ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1276 จากทั้งหมด 6213 หน้า แสดงรายการที่ 25501 - 25520 จากข้อมูลทั้งหมด 124251 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
25501 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายวีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์) | สธ | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๕ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายวีระ สถิรอังกูร ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ด้านเวชกรรม สาขาออร์โธปิดิกส์) กลุ่มศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านออร์โธปิดิกส์ กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๕ ๒. นายเอกชัย โควาวิสารัช ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาสิติ-นรีเวชกรรม) กลุ่มงานสูติ-นรีเวชศาสตร์ กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ ๓. นายชุษณะ มะกรสาร ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านสาธารณสุข) กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๖ ๔. นางสุชาดา ฮุนพงษ์สิมานนท์ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขารังสีวิทยา) กลุ่มงานรังสีวิทยา กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลราชวิถี กรมแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๕. นายวีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลขอนแก่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||||||||
25502 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2556 และ 2555 ของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง | รง | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๕ ของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงแรงงานกำกับดูแลกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างให้เร่งดำเนินการจัดทำรายงานฯ ในปีต่อ ๆ ไป เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย โดยมีสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ปี ๒๕๕๖ กองทุนฯ มีสินทรัพย์รวม ๒๙๖,๕๗๕,๗๐๐.๔๓ บาท หนี้สินหมุนเวียนรวม ๘๕๐,๓๒๖.๗๙ บาท เงินกองทุนรวม ๒๙๕,๗๒๕,๓๗๓.๖๔ บาท รวมหนี้สินและเงินกองทุน ๒๙๖,๕๗๕,๗๐๐.๔๓ บาท รายได้รวม ๒๐,๔๗๖,๐๗๔.๓๓ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๔๑,๗๔๐,๐๗๑.๘๑ บาท รายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่าย ๒๑,๒๖๓,๙๙๗.๔๘ บาท ๑.๒ ปี ๒๕๕๕ กองทุนฯ มีสินทรัพย์รวม ๓๑๗,๖๙๘,๓๕๓.๒๔ บาท หนี้สินหมุนเวียนรวม ๗๐๘,๙๘๒.๑๒ บาท เงินกองทุนรวม ๓๑๖,๙๘๙,๓๗๑.๑๒ บาท รวมหนี้สินและเงินกองทุน ๓๑๗,๖๙๘,๓๕๓.๒๔ บาท รายได้รวม ๒๗,๐๑๙,๐๑๒.๐๖ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๑๑๐,๘๕๒,๘๖๖.๒๘ บาท รายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่าย ๘๓,๘๓๓,๘๕๔.๒๒ บาท ๒. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาร่วมกับกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการดำเนินการให้กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเพียงพอแก่การบริหารจัดการกองทุนฯ ได้อย่างเหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
25503 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2557 ณ วันที่ 30 กันยายน 2557 | กค | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ยอดหนี้สาธารณะคงค้างของประเทศ จำนวน ๕,๖๙๐,๘๑๔.๑๕ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๗.๑๘ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ๑.๒ ผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะในช่วง ๖ เดือนหลังของปีงบประมาณ ๒๕๕๗ (เมษายน-กันยายน ๒๕๕๗) กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะตามกรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๖๘๐,๒๑๐.๕๐ ล้านบาท มีความก้าวหน้าคิดเป็นร้อยละ ๕๑.๙๒ ของแผนการบริหารหนี้สาธารณะทั้งปี ส่วนผลการกู้เงินและบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในช่วง ๖ เดือนหลังของปีงบประมาณ ๒๕๕๗ รัฐวิสาหกิจได้กู้เงินและบริหารหนี้รวมทั้งสิ้น ๒๔,๗๕๗.๒๔ ล้านบาท ทั้งนี้ จากผลการบริหารจัดการหนี้ทั้งในส่วนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ มีวงเงินรวมทั้งสิ้น ๔๑๖,๑๘๕.๓๘ ล้านบาท ลดยอดหนี้ได้ ๔๗,๙๓๐.๗๑ ล้านบาท ประหยัดดอกเบี้ยได้ ๕,๘๗๔.๑๗ ล้านบาท ๒. เนื่องจากกระทรวงการคลังต้องรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยการรายงานในรอบ ๑ ปี ตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และการรายงานในรอบ ๖ เดือนหลังของปีงบประมาณตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ มีข้อมูลที่ตรงกัน ดังนั้น เพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบสถานะทางการเงินและหนี้สาธารณะในภาพรวมที่ชัดเจน จึงให้กระทรวงการคลังนำรายงานดังกล่าวทั้งสองรายการรวมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกัน |
|||||||||||||||||||||||||||
25504 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | กค | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อให้กู้ต่อแก่ รฟม. สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ โดยการชำระหนี้คืนก่อนกำหนดจากสัญญาเงินกู้ยืม (Term Loan) ที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ทั้งหมด และที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๕๙ บางส่วน รวมจำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยได้ดำเนินการออกจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ให้กู้ต่อในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ครั้งที่ ๑ (LB21DA) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๖๕ ต่อปี อายุคงเหลือ ๗.๑๕ ปี จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ประมูลในวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ และได้รับเงินจากการประมูลพันธบัตรรัฐบาล เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ ซึ่งได้นำเงินดังกล่าวไปชำระคืนต้นเงินกู้ Term Loan ให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารออมสิน จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ส่วนดอกเบี้ยของต้นเงินกู้ที่ชำระคืนก่อนกำหนดดังกล่าว รฟม. ได้ดำเนินการเบิกจ่ายจากงบประมาณไปชำระโดยตรงให้แก่ธนาคารผู้ให้กู้ทั้ง ๒ แห่งในวันเดียวกัน ๒. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ให้กู้ต่อ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ครั้งที่ ๑ โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาฉบับประกาศและงานทั่วไป เล่ม ๑๓๑ ตอนพิเศษ ๒๒๕ ง วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
25505 | ผลการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี (ระหว่างวันที่ 30 - 31 ตุลาคม 2557) | นร04 | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๓๐-๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เพื่อแนะนำตัวในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ และหารือทวิภาคีเต็มคณะกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา รวมทั้งเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี ตลอดจนพบปะกับนักธุรกิจไทยในกัมพูชา ซึ่งผลการเยือนครั้งนี้ประสบผลสำเร็จลุล่วงด้วยดี ฝ่ายกัมพูชาให้การต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ สมเกียรติ การหารือเป็นไปในบรรยากาศฉันมิตรและได้ความคืบหน้าในหลายประเด็น ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) เสนอ สำหรับประเด็นที่มีความเร่งด่วนที่ต้องปฏิบัติในโอกาสแรก มีดังนี้ ๒.๑ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพผลักดันโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จังหวัดสระแก้ว และจังหวัดตราด และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับนโยบายในภาพรวม ๒.๒ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพผลักดันการเปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านหนองเอี่ยน-สตึงบท และจุดผ่านแดนอื่น ๆ และมอบหมายให้พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกำกับดูแลในภาพรวม โดยมีสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นหน่วยประสานงาน ๒.๓ การเปิด/ปิดจุดผ่านแดนใด ๆ ให้เป็นอำนาจในการสั่งการจากส่วนกลาง โดยมีสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นหน่วยประสานงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
25506 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ขาวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ขาวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ขาวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน มาตรฐานเลขที่ มอก. ๑๓๓-๒๕๕๖ เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคและป้องกันความเสียหายต่อเศรษฐกิจประเทศ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
25507 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร - บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34 (บางวัว) และทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง ที่บ้านสวนมะพร้าว บ้านวังตะโก บ้านนาพร้าว บ้านหนองขาม บ้านนาวัง บ้านหนองน้ำเต้าลอย บ้านโป่งล่าง และบ้านหนองสมอ พ.ศ. .... | คค | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ สายกรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔ (บางวัว) และทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง ที่บ้านสวนมะพร้าว บ้านวังตะโก บ้านนาพร้าว บ้านหนองขาม บ้านนาวัง บ้านหนองน้ำเต้าลอย บ้านโป่งล่าง และบ้านหนองสมอ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการขยายทางหลวงสายพิเศษสายดังกล่าวในท้องที่อำเภอเมืองชลบุรี อำเภอศรีราชา และอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี มีส่วนแคบที่สุดหนึ่งร้อยเมตร และส่วนกว้างที่สุดสามร้อยเมตร เพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค ทั้งนี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
25508 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลมุกดาหาร และตำบลศรีบุญเรือง อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลมุกดาหาร และตำบลศรีบุญเรือง อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินค่าทดแทนและเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์เพื่อประโยชน์สาธารณะในการสร้างและขยายทางหลวงชนบท เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท ถนนสาย ง ๒ และถนนสาย ง ๓ ตามโครงการผังเมืองรวมเมืองมุกดาหาร ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
25509 | ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 20 การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน - ประเทศคู่เจรจาและการหารือทวิภาคีระหว่างไทย - สปป.ลาว และไทย - ญี่ปุ่น | คค | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๐ ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๑๓ ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๒ ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๕ และผลการหารือทวิภาคีระหว่างไทย-สปป.ลาว และไทย-ญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ เมืองมัณฑะเลย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน (ATM) ครั้งที่ ๒๐ ประกอบด้วย ๑.๑ แผนงานด้านการขนส่งของอาเซียนหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่ประชุมให้การรับรองวิสัยทัศน์และกรอบยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน ได้แก่ วิสัยทัศน์ความร่วมมือด้านการขนส่งของอาเซียน หลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่กำหนดว่า “Towards greater connectivity, efficiency, integration, safety and sustainability of ASEAN transport to strengthen ASEAN’s competitiveness and foster regional inclusive growth and development” และกรอบยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ จำนวน ๕ สาขา คือ การขนส่งทางอากาศ ทางบก ทางน้ำ การอำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง และการขนส่งอย่างยั่งยืน ๑.๒ ด้านการขนส่งทางอากาศ ที่ประชุมรับทราบว่า ประเทศไทยได้ลงนามพิธีสาร ๒ ว่าด้วยสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ แนบท้ายความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศระหว่างอาเซียน-จีน เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ และการเริ่มต้นการเจรจาการจัดทำข้อผูกพัน ชุดที่ ๙ ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน ๑.๓ ด้านการขนส่งทางบกและการอำนวยความสะดวก ที่ประชุมรับทราบการก่อสร้างเส้นทางรถไฟทางคู่ของมาเลเซีย สายอิโป-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง ๓๒๙ กิโลเมตร ซึ่งได้แล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ โดยในส่วนของไทยมีความคืบหน้าของการเริ่มก่อสร้างสะพานรถไฟช่วงคลองลึก-ปอยเปต ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่เส้นทางจิระ-ขอนแก่น และประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งที่ประชุมขอให้ประเทศสมาชิกได้ข้อยุติการจัดทำร่างความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งผู้โดยสารทางบกข้ามพรมแดน (ASEAN CBTP) ๑.๔ ด้านการขนส่งทางน้ำ ที่ประชุมให้การรับรองกรอบการดำเนินการการรวมตัวเป็นตลาดการขนส่งทางทะเลร่วมอาเซียน และประเทศสมาชิกร่วมกันลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยกลไกความร่วมมือในการเตรียมความพร้อมและการจัดการน้ำมันรั่วไหลของอาเซียน ๒. ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๑๓ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการภายใต้ความตกลงด้านการขนส่งทางอากาศระหว่างอาเซียน-จีน และพิธีสาร ๑ สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓ และ ๔ แนบท้ายความตกลงฯ และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการขนส่งของอาเซียนเร่งรัดการให้สัตยาบันเพื่อการมีผลบังคับใช้ของพิธีสาร ๒ สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ภายใต้กรอบความตกลงฯ รวมทั้งรับทราบความคืบหน้าการก่อสร้าง/บูรณะเส้นทางรถไฟสายสิงคโปร์-คุนหมิง รวมทั้งกรณีที่จีนจะให้เงินสนับสนุนการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียน-จีน ภายใต้แนวทาง 21st Century Maritime Silk Road ๓. ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๒ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการโครงการ ๒๓ โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการปากเซเรื่องความเป็นหุ้นส่วนด้านการขนส่งระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น รวมทั้งให้การรับรอง “แนวทางการแนะนำระบบ Electronics Database Interchange (EDI) ของท่าเรือ” กลยุทธ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวทางเรือระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น รายงานผลการสำรวจท่าอากาศยานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศสมาชิกอาเซียน และรายงานเบื้องต้นของการศึกษาเรื่องการขนส่ง Landbridge ในอาเซียน และให้การรับรองแผนงานการดำเนินงานหุ้นส่วนความร่วมมือด้านการขนส่งระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น ปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ๔. ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๕ ที่ประชุมให้การรับรองแผนงานความร่วมมือด้านการขนส่งอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ฉบับปรับปรุง และรับทราบโครงการสำคัญที่จะดำเนินการในปี ๒๕๕๘ ได้แก่ การพัฒนาบุคลากรด้านรถไฟ ด้านโลจิสติกส์ การขนส่งอย่างยั่งยืน และการศึกษาเรื่องการปรับปรุงการขนส่งทางลำน้ำในไทยและกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม (CLMV) และเห็นชอบที่จะจัดให้มีการประชุมคณะทำงานเพื่อเจรจาการจัดทำว่าด้วยบริการเดินอากาศอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๕. การหารือทวิภาคระหว่างไทย-สปป.ลาว และไทย-ญี่ปุ่น โดยผลการหารือระหว่างไทย-สปป.ลาว ส่วนใหญ่เป็นประเด็นที่ฝ่ายลาวขอรับการสนับสนุนจากฝ่ายไทยในการพัฒนาเส้นทางถนน และโครงการก่อสร้างสะพาน สำหรับผลการหารือระหว่างไทย-ญี่ปุ่น จะเน้นเรื่องความร่วมมือด้านรถไฟไทย-ญี่ปุ่น
|
|||||||||||||||||||||||||||
25510 | ขออนุมัติถอนและแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำเมืองกวาดาลาฮารา สหรัฐเม็กซิโก [นายโฮเซ กิแยร์โม โรโม โรเมโร (Mr. Jose Guillermo Romo Romero)] | กต | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ถอดถอนนายอัลแบร์โต มาร์ติเนซ บารา อากีลาร์ (Mr. Alberto Martinez Vara Aguilar) ออกจากตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองกวาดาลาฮารา สหรัฐเม็กซิโก ๒. แต่งตั้งนายโฮเซ กิแยร์โม โรโม โรเมโร (Mr. Jose Guillermo Romo Romero) เป็นกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ เมืองกวาดาลาฮารา สหรัฐเม็กซิโก โดยมีเขตกงสุลครอบคลุม ๙ รัฐ ทางภาคตะวันตกของสหรัฐเม็กซิโก ได้แก่ อากวัสกาเลียนเตส (Aguascalientes) บาฮากาลิฟอร์เนีย (Baja California) บาฮากาลิฟอร์เนียซูร์ (Baja California Sur) โกลีมา (Colima) ฮาลิสโก (Jalisco) นายาริต (Nayarit) ซีนาโลอา (Sinaloa) โซโนรา (Sonora) และซากาเตกัส (Zacatecas)
|
|||||||||||||||||||||||||||
25511 | การจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (SMEs Private Equity Trust Fund) | กค | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เสนอเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ เพื่อให้การบริหารงานของกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (SMEs Private Equity Trust Fund) มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น จึงขอปรับปรุงสัดส่วนที่ภาครัฐจะเข้าร่วมลงทุนในกิจการ SMEs จากเดิมร้อยละ ๑๐-๒๕ เป็นร้อยละ ๑๐-๕๐ ๑.๒ ให้มีคณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง จำนวนไม่เกิน ๗ คน เป็นผู้กำหนดนโยบายในการบริหารงานของกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs และให้คณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อบริหารกองทุน จำนวน ๒ ชุด ได้แก่ คณะกรรมการพิจารณานโยบายการลงทุน (Investment Committee) และคณะกรรมการผู้ให้คำปรึกษาวิสาหกิจร่วมทุน (Advisory Committee) ๑.๓ ให้มีสำนักงานคณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs ทำหน้าที่ดำเนินงานของกองทุน ๒. เห็นชอบการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs มีลักษณะเป็นกองทุนเปิดและเป็นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน ขนาดของกองทุน ๑๐,๐๐๐-๒๕,๐๐๐ ล้านบาท มีสัดส่วนการร่วมลงทุนจากภาครัฐร้อยละ ๑๐-๕๐ ส่วนที่เหลือจะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนไทยเข้าร่วมลงทุน โดยจะแบ่งการลงทุนเป็นกองทุนย่อย ๆ และเรียกระดมทุนครั้งละไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาทต่อกองทุนย่อย และกองทุนย่อยแต่ละกองทุนจะมีนโยบายในการลงทุนตามแต่ละประเภท/กลุ่ม SMEs ที่มีศักยภาพในการเติบโตทั้งขนาดเล็กและขนาดกลางเป็นหลัก ๓. เห็นชอบแหล่งเงินลงทุนในส่วนของภาครัฐ โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ในฐานะภาครัฐจะลงทุนเริ่มแรก เป็นจำนวน ๕๐๐ ล้านบาท และส่วนที่เกินกว่านี้จะขอจัดสรรจากงบประมาณประจำปีหรือจากแหล่งอื่นตามความจำเป็นในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาถึงความพร้อมในการใช้แหล่งเงินทุนของ ธพว. รวมถึงรูปแบบการบริหารจัดการและการติดตามการดำเนินงานของกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs สำหรับกรณีการใช้แหล่งเงินทุนอื่นที่นอกเหนือจาก ธพว. เห็นควรที่จะพิจารณาจากหน่วยงานหรือกองทุนของรัฐอื่น ๆ ที่มีภารกิจในการสนับสนุนและส่งเสริมกิจการ SMEs เป็นลำดับแรกก่อน ส่วนการใช้แหล่งเงินทุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีต้องดำเนินการเท่าที่จำเป็น โดยขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายผ่านหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องตามที่กฎหมายกำหนด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดกลุ่ม/ประเภท SMEs ที่จะให้การสนับสนุนทางการเงินให้ตรงกับกลุ่มธุรกิจและสอดคล้องกับห่วงโซ่การผลิตในภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งเน้นการพัฒนา SMEs ให้มีความเข้มแข็งและมีศักยภาพในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนา SMEs ที่มีการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ ภูมิปัญญาชุมชนที่มีเอกลักษณ์ แต่มีเงินทุนไม่เพียงพอ เช่น เครื่องสำอาง สปา น้ำหอม เป็นต้น ทั้งนี้ ให้นำกลุ่ม SMEs ที่ได้รับรางวัลจากกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมมาเป็นกลุ่มเป้าหมายแรกในการร่วมทุนภายในปีนี้ ๕. มอบรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) พิจารณาแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (The Research & Development) เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
25512 | การเสนอรายงานประเทศตามพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ฉบับที่ 2 | ยธ | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการเสนอรายงานประเทศตามพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights : ICCPR) ฉบับที่ ๒ ต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประจำกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งรายงานประเทศฯ ประกอบด้วย ๔ ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ ๑ บทนำ ส่วนที่ ๒ รายงานสถานการณ์สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของประเทศไทยตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประจำกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ส่วนที่ ๓ ความก้าวหน้าทางด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของประเทศไทยโดยเรียงตามข้อบทที่ ๑-๒๗ ของกติกาฯ และส่วนที่ ๔ การวิเคราะห์แนวโน้มและแนวทางการพัฒนาสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดส่งรายงานประเทศตามพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights : ICCPR) ฉบับที่ ๒ ต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประจำกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมเร่งรัดดำเนินการจัดทำรายงานประเทศตามพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองฉบับต่อ ๆ ไป ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้ส่งไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประจำกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองตามกรอบเวลาที่กำหนดต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
25513 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเรื่องการแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอำนวย ปะติเส) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่อยู่ หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
25514 | เสนอรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (จำนวน 9 คน) | ปง | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน ๙ คน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในฐานะบังคับบัญชาสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ดังนี้
๑. นายสมพล เกียรติไพบูลย์ เชี่ยวชาญในด้านเศรษฐศาสตร์ ๒. รองศาสตราจารย์อติ ไทยานันท์ เชี่ยวชาญในด้านการเงิน ๓. รองศาสตราจารย์ พันตำรวจเอก ทิวลิป เครือมา เชี่ยวชาญในด้านการคลัง ๔. นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ เชี่ยวชาญในด้านกฎหมาย ๕. พลตำรวจตรี สุเทพ รมยานนท์ เชี่ยวชาญในด้านกฎหมาย ๖. นายพิทยา จินาวัฒน์ เชี่ยวชาญในด้านบริหาร ๗. นายปริญญา หอมอเนก เชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ๘. พลโท สมร ศรีทันดร เชี่ยวชาญในด้านความมั่นคง ๙. นายวันชัย รุจนวงศ์ เชี่ยวชาญในด้านระหว่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
25515 | การแต่งตั้งรัฐมนตรีประจำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) เอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 5 (the 5th GMS Summit) และงบประมาณค่าใช้จ่าย จัดการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 5 (the 5th GMS Summit) | นร11 | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการแต่งตั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) เป็นรัฐมนตรีประจำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion Economic Cooperation : GMS) เพื่อกำกับดูแลการดำเนินงานของประเทศไทยภายใต้แผนงานความร่วมมือ GMS รวมทั้งเพื่อปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมระดับรัฐมนตรีตามกำหนดการประชุมที่สำคัญในช่วงเดือนธันวาคม ๒๕๕๗-ธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๒ เห็นชอบเอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ครั้งที่ ๕ (the 5th GMS Summit) ได้แก่ (๑) ร่างแถลงการณ์ร่วมระดับผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๕ (the 5th GMS Summit Joint Summit Declaration : JSD) และ (๒) แผนปฏิบัติการภายใต้กรอบการลงทุนในภูมิภาค (Regional Investment Framework-Implementation Plan : RIF-IP) ที่จะได้มีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ครั้งที่ ๕ (the 5th GMS Summit) ในระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงเทพมหานคร โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสามารถปรับปรุงถ้อยคำในแถลงการณ์ร่วมฯ ได้ในกรณีที่มิใช่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบอีก ๑.๓ เห็นชอบการอนุมัติงบประมาณจากงบกลาง ปี ๒๕๕๘ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ครั้งที่ ๕ (the 5th GMS Summit) เพื่อการผลักดันการดำเนินงานภายใต้แผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS) ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ เพิ่มเติมเป็นจำนวน ๑๕,๔๗๐,๐๐๐ บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๔ เห็นชอบการกำหนดองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ครั้งที่ ๕ (the 5th GMS Summit) ในระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำฯ อย่างไม่เป็นทางการ (Summit Retreat) ประกอบด้วย (๑) นายกรัฐมนตรี (๒) รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) (๓) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) (๔) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมและเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีประจำแผนงาน GMS (๕) เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และ (๖) รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายปรเมธี วิมลศิริ) ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่อาวุโส ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาดำเนินการตามความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่เสนอให้นำประเด็นเรื่องความพร้อมของไทยในการสนับสนุนการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านโดยการระดมทุนในพันธบัตรเงินบาท (Baht Bond) ประกอบในแถลงการณ์ของฝ่ายไทย และให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ในส่วนที่เกี่ยวกับด้านต่างประเทศด้วย ๓. มอบให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประชุม โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการจัดประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ครั้งที่ ๕ (the 5th GMS Summit) ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
25516 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (จำนวน 6 คน) | คค | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก จำนวน ๖ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. พลตำรวจตรี อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวางแผนจราจร ๒. นายระพินทร์ จารุดุล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมจราจร ๓. นายสมหวัง ดำรงพงศาวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม ๔. นายภาณุมาศ ศรีศุข ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ ๕. นางเสาวนีย์ กมลบุตร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจการคลัง ๖. นายอุดม พัวสกุล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการผังเมือง
|
|||||||||||||||||||||||||||
25517 | เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายกองทุนสนับสนุนการวิจัยชุดใหม่ | นร62 | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายกองทุนสนับสนุนการวิจัยชุดใหม่แทนชุดเดิมที่ครบวาระ จำนวน ๘ คน ตามที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. ศาสตราจารย์ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ ประธานกรรมการ ๒. ศาสตราจารย์ยอดหทัย เทพธรานนท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. ศาสตราจารย์จรัญ จันทลักขณา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. นายครรชิต มาลัยวงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. ศาสตราจารย์ภิเศก ลุมพิกานนท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. ศาสตราจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๗. ศาสตราจารย์ปราณี กุลละวณิชย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๘. นายชิงชัย หาญเจนลักษณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
|||||||||||||||||||||||||||
25518 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. 2557 | ตช | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ มีสาระสำคัญเพื่อกำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยกำหนดจำนวน ๑๐๐ คน สำหรับคนต่างด้าวที่มีสัญชาติของแต่ละประเทศ และกำหนดจำนวน ๕๐ คน สำหรับคนต่างด้าวไร้สัญชาติ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
25519 | แต่งตั้งข้าราชการ (จำนวน 3 ราย) (กระทรวงแรงงาน) (1. นายสุวิทย์ สุมาลา ฯลฯ) | รง | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงแรงงานให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้
๑. นายสุวิทย์ สุมาลา ๒. นางกาญจนา เทวะศิลชัยกุล ๓. นายธนิช นุ่มน้อย
|
|||||||||||||||||||||||||||
25520 | ขอความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทก | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติขึ้นตามกฎหมาย รวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการภายในกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารให้มีหน้าที่ในการพัฒนา ส่งเสริม และสนับสนุนให้เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจได้ตามนโยบายที่รัฐบาลกำหนดไว้ และเปลี่ยนชื่อ “กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร” เป็น “กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม” ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) เกี่ยวกับการเพิ่มตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลด้านสังคมเป็นองค์ประกอบของคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในร่างมาตรา ๖ ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้เชิญกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เข้าร่วมชี้แจงแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ด้วย ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป ๒. เฉพาะในกรณีนี้ ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) |
.....