ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1278 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 25541 - 25560 จากข้อมูลทั้งหมด 123968 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
25541 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์คุณธรรม | วธ | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายธาดา เศวตศิลา เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์คุณธรรม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป และจะมีวาระในการดำรงตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คือ ถึงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
25542 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (จำนวน 7 คน) | สธ | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข จำนวน ๗ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมที่ได้ดำรงตำแหน่งครบวาระ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. ศาสตราจารย์ภิเศก ลุมพิกานนท์ ๒. ศาสตราจารย์วิภาดา คุณาวิกติกุล ๓. นายศุภกิจ ศิริลักษณ์ ๔. นายชำนาญ พิเชษฐพันธ์ ๕. รองศาสตราจารย์ชื่นฤทัย กาญจนะจิตรา ๖. นายสุภกร บัวสาย ๗. นายสุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ
|
|||||||||||||||||||||
25543 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขและผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข) (จำนวน 2 ราย) | สธ | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายเทียม อังสาชน ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ๒. นายยงยศ ธรรมวุฒิ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
|
|||||||||||||||||||||
25544 | ข้อหารือในระหว่างการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 22 และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 25 | นร04 | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อหารือในระหว่างการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๒ ระหว่างวันที่ ๙-๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ (เรื่อง การเสนอเรื่องเกี่ยวกับรายงานการเดินทาง ผลการเยือน และการประชุมเจรจาหารือของนายกรัฐมนตรี) ๒. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ขอความเห็นชอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕) อนุมัติในหลักการการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจแบบทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเกี่ยวกับการซื้อขายผลผลิตทางการเกษตรและการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งทางรถไฟตามกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ นั้น ในระหว่างการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๒ นายกรัฐมนตรีได้พบหารือกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนและได้พูดคุยถึงเรื่องการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ประกอบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมแจ้งว่า ขณะนี้ได้เจรจากับทางฝ่ายสาธารณรัฐประชาชนจีนและได้ข้อสรุปเกี่ยวกับรายละเอียดเส้นทางรถไฟแล้ว โดยร่างเอกสารบันทึกความเข้าใจดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาในรายละเอียดขั้นสุดท้ายและจะแล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้ (วันศุกร์ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า ได้หารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางฝ่ายสาธารณรัฐประชาชนจีนและได้ข้อสรุปเกี่ยวกับร่างบันทึกความเข้าใจด้านการค้าสินค้าเกษตร โดยได้มีการกำหนดชนิดของสินค้าทางการเกษตรด้วยแล้ว คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์นำร่างบันทึกความเข้าใจทั้ง ๒ ฉบับเสนอคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||
25545 | รายงานผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 22 | กต | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๒ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ (เรื่อง การเสนอเรื่องเกี่ยวกับรายงานการเดินทาง ผลการเยือน และการประชุมเจรจาหารือของนายกรัฐมนตรี) สำหรับสาระสำคัญของการประชุมฯ จีนในฐานะเจ้าภาพการประชุมได้กำหนดหัวข้อหลักของการประชุม คือ “การสร้างอนาคตด้วยความเป็นหุ้นส่วนในเอเชีย-แปซิฟิก (Shaping the Future through Asia-Pacific Partnership) โดยเน้นการหารือความร่วมมือภายใน ๓ ประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑) การก้าวสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (๒) การส่งเสริมการพัฒนาอย่างมีนวัตกรรม การปฏิรูปเศรษฐกิจ และการเจริญเติบโต และ (๓) การเสริมสร้างความเชื่อมโยงอย่างครอบคลุมและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ในส่วนของการหารือทวิภาคี นายกรัฐมนตรีได้ตอบข้อซักถามเกี่ยวกับผลกระทบของการเปิดเสรีทางการค้าต่อวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อมและขนาดเล็ก (SMMEs) รวมทั้งแนวทางการส่งเสริมให้ SMMEs สามารถได้รับประโยชน์ในการเปิดเสรีทางการค้าได้อย่างแท้จริง โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่าไทยให้ความสำคัญกับการส่งเสริม SMMEs โดยกำหนดให้เป็นวาระของชาติ ให้มีการลงทะเบียน SMMEs และตั้งกองทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและช่วยแก้ปัญหาที่ SMMEs ประสบ เช่น การเข้าถึงเงินทุน และแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ นอกจากนี้ การเปิดเสรีต้องคำนึงถึงความแตกต่างในระดับการพัฒนาของแต่ละประเทศด้วย อีกทั้งย้ำถึงนโยบายการปฏิรูปของไทย ซึ่งให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานเศรษฐกิจไทยให้มีความเข้มแข็ง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และบรรยากาศที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุน ซึ่งจะส่งเสริมให้ SMMEs และทุกภาคส่วนของสังคมมีศักยภาพ และสามารถใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนได้อย่างเต็มที่ สำหรับการดำเนินการของเอเปคในปี ๒๕๕๘ ฟิลิปปินส์จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี ๒๕๕๘ โดยจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ๖ สาขา ได้แก่ การค้า การคลัง การคมนาคม การปฏิรูปโครงสร้าง วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พลังงาน และมีกำหนดจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๗ ณ กรุงมะนิลา ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นด้านการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ซึ่งมีความคืบหน้า ๓ ประการ คือ ๒.๑ การผลักดันการจัดตั้งเขตการค้าเสรี FTAAP (Free Trade Area of the Asia Pacific) ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี ๒๐๑๖ (๒๕๕๙) จะเพิ่มรายได้ประมาณร้อยละ ๔.๙ ของมูลค่า GDP ของไทยในปี ๒๐๒๕ (๒๕๖๘) ๒.๒ ไทยเสนอตัวเป็นผู้นำผลักดัน SME เข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าเพิ่มในการผลิต (Global Value Chain) ในสาขาเกษตร ที่เชื่อมโยงผลผลิตเกษตรและอาหาร ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถกำหนดทิศทางนโยบายของเอเปคเพื่อดึงเกษตรกรและนักธุรกิจการเกษตรของไทยเข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าเพิ่มของโลก อันจะส่งผลพัฒนาภาคเกษตรของไทยอย่างยั่งยืนในระยะยาว ๒.๓ ไทยสนับสนุนการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Connectivity) โดยเฉพาะการพัฒนาท่าเรือให้เข้าสู่ระบบท่าเรืออิเล็กทรอนิกส์ของภูมิภาค ซึ่งจะเป็นการพัฒนาที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การอำนวยความสะดวกทางการค้าของไทย
|
|||||||||||||||||||||
25546 | ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 25 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง | กต | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ ๑๒ การประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๗ การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติ ครั้งที่ ๖ การประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ การประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงอาเซียน-ญี่ปุ่น การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) ครั้งที่ ๙ การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐอเมริกา ครั้งที่ ๒ และการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๑๗ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยนายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดฯ ในครั้งนี้ และไทยได้มีข้อเสนอที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ อาทิ การส่งเสริมความเชื่อมโยง โดยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจบริเวณชายแดน การให้ความสำคัญกับวาระประชาชน การพิจารณาทิศทางในอนาคตของประชาคมอาเซียนภายหลังปี ๒๕๕๘ และข้อเสนอในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสามเรื่องการเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาการระบาดของอีโบลา การต่อต้านการค้ามนุษย์ การส่งเสริม SMEs และการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการเกษตร เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบบทบาทของไทยในฐานะประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-จีนที่ผลักดันให้บรรลุการจัดทำแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้โดยเร็ว รวมทั้งมีการขยายประเด็นที่เป็นจุดยืนร่วมกัน และมาตรการเร่งด่วนเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่สามารถดำเนินการได้ทันที และนายกรัฐมนตรีได้ใช้โอกาสนี้ขอบคุณเพื่อนสมาชิกอาเซียน คู่เจรจา และสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียนที่เข้าใจสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบันด้วย ๒. มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ (เรื่อง การเสนอเรื่องเกี่ยวกับรายงานการเดินทาง ผลการเยือน และการประชุมเจรจาหารือของนายกรัฐมนตรี)
|
|||||||||||||||||||||
25547 | ผลการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้นำมิตรประเทศระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 25 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง | กต | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้นำมิตรประเทศระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ที่กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการหารือดังกล่าวไปปฏิบัติ และติดตามความคืบหน้าต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ (เรื่อง การเสนอเรื่องเกี่ยวกับรายงานการเดินทาง ผลการเยือน และการประชุมเจรจาหารือของนายกรัฐมนตรี) โดยผลการหารือสรุปได้ ดังนี้
๑. การหารือกับนายกรัฐมนตรีอินเดีย ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้จัดการฝึกผสมร่วมภายใต้รหัส “ไมตรี” ระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศ โดยไทยเห็นด้วยกับข้อเสนอของอินเดียที่จะให้มีการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีและจัดทำอนุสัญญาว่าด้วยการยกเว้นภาษีซ้อนระหว่างกัน ในขณะที่อินเดียแสดงความสนใจในข้อเสนอของไทยให้อินเดียเข้าร่วมในโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย และรับที่จะเร่งรัดงานปรับปรุงถนนเชื่อมอินเดีย-เมียนมา-ไทย ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งเสนอให้ทั้งสองฝ่ายจัดทำแผนปฏิบัติการ (Work Plan) การพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างกันเพื่อให้เกิดผลคืบหน้าเป็นรูปธรรม ๒. การหารือกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะหารือถึงแนวทางและรูปแบบความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระบบการขนส่งทางราง โดยให้หารือในรายละเอียดเพิ่มเติมในคณะทำงานความร่วมมือระบบรางไทย-ญี่ปุ่นต่อไป ทั้งนี้ ญี่ปุ่นได้แสดงความสนใจที่จะร่วมมือกับไทยในเรื่องพลังงานและการบริหารจัดการน้ำ รวมทั้งขอบคุณที่ไทยลดพื้นที่ควบคุมการนำเข้าอาหารปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี จาก ๘ จังหวัด เหลือ ๓ จังหวัด และขอให้ไทยยกเลิกมาตรการดังกล่าวทั้งหมดในโอกาสแรก ซึ่งนายกรัฐมนตรีรับที่จะพิจารณา นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นรับที่จะสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมาไทยมากขึ้น และขอบคุณรัฐบาลไทยที่ตั้งกองทุนดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติ พร้อมทั้งกล่าวสนับสนุนกระบวนการปฏิรูปในไทยและแสดงความพร้อมที่จะส่งผู้ทรงคุณวุฒิมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ข้อคิดเห็น ๓. การหารือกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ฝ่ายเกาหลีขอให้รัฐบาลไทยดูแลธุรกิจของเกาหลี โดยเฉพาะการเข้าร่วมโครงการบริหารจัดการน้ำของบริษัท K-water และการแก้ไขอุปสรรคการนำเข้าเหล็กจากเกาหลี ซึ่งนายกรัฐมนตรีรับที่จะพิจารณา โดยขอให้ช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจของเกาหลีขยายการลงทุนในไทย และให้ชาวเกาหลีมาท่องเที่ยวประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ เกาหลีได้ย้ำคำเชิญนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน-เกาหลี ที่นครปูซาน ในโอกาสครบรอบ ๔๐ ปีความสัมพันธ์อาเซียน-เกาหลี ๔. การหารือกับนายกรัฐมนตรีสหพันธรัฐรัสเซีย ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้เพิ่มการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงและใช้กลไกที่มีอยู่ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกัน โดยรัสเซียประสงค์ที่จะให้มีการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม (JC) ไทย-รัสเซียในโอกาสแรก และเห็นพ้องให้เพิ่มความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ โดยรัสเซียประสงค์จะขายอาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซียให้ไทยมากขึ้น และยินดีสนับสนุนการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารของไทยตามคำร้องขอของไทย รวมทั้งได้ขอไทยเพิ่มการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียด้วย ส่วนไทยได้ขอให้รัฐบาลรัสเซียสนับสนุนให้ชาวรัสเซียเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยให้มากขึ้น และพร้อมดูแลความปลอดภัย ๕. การหารือกับเลขาธิการสหประชาชาติ นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงและตอบข้อห่วงกังวลของเลขาธิการสหประชาชาติเกี่ยวกับการดำเนินการของรัฐบาลไทย รวมทั้งการดำเนินการของรัฐบาลไทยในประเด็นที่อยู่ในความสนใจของประชาคมระหว่างประเทศ อาทิ ในการปฏิบัติการรักษาสันติภาพ การปกป้องสิทธิมนุษยชน การต่อต้านการค้ามนุษย์ การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลา โดยเลขาธิการสหประชาชาติได้เรียกร้องขอให้ไทยและอาเซียนสนับสนุนเพิ่มเติมต่อการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลา การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก พร้อมทั้งได้กล่าวสนับสนุนการสมัครรับเลือกตั้งของไทยในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติด้วย
|
|||||||||||||||||||||
25548 | ขอปรับปรุงแผนงานที่ได้รับการอนุมัติในหลักการให้ใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ | กษ | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการปรับปรุงแผนงานที่ได้รับการอนุมัติในหลักการให้ใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ประกาศงดการส่งน้ำเพื่อการปลูกข้าวนาปรังฤดูกาลเพาะปลูกปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ของพื้ที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลอง จากเดิม งานจ้างแรงงานเพื่อซ่อมคูคลองในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลอง วงเงินงบประมาณจำนวน ๒,๒๖๑.๕๖ ล้านบาท ปรับปรุงเป็น งานจ้างแรงงานเพื่อซ่อมคูคลองในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลอง วงเงินงบประมาณจำนวน ๑,๔๖๗.๑๘ ล้านบาท จำแนกเป็นงบประมาณปกติ จำนวน ๙๑๙.๒๐ ล้านบาท และงบกระตุ้นเศรษฐกิจ จำนวน ๕๔๗.๙๘ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
25549 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ๑.๑ ในการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศ ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานผู้รับผิดชอบพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการตามข้อผูกพันในสาระของความตกลงและความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศในอนาคต ทั้งนี้ หากการลงนามในความตกลงใดจะเป็นการผูกพันให้ประเทศไทยต้องดำเนินการที่อาจมีความเสี่ยงอันก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต ก็ควรกำหนดข้อสงวนหรือชะลอการลงนามในความตกลงนั้น ๆ ไปก่อน ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เช่น การค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย และการปรับปรุงพื้นที่ควบคุมผู้ลี้ภัย ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในสายตาของนานาชาติ โดยหากจำเป็นอาจตั้งคณะกรรมการเพื่อกำกับและเร่งรัดแก้ไขปัญหาดังกล่าว ๒. ด้านพลังงาน ให้กระทรวงพลังงานสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องชัดเจนแก่ประชาชนเกี่ยวกับการให้สัมปทานปิโตรเลียมในประเทศไทย และให้เร่งพิจารณาทบทวนโครงการที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วแต่ยังไม่ได้มีการดำเนินการหรือดำเนินการล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดว่าสมควรดำเนินการอย่างไรต่อไป เพื่อให้มีการผลิตไฟฟ้าเข้าสู่ระบบตามเป้าหมาย แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย ๓. ด้านเศรษฐกิจ ๓.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ให้เพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ ซึ่งอาจจะส่งผลให้ผู้ประกอบการบางรายปรับขึ้นราคาของสินค้าอุปโภคและบริโภค นั้น ให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามและกำกับดูแลระดับราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมด้วย ๓.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการดำเนินงานจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๕ พื้นที่ชายแดน สำหรับการดำเนินการในปี ๒๕๕๘ เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ๓.๓ ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกันดำเนินการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ SMEs รายย่อยในประเทศไทย โดยจัดแยกตามประเภทของธุรกิจเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการดำเนินการให้การสนับสนุนและพัฒนาประสิทธิภาพ SMEs ไทยให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น และสามารถเป็นห่วงโซ่ที่เชื่อมโยงธุรกิจขนาดใหญ่และพัฒนาไปถึงระดับภูมิภาคได้ในอนาคต ๔. ด้านสังคม ๔.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งติดตามและหาแนวทางแก้ไขปัญหาการคัดค้านการดำเนินการของศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยเทศบาลเมืองทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวโดยเร็ว รวมทั้งติดตามและแก้ปัญหาเช่นเดียวกันนี้ในพื้นที่อื่นที่มีการก่อสร้างศูนย์กำจัดขยะมูลฝอย เช่น จังหวัดปทุมธานี จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น เพื่อให้สามารถบริหารจัดการปัญหาขยะในพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๔.๒ ให้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเร่งดำเนินการจัดสรรที่ดินให้แก่ประชาชนผู้ยากไร้ที่ไม่มีที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยโดยเร็ว และให้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการในระยะแรกให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ๕. ด้านอื่น ๆ ๕.๑ ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล) กำหนดแนวทางในการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาที่ใกล้เคียงกันได้ เช่น การปรับปรุงวิธีการกำหนดราคาจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลต้นทาง การจัดจำหน่ายในรูปแบบสหกรณ์ เป็นต้น ๕.๒ ให้ส่วนราชการที่มีหน่วยงานในระดับพื้นที่กำหนดแผนลงตรวจเยี่ยมในพื้นที่ต่าง ๆ โดยจัดเตรียมข้อมูลและประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องในแต่ละพื้นที่และการดำเนินการของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาในเรื่องนั้น ๆ เช่น การให้บริการด้านสุขภาพ การจัดระเบียบที่ดิน การบริหารจัดการสินค้าเกษตร และนำไปชี้แจงและสร้างการรับรู้แก่ประชาชนในระหว่างการลงพื้นที่ รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นและปัญหาจากประชาชนในพื้นที่เพื่อนำกลับมาแก้ไขต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
25550 | การหารือแนวทางการระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาล | นร | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานว่า กระทรวงพาณิชย์ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ได้หารือคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับแนวทางการระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาล สรุปผลได้ ดังนี้
๑. คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เคยแจ้งความเห็นให้กระทรวงพาณิชย์ทราบแล้วเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๗ ว่า การระบายสินค้าเกษตรแบบ G to G เป็นดุลพินิจของกรมการค้าต่างประเทศ ดังนั้น การอนุมัติให้ขายข้าวดังกล่าวจึงสามารถดำเนินการได้ ๒. เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ผู้แทนสำนักงาน ป.ป.ช. ชี้แจงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะให้ความสนใจเฉพาะเรื่องปริมาณของข้าวที่เหลืออยู่ ส่วนคุณภาพของข้าวจะยึดถือตามผลการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐที่มีปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานอนุกรรมการ ดังนั้น ข้าวจำนวน ๑๗ ล้านตัน สามารถระบายได้ แต่ควรเก็บหลักฐาน เช่น ภาพถ่ายและการตรวจดีเอ็นเอไว้ และการขายให้ยึดหลักสุจริตโปร่งใส รวมทั้งคำนึงถึงกฎหมายว่าด้วยการสมยอมราคาด้วย ๓. การขออนุมัติขายข้าว จำนวน ๐.๒๐๕ ล้านตัน ไม่มีผลกระทบต่อรูปคดีของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เนื่องจากข้าวในสต็อกของรัฐบาลไม่ใช่ของกลางในคดี ส่วนคดีแพ่งที่มีต่อผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าวให้ดำเนินการให้เป็นไปตามสัญญา
|
|||||||||||||||||||||
25551 | ร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||
25552 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการจัดการ วิจัย และอนุรักษ์พื้นที่คุ้มครองและอุทยานแห่งชาติ ระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย และกรมบริการอุทยานแห่งชาติเกาหลี สาธารณรัฐเกาหลี | ทส | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการจัดการ วิจัย และอนุรักษ์พื้นที่คุ้มครองและอุทยานแห่งชาติ ระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แห่งราชอาณาจักรไทย และกรมบริการอุทยานแห่งชาติเกาหลี สาธารณรัฐเกาหลี มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุน ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอุทยานแห่งชาติทั้งสองประเทศ และพัฒนาศักยภาพทรัพยากรบุคคลเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ โดยแบ่งปันประสบการณ์ การทำกิจกรรมร่วมกัน การฝึกอบรม แลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการ และการหารือในประเด็นที่สนใจร่วมกันเพื่อพัฒนาความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์พื้นที่คุ้มครองและอุทยานแห่งชาติ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. เพื่อให้มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนถูกต้องกรณีการจัดทำหนังสือสัญญา (เช่น บันทึกความเข้าใจ ความตกลง ความร่วมมือ) ที่หน่วยงานเจ้าของเรื่องสามารถดำเนินการได้ตามอำนาจหน้าที่โดยไม่ต้องนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี จึงมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับเรื่องนี้ไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องกับข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
25553 | การลงนามเพื่อเข้าร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยการค้าอาวุธ (The Arms Trade Treaty : ATT) | นร08 | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยการค้าอาวุธ (The Arms Trade Treaty : ATT) เพื่อให้สามารถลงนามสนธิสัญญาฯ ระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ สมัยที่ ๖๙ ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาแต่งตั้งผู้แทนผู้มีอำนาจเต็ม (Full Powers) ในการลงนามเข้าร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญาฯ ๒. ในชั้นการให้สัตยาบันสนธิสัญญาเพื่อให้มีผลผูกพัน ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอสนธิสัญญาฯ เพื่อขอความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
|||||||||||||||||||||
25554 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2557) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๗) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เศรษฐกิจไทย หดตัวร้อยละ ๐.๑ จากสถานการณ์การเมืองที่ยืดเยื้อทำให้การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนหดตัว ภาครัฐมีบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยลง อุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอและการส่งออกสินค้าที่ฟื้นตัวช้าทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัว ภาคการท่องเที่ยวที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญได้รับผลกระทบอย่างมากทำให้นักท่องเที่ยวลดลง อย่างไรก็ดี สถานการณ์การเมืองที่คลี่คลายในช่วงกลาง ไตรมาสที่ ๒ ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนเริ่มดีขึ้น ๒. ภาวะการเงิน อยู่ในเกณฑ์ผ่อนปรนต่อเนื่องเพื่อลดความเสี่ยงจากสถานการณ์การเมืองและเพิ่มแรงสนับสนุนให้กับเศรษฐกิจ โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ ๐.๒๕ ต่อปี เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๗ ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี ๓. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๒.๒๓ และ ๑.๔๕ ตามลำดับ โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีตามราคาก๊าซหุงต้มและราคาอาหารสด แต่โดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ราคาพลังงานปรับสูงขึ้นตามราคาก๊าซหุงต้ม ๔. เสถียรภาพของภาคสถาบันการเงิน อยู่ในเกณฑ์ดี สินเชื่อขยายตัวร้อยละ ๗.๓ จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Return on Asset : ROA) ของธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ร้อยละ ๑.๔ เงินกองทุนและเงินสำรองอยู่ในระดับสูง โดยอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ร้อยละ ๑๕.๙ และอัตราส่วนเงินสำรองที่มีต่อเงินสำรองพึงกันอยู่ที่ร้อยละ ๑๖๙.๒ คุณภาพสินเชื่อด้อยลงเล็กน้อย แต่โดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Gross NPL Ratio) อยู่ที่ร้อยละ ๒.๓ ขณะที่สินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special Mention Loan : SM) ทรงตัวที่ร้อยละ ๒.๔ ๕. เสถียรภาพด้านการคลัง โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ ๔๖.๖ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ ๖. เสถียรภาพด้านการต่างประเทศ อยู่ในเกณฑ์ดี ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๘.๘ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการเกินดุลการค้าเป็นสำคัญ ฐานะเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคงและสูงกว่ามาตรฐานสากล (ไม่ต่ำกว่า ๑ เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น) โดยสัดส่วนเงินสำรองระหว่างประเทศต่อหนี้ระยะสั้นอยู่ ๒.๗ เท่า ขณะที่ดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายขาดดุลสุทธิอยู่ที่ ๗.๓ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามการออกไปลงทุนในต่างประเทศของนักลงทุนไทย ๗. แนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ และปี ๒๕๕๘ กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัว โดยอุปสงค์ในประเทศจะปรับตัวดีขึ้นจากรายได้และความเชื่อมั่นของภาคเอกชนที่ฟื้นตัว รวมถึงการเบิกจ่ายของภาครัฐ นอกจากนี้ แรงส่งจากภาคการส่งออกจะมีมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว สำหรับอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ การส่งผ่านต้นทุนก๊าซหุงต้มไปยังราคาอาหารสำเร็จรูปเริ่มชะลอลง แรงกดดันเงินเฟ้อจากด้านอุปสงค์ยังอยู่ในระดับต่ำ และต้นทุนการผลิตโดยรวมไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายตรึงราคาเชื้อเพลิงของภาครัฐ อย่างไรก็ดี ในปี ๒๕๕๘ แรงกดดันเงินเฟ้อจากด้านอุปสงค์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่คาดว่าจะฟื้นตัว
|
|||||||||||||||||||||
25555 | แนวทางการดำเนินงานปีท่องเที่ยววิถีไทย 2558 และขออนุมัติให้ปี 2558 เป็นปีท่องเที่ยววิถีไทยและเป็นวาระแห่งชาติ | กก | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปีท่องเที่ยววิถีไทย (2015 Discover Thainess) และเป็นวาระแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวเชิงเกษตรเพื่อสร้างอาชีพ สร้างงาน และสร้างรายได้ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และพิจารณาแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการส่งเสริมตลาด โดยปรับใช้แนวคิดการท่องเที่ยววิถีไทยให้สอดคล้องกับแนวโน้มและสถานการณ์ท่องเที่ยวในปัจจุบัน เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวเฉพาะที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มสูงขึ้น เช่น กลุ่มนักท่องเที่ยวผู้สูงวัย กลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ให้คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการดำเนินโครงการร่วมกับคณะกรรมการอำนวยการปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ และคณะกรรมการดำเนินงานในระดับปฏิบัติ ๔ คณะ เพื่อบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การดำเนินงานสอดคล้องตามนโยบายและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งพิจารณาแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยการสร้างสรรค์กิจกรรมใหม่ ๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและเพิ่มรายได้ให้การท่องเที่ยว โดยกำหนดแนวทางการส่งเสริมอื่นควบคู่กันไปกับแนวทางการส่งเสริมตลาดทั้งในและต่างประเทศ เช่น มาตรการทางภาษี มาตรการเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา เพื่อสร้างแรงจูงใจในการตัดสินใจท่องเที่ยวประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. รับทราบเรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ และคณะกรรมการดำเนินงานในระดับปฏิบัติการ ๔ คณะ ได้แก่ คณะกรรมการดำเนินงานด้านการส่งเสริมสินค้าและบริการปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ คณะกรรมการดำเนินงานด้านส่งเสริมตลาดต่างประเทศปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ คณะกรรมการดำเนินงานด้านส่งเสริมตลาดในประเทศปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ และคณะกรรมการดำเนินงานด้านประชาสัมพันธ์ปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ เพื่อเป็นกลไกในการดำเนินการขับเคลื่อนปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาไปพิจารณาเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
25556 | เอกสารผลการประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 6 | กต | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๖ ซึ่งจะมีการรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในการประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๖ ในวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ให้ความสำคัญกับความร่วมมือในการพัฒนาลุ่มน้ำโขงใน ๓ เสาหลักของยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. ๒๐๑๑ ได้แก่ (๑) ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในลุ่มน้ำโขง เน้นการพัฒนาอย่างมีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน (๒) ด้านการพัฒนาไปพร้อมกัน การจัดทำวิสัยทัศน์ของการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมในลุ่มน้ำโขงจะช่วยสนับสนุนการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น และ (๓) ด้านความมั่นคงมนุษย์และการพัฒนาสิ่งแวดล้อม เน้นบทบาทไทยในการจัดประชุม Green Mekong Forum ร่วมกับญี่ปุ่น ๒. ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง |
|||||||||||||||||||||
25557 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว สำหรับโครงการก่อสร้างถนนจากเมืองหงสา - บ้านเชียงแมน (เมืองจอมเพชร แขวงหลวงพระบาง) สปป.ลาว | กค | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการก่อสร้างถนนจากเมืองหงสา-บ้านเชียงแมน (เมืองจอมเพชร แขวงหลวงพระบาง) สปป.ลาว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ในส่วนแหล่งที่มาของเงินทุน รูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขทางการเงิน จำนวนไม่เกิน ๑,๙๗๗ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินให้เปล่า (ร้อยละ ๒๐) จำนวนไม่เกิน ๓๙๕.๔๐ ล้านบาท และเงินกู้ (ร้อยละ ๘๐) จำนวนไม่เกิน ๑,๕๘๑.๖๐ ล้านบาท ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในการพิจารณาหาแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน โดยในเบื้องต้นอาจร่วมกันเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลในโอกาสการลงทุน และกำหนดมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการในพื้นที่ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. ส่งข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศและสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อใช้ประกอบการเตรียมการเดินทางไปเยือน สปป.ลาว อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ด้านการต่างประเทศด้วย |
|||||||||||||||||||||
25558 | ขอรับการสนับสนุนงบกลางที่กันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีและงบไทยเข้มแข็ง | นร07 | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงยุติธรรมเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๔๓๓,๐๔๕,๒๒๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการพัฒนาประสิทธิภาพการควบคุมผู้ต้องขังในเรือนจำของกรมราชทัณฑ์ จำนวน ๓๓๓,๕๐๘,๕๐๐ บาท และเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนในความควบคุมดูแลของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จำนวน ๙๙,๕๓๖,๗๒๐ บาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนในส่วนของการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเครือข่ายเพื่อการแก้ไข บำบัด ฟื้นฟูเด็กและเยาวชน เป็นเรื่องของการอบรม/ประชุมเชิงปฏิบัติการของบุคลากรและเครือข่ายทุกภาคส่วน จึงควรพิจารณาการปฏิบัติตามแผนงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ของหน่วยงาน หากได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้วและเป็นการปฏิบัติซ้ำซ้อน เห็นควรชะลอความต้องการในส่วนนี้ แต่ถ้าไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในแผนงานประจำปี และมีงบประมาณเพียงพอ เห็นควรให้การสนับสนุนงบประมาณตามที่เสนอ นอกจากนี้ วงเงินที่จะอนุมัติให้กับกระทรวงยุติธรรม จะให้การสนับสนุนได้เมื่อกระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาการเบิกจ่าย และหากได้รับการอนุมัติงบประมาณแล้ว กระทรวงยุติธรรมจะต้องเร่งรัดดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลาที่กระทรวงการคลังกำหนด และการดำเนินการให้กระทำด้วยความถูกต้อง โปร่งใส เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ และพร้อมรับการตรวจสอบจากหน่วยงานและองค์กรภายนอกที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
25559 | ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ไทย - เวียดนาม (พ.ศ. 2557 - 2561) | กต | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ไทย-เวียดนาม (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) (Plan of Action Implementing the Thailand-Viet Nam Strategic Partnership) มีสาระสำคัญเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ร่วมของไทยและเวียดนามในการส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันอย่างครอบคลุมรอบด้าน รวมทั้งเพื่อส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาคและระหว่างประเทศโดยรวม ๑.๒ เห็นชอบให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในแผนปฏิบัติการฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแผนปฏิบัติการฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่เห็นควรปรับแก้ร่างแผนปฏิบัติการฯ ฉบับภาษาไทยให้สอดคล้องกับภาษาอังกฤษ และเพิ่มเติมประเด็นความร่วมมือเกี่ยวกับการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Growth) ภายใต้ความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของทั้งสองประเทศและภูมิภาคในการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ตลอดจนพิจารณาเพิ่มเติมการระงับยับยั้งกระบวนการที่ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของทั้งสองประเทศให้เร็วที่สุด รวมทั้งความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ไทย-เวียดนาม ในคราวต่อไป ขอให้เพิ่มความร่วมมือด้านสาธารณสุขไว้ในส่วนของความร่วมมือด้านการศึกษา วัฒนธรรม สังคม ความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนและความร่วมมือด้านต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ในส่วนที่เกี่ยวกับด้านต่างประเทศด้วย |
|||||||||||||||||||||
25560 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | สลธ.คสช. | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ กรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานต่าง ๆ จะไปประชุมระดับนานาชาติ และจะเสนอตัวให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการจัดงานหรือการประชุมระดับนานาชาติต่าง ๆ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบก่อน และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบในโอกาสแรก ๒. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) เร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ และเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการจ่ายเงินให้แก่ชาวนาและเกษตรกรชาวสวนยางโดยเร็ว ถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ เพื่อให้ชาวนารายย่อยผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรชาวสวนยางที่เป็นกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริงได้รับประโยชน์โดยตรงและทั่วถึงต่อไป ๓. ด้านสังคม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนโยบายการจัดระเบียบสังคมในเรื่องต่าง ๆ เช่น การแก้ไขปัญหายาเสพติด ผู้มีอิทธิพล การพนัน การค้าประเวณี รวมทั้งให้กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ ที่ให้พิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาสังคมต่าง ๆ เช่น ยาเสพติด การแข่งมอเตอร์ไซค์ตามถนน (เด็กแว้น) โดยพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน นอกเหนือจากการจับกุมและบังคับใช้กฎหมาย เช่น ให้ผู้ที่ถูกดำเนินคดีทำกิจกรรมบริการสาธารณะในงานที่ถนัด ควบคุมความประพฤติและฝึกอาชีพเพื่อให้สามารถมีอาชีพเมื่อได้รับการปล่อยตัว ๔. ด้านอื่น ๆ ๔.๑ เนื่องด้วยขณะนี้หลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศอยู่ในภาวะประสบภัยพายุฝน น้ำท่วม ดินถล่ม คลื่นลมแรง ดังนั้น ให้ทุกส่วนราชการโดยเฉพาะหน่วยงานในพื้นที่เร่งดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะอุทกภัยตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๗ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ทันการณ์ และให้มุ่งเน้นการฟื้นฟูความเสียหายของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบให้กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว รวมทั้งให้มีการติดตามผลการดำเนินการด้วย ๔.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชนรับทราบถึงผลกระทบในแต่ละพื้นที่อันเนื่องจากภัยแล้ง โดยกำหนดมาตรการเตรียมความพร้อมรองรับปัญหาภัยแล้งที่อาจสร้างความเสียหายกับพืชผลทางเกษตรและปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคโดยเร็ว และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
|
.....