ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1373 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 27441 - 27460 จากข้อมูลทั้งหมด 124229 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
27441 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าก่อสร้างอาคารเรียน โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จันทบุรี จังหวัดจันทบุรี | ศธ | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารเรียน แบบ ๓๒๔ ล ตอกเข็ม โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จันทบุรี จังหวัดจันทบุรี จำนวน ๑ หลัง วงเงินรวม ๒๒,๕๐๑,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๑๘,๑๖๖,๑๙๑ บาท ส่วนที่ขาดอยู่อีก วงเงิน ๔,๓๓๔,๘๐๙ บาท ให้เสนอขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
27442 | รายงานความก้าวหน้าการป้องกันแก้ไขปัญหาผลไม้ ปี 2556 | กษ | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานสถานการณ์และผลการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลไม้ ปี ๒๕๕๖ โดยสถานการณ์ผลไม้ ปี ๒๕๕๖ พบว่า ผลไม้ในฤดูกาลมีการกระจุกตัวและออกสู่ตลาดมากในระยะเวลาอันสั้น จำเป็นต้องเตรียมการรองรับในการป้องกันแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรหากราคาผลผลิตตกต่ำ อีกทั้งปริมาณผลผลิตมากเกินกว่าที่กลไกตลาดปกติสามารถรองรับและกระจายผลผลิตออกนอกพื้นที่ได้ทันเวลา ซึ่งจากปัญหาดังกล่าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ได้เตรียมการและดำเนินการป้องกันแก้ไขปัญหาผลไม้ ปี ๒๕๕๖ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดกรอบแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลไม้ ปี ๒๕๕๖ เพื่อใช้เป็นแนวทางการบริหารจัดการผลไม้ในพื้นที่ โดยให้คณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลิตผลการเกษตรระดับจังหวัด เป็นกลไกหลักในการบริหารจัดการและกำกับดูแลการป้องกันและแก้ไขปัญหาของจังหวัดเป็นอันดับแรก โดยไม่แทรกแซงระบบกลไกตลาดปกติ ๑.๒ เสนอโครงการป้องกันแก้ไขปัญหาผลไม้ ปี ๒๕๕๖ เพื่อช่วยสนับสนุนระบบกลไกตลาดการดำเนินการของจังหวัด โดยขอสนับสนุนงบประมาณจากคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร รวม ๔ โครงการ ได้แก่ โครงการป้องกันแก้ไขปัญหาผลไม้ภาคตะวันออก ปี ๒๕๕๖ โครงการป้องกันแก้ไขปัญหาลิ้นจี่ ปี ๒๕๕๖ โครงการป้องกันแก้ไขปัญหาลำไย ปี ๒๕๕๖ และโครงการป้องกันแก้ไขปัญหาผลไม้ภาคใต้ ปี ๒๕๕๖ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีการทบทวนมาตรการต่าง ๆ อย่างครบวงจร เพื่อให้เป็นการพัฒนาระบบการเกษตรอย่างยั่งยืน เริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการวางแผน การผลิต การส่งเสริมและจำหน่าย และเห็นควรเร่งรัดการดำเนินงานภายใต้โครงการบริหารจัดการเขตเกษตรเศรษฐกิจสำหรับสินค้าการเกษตรที่สำคัญ (Zoning) ตามยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) เพื่อบริหารจัดการพื้นที่และสินค้าเกษตรที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจให้ได้สินค้าเกษตรที่มีคุณภาพและปริมาณสอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งพิจารณาวางแนวทางการบริหารจัดการผลไม้ให้เป็นระบบในระยะยาว โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมของพื้นที่และความเป็นไปได้ในการกำหนด Zoning ผลไม้ ตลอดจนให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัย การเชื่อมโยงผลผลิตกับความต้องการบริโภคในประเทศและต่างประเทศ และความต้องการของโรงงานแปรรูป ควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการในระยะสั้น เพื่อดูแลรักษาเสถียรภาพราคาผลไม้อย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
27443 | คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 2 เมษายน 2558 | นร01 | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๑๗/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ โดยมีประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานวุฒิสภา เป็นที่ปรึกษาและกรรมการ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรีทุกท่าน เป็นรองประธานกรรมการ และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดรูปแบบ แนวทางการจัดงาน โครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ ให้สมพระเกียรติ พิจารณามอบหมายภารกิจตามแผนงาน โครงการ และกิจกรรมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ แต่งตั้งคณะที่ปรึกษา คณะกรรมการ คณะอนุกรรมการและคณะทำงานฝ่ายต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติงานตามที่เห็นสมควร และดำเนินการอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
27444 | ประธาน FATF แจ้งมติถอดถอนรายชื่อประเทศไทยออกจาก Public Statement อย่างสมบูรณ์ | นร04 | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินรายงานว่า นาย Bjorn S. Aamo ประธานคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (Financial Action Task Force : FATF) แจ้งมติถอดถอนรายชื่อประเทศไทยออกจาก Public Statement อย่างสมบูรณ์ ตามมติการประชุมเต็มคณะของคณะทำงาน FATF เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||
27445 | ผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ 11 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ 6 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ 6 และการประชุมรัฐภาคีร่วมสมัยพิเศษ สมัยที่ 2 ของ 3 อนุสัญญาฯ | ทส | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด สมัยที่ ๑๑ การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสำหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ สมัยที่ ๖ การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน สมัยที่ ๖ และการประชุมรัฐภาคีร่วมสมัยพิเศษ สมัยที่ ๒ ของ ๓ อนุสัญญาฯ ในระหว่างวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๖-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ ๑๑ ได้มีการพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ และมีมติข้อตัดสินใจที่สำคัญ ได้แก่ (๑) เห็นชอบให้เพิ่มเติมรายชื่อของเสียที่ไม่เป็นอันตรายในภาคผนวก ๙ ของอนุสัญญาฯ จำนวน ๒ รายการ คือ “ชิ้นส่วนของพลาสติกซึ่งไม่สามารถแยกได้และชิ้นส่วนของพลาสติกอะลูมิเนียมซึ่งไม่สามารถแยกได้ที่เป็นของเสียบรรจุภัณฑ์สำหรับของเหลวจากการบำบัดเบื้องต้น” และ “ของเสียซึ่งมีลักษณะเป็นฉลากลามิเนตติดแน่นประกอบด้วยวัตถุดิบสำหรับการผลิตฉลาก” (๒) แต่งตั้งคณะทำงานระหว่างสมัยประชุมเพื่อพิจารณาปรับแก้ไขอภิธานศัพท์และคำศัพท์ที่ใช้ในอนุสัญญาฯ พร้อมกำหนดคำอธิบายเพิ่มเติม (๓) รับรองขอบเขตการดำเนินงานเพื่อเตรียมการสำหรับเครือข่ายความร่วมมือเพื่อป้องกันและต่อต้านการเคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย (๔) เห็นชอบการแก้ไขระเบียบวิธีการเกี่ยวกับการขยายขอบเขตของกองทุนเพื่อความรวดเร็วของกระบวนการภายใต้กลไกช่วยเหลือฉุกเฉิน และการเตรียมความพร้อมของประเทศภาคีสมาชิกต่าง ๆ เพื่อรับมือเหตุฉุกเฉินจากการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและของเสียอื่น และ (๕) เห็นชอบกรอบแผนงานและงบประมาณสำหรับการดำเนินงานของคณะทำงาน Open-ended Working Group (OEWG) ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ๒. ที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ ๖ ได้มีการพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ และมีมติข้อตัดสินใจที่สำคัญ ได้แก่ (๑) เห็นชอบให้บรรจุรายชื่อสารเคมี ๔ ชนิด คือ สาร azinphos-methyl สาร pentabromodiphenyl ether and pentabromodiphenyl ether commercial mixtures สาร octabromo-diphenyl ether commercial mixtures และ สาร perfluorooctane sulfonic acid, perfluorooctane-sulfonates, perfluorooctane sulfonamides, and perfluorooctanesulfonyls เพิ่มเติมเข้าไว้ในภาคผนวก III ของอนุสัญญาฯ (๒) รับรองการเสนอชื่อผู้เชี่ยวชาญชุดใหม่ในคณะกรรมการพิจารณาทบทวนสารเคมี (CRC) รวม ๑๗ ท่าน ซึ่งประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในคณะกรรมการ CRC ดังกล่าวด้วย และ (๓) รับรองแผนงานของสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ และงบประมาณดำเนินการ รวมทั้งแผนกิจกรรมให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิควิชาการ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ๓. ที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ ๖ ได้มีการพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ และมีมติข้อตัดสินใจที่สำคัญ ได้แก่ (๑) เห็นชอบให้ปรับปรุงแก้ไขภาคผนวก เอ ของอนุสัญญาฯ โดยบรรจุรายชื่อสาร hexabromocyclododecane เพิ่มเติม โดยให้มีข้อยกเว้นพิเศษสำหรับการผลิตและการใช้งานประเภท expanded polystyrene และ extruded polystyrene ในอาคาร (๒) รับรองกระบวนการเพื่อให้ที่ประชุมรัฐภาคีสามารถประเมินความก้าวหน้าของภาคีสมาชิกในการลดและเลิกใช้สารกลุ่ม brominated diphenyl ethers ในผลิตภัณฑ์ และให้มีข้อยกเว้นพิเศษและการใช้งานสำหรับวัตถุประสงค์ที่ยอมรับได้ต่อไปสำหรับสารกลุ่ม perfluorooctane sulfonic acid, its salts and perfluorooctane sulfonyl fluoride (๓) รับรองกรอบงานสำหรับการประเมินความมีประสิทธิผลของอนุสัญญาฯ และรูปแบบรายงานของประเทศ (national report) ฉบับปรับปรุงแก้ไข (๔) รับรองมติข้อตัดสินใจในประเด็นกลไกทางการเงินของอนุสัญญาฯ และ (๕) รับรองวิธีการประเมินผลศูนย์ระดับภูมิภาคของอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สถานะของศูนย์ระดับภูมิภาคฯ เสนอชื่อเข้ามาใหม่ และการคงสถานะของศูนย์ระดับภูมิภาคฯ ที่มีอยู่เดิม ๔. ที่ประชุมรัฐภาคีร่วมสมัยพิเศษ สมัยที่ ๒ ของ ๓ อนุสัญญาฯ ได้พิจารณาและมีมติข้อตัดสินใจในประเด็นเกี่ยวกับการส่งเสริมการประสานงานและความร่วมมือระหว่าง ๓ อนุสัญญาฯ อาทิ (๑) การทบทวนการจัดการบูรณาการ (๒) ข้อเสนอการปรับโครงสร้างสำนักเลขาธิการร่วมของอนุสัญญาบาเซลฯ อนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ และอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ (๓) กิจกรรมร่วมและแผนงบประมาณสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ (๔) ผลลัพธ์ของกระบวนการหารือเกี่ยวกับทางเลือกด้านการเงินในการสนับสนุนการจัดการสารเคมีและของเสีย (๕) การส่งเสริมความร่วมมือและประสานงานระหว่างคณะผู้เชี่ยวชาญและคณะกรรมการด้านเทคนิควิชาการภายใต้ ๓ อนุสัญญาฯ และ (๖) การอำนวยความสะดวกด้านทรัพยากรทางการเงินสำหรับการจัดการสารเคมีและของเสีย
|
|||||||||||||||||||||
27446 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิ ในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. .... | รง | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ถอนร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยด่วน โดยให้กระทรวงแรงงานดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาทบทวนมาตรการ ๑๒ ที่กำหนดให้ผู้ที่มีอายุเกิน ๖๐ ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน ๖๕ ปีบริบูรณ์ สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนได้ ภายในหนึ่งปีนับตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลบังคับใช้ โดยคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อแรงงานทั้งระบบ รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ถึงสิทธิประโยชน์และเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ผู้ประกันตนจะได้รับจากระบบประกันสังคมและการออมเพื่อชราภาพ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและเห็นประโยชน์ของการเป็นผู้ประกันตน และสร้างแรงจูงใจให้กับแรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบประกันสังคมมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
27447 | การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย และกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานควบคุมคุณภาพตรวจสอบ และกักกันโรคแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ | พณ | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย และกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานควบคุมคุณภาพ ตรวจสอบ และกักกันโรคแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ๑.๒ ให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ที่มิใช่สาระสำคัญ ให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. การลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ให้ดำเนินการได้นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ กันยายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรตรวจสอบการสะกดคำและตัวบทภาษาไทยให้ถูกต้อง มีความสอดคล้องกัน และแก้ไขถ้อยคำที่เป็นคำเฉพาะบางที่ อาทิ วรรคสองของอารัมภบท “ความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาด้านการค้า” ควรแก้ไขเป็น “ความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า” นอกจากนี้ ควรมีการติดตามและประเมินผลความร่วมมือดังกล่าว โดยรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ เพื่อนำไปสู่การพิจารณาขยายขอบเขตความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาในมิติอื่นกับสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมทั้งการทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์กับประเทศอื่น ๆ เพิ่มเติม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
27448 | โครงการจัดงานประชุมวิชาการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 12 (The 12th Asia Pacific Orchid Conference 2016: APOC 2016) | กษ | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติหลักการโครงการประชุมวิชาการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ ๑๒ (The 12th Asia Pacific Orchid Conference 2016 : APOC 2016) ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งผลที่คาดว่าจะได้รับจากการเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมสัมมนากล้วยไม้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในครั้งนี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรกล้วยไม้เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาวงการกล้วยไม้ในกลุ่มประเทศสมาชิกและนานาประเทศตามวัตถุประสงค์ของคณะกรรมการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก (Asia Pacific Orchid Committee : APOC) และจะเป็นโอกาสของประเทศไทยในการนำเสนอบทบาทด้านกล้วยไม้สู่นานาชาติ รวมทั้งเพื่อแสดงถึงศักยภาพและขีดความสามารถของประเทศไทยทั้งด้านการผลิตและการตลาด และเป็นการสนับสนุนด้านการส่งออกกลุ่มสินค้ากล้วยไม้ไปสู่ตลาดโลก ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมวิชาการเกษตร) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการจัดงานโครงการประชุมวิชาการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ ๑๒ ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณารายละเอียดงบประมาณและสถานที่การจัดงานและเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในครั้งต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำรายละเอียดข้อมูลรูปแบบการเป็นเจ้าภาพจัดงาน พร้อมทั้งรายละเอียดงบประมาณ และแผนการดำเนินงานที่รวมถึงแนวทางการเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านสถานที่ การจราจร แหล่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้เข้าร่วมการประชุม และนักท่องเที่ยว ตลอดจนความพร้อมด้านบุคลากร และระบบบริหารจัดการ โดยประสานความร่วมมือกับภาครัฐ ส่วนท้องถิ่นและเอกชนที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
27449 | โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2556/57 | พณ | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบกรอบ ชนิด ราคา ปริมาณ ระยะเวลา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก (นาปี) ภายใต้กรอบวงเงินของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ จำนวน ๒๗๐,๐๐๐ ล้านบาท ให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ได้ให้ความเห็นชอบไว้ เพื่อให้ข้าวเปลือกที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นไปตามคุณภาพมาตรฐานที่กำหนดและเกษตรกรได้เข้าร่วมโครงการฯ อย่างทั่วถึงและได้รับราคาจำนำอย่างเป็นธรรมตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแหล่งเงินทุนหมุนเวียนที่ใช้ในโครงการฯ ควรประกอบด้วยเงินทุนที่กระทรวงการคลังจัดหาให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตลอดจนเงินที่ได้รับจากการระบายผลิตผลของกระทรวงพาณิชย์ตามความจำเป็นและเหมาะสม และให้ ธ.ก.ส. สำรองจ่ายเงินเพื่อดำเนินโครงการฯ ไปก่อน ในช่วงระยะเวลาที่รอการจัดหาเงินทุนของกระทรวงการคลัง หรือเงินที่ได้รับจากการระบายผลิตผล โดยชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ในอัตรา FDR+1 และให้กระทรวงพาณิชย์เร่งระบายข้าวให้ได้เร็วและมากขึ้นเพื่อให้มีพื้นที่ในการเก็บผลผลิตข้าวเปลือกที่จะเข้าสู่โครงการฯ ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พัฒนาและปรับปรุงระบบฐานข้อมูลเกษตรกรที่มีความถูกต้องและเป็นปัจจุบันเพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนการดำเนินงานและตรวจสอบความถูกต้องของการแจ้งลงทะเบียนต่าง ๆ นอกจากนี้ ในระยะต่อไป กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ควรสนับสนุนให้เกษตรกรลดต้นทุน พัฒนาคุณภาพข้าว เพื่อยกระดับการส่งออกสินค้าข้าวไปสู่ตลาดบนที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนเร่งพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตข้าวเพื่อให้เกษตรกรสามารถแข่งขันได้เมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยการจัดทำโซนนิ่งภาคเกษตร และการทำประกันภัยพืชผลการเกษตร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับติดตาม ตรวจสอบ และรายงานผลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก (นาปี) ต่อ กขช. เพื่อพิจารณาผลการดำเนินการดังกล่าว แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินโครงการฯ ต่อไป |
|||||||||||||||||||||
27450 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การปฏิรูปครูผู้เป็นแม่พิมพ์ของชาติ" | สสป | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การปฏิรูปครูผู้เป็นแม่พิมพ์ของชาติ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางศึกษา สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการปฏิรูปครูผู้เป็นแม่พิมพ์ของชาติ โดย ๑.๑ กำหนดคุณลักษณะที่พึงประสงค์ครูยุคใหม่ เพื่อเป็นเป้าหมายของการปฏิรูปครูผู้เป็นแม่พิมพ์ของชาติ ได้แก่ เป็นครูมืออาชีพ ไม่เพียงมีอาชีพเป็นครู รักในอาชีพครูและมีจิตวิญญาณของความเป็นครู มีความรู้ความสามารถในการถ่ายทอดวิชาความรู้แก่ผู้เป็นศิษย์ ในการอบรมสั่งสอนผู้เป็นศิษย์ให้เป็นคนดี ยึดมั่นในหลักธรรมของศาสนา บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเป็นผู้อยู่ในศีลธรรม ๑.๒ ควรกำหนดคุณสมบัติของครูที่ดีเพื่อใช้ในการคัดเลือกและกลั่นกรองผู้ที่จะเข้ามาเป็นครู ๑.๓ ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูประพฤติปฏิบัติตามจรรยาบรรณที่กำหนดไว้ ควรได้รับการยกย่องได้รับขวัญและกำลังใจ ๑.๔ ให้ความสำคัญและความสนใจในการปฏิรูปครูเป็นพิเศษ เพราะครูที่ดีผู้มีจิตวิญญาณของครูจะสร้างคนดีให้แก่สังคมและประเทศชาติ ๑.๕ ดำเนินการปฏิรูปครูตามแผนงานและยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้อย่างจริงจัง จริงใจ และต่อเนื่อง โดยยึดหลักธรรมาภิบาล รัฐบาลต้องไม่นำการเมืองมาแทรกแซงการศึกษาและการปฏิบัติหน้าที่ของครู ไม่ใช้การศึกษาและครูเป็นเครื่องมือทางการเมือง ๑.๖ ให้ครูได้รับค่าตอบแทนและสวัสดิการที่เหมาะสม รัฐบาลควรกำหนดอัตราเงินเดือนของข้าราชการครูเป็นพิเศษเหมือนกับการกำหนดอัตราเงินเดือนข้าราชการตุลาการ พิจารณาการเลื่อนเงินเดือนและวิทยฐานะตามผลการสอนของครู ผลการเรียนของนักเรียน การปฏิบัติตามจรรยาบรรณของครู ควรมีการจัดทำดัชนีชี้วัดตามความสำเร็จในการปฏิบัติงานของครู ๑.๗ ยกเลิกการประเมินผลของครูเพื่อประกอบการเลื่อนวิทยฐานะ โดยให้ครูต้องรายงานแบบวิทยานิพนธ์ซึ่งต้องเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย การประเมินผลควรพิจารณาผลงานรวมของครูจากความรู้และความประพฤติของนักเรียนที่เป็นศิษย์ สำหรับครูที่มีจิตวิญญาณของครูผู้อุทิศชีวิต จิตใจและเวลา ในการให้ความรู้ ในการอบรมสั่งสอนเยาวชนผู้เป็นศิษย์ด้วยความรัก ความเมตตา ความเอาใจใส่ ควรจะได้รับการพิจารณาความดีความชอบเป็นพิเศษ ๑.๘ ตระหนักถึงเรื่องการพัฒนาคุณภาพครูเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เปิดโอกาสให้ครูได้มีโอกาสในการพัฒนาตนเอง ทั้งในด้านความรู้ และในด้านศีลธรรมและจิตใจ ๑.๙ ปรับปรุงการผลิตครูให้มีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผล สถาบันผลิตครูควรปรับปรุงหลักสูตรให้เหมาะสมทั้งในด้านวิชาการ ประสบการณ์ โดยเฉพาะด้านศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม สามารถเป็นตัวอย่างและแบบฉบับได้ ๑.๑๐ ต้องมีความรอบคอบในการสอบคัดเลือกบุคคลที่จะเข้ามาเป็นครู อย่าให้เกิดการทุจริตขึ้นได้ ๑.๑๑ ในการปฏิรูปครู ครูควรปฏิรูปตนเองก่อน โดยการน้อมนำพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมาประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เป็นครูที่แท้ ๒. ด้านการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ รัฐบาลควรปฏิรูปการศึกษารอบใหม่เกี่ยวกับ ๒.๑ น้อมนำปรัชญาการศึกษาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มาประกอบการปฏิรูปการศึกษาและนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับการศึกษา ๒.๒ นำพุทธปรัชญาการศึกษามาประกอบการปฏิรูปการศึกษา ๒.๓ ปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ เพื่อให้การศึกษามีคุณภาพ ๒.๔ ให้ผู้รับการศึกษาได้รับทั้งความรู้และปัญญาควบคู่กัน ๒.๕ ปรับปรุงกระบวนการสอนของครูและกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียนให้เหมาะสม ควรจะสอนให้นักเรียนรู้จักคิด รู้จักวิเคราะห์ ๒.๖ ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาระดับต่าง ๆ ให้เหมาะสม รัฐบาลควรนำวิชาศีลธรรมและหน้าที่พลเมืองกลับคืนมาปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้นักเรียนมีความสุข มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ ๒.๗ ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้บริหารสถานศึกษา ครูอาจารย์ นักเรียน นักศึกษา นำหลักธรรมของศาสนามาอบรมนักเรียนนักศึกษา เพื่อให้นักเรียนนักศึกษามีทั้งความเก่งและความดี มีทั้งความรู้และคุณธรรม โดยมีคุณธรรมนำความรู้ ๒.๘ ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้บริหารสถานศึกษา ครูอาจารย์ นักเรียน นักศึกษา น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประพฤติปฏิบัติจนเป็นวิถีชีวิต ๒.๙ ส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษาต่าง ๆ มีครูแนะแนวเพื่อให้ความช่วยเหลือและคำปรึกษาแก่นักเรียนที่มีปัญหาในการศึกษาเล่าเรียน ปัญหาครอบครัว ปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ เพื่อให้นักเรียนมีสุขภาพจิตที่ดี มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ๒.๑๐ รณรงค์ให้ประชาชนตระหนักว่า "การศึกษาเพื่อปวงชน ปวงชนเพื่อการศึกษา" การศึกษาไม่ใช่เป็นเรื่องของกระทรวงศึกษาธิการของครูอาจารย์เท่านั้น ทุกคนมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการศึกษา การศึกษาไม่ได้มีเฉพาะการศึกษาในระบบ ยังมีการศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย การศึกษาตลอดชีวิต การศึกษาไม่ได้สิ้นสุดที่สถานศึกษา จะต้องศึกษาตลอดชีวิต
|
|||||||||||||||||||||
27451 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... จำนวน 4 ฉบับ | กษ | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....จำนวน ๔ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำอย่างเต็มที่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๑๙ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำป่าสัก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำหนองเหล่าหิน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ๔. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยวังแดง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....
|
|||||||||||||||||||||
27452 | ความตกลงการค้าเสรีระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐชิลีและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการแก้ไขความคลาดเคลื่อนในตารางข้อผูกพันการเปิดตลาดสินค้าของไทย | พณ | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบตามความตกลงการค้าเสรีระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐชิลีและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และเอกสารที่เกี่ยวข้องที่แนบท้ายกับความตกลงฯ ฉบับภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และภาษาสเปนทั้งหมด (ฉบับภาษาอังกฤษคือ ฉบับเดิมที่ให้ความเห็นชอบไว้แล้ว มีแก้เฉพาะภาคผนวกเท่านั้น) ๑.๒ เห็นชอบตารางข้อผูกพันการเปิดตลาดสินค้าของไทยที่แก้ไขแล้ว ได้แก่ แก้ไขอัตราภาษีฐาน (base rate) ที่ใช้ในการคำนวณการลดภาษี จำนวน ๒๐๒ รายการ แก้ไขรายการสินค้าโควตาภาษี จำนวน ๓ รายการ และตัดรายการสินค้าที่แตกย่อยออกมาจากรายการสินค้าหลัก ซึ่งไม่จำเป็นต้องใส่ จำนวน ๑,๐๖๓ รายการ ๑.๓ นำเสนอความตกลงฯ เอกสารที่เกี่ยวข้องที่แนบท้ายความตกลงฯ และตารางข้อผูกพันฯ ต่อรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญฯ ต่อไป ๑.๔ อนุมัติการลงนามในความตกลงฯ ทั้งสามภาษา เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่นเป็นผู้ลงนามในความตกลงการค้าเสรีระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐชิลีและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในความตกลงฯ และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ผู้ลงนามใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๑.๕ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่น เป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ๑.๖ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ เมื่อได้มีการลงนามและดำเนินการตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้ว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความตกลงในเรื่องนี้ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดำเนินการรองรับในส่วนที่เกี่ยวข้อง และไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ รวมทั้งสร้างความเข้าใจกับภาคเอกชนเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
27453 | รายงานภาวะการส่งเสริมการลงทุนครึ่งแรกของปี 2556 | อก | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะการส่งเสริมการลงทุนครึ่งแรกของปี ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มีคำขอรับการส่งเสริมในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๖ จำนวน ๑,๐๕๕ โครงการ มูลค่าลงทุนรวม ๖๓๒,๗๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๕ ร้อยละ ๖ และร้อยละ ๔.๗ ตามลำดับ ๒. หมวดกิจการบริการและสาธารณูปโภค ได้รับความสนใจขอรับส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด รองลงมา คือ หมวดผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง หมวดเกษตรกรรม และผลิตผลจากการเกษตร และหมวดอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ตามลำดับ ๓. โครงการที่คนไทยถือหุ้นทั้งสิ้นและต่างชาติถือหุ้นทั้งสิ้นมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ ร้อยละ ๓๗ ของจำนวนโครงการที่ขอรับการส่งเสริมทั้งหมด และโครงการร่วมลงทุนสัดส่วนร้อยละ ๒๖ ของทั้งหมด ๔. การลงทุนจากต่างประเทศในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๖ มีมูลค่า ๒๗๘,๖๐๐ ล้านบาท โดยญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศที่ลงทุนมากที่สุดทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าการลงทุน โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๕๔ และร้อยละ ๖๖ ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด ตามลำดับ รองลงมา คือ การลงทุนจากมาเลเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ และเนเธอร์แลนด์ ตามลำดับ ๕. คำขอรับส่งเสริมการลงทุนกระจุกตัวอยู่ในเขต ๒ เป็นหลัก โดยมีทั้งสิ้น ๔๔๒ โครงการ มูลค่าการลงทุน ๒๕๒,๑๐๐ ล้านบาท รองลงมา คือ การลงทุนในเขต ๓ จำนวนทั้งสิ้น ๒๗๓ โครงการ ลงทุน ๑๕๔,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับการลงทุนในเขต ๑ มี ๒๙๒ โครงการ ลงทุน ๖๒,๖๐๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
27454 | มาตรการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2556/57 | พณ | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในฤดูกาลปี ๒๕๕๖/๕๗ อย่างเร่งด่วน ภายในกรอบวงเงินงบประมาณไม่เกิน ๑,๙๐๗.๒๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกันกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๖/๕๗ แต่ละขั้นตอนให้มีความรัดกุม ตามแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำของรัฐบาลที่มุ่งเน้นให้เกษตรกรได้รับประโยชน์โดยตรงอย่างแท้จริง โดยให้รับข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติและการบริหารจัดการอุปสงค์และอุปทานที่เหมาะสมและชัดเจน เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเตรียมความพร้อมตามกระบวนการให้ครบถ้วน เพื่อให้ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปีต่อไปจะสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและรัดกุม ๒. เห็นชอบให้ดำเนินการตามมาตรการและแนวทางที่กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้หารือร่วมกันแล้ว โดยมีความเห็นว่ามาตรการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๖/๕๗ ที่คณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เสนอ เป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพและมีมาตรการกำกับดูแลรัดกุมให้เม็ดเงินตกถึงเกษตรกร และมีการวางแนวทางการกำกับดูแลที่ชัดเจน ซึ่งจำเป็นต้องเร่งดำเนินการ เพื่อแก้ไขปัญหาให้แก่เกษตรกรโดยเร็ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอเพิ่มเติม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป (๓ กันยายน-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖) ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปอย่างถูกต้อง รอบคอบ รัดกุม เพื่อให้ได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีคุณภาพมาตรฐานตามที่กำหนด และเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดได้รับราคาจำหน่ายอย่างเป็นธรรม ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เห็นควรให้ความสำคัญต่อการเร่งระบาย/จำหน่าย/ผลักดันการส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ให้สอดคล้องกับการดำเนินการตามกรอบการค้าระหว่างประเทศ และในอนาคตควรมีมาตรการเชิงป้องกัน อาทิ การพัฒนาไซโลและอุปกรณ์ไล่ความชื้นเพื่อยืดอายุการเก็บข้าวโพดไม่ให้เสื่อมสภาพก่อนเวลา นอกจากนี้ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการต้องมีเอกสารสิทธิ์ในที่ดินหรือที่ได้รับการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง มาตรการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ปี ๒๕๕๓) เท่านั้น รวมทั้งการจ่ายเงินชดเชยราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านผู้รวบรวมในพื้นที่ต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ตามระเบียบราชการ และต้องมีการกำหนดขั้นตอนการดำเนินการที่ชัดเจน รัดกุม รอบคอบ และตรวจสอบได้ เพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้รับประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
27455 | โครงการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ปี 2557 | กษ | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ในการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ปี ๒๕๕๗ ประกอบด้วย วัตถุประสงค์ เป้าหมาย ระยะเวลาของโครงการ หน่วยงานรับผิดชอบ เงื่อนไขการดำเนินงาน และงบประมาณ โดยให้ปรับเปลี่ยนข้อเสนอโครงการเพื่อให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้นตามความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ ๑.๑.๑ วัตถุประสงค์ จากเดิม “เพื่อลดภาระต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีของเกษตรกร” เป็น “เพื่อลดภาระต้นทุนค่าปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ยเคมีของเกษตรกร” ๑.๑.๒ ระยะเวลาโครงการฯ แนวทางระยะสั้น จากเดิม “ตุลาคม ๒๕๕๖-พฤษภาคม ๒๕๕๗” เป็น “กันยายน ๒๕๕๖-พฤษภาคม ๒๕๕๗” ๑.๑.๓ การตรวจสอบพื้นที่ปลูกและพื้นที่เปิดกรีดจริงของเกษตรกร จากเดิม “สุ่มตรวจสอบพื้นที่ปลูกและพื้นที่เปิดกรีดยางพาราที่มีอยู่จริงจำนวนร้อยละ ๒๐ จากบัญชีรายชื่อผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรฯ” เป็น “ตรวจสอบพื้นที่ปลูกและพื้นที่เปิดกรีดยางพาราที่มีอยู่จริงทุกแปลง จากบัญชีรายชื่อผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรฯ” ๑.๒ ในส่วนของงบประมาณในการดำเนินงานตามแนวทางระยะสั้น เห็นควรให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๕,๖๒๘.๐๐๙๓ ล้านบาท หากดำเนินการแล้ววงเงินไม่เพียงพอ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ ให้ กนย. ทำการศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์และคาดการณ์ราคายางพาราในช่วงที่เหลือของปี เพื่อประกอบการพิจารณาความจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการเสริมเพิ่มเติมจากแนวทางระยะสั้นและระยะยาว เพื่อแก้ไขปัญหาราคายางอย่างยั่งยืน ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการสนับสนุนค่าปุ๋ยให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางพาราควรมีระบบการกำกับดูแล และตรวจสอบการขึ้นทะเบียนอย่างรอบคอบและรัดกุม ตลอดจนควรมีการชี้แจงเกษตรกรชาวสวนยางพาราถึงสิทธิ์ในการเข้าร่วมโครงการอย่างชัดเจนและทั่วถึง ควรมีมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตควบคู่ไปด้วย รวมทั้งพิจารณาปรับปรุงการบริหารจัดการเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ ควรเน้นให้การสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และสถาบันเกษตรกรที่มีศักยภาพเป็นหลัก ควรให้มีการจัดทำแผนการดำเนินงานในการลดต้นทุนการผลิตและปริมาณการผลิตอย่างเป็นระบบ รวมทั้งการเพิ่มมูลค่าและส่งเสริมการใช้ยางภายในประเทศ โดยบูรณาการองค์ความรู้และงานวิจัยและพัฒนาของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องประกอบการจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อเร่งปรับระบบการผลิตยางพาราของไทยให้สอดคล้องกับสถานการณ์การผลิตและการตลาดยางพาราโลก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. เพื่อให้หน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบและเข้าใจอย่างถูกต้องตรงกันว่า การดำเนินโครงการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติในข้อ ๑ เป็นแนวทางการดำเนินการที่มีความเหมาะสมและจะสามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว จึงให้ฝ่ายเลขานุการ กนย. นำมติคณะรัฐมนตรีเรื่องนี้รายงานต่อที่ประชุม กนย. ว่าเป็นการดำเนินการที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่แล้ว โดยหากจะพิจารณามาตรการเพิ่มเติม ก็ให้ กนย. พิจารณาแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
27456 | สรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี 2556 | นร11 | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจ้างแรงงานและรายได้ ๑.๑ การจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๗ และมีอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๗๓ ยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว การปรับค่าจ้างแรงงาน ๓๐๐ บาท และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้สถานประกอบการพยายามปรับการทำงานให้อยู่ในช่วงเวลาปกติมากขึ้น ๑.๒ ค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนภาคเอกชนที่ยังไม่รวมค่าล่วงเวลาและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๐ ขณะที่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๓ ทำให้ค่าจ้างและเงินเดือนภาคเอกชนที่แท้จริงเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๕ สำหรับผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๙ ต่ำกว่าร้อยละ ๔.๐ ในไตรมาสที่แล้ว ๑.๓ แรงงานเยาวชนที่จะเป็นกำลังหลักในอนาคตมีแนวโน้มลดลงและส่วนใหญ่มีการศึกษาต่ำ โดยอัตราการมีส่วนร่วมกำลังแรงงานเยาวชนลดลงจากร้อยละ ๕๓.๑ ในปี ๒๕๕๔ เป็นร้อยละ ๔๖.๘ ในปี ๒๕๕๕ หรือประมาณ ๔.๘๒ ล้านคน เนื่องจากเยาวชนประมาณร้อยละ ๔๐ ยังอยู่ระหว่างการศึกษา แรงงานกลุ่มเยาวชนร้อยละ ๖๗.๙ มีการศึกษาระดับมัธยมต้นและต่ำกว่า และร้อยละ ๑๘.๘ มีการศึกษาระดับมัธยมปลาย ขณะที่การศึกษาระดับ ปวช. และ ปวส. ซึ่งตลาดมีความต้องการสูงมีสัดส่วนเพียงร้อยละ ๕.๗ และ ๓.๙ ตามลำดับ ที่เหลือร้อยละ ๓.๗ มีการศึกษาระดับปริญญาตรีและมากกว่า ๒. ด้านสุขภาพ เยาวชนมีความเครียดและมีการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากขึ้น โดยผลการสำรวจของสถาบันรามจิตติเรื่องสภาวการณ์เด็กและเยาวชนไทยในรอบปี ๒๕๕๕ พบว่า สาเหตุของความเครียดส่วนใหญ่มาจากปัญหาการเรียน เด็กระดับอุดมศึกษามีความเครียดมากที่สุดร้อยละ ๔๖ รองลงมาคือ เด็กระดับอาชีวศึกษามีความเครียดร้อยละ ๔๕ ขณะที่กลุ่มวัยรุ่น ๑๐-๑๙ ปี มีการฆ่าตัวตายประมาณปีละ ๒๐๐ คน ซึ่งมีสาเหตุจากปัญหาการเรียนและปัญหาความรัก และข้อมูลของสำนักระบาดวิทยาพบว่า กลุ่มเยาวชนอายุ ๑๕-๒๔ ปี มีอัตราป่วย ๖๒.๗๙ รายต่อประชากรแสนคนในปี ๒๕๕๑ เพิ่มขึ้นเป็น ๙๐.๐๖ รายต่อประชากรแสนคนในปี ๒๕๕๔ ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าอัตราป่วยรวม ๒ เท่า สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันร้อยละ ๘๓ ๓. ด้านพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของคนในสังคมไทย จำนวนผู้สูบบุหรี่มีแนวโน้มลดลงจาก ๑๑.๙๖ ล้านคนในปี ๒๕๔๔ เป็น ๑๐.๙๑ ล้านคนในปี ๒๕๕๒ แต่ในปี ๒๕๕๔ กลับเพิ่มขึ้นเป็น ๑๑.๕๑ ล้านคน ขณะที่อัตราการดื่มสุราลดลงจากร้อยละ ๓๒.๖ ในปี ๒๕๔๔ เป็นร้อยละ ๓๑.๕ ในปี ๒๕๕๔ ๔. ด้านความมั่นคงทางสังคม มีประเด็นเฝ้าระวัง ๔.๑ สถานการณ์การแพร่ระบาดยาเสพติดยังคงทวีความรุนแรง พบการจับกุมผู้ค้าและผู้เสพยังคงมีสัดส่วนมากที่สุดของคดีอาญารวม โดยรับแจ้ง ๑๑๐,๗๑๑ ราย เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๕ และจากไตรมาสก่อนหน้า ร้อยละ ๑๙.๗ และ ๐.๑ ตามลำดับ จับกุมผู้ต้องหาได้ ๑๑๕,๒๒๘ คน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๕ ร้อยละ ๕๕.๒ แต่ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ ๐.๒ การแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่เป็นทั้งนักค้ารายใหม่และเป็นผู้เสพ โดยปลายปี ๒๕๕๕ พบนักค้ารายใหม่อายุน้อย ๑๒ ปี ๔.๒ การเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๕ ร้อยละ ๙ และพบแนวโน้มการเสียชีวิตของกลุ่มเด็กวัยเรียนและวัยรุ่นสูงขึ้น เด็กอายุ ๑-๑๕ ปี เสียชีวิตกว่าปีละ ๖๕๐ ราย เยาวชนวัย ๑๕-๒๔ ปี ปีละ ๓,๖๐๐ ราย
|
|||||||||||||||||||||
27457 | รายงานผลการดำเนินงาน ขอความเห็นชอบขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 7 เมษายน 2553 และขออนุมัติเปลี่ยนแปลงงบประมาณเพื่อนำมาใช้ในการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรและการจัดการหนี้ของเกษตรกรตามกฎหมายกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร | นร | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง โครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร) ๑.๑ เกษตรกรแสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๑๑๐,๒๒๘ ราย เกษตรกรผ่านการอบรมฯ ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ได้รับเงินสนับสนุนการฟื้นฟูอาชีพแล้ว จำนวน ๔,๙๑๙ ราย เกษตรกรผ่านการอบรมฯ ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้รอรับเงินสนับสนุนการฟื้นฟูอาชีพ จำนวน ๕,๗๔๓ ราย เกษตรกรผ่านการอบรมฯ ยังไม่ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน ๖๒,๒๐๐ ราย เกษตรกรยังไม่ผ่านการอบรมฯ และยังไม่ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน ๓๗,๓๖๖ ราย ๑.๒ เกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรแสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการฯ ได้ผ่านการอบรมปรับกระบวนทัศน์แต่ยังไม่ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ และเกษตรกรที่เสนอความจำนงเข้าร่วมโครงการฯ แต่ยังไม่ผ่านการอบรมปรับกระบวนทัศน์และยังไม่ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ รวมแล้วเหลืออีกจำนวน ๙๙,๕๖๖ ราย เนื่องจากประสบปัญหาอุปสรรคทำให้การดำเนินงานล่าช้าไม่เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด ประกอบกับโครงการฯ ได้สิ้นสุดลงในปีงบประมาณ ๒๕๕๕ (กันยายน ๒๕๕๕) จำเป็นต้องขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานออกไปอีกเป็นระยะเวลา ๑๘ เดือน โดยนับจากวันที่คณะรัฐมนตรีพิจารณามีมติเพื่อกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรสามารถนำเงินงบประมาณที่เหลืออยู่ไปดำเนินงานตามโครงการฯ ๒. เห็นชอบขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๓ ออกไปอีกเป็นระยะเวลา ๑๘ เดือน นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ กันยายน ๒๕๕๖) โดยใช้จ่ายจากเงินโครงการที่คงเหลือในบัญชีสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เป็นเงิน ๙๔๕,๓๙๒,๗๑๐ บาท และเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการขยายระยะเวลาโครงการฯ แล้ว หากมีเงินเหลือให้คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรนำไปดำเนินงานตามกฎหมายต่อไป ๓. อนุมัติเปลี่ยนแปลงงบประมาณเพื่อนำมาใช้ในการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ตามมาตรา ๓๐ มาตรา ๓๑ และมาตรา ๓๗/๙ วรรคท้าย และการจัดการหนี้ของเกษตรกร ตามมาตรา ๓๗/๙ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. ๒๕๔๒ และ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๔ พร้อมค่าใช้จ่ายดำเนินงานของสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดกลไกการตรวจสอบและติดตามการนำงบประมาณที่ได้รับอนุมัติดังกล่าวไปใช้เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และควรมีการประเมินผลโครงการฯ อย่างต่อเนื่องด้วย |
|||||||||||||||||||||
27458 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) และการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ อุทกภัย (เพิ่มเติม) | นร07 | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ เป็นเงิน ๑๔๑.๓๗๗๕ ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณจะได้พิจารณาดำเนินการจัดสรรงบประมาณต่อไป ได้แก่ กรมชลประทาน เป็นเงิน ๒๖.๑๐๖๐ ล้านบาท กรมประชาสัมพันธ์ เป็นเงิน ๑๘.๖๕๓๐ ล้านบาท และกระทรวงมหาดไทย เป็นเงิน ๙๖.๖๑๘๕ ล้านบาท และขยายเวลาดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน ๓ รายการ ได้แก่ โครงการสำรวจระดับแม่น้ำและคลองสายสำคัญ โครงการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลเคลื่อนที่ในภาวะฉุกเฉิน และโครงการร่วมดำเนินการและสนับสนุน JICA เพื่อจัดทำข้อมูลความสูงภูมิประเทศของพื้นที่รับน้ำนอง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๙๑.๑๒๐๐ ล้านบาท ๒. รับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ในส่วนของการจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามสัญญาหรือดำเนินการเอง และผลการเบิกจ่ายของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งวงเงินงบประมาณคงเหลือ โดย ณ วันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ ๑๑๙,๒๗๘.๑๗๔๖ ล้านบาท คงเหลือ ๗๒๑.๘๒๕๔ ล้านบาท ประกอบด้วย รายการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้วและยังไม่ได้จัดสรรงบประมาณ จำนวน ๔๗๗.๒๓๓๑ ล้านบาท (รวมรายการที่ส่วนราชการฯ ยังมิได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณ เนื่องจากต้องดำเนินการขอขยายระยะเวลาขอรับการจัดสรรงบประมาณ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ จำนวน ๒ รายการ วงเงิน ๑๔๔.๙๔๐๐ ล้านบาท) และวงเงินคงเหลือที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้ทันทีอีกเป็นจำนวน ๒๔๔.๕๙๒๓ ล้านบาท ทั้งนี้ วงเงินคงเหลือที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีกหลังจากอนุมัติตามข้อ ๑ แล้ว จะเป็นเงิน ๑๐๓.๒๑๔๘ ล้านบาท (๒๔๔.๕๙๒๓ ล้านบาท-๑๔๑.๓๗๗๕ ล้านบาท) |
|||||||||||||||||||||
27459 | ร่างกรอบการเจรจาความตกลงเพื่อความร่วมมือด้านภาษีอากรระหว่างประเทศและการปฏิบัติตาม Foreign Account Tax Compliance Act ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา | กค | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกรอบการเจรจาความตกลงเพื่อความร่วมมือด้านภาษีอากรระหว่างประเทศและการปฏิบัติตาม Foreign Account Tax Compliance Act ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพของระบบภาษีและการสร้างเครือข่ายการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านภาษีระหว่างประเทศ และส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของสถาบันการเงินไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเจรจากระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ รวมทั้งผลกระทบและภาระที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงินของไทยที่จะได้รับจากการทำความตกลงดังกล่าว และควรพิจารณาถึงข้อจำกัดของกฎหมายไทยในปัจจุบันที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติตาม Foreign Account Tax Compliance Act ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจจำเป็นต้องมีการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดำเนินการตามความตกลงและบรรลุวัตถุประสงค์ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของภาครัฐในการตรวจสอบและสร้างฐานข้อมูลทางภาษีอากรของแหล่งรายได้ของคนชาติที่อยู่นอกประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาครัฐในการนำข้อมูลดังกล่าวไปศึกษาและพัฒนาการจัดเก็บภาษีเพื่อเพิ่มแหล่งรายได้ของรัฐและเป็นการพัฒนาระบบการคลังของประเทศในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
27460 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี พ.ศ. .... | มท | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลสองพี่น้อง บางส่วนของตำบลบางพลับ บางส่วนของตำบลหัวโพธิ์ บางส่วนของตำบลศรีสำราญ บางส่วนของตำบลต้นตาล บางส่วนของตำบลเนินพระปรางค์ และบางส่วนของตำบลบางเลน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะและสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....