรรมที่เหมาะสมกับประเภทกิจกรรมการเกษตรในพื้นที่นั้นด้วย และสามารถสื่อความหมายให้ชัดเจนว่าเป็นกิจการประเภทใด ขนาดของกิจการ ความสามารถในการสร้างสิ่งปลูกสร้าง ๕. ควรเพิ่มสัดส่วนกรรมการที่เป็นผู้แทนมาจากองค์กรเกษตรกรโดยตำแหน่งในองค์ประกอบคณะกรรมการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม และลดสัดส่วนกรรมการที่เป็นผู้แทนมาจากภาครัฐที่มีสังกัดหน่วยงานเดียวกันให้เหลือเพียงผู้แทนหน่วยงานระดับสูงเพื่อสั่งการให้หน่วยงานตามสายบังคับบัญชาสามารถนำเสนอข้อมูลมาปฏิบัติได้ ๖. ในการประกาศเป็นเขตคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรมในแต่ละพื้นที่ควรเริ่มต้นมาจากพื้นที่ทำการเกษตรที่ได้กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติการผังเมืองเป็นสำคัญ ๗. ควรนำมาตรการทางภาษีอัตราก้าวหน้ามาใช้บังคับ กับกรณีที่ปล่อยให้ที่ดินซึ่งมีความเหมาะสมกับการทำการเกษตรกรรมในเขตชลประทานให้ทิ้งร้างว่างเปล่า ๘. ต้องพิจารณาความเกี่ยวข้องสอดคล้องให้ชัดเจนระหว่าง (ร่าง) พระราชบัญญัติการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม พ.ศ. .... กับพระราชบัญญัติฉบับอื่น ในกรณีของการจัดซื้อที่ดิน รวมถึงพิจารณาความเกี่ยวข้องในกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนและสามารถปฏิบัติได้ ๙. ในการตราพระราชบัญญัติการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม ต้องสร้างกระบวนการรับฟังความคิดเห็นอย่างกว้างขวางและเข้าถึงทุกกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง เพราะมีลักษณะของการจำกัดสิทธิ์ และบทกำหนดโทษปรากฏในร่างพระราชบัญญัติซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคคลต่าง ๆ ทุกภาคส่วน
|
|||||||||||||||||||||
27594 | มาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | อก | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ ที่ให้ขยายพื้นที่ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากเดิม ๓ จังหวัด คือ จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ออกไปอีกเป็น ๔ จังหวัด คือ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล และ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลา ได้แก่ อำเภอจะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา รวมทั้งขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพิเศษ จากเดิมสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ออกไปอีก ๒ ปี สิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ประชุมหารือกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ และวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เกี่ยวกับแนวทางบูรณาการในการพัฒนาอุตสาหกรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อให้การส่งเสริมการลงทุนมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น โดย ศอ.บต. ได้ขอให้ปรับปรุงสิทธิและประโยชน์ รวมทั้งเงื่อนไขส่งเสริมการลงทุนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้จูงใจมากขึ้น เช่น ขอให้ผู้ประกอบการที่จะขยายกิจการและใช้เครื่องจักรเดิมมาดำเนินการสามารถขอรับการส่งเสริมการลงทุนได้ ขอผ่อนผันให้สถานประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือได้ เป็นต้น ๑.๒ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้พิจารณาข้อสรุปจากการหารือระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม และ ศอ.บต. ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๖ แล้ว มีมติให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ๑.๒.๑ ลดมูลค่าเงินลงทุนไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนขั้นต่ำจาก ๑ ล้านบาท ลดลงเหลือ ๕๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อให้กิจการขนาดเล็กสามารถขอรับการส่งเสริมได้ ๑.๒.๒ อนุญาตให้นำเครื่องจักรใช้แล้วในประเทศมาใช้ในโครงการที่ขอรับการส่งเสริมได้มีมูลค่าไม่เกิน ๑๐ ล้านบาท และจะต้องลงทุนในเครื่องจักรใหม่มีมูลค่าไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๔ ของมูลค่าเครื่องจักรใช้แล้ว เพื่อให้ผู้ประกอบการไม่ต้องลงทุนใหม่ทั้งหมด สามารถนำโครงการเก่ามาขอรับการส่งเสริมโดยลงทุนเพิ่มบางส่วน ๑.๒.๓ กำหนดให้กิจการตั้งในพื้นที่คลัสเตอร์สำหรับรองรับการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนด ให้ได้รับสิทธิและประโยชน์ด้านภาษีอากรเป็นพิเศษเช่นเดียวกับกรณีตั้งในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมเท่านั้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาพื้นที่รองรับการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ เพิ่มเติมจากรูปแบบนิคมและเขตอุตสาหกรรม ๑.๒.๔ การอนุญาตให้ใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือในโครงการที่ได้รับการส่งเสริมกรณีเป็นกิจการนิคมหรือเขตอุตสาหกรรม และกิจการที่ตั้งในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือในพื้นที่คลัสเตอร์สำหรับรองรับการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนด โดยจะพิจารณาอนุญาตเป็นราย ๆ ไป เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้เอื้ออำนวยต่อการลงทุนมากยิ่งขึ้น ซึ่งตามหลักเกณฑ์ปกติแล้วจะไม่อนุมัติให้โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือ แม้จะเป็นแรงงานที่ถูกกฎหมายก็ตาม ๑.๓ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้ออกประกาศที่ ๖/๒๕๕๖ เรื่อง นโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ลงวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามมติคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนข้างต้น ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรมีการประเมินผลความคุ้มค่าและผลกระทบจากการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าว และข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทยที่ให้มีการติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายดังกล่าวและประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการไปลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มากขึ้น และจัดทำรายงานเสนอคณะรัฐมนตรีและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบด้วย สำหรับกรณีการอนุญาตให้ใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือเข้าไปทำงานในสถานประกอบการขอให้ตรวจสอบให้เป็นไปตามระเบียบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
27595 | การดำเนินการตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาล เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค ในพื้นที่ประกาศภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) 15 จังหวัด | นร01 | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบการดำเนินการตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคในพื้นที่ประกาศภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ๑๕ จังหวัด โดยสำนักงบประมาณได้มีหนังสือถึงอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแจ้งว่า หากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญแล้ว ก็อนุมัติให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงินทั้งสิ้น ๑๖๘,๒๒๙,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคในพื้นที่ประกาศภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) จำนวน ๖๕๔ บ่อ สำหรับ ๑๕ จังหวัด โดยเบิกจ่ายในงบลงทุนลักษณะค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง แต่เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ [เรื่อง ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ และผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๖] มิได้กำหนดให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานขอรับการจัดสรรงบประมาณของโครงการฯ ในส่วนที่จังหวัดเป็นหน่วยดำเนินการ จึงขอให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบก่อน และเมื่อกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์ เป้าหมายตามที่กำหนดไว้แล้ว หากมีเงินงบประมาณเหลือจ่ายขอให้ส่งคืนสำนักงบประมาณในโอกาสแรกด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายอำนวยการและติดตามประเมินผล บ่อละ ๑,๐๐๐ บาท จำนวน ๖๕๔ บ่อ เป็นเงิน ๖๕๔,๐๐๐ บาท สำนักงบประมาณได้ปรับลดวงเงิน เนื่องจากขาดรายละเอียดประกอบการพิจารณา ๒. ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานขอรับการจัดสรรงบประมาณโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคในพื้นที่ประกาศภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ๑๕ จังหวัด ในวงเงินทั้งสิ้น ๑๖๘,๒๒๙,๐๐๐ บาท และเมื่อกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์เป้าหมายตามที่กำหนดไว้แล้ว หากมีเงินเหลือจ่ายให้ส่งคืนสำนักงบประมาณในโอกาสแรกด้วย |
|||||||||||||||||||||
27596 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... | มท | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
27597 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. .... | สธ | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับอัตราค่าธรรมเนียมวิชาชีพเภสัชกรรม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
27598 | ขออนุมัติจัดทำความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโคลอมเบีย | กต | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโคลอมเบีย (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Colombia on Exemption of Visa Requirements for Holders of Diplomatic and Official Passports) มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและอำนวยความสะดวกในการเดินทางและการติดต่อราชการระหว่างเจ้าหน้าที่การทูตและข้าราชการของทั้งสองฝ่าย ซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนความร่วมมือและยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยมีสาระสำคัญ คือ ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตหรือราชการที่ยังมีอายุใช้ได้ของรัฐภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะได้รับยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางเข้าออกจาก หรือและผ่านดินแดนของรัฐภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง และสามารถพำนักในรัฐภาคีเป็นเวลาไม่เกิน ๙๐ วัน นับจากวันที่เดินทางเข้า โดยมีเงื่อนไขว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องไม่ทำงานใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินกิจการของตนเองหรือกิจการอย่างอื่นในดินแดนของรัฐภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในความตกลงฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง |
|||||||||||||||||||||
27599 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลหนองปลาหมอ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ของวัดลำพยอม ตำบลคุ้งพยอม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... | พศ | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลหนองปลาหมอ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ของวัดลำพยอม ตำบลคุ้งพยอม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลหนองปลาหมอ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ของวัดลำพยอม ตำบลคุ้งพยอม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๖๐๐ (บางส่วน) เนื้อที่ ๑ ไร่ ๑ งาน ๗๒ ตารางวา ให้แก่กรมชลประทาน ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
27600 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | วท | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามลำดับ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
๑. นาวาอากาศเอก อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ๒. นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
.....