ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1278 จากทั้งหมด 6213 หน้า แสดงรายการที่ 25541 - 25560 จากข้อมูลทั้งหมด 124251 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
25541 | ร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้เสนอร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||
25542 | รายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร07 | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จากงบประมาณทั้งสิ้น ๒,๕๗๕,๐๐๐ ล้านบาท จัดสรรแล้ว ๑,๖๑๓,๖๗๖.๓๙๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๒.๖๗ มีการลงนามสัญญาแล้ว ๕๙๙,๐๓๗.๐๔๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๓.๒๖ มีการเบิกจ่ายแล้ว ๕๕๐,๔๓๓.๗๓๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๑.๓๘ ทั้งนี้ แผนการใช้จ่ายงบประมาณไตรมาสที่ ๑ กำหนดไว้เป็นเงิน ๙๓๘,๕๕๒.๓๘๑ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายแล้ว ๕๕๐,๔๔๓.๗๓๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๘.๖๕ ๑.๒ เงินกันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปี พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๗ รวมทั้งสิ้น ๓๒๕,๘๙๘.๐๗๐ ล้านบาท มีการลงนามสัญญาแล้ว ๑๒๐,๓๖๙.๖๓๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๖.๙๓ มีการเบิกจ่ายแล้ว ๕๒,๔๕๘.๕๙๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๖.๑๐ ๑.๓ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะ ๓ เดือน จากกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติทั้งสิ้น ๒๒,๙๙๙.๗๙๒ ล้านบาท ได้อนุมัติจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ที่กรมบัญชีกลางอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๗,๗๑๗.๕๖๔ ล้านบาท และอนุมัติจัดสรรเงินกู้ไทยเข้มแข็งแล้ว จำนวน ๑๓,๕๖๑.๙๙๘ ล้านบาท รวมอนุมัติจัดสรรแล้ว จำนวน ๒๑,๒๗๙.๕๖๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๒.๕๒ ทั้งนี้ ผลการใช้จ่ายงบประมาณตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ณ วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ในส่วนของงบกลางฯ มีการลงนามสัญญาแล้ว (ใบสั่งซื้อเหลื่อมปี) จำนวน ๑,๑๔๗.๘๘๓๔ ล้านบาท และเบิกจ่ายงบประมาณแล้ว จำนวน ๑๗.๔๙๘๓ ล้านบาท คงเหลือยังไม่ลงนามสัญญา ๖,๕๕๒.๑๘๒๐ ล้านบาท ในส่วนของเงินสำรองจ่ายงบไทยเข้มแข็ง มีการลงนามสัญญาแล้ว (ใบสั่งซื้อเหลื่อมปี) จำนวน ๖๗.๔๔๗๕ ล้านบาท และเบิกจ่ายงบประมาณแล้ว จำนวน ๑.๔๗๘๔ ล้านบาท รวมเบิกจ่ายแล้วทั้งสิ้น ๑๘.๙๗๖๖ ล้านบาท ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐเร่งดำเนินการเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ ทั้งนี้ หากมีปัญหาไม่สามารถดำเนินการเบิกจ่ายได้ ให้ชี้แจงเหตุผลความจำเป็นต่อสำนักงบประมาณเพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) และสำนักงบประมาณร่วมกันรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณและความคืบหน้าในการดำเนินโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๑๕ วัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
25543 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 เรื่อง การแก้ไขปัญหายางพาราตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2557 (โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง) | อก | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ [เรื่อง การแก้ไขปัญหายางพาราตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๗ (โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง)] ในส่วนของข้อคิดเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับงบประมาณดำเนินการโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง ซึ่งเป็นผลการหารือร่วมกับสำนักงบประมาณและธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยขอแก้ไขเป็นดังนี้ ๑.๑ ให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) และธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ ที่กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นสมควร เป็นผู้สนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง ภายในกรอบวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ เป็นผู้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ ๓ ตามรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยกำหนดให้มีการจ่ายชดเชยดอกเบี้ยเป็นรายเดือน ตามลักษณะการประกอบธุรกรรมของธนาคาร ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๓๐๐ ล้านบาท โดยให้ใช้จากเงินทุนที่เป็นสภาพคล่องของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ กระบวนการจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยในโครงการฯ จะจ่ายเป็นรายเดือนตามที่เกิดขึ้นจริง โดยผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ ต้องเปิดบัญชีออมทรัพย์/กระแสรายวันกับสาขาธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่ประสงค์จะรับเงินชดเชยดอกเบี้ย และกระทรวงอุตสาหกรรมจะส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบปริมาณการเก็บสต็อกยางทุกวันสุดท้ายของเดือน เพื่อพิจารณาอนุมัติการชดเชยดอกเบี้ยในเดือนถัดไป ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมจะแจ้งข้อมูลรายละเอียดการจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยของผู้ประกอบการให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทราบ เพื่อธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จะโอนเงินให้แก่ผู้ประกอบการที่เปิดบัญชีไว้กับสาขาธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงการคลัง [ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)] รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการให้ชัดเจน โดยเฉพาะเอกสารหลักฐานประกอบการจ่ายเงิน อาทิ ตั๋วสัญญากู้เงิน ใบเสร็จรับเงินค่าดอกเบี้ย และระยะเวลาที่ผู้ประกอบการยางสามารถยื่นคำขอเข้าร่วมโครงการฯ เป็นต้น รวมทั้งให้มีระบบการติดตามกำกับดูแลและตรวจสอบการดำเนินงานโครงการฯ ให้ถูกต้องตามรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริง เกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นธรรมต่อไป นอกจากนี้ควรทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการให้รับทราบถึงกระบวนการ ขั้นตอนและระยะเวลาในการเบิกจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยคืนให้กับผู้ประกอบการ พร้อมทั้งวางระบบและกำกับดูแลให้การเบิกจ่ายเงินคืนเงินให้กับผู้ประกอบการภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นไปอย่างรวดเร็ว ตามกำหนดระยะเวลาที่กำหนดไว้ ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
25544 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ขณะนี้สภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากสหรัฐอเมริกาดำเนินนโยบายปรับอัตราดอกเบี้ยจะมีผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนโลก และอาจมีการเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อภาคการส่งออกของไทย จึงให้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กำกับให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องประสานธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อติดตามสถานการณ์ค่าเงินอย่างใกล้ชิด รวมทั้งกำหนดมาตรการรองรับด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับสถาบันการศึกษาหารือหน่วยงานทางวิชาการดำเนินการศึกษาเกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานของไทยและเผยแพร่ให้สาธารณชนรับทราบต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับทุกส่วนราชการพิจารณากำหนดมาตรการประหยัดพลังงานและแนวทางการใช้พลังงานทดแทนต่าง ๆ เช่น ระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar cell) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๔ ให้กระทรวงคมนาคมเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรในสาขาซ่อมแซมและบำรุงรักษารถไฟฟ้า โดยให้ได้รับการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้เกิดความเชี่ยวชาญ พร้อมทั้งเตรียมศูนย์ซ่อมบำรุงเพื่อรองรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๑.๕ ประเทศไทยได้ลงนามในความร่วมมือกับนานาประเทศ โดยจะให้มีการเปิดเสรีทางการค้าและการเชื่อมโยง (Connectivity) ด้านการคมนาคมและการขนส่งมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการขนส่งทางบกที่อาจจะส่งผลให้มีการขนส่งสินค้าเข้ามาในประเทศไทยจากประเทศที่มีต้นทุนทางการผลิตต่ำกว่าประเทศไทย จึงให้กระทรวงพาณิชย์และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นด้วย ๑.๖ ให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบข้อมูลการขายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) และรูปแบบอื่น ๆ ในช่วงที่ผ่านมา และนำเสนอข้อมูลดังกล่าวพร้อมทั้งแนวทางการระบายข้าวในระยะต่อไปต่อสาธารณชน และตรวจสอบการขายข้าวของบริษัทเอกชนในกรณีที่มีข่าวว่าบริษัทเอกชนบางรายนำข้าวของเวียดนามหรือกัมพูชามาสวมสิทธิขายในโควตาของข้าวไทยด้วย ๑.๗ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้ทราบเกี่ยวกับการประกันภัยให้แก่นักท่องเที่ยว เพื่อให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้รับความคุ้มครองในทุกกรณี ๑.๘ ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเร่งดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๙) โดยในการดำเนินการคัดเลือกเอกชนผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องกำกับให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้ ๒. ด้านการต่างประเทศ ให้คณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติเร่งดำเนินการขับเคลื่อนกรอบความร่วมมืออาเซียนและเตรียมความพร้อมให้หน่วยงานต่าง ๆ ในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อขับเคลื่อนในแต่ละแผนงานย่อย ให้เร่งดำเนินการต่อไป ๓. ด้านความมั่นคง ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับส่วนราชการด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์เครื่อง X-Ray ร่วมกันในงานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และด่านตรวจตามแนวชายแดน หากพบว่า ยังไม่เพียงพอให้หน่วยงานเสนอรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เพื่อพิจารณาต่อไป ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ให้กระทรวงคมนาคมจัดให้มีการให้บริการรถโดยสารสาธารณะในช่วงเทศกาลปีใหม่ให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน โดยเฉพาะถนนในช่วงเขาซึ่งมีทางแคบและลาดชันซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย และให้ส่วนราชการด้านความมั่นคง เช่น กระทรวงมหาดไทยดูแลควบคุมสถานประกอบการให้ดำเนินกิจการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ๔.๒ ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการดำเนินการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการอันเป็นสาธารณูปโภค เพื่อก่อสร้างหรือขยายถนน หรือเพื่อประโยชน์แก่การชลประทานในการเก็บกักน้ำ โดยให้ทราบถึงประโยชน์ที่จะได้รับ รวมทั้งพิจารณาให้ความเป็นธรรมในการชดเชยหรือเยียวยาแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบด้วย ๔.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ให้มีความอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งส่งเสริมการปลูกป่าทดแทน ๔.๔ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายควบคุมในการผลิตสุรากลั่นชุมชนให้ถูกต้องและปลอดภัยยิ่งขึ้น ๔.๕ ตามที่รัฐบาลได้ดำเนินการปรับปรุงอาคารและภูมิทัศน์บริเวณบ้านพิษณุโลกและบ้านมนังคศิลา เพื่อใช้เป็นสถานที่ประชุมและเลี้ยงรับรองบุคคลสำคัญในระดับผู้นำของประเทศต่าง ๆ ที่มาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล โดยให้กระทรวงการคลังจัดหาสถานที่เพื่อให้สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติงานแทนบ้านมนังคศิลา และให้ฝ่ายความมั่นคงทบทวนแนวทางในการชี้แจงทำความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการบริเวณตลาดมหานาคให้ย้ายสถานที่ขายสินค้าไปยังบริเวณฝั่งตรงข้าม ซึ่งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้จัดเตรียมพื้นที่ค้าขายเพื่อรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
25545 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) เรื่อง กำหนดประเภทสถานประกอบการที่อยู่ภายใต้บังคับของมาตรการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานประกอบการ และร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) เรื่อง มาตรการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานประกอบการ รวม 2 ฉบับ | ยธ | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเพิ่มเติมให้สถานที่หรือที่เก็บสินค้าของผู้ประกอบการขนส่งต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) เรื่อง กำหนดประเภทสถานประกอบการที่อยู่ภายใต้บังคับของมาตรการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานประกอบการ ๒. ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) เรื่อง มาตรการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานประกอบการ |
|||||||||||||||||||||||||||
25546 | ข้อเสนอแนะในการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบริหารจัดการท่าเทียบเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กรณีศึกษาท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเทียบเรือ AO โดยบริษัท แอล ซี เอ็ม ที จำกัด และท่าเทียบเรือ B1 โดยบริษัท แอลซีบี คอนเทนเนอร์ เทอร์มินอล 1 จำกัด) | ปช | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอข้อเสนอแนะในการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบริหารจัดการท่าเทียบเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กรณีศึกษาท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเทียบเรือ AO โดยบริษัท แอล ซี เอ็ม ที จำกัด และท่าเทียบเรือ B1 โดยบริษัท แอลซีบี คอนเทนเนอร์ เทอร์มินอล ๑ จำกัด) เพื่อป้องกันการทุจริตในเรื่องดังกล่าว ตามนัยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๑๙ (๑๑) ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคม เป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลัก ร่วมกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย กรมศุลกากร กรมสรรพากร และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ร่วมกันทำการตรวจสอบการให้สัมปทานประกอบกิจการท่าเรือที่อยู่ในการกำกับดูแลของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทั้งหมด ว่ามีพฤติการณ์ในลักษณะเอาเปรียบรัฐ โดยการฉ้อฉลและทุจริตถ่ายโอนรายได้จากการอาศัยสิทธิประโยชน์ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ไม่ว่าผู้ประกอบการของแต่ละท่าที่มีพื้นที่และลักษณะทางกายภาพติดต่อกัน จะเป็นผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นหุ้นชุดเดียวกันหรือไม่ แล้วให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตามกฎหมายและข้อกำหนดในสัญญาอย่างเคร่งครัด รวมทั้งดำเนินคดีเรียกค่าปรับ หรือค่าเสียหายอันเกิดจากการฉ้อฉลและทุจริตดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ หากพิจารณาเห็นว่าข้อกำหนดในสัญญาข้อใด เป็นผลทำให้รัฐเสียเปรียบและก่อให้เกิดความเสียหาย ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการแก้ไขข้อสัญญานั้นให้เกิดความเป็นธรรมต่อไป ๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน พิจารณาถึงความเป็นไปได้อย่างเหมาะสมที่จะยกเลิกเพิกถอนการให้สิทธิประโยชน์โครงการของผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการขนถ่ายสินค้าสำหรับเรือเดินทะเลที่มีพฤติการณ์ในลักษณะเอาเปรียบรัฐ โดยการฉ้อฉลและทุจริตถ่ายโอนรายได้จากการอาศัยสิทธิประโยชน์ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้ง ให้มีการติดตาม ประเมินผล และวิเคราะห์เปรียบเทียบผลดี ผลเสีย ที่ภาครัฐจะได้รับการให้สิทธิประโยชน์โครงการของผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนดังกล่าวด้วย ๑.๓ ให้กรมศุลกากร พิจารณาแก้ไข เพิ่มเติมเกณฑ์อัตราเปรียบเทียบปรับตามประมวลฯ ๑ ๐๖ ๐๓ ๐๑ (๒๒) ของระเบียบกรมศุลกากรที่ ๑๘/๒๕๕๐ ซึ่งใช้ประกอบการดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๓๘ โดยเพิ่มโทษปรับให้มีอัตราที่สูงขึ้นและเหมาะสมเพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้มีการฝ่าฝืนหรือละเมิดต่อกฎหมาย ๒. รับทราบคำสั่งรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ที่ได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะทั้ง ๓ ข้อ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาร่วมกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากรและกรมสรรพากร) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้กระทรวงคมนาคมจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง (ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้แจ้งกระทรวงคมนาคมแล้ว ตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๕๐๕/ว(ล) ๒๔๒๘๑ ลงวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๗) เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาและมีมติแล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้แจ้งผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากรและกรมสรรพากร) สำนักงานคระกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการประกอบกิจการท่าเรือที่อยู่ในกำกับดูแลของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทั้งหมด ว่ามีการดำเนินการในลักษณะเอาเปรียบรัฐ ฉ้อฉลและทุจริตถ่ายโอนรายได้จากการอาศัยสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากการส่งเสริมการลงทุนจริงหรือไม่ โดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตามกฎหมายและข้อกำหนดในสัญญาอย่างเคร่งครัด และหากพิจารณาเห็นว่าข้อกำหนดในสัญญาข้อใดเป็นผลทำให้รัฐเสียเปรียบและก่อให้เกิดความเสียหาย ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการแก้ไขข้อสัญญาให้เกิดความเป็นธรรมด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
25547 | ข้อเสนอแนะในการจัดเก็บภาษีโรงเรียนสอนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ | ปช | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอข้อเสนอแนะเพื่อเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาการจัดเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ ให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการศึกษาทั้งระบบอย่างยั่งยืน ตามนัยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๑๙ (๑๑) ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการระยะสั้น ๑.๑.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการทบทวนและแก้ไขประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนเกี่ยวกับโรงเรียนสอนกวดวิชา โดยให้มีการจำแนกประเภทที่ชัดเจนเพื่อเป็นฐานข้อมูลของกระทรวงการคลังในการจัดเก็บภาษี ๑.๑.๒ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดเก็บภาษีจากโรงเรียนสอนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ และดำเนินการแก้ไขกฎกระทรวง และ/หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้เหมาะสมสอดคล้อง ๑.๒ มาตรการระยะยาว ๑.๒.๑ รัฐต้องมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมด้านโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยต้องมุ่งเน้นการขยายให้บริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพและทั่วถึง ปรับเปลี่ยนวิธีการวัดผลการเรียนและการสอบเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษาเพื่อลดแรงจูงใจและความจำเป็นในการกวดวิชา ๑.๒.๒ กระทรวงศึกษาธิการต้องพัฒนาเรื่องระบบการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ และจัดโครงการสอนเสริมโดยจัดหาครูเก่ง ๆ ที่สอนดี พร้อมเผยแพร่การสอนหรือการติวผ่านทางสื่อต่าง ๆ แก่โรงเรียนทั่วประเทศอย่างทั่วถึง ๑.๒.๓ การสอบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาต้องออกข้อสอบให้อยู่ในขอบเขตของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน และควรปรับระบบการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในแต่ละระดับให้สอดคล้องกับการเรียนในระบบโรงเรียนตามปกติเท่านั้น และในการออกข้อสอบต้องไม่เกินจากหลักสูตรที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ๒. รับทราบคำสั่งรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ที่ได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะทั้งมาตรการระยะสั้นและมาตรการระยะยาวของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาและมีมติแล้วสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้แจ้งผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการจัดเก็บภาษีจากโรงเรียนสอนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการกำกับติดตามการปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานในการจัดการเรื่องการสอนของสถานศึกษาต่าง ๆ ให้มีความทัดเทียมกัน เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสเข้าถึงบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม รวมทั้งเพื่อลดแรงจูงใจและความจำเป็นในการกวดวิชาเพิ่มเติมสำหรับนักเรียนที่มีผลการเรียนในระดับต่ำ ถือเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของสถานศึกษาแต่ละแห่งที่เกี่ยวข้อง ที่จะต้องพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||
25548 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. .... | สธ | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบโรคศิลปะ เพื่อให้อัตราค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบโรคศิลปะสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๖ และเหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
25549 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมวิชาชีพการแพทย์แผนไทย พ.ศ. .... | สธ | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมวิชาชีพการแพทย์แผนไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยและผู้ประกอบวิชาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ตามพระราชบัญญัติวิชาชีพการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
25550 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องหมายและวิธีการแสดงเครื่องหมายบ่งชี้ข้อมูลสำหรับรถที่จดทะเบียนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. .... | คค | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องหมายและวิธีการแสดงเครื่องหมายบ่งชี้ข้อมูลสำหรับรถที่จดทะเบียนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเพื่อกำหนดเครื่องหมายและวิธีการแสดงเครื่องหมายบ่งชี้สำหรับรถที่จดทะเบียนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
25551 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. .... | สธ | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมวิชาชีพเภสัชกรรม โดยกำหนดไม่เกินอัตราค่าธรรมเนียมวิชาชีพเภสัชกรรมท้ายพระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. ๒๕๓๗ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
25552 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของส่วนราชการในกระทรวงวัฒนธรรม รวม 5 ฉบับ | วธ | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของส่วนราชการในกระทรวงวัฒนธรรม รวม ๕ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงทั้ง ๕ ฉบับดังกล่าว ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม พ.ศ. .... ๒. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม พ.ศ. .... ๓. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๔. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม พ.ศ. .... ๕. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม พ.ศ. .... |
|||||||||||||||||||||||||||
25553 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสีย้อมสังเคราะห์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... จำนวน 5 ฉบับ | อก | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสีย้อมสังเคราะห์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... จำนวน ๕ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์สีย้อมสังเคราะห์ ได้แก่ สีไดเร็กต์ สีรีแอกทีฟ สีแวต สีซัลเฟอร์ และสีแอซิด ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อควบคุมผลิตภัณฑ์สีสังเคราะห์ที่ใช้ย้อมและพิมพ์ ที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศให้มีความปลอดภัยจากสีเอโซที่ให้แอโรเมติกแอมีนที่เป็นอันตราย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสีย้อมสังเคราะห์ : สีไดเร็กต์ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสีย้อมสังเคราะห์ : สีรีแอกทีฟ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ๓. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสีย้อมสังเคราะห์ : สีแวต ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ๔. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสีย้อมสังเคราะห์ : สีซัลเฟอร์ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ๕. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสีย้อมสังเคราะห์ : สีแอซิด ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... |
|||||||||||||||||||||||||||
25554 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสามสมัยพิเศษว่าด้วยการเตรียมพร้อม และรับมือกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา | สธ | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสามสมัยพิเศษว่าด้วยการเตรียมพร้อมและรับมือกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (Joint Statement of ASEAN Plus Three Health Ministers’ Special Meeting on Ebola Preparedness and Response) ซึ่งเป็นการแสดงเจตจำนงของประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสามในการดำเนินความร่วมมือในการเตรียมความพร้อมและรับมือกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา รวมทั้งเพื่อขับเคลื่อนให้มีการดำเนินการตามข้อตกลงที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ แถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๒ แถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๔ มติขององค์การสหประชาชาติ และแถลงการณ์ร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๙ ว่าด้วยการรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลาของภูมิภาค และหากมีการแก้ไขถ้อยคำหรือประเด็นที่มิใช่สาระสำคัญ ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองแถลงการณ์ดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขตั้งข้อสงวนในประเด็นการให้ความช่วยเหลือในระดับนานาชาติที่จะให้มีการจัดส่งบุคลากรไปประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา เพื่อให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ขอความเห็นชอบแนวทางการเตรียมความพร้อมป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาทุกภาคส่วน และเตรียมการส่งความช่วยเหลือของไทยไปยังแอฟริกาตะวันตก) ที่ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดเตรียมความพร้อมและซักซ้อมความรู้ความเข้าใจของบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง รอบคอบ และมีความปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสอีโบลาก่อน |
|||||||||||||||||||||||||||
25555 | ร่างถ้อยแถลงระดับรัฐมนตรีในการประชุม 2014 ASEAN-ROK Special Ministerial Meeting on Forestry ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี | ทส | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงระดับรัฐมนตรีในการประชุม The 2014 ASEAN-ROK Special Ministerial Meeting on Forestry มีสาระสำคัญเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบด้านการป่าไม้ของประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาเหลีในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีเพื่อการจัดการด้านป่าไม้ในภูมิภาค และการดำเนินมาตรการเพื่อให้เกิดการดำเนินงานตามความตกลงระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐเกาหลีว่าด้วยความร่วมมือด้านการป่าไม้ อย่างมีประสิทธิภาพตามกรอบเวลา รวมถึงการจัดตั้งองค์การความร่วมมือด้านการป่าไม้แห่งเอเชีย (Asian Forest Cooperation Organization : AFoCO) ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมอบหมาย เป็นผู้ให้การรับรองและร่วมลงนามร่างถ้อยแถลงระดับรัฐมนตรีในการประชุม The 2014 ASEAN-ROK Special Ministerial Meeting on Forestry ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขถ้อยคำของร่างถ้อยแถลงระดับรัฐมนตรีฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถดำเนินการต่อไปได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
|||||||||||||||||||||||||||
25556 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี ในโอกาสครบรอบ 25 ปี ของความสัมพันธ์คู่เจรจาอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลีว่าด้วยวิสัยทัศน์ในอนาคตของหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี "สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองและความสุข" สำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ | กต | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ในโอกาสครบรอบ ๒๕ ปี ของความสัมพันธ์คู่เจรจาอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วยวิสัยทัศน์ในอนาคตของหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี “สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองและความสุข” ซึ่งเป็นเอกสารที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความพร้อมของผู้นำของไทยในการสนับสนุนความร่วมมือในกรอบอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี และแสดงถึงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันของอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในอนาคตเพื่อพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ ครอบคลุมสาขาความร่วมมือหลัก ได้แก่ การเมืองความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ตลอดจนแสดงวิสัยทัศน์ร่วมกันในการพัฒนาความร่วมมืออาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลีให้สามารถรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ในอนาคต และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่มีผลผูกพันเพิ่มเติมต่อไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๑.๒ ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมในส่วนของความร่วมมือด้านเศรษฐกิจเพื่อความเจริญรุ่งเรืองและความก้าวหน้าร่วมกันในเรื่องการเพิ่มพูนความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ เห็นควรเพิ่มความร่วมมือทางด้านอุตสาหกรรม และการวิจัยและพัฒนาร่วมระหว่างอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ในสาขาอุตสาหกรรมที่สาธารณรัฐเกาหลีมีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ อุตสาหกรรมสีเขียว และอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ในส่วนที่เกี่ยวกับด้านต่างประเทศด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
25557 | การจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนรับรองการเปลี่ยนแปลงบัญชีกฎเฉพาะรายสินค้าของความตกลง TNZCEP | พณ | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนรับรองการเปลี่ยนแปลงบัญชีกฎเฉพาะรายสินค้า (Product Specific Rules : PSRs) ของความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ไทย-นิวซีแลนด์ [Thailand-New Zealand Closer Economic Partnership (TNZCEP)] มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ภาคผนวก ๒ ของความตกลงฯ ฉบับแก้ไขตาม HS 2012 ที่แนบกับหนังสือแลกเปลี่ยนฯ แทนที่ภาคผนวก ๒ ฉบับเดิม ภายใต้ความตกลง TNZCEP และกำหนดให้หนังสือแลกเปลี่ยนและหนังสือยืนยันของประเทศนิวซีแลนด์จะประกอบเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศในการแก้ไขความตกลง TNZCEP และให้มีผลใช้บังคับในวันแรกของเดือนที่สอง นับจากวันที่หนังสือที่มีหนังสือยืนยันตอบของประเทศนิวซีแลนด์ ๒. มอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๓. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนรับรองการเปลี่ยนแปลงกฎเฉพาะรายสินค้าของความตกลง TNZCEP ๔. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามหนังสือแลกเปลี่ยนฯ โดยภายหลังการลงนามแล้ว ให้ดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ผ่านช่องทางทางการทูตต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
25558 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการโครงการจัดตั้งโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่/ไข้หวัดนก ในระดับอุตสาหกรรมตามมาตรฐาน GMP ขององค์การอนามัยโลก | สธ | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการโครงการจัดตั้งโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่/ไข้หวัดนกในระดับอุตสาหกรรมตามมาตรฐาน GMP ขององค์การอนามัยโลก ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการโครงการจัดตั้งโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่/ไข้หวัดนก หมวดงบลงทุน โดยใช้รายได้ขององค์การเภสัชกรรมสมทบจ่าย เป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๕๙,๓๐๙,๖๔๕.๕๒ บาท ได้แก่ ๑.๑.๑ ค่าก่อสร้างอาคารผลิต อาคารบรรจุ อาคารประกันคุณภาพ และอาคารสัตว์ทดลอง จำนวน ๔ อาคาร เป็นเงิน ๔๕,๒๘๖,๙๗๒.๓๐ บาท ๑.๑.๒ ค่าควบคุมงานก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่/ไข้หวัดนกในระดับอุตสาหกรรมตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก เป็นเงิน ๕,๕๔๕,๑๗๓.๒๒ บาท ๑.๑.๓ ค่าจ้างที่ปรึกษาจัดทำ Validation Master Plan (VMP) และควบคุมการติดตั้งเครื่องจักรโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่/ไข้หวัดนกในระดับอุตสาหกรรมตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก เป็นเงิน ๘,๔๗๗,๕๐๐ บาท ๑.๒ ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ได้แก่ ๑.๒.๑ ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตามข้อ ๑.๑.๑ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๕ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๖๐ ๑.๒.๒ ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตามข้อ ๑.๑.๒ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๔ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๖๐ ๑.๒.๓ ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตามข้อ ๑.๑.๓ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๔ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๖๐ ๒. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า กระทรวงสาธารณสุขและองค์การเภสัชกรรมควรพิจารณาวางแผนและเตรียมการในระยะยาวเพื่อให้สามารถขยายกำลังการผลิตวัคซีนได้ในกรณีเกิดวิกฤติและมีความต้องการวัคซีนเพิ่มขึ้น รวมทั้งเพื่อให้สามารถผลิตวัคซีนป้องกันโรคอื่น ๆ ที่สำคัญนอกเหนือจากไข้หวัดใหญ่/ไข้หวัดนกได้ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
25559 | ขออนุมัติเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (โครงการก่อสร้างอาคาร 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร) | พศ | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดำเนินโครงการก่อสร้างอาคาร ๑๐๐ ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร ในวงเงิน ๒๔๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน ๑๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งกรมบัญชีกลางได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีไว้แล้ว และให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม สำหรับวงเงินในส่วนที่เหลือ อีกจำนวน ๑๒๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้วัดบวรนิเวศวิหารใช้จ่ายจากเงินรายได้หรือเงินบริจาคมาสมทบก่อน หากไม่เพียงพอก็เห็นสมควรให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
25560 | การโอนเปลี่ยนแปลงเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 เป็นเงินอุดหนุนทั่วไป | มท | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณเงินอุดหนุนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จากเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ รายการเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนการก่อสร้างถนน จำนวน ๒๐,๖๘๐,๗๘๖,๘๐๐ บาท มาจัดสรรเป็นเงินอุดหนุนทั่วไปสำหรับดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และภารกิจถ่ายโอน จำนวน ๒๐,๖๘๐,๗๘๖,๘๐๐ บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณลักษณะงบลงทุนที่เป็นภารกิจในอำหนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
.....