ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1377 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 27521 - 27540 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
27521 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองแม่ฮ่องสอน พ.ศ. .... | มท | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองแม่ฮ่องสอน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่ตำบลปางหมู และตำบลจองคำ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
27522 | ขออนุมัติจัดทำความตกลงและบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการระหว่างไทยกับโมซัมบิก ไทยกับแทนซาเนีย และไทยกับยูกันดา | กต | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำความตกลงและบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่างไทยกับโมซัมบิก ไทยกับแทนซาเนีย และไทยกับยูกันดา และเห็นชอบร่างความตกลงและบันทึกความเข้าใจ จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑ ร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การจัดส่งคณะผู้แทนไทยไปศึกษาติดตามและประเมินผลโครงการพัฒนา การมอบหมายผู้เชี่ยวชาญหรืออาสาสมัครไทยไปปฏิบัติงาน การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการดำเนินโครงการพัฒนาในสาธารณรัฐโมซัมบิก การแลกเปลี่ยน เจ้าหน้าที่ การให้ทุนการศึกษาและฝึกอบรม ๑.๒ ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนียว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ และร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐยูกันดาว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และสิ่งอำนวยความสะดวกในการฝึกอบรม ส่งเสริมการศึกษา และโครงการที่ก่อให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม การให้ความช่วยเหลือในโครงการเฉพาะต่าง ๆ และความช่วยเหลือในรูปแบบอื่นที่ตกลงร่วมกัน ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามความตกลงและบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างความตกลงและบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||
27523 | ขอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (พลเอก ขวัญชาติ กล้าหาญ) | กห | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งพลเอก ขวัญชาติ กล้าหาญ ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเสนอ
|
||||||||||||||||||
27524 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) | นร | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๔ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นางเยาวลักษณ์ มานะตระกูล ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) ตั้งแต่วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ ๒. นายธวัชชัย กิจรัตนะกุล ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) ตั้งแต่วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ ๓. นายสุมิต แสนกุลศิริศักดิ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) ตั้งแต่วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ๔. นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) ตั้งแต่วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||
27525 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนพฤษภาคม 2556 | นร04 | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ซึ่งจากรายงานผลการดำเนินงานของส่วนราชการต่าง ๆ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) พิจารณาแล้ว มีความเห็น ดังนี้
๑. โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกวา ๕๐๐,๐๐๐ บาท ในส่วนการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ดำเนินโครงการสำหรับสหกรณ์การเกษตรหรือสถาบันเกษตรกร โดยพักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้แก่สมาชิก เป็นระยะเวลา ๓ ปี ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณากรอบวงเงินในการดำเนินโครงการ โดยขณะนี้เวลาได้ล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์พิจารณาจัดทำข้อมูลเชิงเปรียบเทียบระหว่างจำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนในโครงการรับจำนำข้าว และจำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าว รวมถึงหาสาเหตุที่ทำให้จำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนและเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวมีความแตกต่างกัน ๓. ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการติดตาม ตรวจสอบการรับจำนำสินค้าเกษตร และพบการกระทำความผิด จึงเห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามขั้นตอนตามที่เห็นสมควรและรายงานให้ทราบ ๔. ปัญหาในการดำเนินการของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ (กบช.) ที่อาจจะทำให้ไม่สามารถใช้งบประมาณได้ทัน เห็นควรให้กรมที่ดินประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อหาแนวทางในการดำเนินการเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อให้การดำเนินการของ กบช. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป
|
||||||||||||||||||
27526 | การแต่งตั้งข้าราชการ (นางสาวนงนารถ เพชรสม) | นร10 | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาวนงนารถ เพชรสม ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาระบบราชการ (นักทรัพยากรบุคคลทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน ก.พ. สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
|
||||||||||||||||||
27527 | รายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม | อก | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ณ เมืองมุมไบ สาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ เพื่อจัดกิจกรรมชักจูงการลงทุน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดพิธีเปิดสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ เมืองมุมไบ อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๖ โดยมีพิธีเปิดสำนักงานฯ ที่โรงแรม Trident, Nariman Point มีนักลงทุนอินเดีย หน่วยงานภาครัฐและเอกชนอินเดียและของไทย รวมทั้งสื่อมวลชนของสองประเทศเข้าร่วมพิธีเปิดดังกล่าว ทั้งนี้ สำนักงานดังกล่าวเป็นสำนักงานต่างประเทศแห่งที่ ๑๔ ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ตั้งอยู่ภายในสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ มีเจ้าหน้าที่จาก สกท. ประจำการ จำนวน ๑ คน โดยเปิดให้บริการเพื่อใช้เป็นศูนย์กลางความร่วมมือทางด้านการส่งเสริมการลงทุนในเชิงรุก อำนวยความสะดวก และให้ข้อมูลที่สำคัญแก่นักลงทุนไทยและอินเดียเพื่อใช้ในการประกอบกิจการและพิจารณาตัดสินใจลงทุนในอนาคต ตลอดจนอำนวยความสะดวกและช่วยประสานแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับนักลงทุน ๒. การบรรยายสรุปโอกาสการลงทุน และการเสวนาในหัวข้อ “Thailand-India Investment Cooperation” โดยมีประเด็นเสวนา ได้แก่ ๒.๑ ความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ระหว่างไทยกับอินเดียจะทำให้การค้าและการลงทุนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากเดิม ๑ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น ๒ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ๒.๒ โอกาสการลงทุนของอินเดียในไทยพิจารณาจากสถิติการลงทุนของนักลงทุนอินเดียในไทยถือว่าเป็น ๑ ใน ๑๐ ชาติที่มีการลงทุนมากที่สุด โดยลงทุนมากที่สุดในอุตสาหกรรมสิ่งทอ (Textile) ทั้งนี้ การจัดทำ FTA จะช่วยกระตุ้นการเติบโตด้านการลงทุนและการค้าในหลาย ๆ อุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก เป็นต้น อีกทั้งแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมในไทยจะช่วยให้การดำเนินธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น ๒.๓ ปัจจัยที่ควรเลือกไทยเป็นประตูการค้า (Gateway) สู่อาเซียน คือ เหตุผลทางภูมิศาสตร์ เพราะไทยถือเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ประกอบกับมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี มีกำลังไฟฟ้าเพียงพอและเสถียร ขณะที่อินเดียเกิดเหตุไฟฟ้าดับบ่อยครั้ง นอกจากนี้ ยังมี สกท. ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางให้ข้อมูลและประสานการอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนได้อย่างเป็นอย่างดี ๒.๔ โอกาสการขยายการลงทุนจากอินเดียมายังไทยยังเป็นไปได้อีกมาก โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ มีจำนวนรวมกันกว่าร้อยละ ๘๕ ของบริษัททั้งหมดในอินเดีย โดย สกท. มีมาตรการให้การส่งเสริมการลงทุนสำหรับ SMEs ด้วย รวมทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมีสมาคมในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและขอคำแนะนำได้โดยประสานผ่านสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ เมืองมุมไบ ๓. การพบหารือกับนักลงทุนอินเดียเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะได้พบหารือกับบริษัทอินเดีย จำนวน ๓ ราย จาก ๓ อุตสาหกรรม คือ อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมเภสัชภัณฑ์ โดยหารือเรื่องโอกาสการลงทุนในประเทศไทย ทั้งนี้ บริษัทอุตสาหกรรมเภสัชภัณฑ์มีความสนใจเป็นพิเศษที่จะลงทุนในประเทศไทย โดยมีแผนจะยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทยภายในปี ๒๕๕๖ เริ่มต้นด้วยการลงทุนมูลค่าประมาณ ๑๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะขยายเป็น ๒๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในระยะเวลา ๔ ปี
|
||||||||||||||||||
27528 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ | นร11 | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวภารณี วัฒนา ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) ตั้งแต่วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๒. นางปัทมา เธียรวิศิษฎ์สกุล ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) ตั้งแต่วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||
27529 | รัฐบาลสาธารณรัฐซูดานเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย | กต | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายคอลิด อับดิลกอดิร ชุกรี (Mr. Khalid Abdelgadir Shukri) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐซูดานประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ สืบแทนนายนาดีร์ ยูซิฟ เอลทาเยบ บาบิเกร์ (Mr. Nadir Yousif Eltayeb Babiker) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||
27530 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิด หรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดสิงห์บุรี พ.ศ. .... | มท | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิด หรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดสิงห์บุรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อประโยชน์ในด้านการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับ ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้มีสาระสำคัญเช่นเดียวกับประกาศกระทรวงมหาดไทยซึ่งสิ้นผลใช้บังคับในวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ดังนั้น เพื่อให้กฎหมายมีผลใช้บังคับได้อย่างต่อเนื่องและไม่ให้เกิดช่องว่างของกฎหมายภายหลังจากที่ประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวได้สิ้นผลแล้ว เห็นควรที่กระทรวงมหาดไทยจะได้เสนอร่างกฎกระทรวงมาล่วงหน้าเพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการออกกฎกระทรวงเพื่อให้กฎหมายมีผลใช้บังคับต่อเนื่องก่อนประกาศกระทรวงมหาดไทยจะสิ้นสุดลง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
27531 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "มาตรการเชิงรุก - เชิงรับ สำหรับสินค้าเกษตร (ยางพารา) เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" | สสป | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "มาตรการเชิงรุก - เชิงรับ สำหรับสินค้าเกษตร (ยางพารา) เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง องค์การสวนยาง กรมวิชาการเกษตร และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ มีดังนี้
๑. ปรับปรุงกฎระเบียบ นโยบาย โครงสร้างองค์กร ในการบริหารจัดการสินค้าเกษตร (ยางพารา) ทั้งระบบให้เข้มแข็ง โดย ๑.๑ เร่งรัดผลักดันให้ร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทยผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และมีผลบังคับใช้ในทางปฏิบัติโดยเร็ว เพราะจะส่งผลให้อุตสาหกรรมยางพารา ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ได้รับการดูแลและพัฒนาอย่างเป็นระบบ ๑.๒ ส่งเสริมให้มีการรวมตัวกันเป็นเครือข่ายวิสาหกิจ (Cluster) ที่มีการกำหนดทิศทาง เป้าหมาย รวมทั้งกลยุทธ์ในการพัฒนาร่วมกัน ๑.๓ ส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกรเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร (ยางพารา) ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๘๔ (๑๔) ในการทำอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางขั้นปฐม ๑.๔ ส่งเสริมในด้านการวิจัยและพัฒนา โดยเน้นการวิจัยเพื่อให้มีการปรับตัวและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่การแข่งขันเมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๑.๕ ส่งเสริมให้มีการเพิ่มผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่และลดต้นทุนการผลิต พร้อมทั้งส่งเสริมเกษตรกรมีการแปรรูปยางให้มากขึ้นภายใต้การควบคุมผลผลิตให้มีมาตรฐาน ๑.๖ จัดระบบการบริหารเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (CESS) ควบคู่กับทำการศึกษาแนวทางการจัดเก็บเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง ในการส่งยางออกนอกราชอาณาจักร ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงโครงสร้างอุตสาหกรรมยางทั้งระบบ และความได้เปรียบเสียเปรียบทางการค้าระหว่างประเทศ ๑.๗ กำหนดทิศทางและนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางของภาครัฐ ให้มีความชัดเจนและต่อเนื่อง ๑.๘ รัฐควรเตรียมความพร้อมในระบบขนส่งและการบริหารจัดการระบบขนส่ง (Logistics) ให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงระบบศุลกากรและการอำนวยความสะดวก ๑.๙ ทบทวนข้อบังคับและกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายบทบัญญัติที่เป็นอุปสรรคต่อการเปิดเสรีในเรื่องยาง โดยเฉพาะการห้ามนำยางเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งอาจเป็นปัญหาในการเคลื่อนย้ายสินค้าในอาเซียน ๒. ยกระดับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศอาเซียน โดย ๒.๑ ให้ผู้แทนประเทศผู้ผลิตยางพาราทั้งหมดในอาเซียน เข้ามามีส่วนร่วมการจัดทำ Road Map ในการพัฒนาอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่ประเทศมาเลเซียเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดทำ ๒.๒ ปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารงานร่วมกันขององค์กรยางพารา ๓ ประเทศ (ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย) และบริษัทร่วมทุน รวมถึงควรเชิญประเทศผู้ผลิตยางพาราทั้งหมดในอาเซียนเข้าร่วมในองค์กร/บริษัทร่วมทุน เพื่อเป็นการผนึกกำลังภายในกลุ่มอาเซียนให้มีความเป็นเอกภาพเรื่องราคา ๒.๓ ควรประสานความร่วมมือด้านการบริหารจัดการระบบขนส่ง (Logistics) เน้นประสิทธิภาพการขนส่งทางบก ทางน้ำ และทั้งระบบ โดยการบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒.๔ ยกระดับเพื่อกำหนดมาตรฐานวิชาชีพยางในกลุ่มประเทศอาเซียน ส่งเสริมความรู้ทางวิชาการยางของกลุ่มประเทศอาเซียนให้แพร่หลายและเป็นที่รู้จัก ตลอดจนส่งเสริมการจัดตั้งสมาคมนักวิชาการด้านยางพาราของอาเซียน เพื่อพัฒนาผลงานและแลกเปลี่ยนความรู้/เทคโนโลยีระหว่างกัน ๒.๕ เน้นการมีจุดยืนร่วมกันในเวทีโลก โดยเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ที่มีการประสาน/มีอำนาจต่อรองกับผู้ใช้ยางธรรมชาติในโลก รวมถึงส่งเสริมให้ประเทศไทยในฐานะผู้นำการส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของโลก เป็นศูนย์กลางยางพาราโลก
|
||||||||||||||||||
27532 | มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | กค | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามลำดับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ๒. นางเบญจา หลุยเจริญ
|
||||||||||||||||||
27533 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายพิทยา พุกกะมาน) | ทส | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายพิทยา พุกกะมาน ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||
27534 | การลงนามข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐโมซัมบิก | พณ | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการจัดทำและเห็นชอบข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐโมซัมบิก เพื่อเป็นแนวทางในการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างสองประเทศที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม โดยร่างข้อตกลงฯ มีสาระสำคัญครอบคลุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย การอำนวยความสะดวกและการส่งเสริมทางการค้าและการลงทุน การส่งเสริมการลงทุนร่วมระหว่างภาคเอกชนสองฝ่าย และความร่วมมือทางเศรษฐกิจในสาขาที่สองฝ่ายมีศักยภาพ อาทิ เกษตร ป่าไม้ ประมง ปศุสัตว์ อัญมณีและเครื่องประดับ แร่ธาตุ และพลังงาน เป็นต้น รวมทั้งการตั้งกลไกการหารือภายใต้คณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ระหว่างไทยและโมซัมบิก เพื่อเป็นเวทีในการหารือเพื่อแก้ไขปัญหาทางการค้า และส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามข้อตกลงฯ ๑.๓ หากมีการแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำของร่างข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ โดยถ้อยคำดังกล่าวสอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์สามารถพิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับข้อบทความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ ข้อบทที่ ๖ (Article 6 Economic Cooperation) ที่มีการระบุคำว่าการเกษตร (agriculture) ซึ่งคำดังกล่าวครอบคลุมถึงพืชและสัตว์อยู่แล้ว จึงขอให้พิจารณาตัดคำว่า ปศุสัตว์ (livestock) และในส่วนของสาขาการประมง (fisheries) ซึ่งครอบคลุมถึงการเพาะเลี้ยงสัตว์ (aquaculture) จึงขอให้ตัดคำว่าการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (aquaculture) ออก สำหรับการตั้งกลไกการหารือภายใต้คณะกรรมการร่วมทางการค้าเพื่อเป็นเวทีในการหารือเพื่อแก้ปัญหาและส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ควรดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยควรหารือกับหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้องกับสาขาความร่วมมือครอบคลุมด้านต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
27535 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสโลวีเนียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการ | กต | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสโลวีเนียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการ จัดทำขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้า-ออก และพำนักเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในดินแดนของแต่ละฝ่าย ของบุคคลที่ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ โดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตราเป็นระยะเวลาไม่เกิน ๙๐ วัน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งฝ่ายสโลวีเนียเมื่อได้ดำเนินการภายในเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างข้อ ๒ ของความตกลงฯ สำหรับระยะเวลาการอนุญาตให้พำนักในประเทศไทย การกำหนดข้อความ "ภายในรอบระยะเวลา ๑๘๐ วัน" อาจเกิดปัญหากระทบถึงการให้บริการในภาพรวมได้ เนื่องจากในการตรวจอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรต้องตรวจสอบระยะเวลา ๑๘๐ วัน ด้วย จึงเห็นสมควรที่จะได้มีการพิจารณาในประเด็นนี้อย่างรอบคอบเพื่อมิให้เกิดปัญหาในการใช้บังคับความตกลงดังกล่าวต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม หากหลักการอนุญาตให้พำนักในประเทศไทยมีกำหนดระยะเวลาไม่เกิน ๙๐ วัน โดยไม่ต้องพิจารณาระยะเวลา ๑๘๐ วัน ด้วย สมควรแก้ไขถ้อยคำเพื่อให้เกิดความชัดเจน ส่วนกิจกรรมที่ต้องห้ามดำเนินการ ตามความในตอนท้ายของร่างข้อ ๒ กำหนดเงื่อนไขว่า ผู้ได้รับการตรวจลงตราต้องไม่ดำเนินการในลักษณะที่เป็น "employment" "self-employment" และ "any other private activity" นั้น เห็นว่า "any other private activity" เป็นถ้อยคำที่มีความหมายกว้างและไม่ชัดเจน หากกิจกรรมที่ต้องห้ามดำเนินการครอบคลุมเฉพาะกิจกรรมในทางธุรกิจ สมควรใช้ถ้อยคำว่า "any other business activity" ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
27536 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไนทรัสออกไซด์ทางการแพทย์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกา กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมออกซิเจนทางการแพทย์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | อก | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไนทรัสออกไซด์ทางการแพทย์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมในทรัสออกไซด์ที่ใช้ในการแพทย์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมออกซิเจนทางการแพทย์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมออกซิเจนการแพทย์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน |
||||||||||||||||||
27537 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร | สผ | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร พร้อมผลการพิจารณาตามข้อสังเกตดังกล่าวที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป โดยในส่วนข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีดังนี้
๑. การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ในการสะกดรอยผู้ต้องสงสัยว่ากระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยใช้เครื่องมือสื่อสารโทรคมนาคม เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ หรือด้วยวิธีการอื่นใดนั้น คณะกรรมาธิการพิจารณาแล้วเห็นว่า อาจจะกระทบถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้ ดังนั้น ต้องกำหนดให้ชัดเจนไว้ในข้อบังคับของอัยการสูงสุด เกี่ยวกับการใช้เครื่องมือสื่อสารโทรคมนาคม เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ หรือด้วยวิธีการอื่นใด ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา และกำหนดให้ชัดเจนด้วยว่าผู้ต้องสงสัยจะมีลักษณะเป็นอย่างไรนั้น ให้เป็นไปตามข้อบังคับที่อัยการสูงสุดกำหนด ๒. เพื่อประโยชน์ในการประสานการปฏิบัติงานป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามมาตรา ๑๒ ควรให้อัยการสูงสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และหัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องร่วมกันทำข้อตกลงกันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในคดีระหว่างหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง โดยต้องเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว |
||||||||||||||||||
27538 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายนิรุตติ คุณวัฒน์ นายพิบูลย์เขตร นิธิอนันตภร) | วท | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
๑. นายนิรุตติ คุณวัฒน์ ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๒. นายพิบูลย์เขตร นิธิอนันตภร ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
|
||||||||||||||||||
27539 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย - เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 2 | นร11 | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ (Joint High-level Committee : JHC) เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย (Dawei Special Economic Zone : DSEZ) และพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ณ กรุงเทพมหานคร ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้ข้อสรุปร่วมกันเกี่ยวกับโครงสร้างการจัดตั้งกลไกการลงทุนระหว่างประเทศในลักษณะของนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicle : SPV) และการจัดตั้งบริษัท ทวาย เอส อี แซด ดีเวลล๊อปเม้นท์ จำกัด (Dawei SEZ Development Co., Ltd.) โดย SPV จะทำหน้าที่พิจารณาและคัดเลือกข้อเสนอของผู้ที่จะมาลงทุนในโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในรูปของบริษัทเฉพาะกิจ (Special Purpose Company : SPC) ของแต่ละโครงการย่อย รวมทั้งกำกับดูแลภาพรวมการดำเนินงานของโครงการทวายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ที่ประชุมเห็นชอบร่างสัญญาข้อตกลงผู้ถือหุ้น (Shareholders Agreemment) ของบริษัท ทวาย เอส อี แซดฯ ซึ่งระบุให้ฝ่ายเมียนมาร์และไทยถือหุ้นของบริษัทในสัดส่วนเท่ากันผ่านทางสำนักงานพัฒนาความร่วมมือเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) สำหรับฝ่ายไทย และกรมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (Foreign Economic Relations Department : FERD) สำหรับฝ่ายเมียนมาร์ ภายใต้ทุนจดทะเบียนเริ่มต้น ๑๒ ล้านบาท ๓. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการของร่างข้อตกลง Framework Agreement ฉบับใหม่ ระหว่างบริษัท ทวาย เอส อี แซดฯ กับ DSEZMC และมอบให้คณะทำงานร่วมไทย-เมียนมาร์ จัดประชุมเพื่อหาข้อสรุปในรายละเอียดของร่างข้อตกลงฯ ภายใต้กฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษฉบับใหม่ของเมียนมาร์ โดยคาดว่าจะสามารถลงนามในร่างข้อตกลงฯ เมื่อเมียนมาร์ผ่านกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษฉบับใหม่เป็นที่เรียบร้อย ๔. ที่ประชุมรับทราบแผนพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายอย่างเป็นขั้นตอน โดยระยะเริ่มต้น ๕ ปีแรก (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ (๑) ถนนทางเข้า (Access Road) ขนาด ๒ ช่องทางจราจร เชื่อมต่อโครงการทวายมายังบ้านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี (๒) ท่าเรือขนาดเล็กเพื่อรองรับเรือบรรทุกสินค้าที่ความจุของเรือ ๑๓,๐๐๐ DWT (๓) โรงงานผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติขนาด ๓๖ เมกะวัตต์ (๔) อ่างเก็บน้ำสำหรับจ่ายน้ำปริมาตร ๓๖,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อวัน และ (๕) พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในระยะแรก เช่น อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมสิ่งทอ เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมมอบให้คณะทำงานร่วมไทย-เมียนมาร์ จัดประชุมเพื่อร่วมกันพิจารณารายละเอียดของแผนพัฒนาโครงการ พร้อมทั้งหารือเกี่ยวกับบทบาทของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ในการดำเนินงานต่อไปในระหว่างที่ SPV ยังอยู่ในช่วงระดมทุน ๕. ที่ประชุมรับทราบแนวทางการกำหนดขอบเขตในบริเวณโครงการทวายใหม่ ตามที่ผู้แทนฝ่ายเมียนมาร์เสนอ ซึ่งสามารถลดผลกระทบด้านจำนวนครัวเรือนที่ต้องโยกย้ายออกจากพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่ง โดยมอบให้คณะทำงานร่วมไทย-เมียนมาร์จัดประชุมเพื่อร่วมกันพิจารณารายละเอียดของแผนการดำเนินงานโยกย้ายประชาชน รวมทั้งงบประมาณในการชดเชยและจัดหาที่อยู่อาศัยใหม่ เพื่อให้กระบวนการได้มาซึ่งที่ดินอยู่ภายใต้งบประมาณที่ควบคุมได้ ๖. ที่ประชุมเห็นชอบให้หน่วยงานจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการอย่างเป็นทางการ และรับทราบข้อเสนอของคณะผู้แทนจากญี่ปุ่นในการจัดประชุมหารือไตรภาคีระหว่างเมียนมาร์ ไทย และญี่ปุ่น โดยฝ่ายเมียนมาร์ได้เน้นย้ำความสำคัญของโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายเทียบเท่ากับโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษติละวา และโครงการทวายยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของเมียนมาร์ พร้อมทั้งระบุขอความช่วยเหลือจากญี่ปุ่น (Official Development Assistance : ODA) ทั้งในด้านเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าเพื่อการพัฒนาประเทศ และการสนับสนุนทางเทคนิค (Technical Assistance) ทั้งนี้ ที่ประชุมมอบให้คณะทำงานร่วมไทย-เมียนมาร์เตรียมการในรายละเอียดของประเด็นหารือต่าง ๆ เพื่อจัดประชุมหารือไตรภาคีอย่างเป็นทางการระหว่างเมียนมาร์ ไทย และญี่ปุ่น ในกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ ๗. ที่ประชุมเป็นสักขีพยานในการลงนามสัญญาข้อตกลงผู้ถือหุ้น (Shareholders Agreement) ของบริษัท ทวาย เอส อี แซดฯ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญสำหรับขับเคลื่อนโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายต่อไป ๘. ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการประชุม JHC ครั้งต่อไปในเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ที่เมียนมาร์ โดยประธานร่วมจะกำหนดวันที่ชัดเจนในภายหลัง
|
||||||||||||||||||
27540 | รายงานความก้าวหน้ารายการก่อสร้างที่ดำเนินการล่าช้าโครงการภายใต้แผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2) | สธ | 19/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้ารายการก่อสร้างที่ดำเนินการล่าช้าโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ (แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ ๒) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีรายการที่ดำเนินการก่อสร้างล่าช้าและเบิกจ่ายเงินไม่แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ จำนวน ๒๐๗ รายการ วงเงิน ๒,๔๗๘,๙๐๐,๑๑๕ บาท ซึ่งต้องขอขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินออกไปถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ ๑.๑ ส่วนที่ ๑ เบิกจ่ายเงินได้ทันภายใน ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ จำนวน ๑๖๑ รายการ ๑.๒ ส่วนที่ ๒ เบิกจ่ายเงินไม่ทันภายใน ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ จำนวน ๔๖ รายการ แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มที่ ๑ ยกเลิกสัญญา จำนวน ๑๙ รายการ แบ่งออกเป็น ขอคืนงบประมาณ จำนวน ๗ รายการ ได้ผู้รับจ้างและขอเงินเพิ่ม จำนวน ๑ รายการ จัดจ้างใหม่ไม่เพิ่มวงเงิน จำนวน ๔ รายการ และอยู่ระหว่างดำเนินการจัดจ้างใหม่ (อยู่ระหว่างดำเนินการประเมินราคากลางใหม่) จำนวน ๗ รายการ กลุ่มที่ ๒ ดำเนินการล่าช้า จำนวน ๒๖ รายการ และกลุ่มที่ ๓ ก่อสร้างเสร็จแล้วรอส่งมอบงาน จำนวน ๑ รายการ ๒. กรมการแพทย์ ดำเนินการก่อสร้างล่าช้า จำนวน ๒ รายการ วงเงิน ๒๑๘,๒๔๙,๓๑๙.๒๗ บาท
|
.....