ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1130 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 22581 - 22600 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
22581 | แต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (นายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์) | นร04 | 06/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้งและมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
22582 | ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 หมวดงบรายจ่ายอื่น รายการเพิ่มทุนสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง รายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบกลางและเงินงบประมาณเหลือจ่าย) กรณีขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗หมวดงบรายจ่ายอื่น รายการเพิ่มทุนสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
|
|||||||||||||||||||||
22583 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2558 (ครั้งที่ 3) | พน | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ รวม ๖ เรื่อง ได้แก่ (๑) การขอเลื่อนวันกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ หรือ SCOD โครงการการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์การเกษตร (๒) มาตรการพิเศษส่งเสริมโรงไฟฟ้าชีวมวล ขยะ และก๊าซชีวภาพในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ ๔ อำเภอในจังหวัดสงขลา (๓) การเพิ่มสัดส่วนน้ำมันปาล์มดิบผสมกับน้ำมันเตาเพื่อผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้ากระบี่ จากร้อยละ ๑๐ เป็นไม่เกินร้อยละ ๒๓ (๔) การทบทวนหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ปี ๒๕๕๘ (๕) ข้อเสนอให้โครงการห้วยลำพันใหญ่ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการเซเสด และ (๖) การขยายระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๒. เห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวระหว่างบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับบริษัท Shell Eastern Trading (PTE) LTD และบริษัท BP Singapore PTE. Limited โดยให้ใช้วิธีการระงับข้อพิพาทโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการได้ ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องมีการปรับปรุงข้อความในร่างสัญญาดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สามารถปรับปรุงข้อความได้โดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีอีก ๓. โดยที่เรื่อง (๑) แผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (Energy Efficiency Plan : EEP 2015) เป็นเรื่องที่จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และ (๒) การยกเลิกสิทธิพิเศษของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ตั้งแต่ ๑๐,๐๐๐ ลิตรขึ้นไป ให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของคณะรัฐมนตรีในการพิจารณาให้ความเห็นชอบ จึงให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในสัปดาห์หน้าต่อไป ๔. ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการส่งเสริมโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดเล็กมาก (VSPP) ควรมีมาตรการป้องกันปัญหามลพิษจากโรงไฟฟ้าที่รัดกุม การเพิ่มสัดส่วนน้ำมันปาล์มดิบผสมกับน้ำมันเตาเพื่อผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้ากระบี่จากร้อยละ ๑๐ เป็นไม่เกินร้อยละ ๒๓ ควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม การขยายระบบส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ควรพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ก่อนดำเนินโครงการต่อไป และการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในอนาคต ควรพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานการรับซื้อไฟฟ้าที่คำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ อาทิ แนวโน้มความต้องการไฟฟ้า ผลกระทบต่อประสิทธิภาพแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าที่จ่ายไฟฟ้าแบบต่อเนื่อง (Base Load) ในพื้นที่ และขีดความสามารถของระบบไฟฟ้าทั้งในปัจจุบัน และอนาคต ตลอดจนผลกระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้า เพื่อให้การกำหนดนโยบายและมาตรการในการส่งเสริมโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมีความโปร่งใสและเป็นธรรมสำหรับผู้ประกอบกิจการพลังงานทุกราย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22584 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้เพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการ รวม ๑๓,๒๘๐ อัตรา ตามมติ คปร. รวมทั้งให้ส่วนราชการที่ได้รับการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำความเห็นของ คปร. ที่เห็นควรดำเนินการวางแผนอัตรากำลังภาครัฐในระยะยาวเพื่อควบคุมอัตรากำลังและแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐ ตลอดจนศึกษาและหามาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐอย่างจริงจัง และทบทวนการนำเงินนอกงบประมาณไปใช้จ้างลูกจ้างและพนักงานของส่วนราชการ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๑.๒ มอบหมายให้สำนักงบประมาณดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคคลสำหรับอัตราข้าราชการใหม่ ๑.๓ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำความเห็นของ คปร. เกี่ยวกับการบริหารอัตรากำลังของส่วนราชการไปดำเนินการ ๑.๓.๑ ให้สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกับหน่วยงานกลางที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และองค์กรกลางบริหารทรัพยากรบุคคลที่เกี่ยวข้อง กำหนดแนวทางและดำเนินการวางแผนกำลังคนภาครัฐในระยะยาว เพื่อควบคุมอัตรากำลังและแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านบุคคลภาครัฐ ๑.๓.๒ ให้สำนักงบประมาณเป็นเจ้าภาพดำเนินการร่วมกับสำนักงาน ก.พ. และองค์กรกลางบริหารทรัพยากรบุคคลที่เกี่ยวข้อง พิจารณากำหนดมาตรการเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายด้านบุคคลภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม ๑.๓.๓ ให้สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการทบทวนกฎหมาย กฎและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินนอกงบประมาณสำหรับจ้างพนักงานหรือลูกจ้างของส่วนราชการ ๑.๔ ให้ฝ่ายเลขานุการร่วม คปร. ติดตามความก้าวหน้าในการตามข้อ ๑.๑ ข้อ ๑.๒ และ ๑.๓ และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๖ เดือน ๒. สำหรับงบประมาณรายจ่ายเพื่อบรรจุข้าราชการตั้งใหม่ ซึ่งส่วนราชการมิได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้ ให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในโอกาสแรกก่อน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้ส่วนราชการหลีกเลี่ยงในการนำเงินนอกงบประมาณไปใช้ในการบรรจุแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติงานในหน่วยงานของตน ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาเจ้าหน้าที่กลุ่มดังกล่าวเรียกร้องขอให้บรรจุแต่งตั้งข้าราชการในภายหลัง ในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นในการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ให้ส่วนราชการนั้นดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง มาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑)] โดยเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||
22585 | หลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินเดือน กรณีพนักงานราชการและลูกจ้างชั่วคราวที่ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการ ในกระทรวงสาธารณสุข | นร10 | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินเดือน กรณีพนักงานราชการและลูกจ้างชั่วคราวที่ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการในกระทรวงสาธารณสุข ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผู้ที่จะได้รับการพิจารณาเยียวยาให้ได้รับเงินเดือน ๑.๑.๑ “พนักงานราชการ” ที่ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการในกระทรวงสาธารณสุขก่อนวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ และได้รับการจ้างให้ปฏิบัติงานในกระทรวงสาธารณสุขจนถึงวันก่อนได้รับการบรรจุเข้ารับราชการ ซึ่งรวมถึงกรณีมีการเว้นช่วงการบรรจุเนื่องจากวันก่อนการบรรจุเป็นวันหยุดราชการ ๑.๑.๒ “ลูกจ้างชั่วคราว” ซึ่งปฏิบัติงานเต็มเวลาอย่างต่อเนื่องเสมือนพนักงานประจำเป็นเวลา ๑ ปีขึ้นไป ที่ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการในกระทรวงสาธารณสุขก่อนวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ และได้รับการจ้างให้ปฏิบัติงานในกระทรวงสาธารณสุขจนถึงวันก่อนได้รับการบรรจุเข้ารับราชการ ซึ่งรวมถึงกรณีมีการเว้นช่วงการบรรจุเนื่องจากวันก่อนการบรรจุเป็นวันหยุดราชการ ๑.๒ การให้ได้รับเงินเดือน ๑.๒.๑ กรณี “พนักงานราชการ” ที่ได้รับการจ้างให้ปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิระดับปริญญาและได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “ประเภทวิชาการ” และกรณี “พนักงานราชการ” ที่ได้รับการจ้างให้ปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิต่ำกว่าปริญญาและได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “ประเภททั่วไป” ให้ได้รับการปรับเงินเดือนเป็นอัตราใหม่ โดยนำอัตราเงินเดือนตามคุณวุฒิที่ ก.พ. กำหนด เป็นอัตราเงินเดือนเริ่มต้นแล้วบวกกับผลรวมของจำนวนเงินที่ได้เลื่อนขณะเป็นพนักงานราชการ และผลรวมของจำนวนเงินที่ได้รับเลื่อนเงินเดือนขณะเป็นข้าราชการ ทั้งนี้ หากอัตราเงินเดือนที่คำนวณได้ต่ำกว่าเงินเดือนที่ได้รับอยู่เดิมให้ได้รับในอัตราเดิมต่อไป ๑.๒.๒ กรณี “ลูกจ้างชั่วคราว” ที่ได้รับการจ้างให้ปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิระดับปริญญาและได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “ประเภทวิชาการ” และกรณี “ลูกจ้างชั่วคราว” ที่ได้รับการจ้างให้ปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิต่ำกว่าปริญญาและได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “ประเภททั่วไป” ให้ได้รับการปรับเงินเดือนเป็นอัตราใหม่ โดยนำอัตราเงินเดือนตามคุณวุฒิที่ ก.พ. กำหนด เป็นอัตราเงินเดือนเริ่มต้น แล้วบวกกับจำนวนเงินค่าจ้างที่ลดลงในวันที่ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการ (ส่วนต่างระหว่างอัตราค่าจ้างสุดท้ายกับอัตราเงินเดือนตามคุณวุฒิ ณ วันที่ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการ) (ถ้ามี) และผลรวมของจำนวนเงินที่ได้รับเลื่อนเงินเดือนขณะเป็นข้าราชการ ทั้งนี้ หากอัตราเงินเดือนที่คำนวณได้ต่ำกว่าอัตราเงินเดือนที่ได้รับอยู่เดิมให้ได้รับในอัตราเดิมต่อไป ๑.๓ ให้ข้าราชการได้รับการปรับเงินเดือนเป็นอัตราใหม่ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยให้ปรับเงินเดือนตามหลักเกณฑ์และวิธีการจ้างข้างต้นก่อน แล้วจึงปรับเงินเดือนข้าราชการเข้าสู่อัตราในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามประเภทและระดับที่ได้รับแต่งตั้ง ๒. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ให้กระทรวงสาธารณสุขใช้จ่ายจากงบบุคลากรที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
22586 | ตัวชี้วัดการพัฒนาระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัด | นร11 | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบตัวชี้วัดการพัฒนาระดับจังหวัด รวม ๒๔ ตัวชี้วัด และตัวชี้วัดการพัฒนาระดับกลุ่มจังหวัด รวม ๑๓ ตัวชี้วัด ๑.๒ ให้ส่วนราชการพิจารณาใช้ประโยชน์ตัวชี้วัดในการกำหนดแผนงานโครงการและงบประมาณลงสู่พื้นที่ เพื่อให้เกิดการบูรณาการการขับเคลื่อนระหว่างจังหวัด กลุ่มจังหวัด และส่วนราชการเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล ๑.๓ มอบหมายให้หน่วยงานทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นให้ความร่วมมือในการจัดเก็บข้อมูลเพิ่มเติมที่จำเป็นและที่ยังเป็นข้อจำกัด เพื่อใช้ประกอบการจัดทำและพัฒนาตัวชี้วัดการพัฒนาระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัดให้มีความสมบูรณ์และมีความต่อเนื่องทุกปี ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการขอปรับตัวชี้วัดร่วม (Common Indicators) ระดับจังหวัด ประเด็นการวัด (๔) ประสิทธิภาพการดำเนินงานของภาครัฐ (Government Efficiency) ข้อ ๑ ความสามารถการให้บริการสาธารณะ GE1 จากเดิม ร้อยละของสถานพยาบาลได้รับการรับรองคุณภาพ HA (%) แหล่งที่มาของข้อมูล ขอปรับเป็นเรื่องร้อยละการเข้าถึงบริการผู้ป่วยนอก และการนำแนวทางการพัฒนาประเทศของยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี และร่างแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ มาใช้ประกอบการพัฒนาตัวชี้วัดการพัฒนาระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางในการเพิ่มเติมตัวชี้วัดเรื่องการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ การบูรณาการ หรือการประสานงานเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของผู้นำหน่วยงานและข้าราชการระดับสูง แผนงาน เจ้าหน้าที่ งบประมาณ การจัดทำแผนประสานสอดคล้องกัน และประสิทธิภาพของข้าราชการในพื้นที่ให้ชัดเจน รวมทั้งให้พิจารณาเพิ่มเติมตัวชี้วัดเพื่อแก้ไขปัญหาที่ตัวชี้วัดและผลการประเมินไม่สามารถบอกถึงประสิทธิภาพในการทำงานของข้าราชการทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคได้ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ๔. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาปรับปรุงตัวชี้วัดในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถประเมินผลสัมฤทธิ์เกี่ยวกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ๔.๑ การดำเนินการที่เป็นการส่งเสริมหรือสนับสนุนการสร้างเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Economy) เช่น การส่งเสริมหรือสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น การส่งเสริมหรือสนับสนุนการท่องเที่ยว เป็นต้น ๔.๒ การบริหารจัดการของหน่วยงานต่าง ๆ ว่ามีการดำเนินการที่ทำให้แบ่งเบาหรือลดภาระการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐลงไปได้ เช่น การดำเนินโครงการโดยมีการจัดหาแหล่งเงินทุนในรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุน (Public Private Partnership : PPP) เป็นต้น ๔.๓ การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของสำนักงบประมาณและหน่วยงานต่าง ๆ เช่น มีการแบ่งประเภทงบประมาณที่ขอรับการจัดสรรอย่างชัดเจน [งบประมาณสำหรับการบริหารราชการปกติ (Function Based) และงบประมาณสำหรับดำเนินโครงการตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาล (Agenda Based)] มีการบูรณาการจัดทำงบประมาณร่วมกันเพื่อให้การจัดสรรงบประมาณสำหรับดำเนินโครงการของรัฐบาลมีประสิทธิภาพไม่เกิดความซ้ำซ้อน เป็นไปตามยุทธศาสตร์และนโยบายของรัฐบาล เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||
22587 | แผนงาน/โครงการตามมติคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2558 (โครงการแก้มลิงเพื่อเก็บกักน้ำในลุ่มน้ำชายแดนระหว่างประเทศ ระยะเร่งด่วน และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำในลำน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง) | นร07 | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอขออนุมัติให้ดำเนินโครงการสร้างที่เก็บน้ำที่สามารถดำเนินการได้ทันทีในการเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๗๒๑,๖๙๓,๘๐๐ บาท เพื่อดำเนินโครงการ จำนวน ๒ โครงการ ดังนี้ ๑.๑ โครงการแก้มลิงเพื่อเก็บกักน้ำในลุ่มน้ำชายแดนระหว่างประเทศ ระยะเร่งด่วน งบประมาณ ๖๐๔,๕๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อก่อสร้างแก้มลิงที่มีความพร้อม จำนวน ๓๐ แห่ง โดยมอบหมายให้กรมชลประทานเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินโครงการ ๑.๒ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำในลำน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง งบประมาณ ๑๑๗,๑๙๓,๘๐๐ บาท เพื่อก่อสร้างฝายกระสอบทรายชั่วคราวในพื้นที่ลำน้ำขนาดเล็กที่มีศักยภาพ จำนวน ๕๒๖ แห่ง โดยมอบหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินโครงการ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) และกระทรวงมหาดไทย (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) เร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นฤดูฝน รวมทั้งรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายให้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาวิกฤตภัยแล้งระดับจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ ดำเนินการติดตามตรวจสอบการดำเนินงาน การใช้งบประมาณให้โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22588 | การปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ | กค | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ๑.๑.๑ ปรับเปลี่ยนตำแหน่งรองประธาน ๑ ตำแหน่ง จากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยกเลิกตำแหน่งรองประธาน จำนวน ๑ ตำแหน่ง คือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และยกเลิกตำแหน่งกรรมการ จำนวน ๒ ตำแหน่ง ได้แก่ นางพรรณี สถาวโรดม (ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) และผู้แทนการค้าไทย ๑.๑.๒ ปรับเปลี่ยนอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ข้อ ๔ จากเดิม “รายงานผลความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีทราบทุก ๒ สัปดาห์” เป็น “การรายงานผลความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีทราบทุก ๑ เดือน” ๑.๒ การปรับปรุงกรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศจะใช้ในการติดตามและขับเคลื่อน โดยปรับปรุงกรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๘) ให้เหลือเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใช้เงิน และเพิ่มเติมมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อย และมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรฐบาลทั่วประเทศ ไว้ในกรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คณะกรรมการฯ จะใช้ในการติดตาม ประกอบด้วย ๔ มาตรการ ได้แก่ (๑) การขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน (๒) การส่งเสริมการลงทุน (๓) มาตรการการเงินการคลังเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะเร่งด่วน และ (๔) มาตรการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและความยากจนในการเสริมสร้างความยั่งยืน ๒. ในส่วนขององค์ประกอบของคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ให้เพิ่มผู้แทนสำนักงบประมาณร่วมเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ จำนวน ๑ คน และให้ดำเนินการสรุปการปฏิบัติโดยต่อเนื่อง เป็นมาตรการช่วยเหลือระยะที่ ๑ (คณะรัฐมนตรีชุดเดิม) และมาตรการช่วยเหลือระยะที่ ๒ (คณะรัฐมนตรีชุดใหม่) เพื่อง่ายต่อการประชาสัมพันธ์ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีด้วย
|
|||||||||||||||||||||
22589 | ขอรับความเห็นชอบวงเงินตามผลประกวดราคาและขออนุมัติเพิ่มวงเงิน ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าควบคุมงานก่อสร้าง อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของสำนักงบประมาณ | นร07 | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารสำนักงบประมาณแห่งใหม่ จากวงเงิน ๑๙,๒๗๕,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๒๘,๓๒๐,๐๐๐ บาท ตามระเบียบก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๗ (๓) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
22590 | รายงานผลการเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี 2558 เพิ่มเติม | กษ | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๕๘ เพิ่มเติม โดยได้จัดสรรโควตานำเข้านมผงขาดมันเนยไปแล้ว ๒ งวด แบ่งเป็น งวดที่ ๑ มีผู้ประกอบการที่ผ่านเกณฑ์ จำนวน ๘ ราย ปริมาณ ๓,๐๙๘.๖๓ ตัน และงวดที่ ๒ จำนวน ๑๗ ราย ปริมาณ ๙,๑๐๗.๐๐ ตัน ทั้งนี้ การนำเข้าสินค้านมผงขาดมันเนยในส่วนโควตาเพิ่มเติม ปี ๒๕๕๘ จากยอดจัดสรร งวดที่ ๑ จำนวน ๓,๐๙๘.๖๓ ตัน มีการนำเข้าแล้ว ปริมาณ ๖๒๒.๐๒๕ ตัน มูลค่า ๕๔,๙๕๒,๔๘๘.๔๘๙ บาท คิดเป็นมูลค่าราคานำเข้า ๘๘.๓๔ บาท/กิโลกรัม หากคิดเป็นราคานมคืนรูปเพื่อเปรียบเทียบกับราคาน้ำนมดิบในประเทศ จะอยู่ที่ประมาณ ๑๑ บาท/กิโลกรัม ในขณะที่ราคาน้ำนมดิบในประเทศปัจจุบัน ๑๙ บาท/กิโลกรัม แต่จากมาตรการควบคุมและหลักเกณฑ์การจัดสรรโควตาส่วนเพิ่มเติมซึ่งผู้ประกอบการต้องรับซื้อน้ำนมดิบตามข้อตกลงขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : MOU) ที่ทำไว้กับเกษตรกร จึงยังไม่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำนมดิบในประเทศแต่อย่างใด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการประเมินผลการดำเนินงานก่อนสิ้นสุดการนำเข้าในปี ๒๕๕๘ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เนื่องจากเป็นการขอโควตาเพิ่มเติมตั้งแต่ต้นปีเป็นครั้งแรก เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในการขอเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนยเพิ่มเติมในปีต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
22591 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดยาเสพติดตามยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด (สิงหาคม พ.ศ. 2558) | ทก | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดยาเสพติดตามยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด (สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนซึ่งเป็นการสำรวจภายหลังการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ปี ๒๕๕๘ มาแล้ว ๑๑ เดือน (ตุลาคม ๒๕๕๗-สิงหาคม ๒๕๕๘) ผลการสำรวจความคิดเห็นพบว่า ในพื้นที่ภาค ๙ (ภาคใต้) มีปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติด ปัญหาด้านผู้ค้า/ผู้ลักลอบค้ายาเสพติด และปัญหาด้านผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด อยู่ในระดับที่มากที่สุด ส่วนปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติดในโรงเรียน/สถานศึกษา พบว่า ชุมชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและภาค ๙ อยู่ในระดับที่สูงกว่าภาคอื่น ๆ ในด้านความพึงพอใจต่อผลการทำงานของรัฐบาล พบว่า ประชาชนร้อยละ ๗๒.๘ มีความพึงพอใจมากที่สุดต่อผลการทำงานของรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และร้อยละ ๙๙.๘ มีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด พร้อมทั้งได้ให้ข้อเสนอแนะแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ได้แก่ การปราบปรามอย่างจริงจังและต่อเนื่อง การใช้กฎหมายลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติด การจัดกิจกรรมรณรงค์สร้างจิตสำนึก และการจัดตั้งเวรยาม/จุดตรวจเฝ้าระวัง
|
|||||||||||||||||||||
22592 | การขอความเห็นชอบต่อร่างอนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก และร่างแผนปฏิบัติการอาเซียนว่าด้วยการต่อต้าน การค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก | กต | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างอนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก (ASEAN Convention Against Trafficking in Persons, Especially Women and Children : ACTIP) และร่างแผนปฏิบัติการอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก (ASEAN Plan of Action Against Trafficking in Persons, Especially Women and Children : APA) โดยร่างอนุสัญญาฯ และร่างแผนปฏิบัติการฯ เป็นเอกสารสำคัญที่แสดงถึงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกอาเซียนที่จะร่วมกันป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในภูมิภาค ซึ่งเป็นปัญหาท้าทายที่สำคัญประการหนึ่งของการบรรลุเป้าหมายเรื่องการสร้างประชาคมอาเซียนเพื่อประชาชน รวมทั้งเป็นความพยายามของประเทศสมาชิกที่จะสร้างกรอบกฎหมายในระดับภูมิภาคเพื่อรองรับผลกระทบจากการเชื่อมโยงในอาเซียน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการเตรียมการเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อผูกพันของไทยต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์โดยเฉพาะสตรีและเด็ก โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ให้มากขึ้น การพัฒนาระบบข้อมูลการค้ามนุษย์ และการพัฒนาศักยภาพของเจ้าหน้าที่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการร่วมมือต่อต้านการค้ามนุษย์ในระดับภูมิภาคอาเซียน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายสุธี มากบุญ) ร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าวในช่วงการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ (ASEAN Ministerial Meeting on Transnational Crime : AMMTC) ครั้งที่ ๑๐ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ๔. อนุมัติการลงนามหรือการรับรองร่างอนุสัญญาฯ และร่างแผนปฏิบัติการฯ โดยนายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๗ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย (ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘) ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศหารือร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้ได้ข้อยุติว่าร่างอนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก เข้าข่ายตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติก่อนการแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันหรือไม่ หากเข้าข่ายตามข้อกฎหมายดังกล่าว ให้แจ้งนายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายรับทราบก่อนไปลงนาม รวมทั้งให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบตามข้อกฎหมายดังกล่าว ก่อนให้สัตยาบันต่อไป |
|||||||||||||||||||||
22593 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายวรเชษฐ์ ทับทิม) | กค | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายวรเชษฐ์ ทับทิม ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ขอให้สำนักราชเลขาธิการนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการดังกล่าวให้ดำรงตำแหน่ง และให้พ้นจากตำแหน่งตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ เนื่องจากครบเกษียณอายุราชการต่อไปแล้ว
|
|||||||||||||||||||||
22594 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ (เพิ่มเติม) | นร07 | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ดำเนินการตามมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ ในวงเงิน ๓,๖๙๓.๙ ล้านบาท และให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างได้ตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ โดยสามารถก่อหนี้ผูกพันได้เมื่อได้รับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ ๒. ในส่วนของวงเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศที่เหลืออยู่ จำนวน ๑,๓๔๐.๖ ล้านบาท ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีโครงการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ๑๑ ข้อ แต่ยังไม่ได้ส่งคำขอหรือยังไม่มีรายละเอียดประกอบการพิจารณา จัดส่งคำขอหรือรายละเอียดประกอบการพิจารณาเพิ่มเติมจากคำขอเดิมไปยังสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ เพื่อรวบรวมเสนอนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22595 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกรกฎาคม 2558 | นร11 | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ ๑.๑ เศรษฐกิจไทยเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ ในด้านการใช้จ่าย ดัชนีปริมาณการส่งออกขยายตัวร้อยละ ๓.๘ ขณะที่ดัชนีการอุปโภคบริโภคลดลงร้อยละ ๑.๑ และดัชนีการลงทุนภาคเอกชนอยู่ในภาวะทรงตัว ในด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๖ จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๒ ในขณะที่ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรลดลงร้อยละ ๑.๙ ๑.๒ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อลดลงตามราคาพลังงาน อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ ดุลการค้าเกินดุลจากการนำเข้าที่ลดลง แต่ดุลบริการขาดดุล ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๑.๓ สถานการณ์ด้านการคลัง การจัดเก็บรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีและงบประมาณกันไว้เหลื่อมปีในเดือนกรกฎาคมขยายตัวเพิ่มขึ้น สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ ยังคงอยู่ในระดับที่มั่นคง ๑.๔ สถานการณ์ด้านการเงิน อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ ๑.๕๐ ต่อปี เงินให้กู้ยืมภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ ๕.๐ เป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจร้อยละ ๒.๕ (เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ ๒.๑ ในเดือนมิถุนายน) และการขยายตัวของสินเชื่อครัวเรือนร้อยละ ๗.๒ (เท่ากับการขยายตัวในเดือนมิถุนายน) ส่วนใหญ่เป็นการขยายตัวในสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สำหรับเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน) ขยายตัวร้อยละ ๕.๙ ในเดือนกรกฎาคม ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ ๗.๐ ค่าเงินบาทเฉลี่ยในเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ ๓๔.๓๐ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงร้อยละ ๑.๗ จากเดือนก่อนหน้า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เคลื่อนไหวผันผวน โดยปิดที่ ๑,๔๔๐.๑ จุด ลดลงร้อยละ ๔.๓ จากเดือนก่อนหน้า ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ ยังแสดงทิศทางการฟื้นตัวที่แตกต่างกันระหว่างกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา โดยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องจากไตรมาสที่ ๒ ตามการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น เช่นเดียวกับเศรษฐกิจยูโรโซนและญี่ปุ่นที่ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ตามการบริโภคและการผลิต ในขณะที่เศรษฐกิจจีนยังชะลอตัวตามการผลิตและการส่งออกที่หดตัว การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เศรษฐกิจประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียชะลอตัวลงตามการลดลงของการส่งออก รวมทั้งส่งผลให้ราคาน้ำมันและสินค้าขั้นปฐมปรับตัวลดลงและมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวล่าช้ากว่าการคาดการณ์ของตลาด
|
|||||||||||||||||||||
22596 | มาตรการพัฒนาตลาดเพื่อผู้ประกอบการและชุมชน | พณ | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการพัฒนาตลาดเพื่อผู้ประกอบการและชุมชน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยมีแนวทางการขับเคลื่อนมาตรการฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ยกระดับตลาดกลาง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการตลาดกลางโดยพัฒนาตลาดกลางที่มีอยู่ให้มีศักยภาพมากขึ้น ๒. พัฒนาตลาดชุมชนเพื่อธุรกิจท้องถิ่น โดยใช้ตลาดชุมชนเป็นกลไกในการขยายช่องทางการตลาดแก่เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ ผู้ประกอบการ SMEs เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวในแต่ละจังหวัด และเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตร สร้างรายได้ให้กับชุมชนหรือท้องถิ่น นำไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยใช้การบริโภคภายในประเทศและเศรษฐกิจท้องถิ่นเป็นตัวขับเคลื่อน ๓. เชื่อมตลาดโลกผ่านการค้าออนไลน์ โดยพัฒนาตลาดกลางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และขยายการให้บริการตลาดกลางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
|
|||||||||||||||||||||
22597 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบกลางและเงินงบประมาณเหลือจ่าย | นร07 | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบกลางและเงินงบประมาณเหลือจ่ายตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗-๒๕ กันยายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณงบกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๑๑ รายการ งบประมาณจำนวน ๓๗๕,๗๐๘ ล้านบาท และพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๗,๙๑๗ ล้านบาท รวมทั้งสิ้น ๓๘๓,๖๒๕ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๙๓,๖๕๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๖.๕ เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๓๒,๗๓๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘.๕ ๑.๒ การเบิกจ่ายเงินงบประมาณเหลือจ่าย (เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๗ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๘ จำนวนทั้งสิ้น ๓๕๑,๘๑๙ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว ๒๑๗,๘๘๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๑.๙ เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๑๙,๙๗๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕.๗ ๒. เห็นชอบหลักเกณฑ์การขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ โดยให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันภายหลังเดือนกันยายน ๒๕๕๘ สำหรับรายการเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ตามหลักเกณฑ์ ๒.๑ เงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยาฟื้นฟูและป้องกันความเสียหายจากอุทกภัย ๒.๒ เงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และงบกลาง รายการเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้าง ๒.๓ เงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ๒.๔ เงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ รายการค่าใช้จ่ายที่จะลงนามในสัญญาได้ทันภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ๒.๕ เงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ รายการค่าใช้จ่ายที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการเองให้เบิกจ่ายเสร็จสิ้นภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ทั้งนี้ รายการตามข้อ ๒.๑-๒.๓ ให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันภายหลังเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ได้ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ และรายการตามข้อ ๒.๔-๒.๕ ให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันภายหลังเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ได้ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ สำหรับรายการที่นอกเหนือหลักเกณฑ์ดังกล่าวให้เงินงบประมาณนั้นพับไป และมอบให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางเป็นผู้พิจารณาเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ที่อยู่ในหลักเกณฑ์ข้างต้น สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่นอกเหนือจากพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเช่นเดียวกับกรณีตามข้อ ๒.๔ และข้อ ๒.๕ ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ๓. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่มีความประสงค์จะขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันภายหลังเดือนกันยายน ๒๕๕๘ สำหรับรายการเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ เสนอเรื่องต่อกระทรวงการคลังภายในวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ และให้กระทรวงการคลังพิจารณาตามหลักเกณฑ์ข้อ ๒ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ทั้งนี้ หากกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นว่าแผนงานโครงการใดไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามข้อ ๒ แต่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นมีความจำเป็นต้องดำเนินการต่อ ก็ให้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีเป็นรายกรณีไป
|
|||||||||||||||||||||
22598 | (ร่าง) ข้อเสนอการมีส่วนร่วมของประเทศในการลดก๊าซเรือนกระจกและการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายหลังปี ค.ศ. 2020 | ทส | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. (ร่าง) ข้อเสนอการมีส่วนร่วมของประเทศในการลดก๊าซเรือนกระจกและการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายหลังปี ค.ศ. ๒๐๒๐ (Intended Nationally Determined Contribution : INDC) และเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ปี ค.ศ. ๒๐๓๐ (พ.ศ. ๒๕๗๓) โดยกำหนดเป้าหมายขั้นต่ำที่ร้อยละ ๒๐ จากกรณีปกติ และกำหนดเป้าหมายขั้นสูงที่ร้อยละ ๒๕ จากกรณีปกติ โดยมีเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยภายหลังปี พ.ศ. ๒๕๖๓ (ค.ศ. ๒๐๒๐) ขั้นต่ำที่ร้อยละ ๒๐ และกำหนดเป้าหมายขั้นสูงที่ร้อยละ ๒๕ ๒. ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหน่วยประสานงานกลางของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยื่นข้อเสนอการมีส่วนร่วมของประเทศในการลดก๊าซเรือนกระจกและการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายหลังปี ค.ศ. ๒๐๒๐ (INDC) ต่อสำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อไป ๓. ให้เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นนโยบายสำคัญของประเทศ โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณสนับสนุนงบประมาณ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกดังกล่าวและการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศสนับสนุนการประสานงานกับองค์กรและกองทุนระหว่างประเทศเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของประเทศไทยให้สามารถบรรลุเป้าหมายขั้นสูงได้ |
|||||||||||||||||||||
22599 | การตรวจสอบความซ้ำซ้อนของโครงการภายใต้มาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย | นร | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติกำหนดมาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะเกษตรกรที่สำคัญ ได้แก่ มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนในการส่งเสริมความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๘) มาตรการในการจัดหาเครื่องจักรกลการเกษตรให้แก่กลุ่มสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๘) และมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ และวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๘) นั้น ให้สำนักงบประมาณดำเนินการตรวจสอบความซ้ำซ้อนระหว่างข้อเสนอโครงการภายใต้มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบลกับโครงการตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนในการส่งเสริมความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน และมาตรการในการจัดหาเครื่องจักรกลการเกษตรให้แก่กลุ่มสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร เพื่อพิจารณาจัดหาวงเงินงบประมาณรองรับหากมีความจำเป็นต้องใช้เพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||
22600 | ร่างพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๘ และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
.....