ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1121 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 22401 - 22420 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
22401 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ และนางณัฐนันทน์ อัศวเลิศศักดิ์) | กค | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านกฎหมาย) ในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก จำนวน ๒ คน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ประธานกรรมการ ๒. นางณัฐนันทน์ อัศวเลิศศักดิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านกฎหมาย)
|
|||||||||||||||||||||
22402 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (จำนวน 6 คน 1. นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ฯลฯ) | นร04 | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ จำนวน ๖ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการชุดเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระแล้ว ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) เสนอ ดังนี้
๑. นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานกรรมการ ๒. นายธงชัย ศรีดามา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นางสาวรัชนีพร พุคยาภรณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. นางพรทิพย์ หิรัญเกตุ กรรมการผู้แทนสมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) ๕. นางประพีร์ บุรี กรรมการผู้แทนสมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) ๖. นางศุภวรรณ ถนอมเกียรติภูมิ กรรมการผู้แทนสมาคมโรงแรมไทย
|
|||||||||||||||||||||
22403 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ตามพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. 2558 (จำนวน 9 คน 1. นายสมชาย หอมลออ ฯลฯ) | วธ | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จำนวน ๙ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ดังนี้
ด้านกฎหมาย ๑. นายสมชาย หอมลออ ด้านศิลปวัฒนธรรม ๒. นายนิมิตร พิพิธกุล ด้านการศึกษา ๓. นางปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ด้านการพัฒนาเด็ก เยาวชนและครอบครัว ๔. รองศาสตราจารย์สุริยเดว ทรีปาตี ด้านสุขภาพจิต ๕. นางพรรณพิมล วิปุลากร ด้านคนพิการและผู้สูงอายุ ๖. นายประพจน์ เภตรากาศ ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ๗. ผู้ช่วยศาสตราจารย์นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ด้านสื่อสารมวลชน ๘. นายพิภพ พานิชภักดิ์ ๙. รองศาสตราจารย์มาลี บุญศิริพันธ์
|
|||||||||||||||||||||
22404 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์) | นร04 | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองและกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ทั้งนี้ ลำดับที่ ๑ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป และลำดับที่ ๒ ตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้งและมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ๒. นางจินตนา ชัยยวรรณาการ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
|
|||||||||||||||||||||
22405 | แต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (นางจินตนา ชัยยวรรณาการ) | นร04 | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองและกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ทั้งนี้ ลำดับที่ ๑ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป และลำดับที่ ๒ ตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้งและมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ๒. นางจินตนา ชัยยวรรณาการ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
|
|||||||||||||||||||||
22406 | ผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างไม่เป็นทางการ | กห | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างไม่เป็นทางการ ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระหว่างวันที่ ๑๕ ถึงวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีกลาโหมสาธารณรัฐประชาชนจีนได้นำเสนอประเด็นการพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงสำหรับอาเซียนและสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน ๕ ประเด็น ได้แก่ (๑) การกำหนดทิศทางความร่วมมือร่วมกันในอนาคตภายใต้หลักฉันทามติเพื่อสร้างประชาคมอาเซียน-จีนที่มีอนาคตร่วมกัน (๒) การดำรงไว้ซึ่งความมั่นคงและเสถียรภาพในภูมิภาคโดยสร้างสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงอย่างครอบคลุมทุกมิติ ยั่งยืน และเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน (๓) การรักษาความต่อเนื่องของกลไกความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างสองฝ่าย (๔) การดำเนินงานความร่วมมือให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และ (๕) การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและจัดการกับความเสี่ยงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ทะเลจีนใต้ ๒. รัฐมนตรีกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นในระหว่างการประชุมฯ ว่า (๑) ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งไม่สามารถคาดการณ์ได้ และมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นเป็นประเด็นด้านความมั่นคงที่สำคัญของภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยพิบัติทางธรรมชาติ การก่อการร้าย การแพร่ขยายของแนวความคิดนิยมความรุนแรง และความมั่นคงทางทะเล (๒) ความร่วมมือของฝ่ายทหารเป็นกลไกที่สำคัญในการตอบสนองต่อความท้าทาย รวมทั้งการสร้างความมั่นคงและสันติภาพในภูมิภาค (๓) อาเซียนสนับสนุนให้สาธารณรัฐประชาชนจีนมีบทบาทอย่างแข็งขันและสร้างสรรค์ในภูมิภาค โดยมีอาเซียนเป็นแกนกลาง (๔) ความมั่งคั่งของภูมิภาคมีความเชื่อมโยงกับความมั่นคงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีทะเลจีนใต้ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าและการเดินเรือที่สำคัญ ทุกฝ่ายควรปฏิบัติตามปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้อย่างเคร่งครัด และเร่งจัดทำแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ให้สำเร็จโดยเร็ว (๕) ทั้งสองฝ่ายควรสนับสนุนการรักษาผลประโยชน์ สร้างศักยภาพ ความเชื่อมั่น และความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน และ (๖) ทั้งสองฝ่ายควรผลักดันความร่วมมือบนพื้นฐานของกลไกด้านความมั่นคงที่มีอยู่ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ๓. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เข้าเยี่ยมคำนับนายเมิ่ง เจี้ยนจู้ สมาชิกกรมการเมือง หัวหน้าคณะกรรมาธิการการเมืองและกฎหมายคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยแจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์ และเสนอโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟใน ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) ดอกเบี้ยไม่สูงกว่าที่สาธารณรัฐประชาชนจีนเสนอให้อินโดนีเซีย (๒) เงื่อนไขการดำเนินการเทียบเท่าหรือดีกว่าที่ญี่ปุ่นเสนอ และ (๓) อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราภายในประเทศ ร้อยละ ๐.๓-๐.๔
|
|||||||||||||||||||||
22407 | สรุปผลการเข้าร่วมประชุมสมัชชาใหญ่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกและการเปิดนิทรรศการเทิดพระเกียรติผลงานทรัพย์สินทางปัญญาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี | พณ | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเข้าร่วมประชุมสมัชชาใหญ่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization : WIPO) ครั้งที่ ๕๕ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อกล่าวถ้อยแถลงในนามประเทศไทย และเป็นประธานเปิดนิทรรศการเทิดพระเกียรติผลงานทรัพย์สินทางปัญญาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้กล่าวถ้อยแถลงในนามประเทศไทยต่อที่ประชุม WIPO โดยขอบคุณ WIPO ที่ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานนิทรรศการเพื่อเทิดพระเกียรติผลงานด้านทรัพย์สินทางปัญญาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และได้แจ้งที่ประชุม WIPO ทราบความคืบหน้าพัฒนาการด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทย ซึ่งรวมถึงการแก้ไขกฎหมายลิขสิทธิ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองงานลิขสิทธิ์บนอินเทอร์เน็ต แก้ปัญหาการแอบถ่ายในโรงภาพยนตร์โดยไม่ได้รับอนุญาต การเตรียมการเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริด เพื่ออำนวยความสะดวกการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในต่างประเทศ และความตกลงกรุงเฮก เพื่ออำนวยความสะดวกการจดทะเบียนการออกแบบผลิตภัณฑ์ในต่างประเทศของไทย รวมทั้งได้เรียกร้องให้ที่ประชุม WIPO ร่วมกันผลักดันให้การเจรจาเรื่องการคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่น ทรัพยากรทางพันธุกรรม และการแสดงออกทางวัฒนธรรมมีความคืบหน้า ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับผู้อำนวยการใหญ่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (นายฟรานซิส เกอร์รี่) เป็นประธานเปิดงานนิทรรศการเทิดพระเกียรติผลงานทรัพย์สินทางปัญญาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประกอบด้วยการแสดงพระราชประวัติ และผลงานทรัพย์สินทางปัญญา เช่น ผลงานสิทธิบัตรโครงการแกล้งดิน โครงการฝนหลวง ลิขสิทธิ์งานพระราชนิพนธ์ ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อสนับสนุนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications : GI) การอนุรักษ์ทรัพยากรทางพันธุกรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น และการสร้างช่องทางจำหน่ายสินค้าให้กับเกษตรกรและชุมชน โดยใช้เครื่องหมายการค้า เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
22408 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 37/2558 เรื่อง การกำหนดตำแหน่งเพิ่มและการแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่ง และคำสั่งหัวหน้า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 38/2558 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 37/2558 (การบริหารราชการใน สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร) รวม 2 ฉบับ | สลธ.คสช. | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวม ๒ ฉบับ (การบริหารราชการในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร) ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๗/๒๕๕๘ เรื่อง การกำหนดตำแหน่งเพิ่มและการแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่ง ลงวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๘ ๒. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๘/๒๕๕๘ เรื่อง แก้ไขคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๗/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||
22409 | การขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยอาเซียน ค.ศ. 2025 : มุ่งหน้าไปด้วยกัน และวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2025 | กต | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (๑) ร่างปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ : มุ่งหน้าไปด้วยกัน มีสาระสำคัญระบุว่า ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนรับรองวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ และแผนงานประชาคมอาเซียนทั้ง ๓ เสา ได้แก่ การเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรม และ (๒) วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ มีสาระสำคัญระบุถึงภาพรวมของอาเซียนในอีก ๑๐ ปีข้างหน้าที่จะต้องมีการรวมตัวกันอย่างลึกซึ้งมากขึ้น ทั้งในด้านการเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรม โดยประชาคมอาเซียนจะต้องเป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎกติกา มองไปข้างหน้า (forward-looking) และภาคส่วนต่าง ๆ มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนประชาคม อีกทั้งความพยายามในการสร้างประชาคมอาเซียนจะต้องสอดคล้องกับวาระด้านการพัฒนาของสหประชาชาติ ตามที่ปรากฏในเอกสาร “2030 Agenda for Sustainable Development” ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะสมาชิกคณะมนตรีประสานงานอาเซียน (ASEAN Coordinating Council : ACC) มีหนังสือแจ้งความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ : มุ่งหน้าไปด้วยกัน วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ และแผนงานประชาคมอาเซียนทั้ง ๓ เสา ไปยังมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ภายในวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ ตามที่มาเลเซียกำหนด ๑.๓ ให้นายกรัฐมนตรีร่วมลงนามในปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ : มุ่งหน้าไปด้วยกัน เพื่อรับรองวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ รวมทั้งแผนงานประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน แผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และแผนงานประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๗ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดต่อหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการแก้ไขดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||
22410 | ขออนุมัติร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือ (JC) ไทย - ลาว ครั้งที่ 20 และร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาล แห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยโครงการจัดตั้งศูนย์พัฒนาสังคมมิตรภาพลาว - ไทย | กต | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือ (JC) ไทย-ลาว ครั้งที่ ๒๐ เป็นกรอบในการหารือ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือทวิภาคีที่ทั้งสองประเทศได้ดำเนินการร่วมกันไว้ ประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะแก้ไข พัฒนาและ/หรือผลักดันให้เกิดความคืบหน้า เพื่อประโยชน์ของการดำเนินความสัมพันธ์ โดยมีประเด็นสำคัญที่จะมีการหยิบยกขึ้นหารือระหว่งการประชุมฯ ได้แก่ การรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน การยกระดับจุดผ่านแดน การค้าและการลงทุน การคมนาคมขนส่ง การเชื่อมโยงในภูมิภาค ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา เป็นต้น ๑.๒ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยโครงการจัดตั้งศูนย์พัฒนาสังคมมิตรภาพลาว-ไทย มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือทวิภาคีที่ทั้งสองประเทศจะดำเนินการร่วมกัน โดยระบุรายละเอียดของโครงการ ซึ่งรวมถึงการยกเว้นภาษี การอำนวยความสะดวกเรื่องพิธีการศุลกากรสำหรับการนำเข้าและนำออกวัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ ที่ฝ่ายไทยจำเป็นจะต้องนำเข้าไปใช้ในการดำเนินงานก่อสร้างภายใต้โครงการ รวมถึงการอำนวยความสะดวกและให้สิทธิพิเศษแก่เจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญไทยที่เข้าไปปฏิบัติงาน เพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินโครงการระหว่างกัน และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย และไม่ขัดต่อหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการแก้ไขปรับปรุงดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||
22411 | ขอรับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ | นร04 | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) แต่งตั้งคณะทำงานขึ้นคณะหนึ่งเพื่อทำหน้าที่ศึกษาร่างรัฐธรรมนูญ รวบรวมความเห็นจากที่มีผู้เสนอมายังรัฐบาล และเสนอแนะเกี่ยวกับหลักการที่สมควรบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อประกอบการพิจารณายกร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา ๓๙/๑ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ๒๕๕๘ รวมทั้งเป็นกลไกหลักในการประสานการทำงานกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การจัดทำรัฐธรรมนูญเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ ๒. มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ) ในฐานะประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ร่วมกันจัดตั้งคณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย โดยมีผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศร่วมด้วย ทั้งนี้ คณะกรรมการดังกล่าวต้องประกอบด้วยผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และมีความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนการทำงานให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันและเพื่อนำพาประเทศไปสู่ความยั่งยืน มั่นคง ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22412 | ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans - Pacific Partnership) | พณ | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รายงานข้อมูลเปรียบเทียบผลดีผลเสียที่ไทยจะได้รับจากการเข้าร่วมเป็นสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership : TPP) โดยสรุป ดังนี้ ๑.๑ ภาพรวมความตกลง TPP ปัจจุบันสมาชิกความตกลง TPP มี ๑๒ ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไน แคนาดา ชิลี ญี่ปุ่น มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ เปรู สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม มีมูลค่า GDP ๒๘.๓ ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ ๓๘ ของโลก ประชากรรวม ๘๐๐ ล้านคน คิดเป็นร้อยละ ๑๑ ของโลก โดยความตกลง TPP เป็นการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจที่มีมาตรฐานสูง ครอบคลุมทั้งด้านการเปิดตลาดการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน ตลอดจนการปฏิรูป (Reform) และการสร้างความสอดคล้อง (Harmonization) ในกฎระเบียบทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ สมาชิกความตกลง TPP ได้สรุปผลการเจรจาเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๘ มีข้อบทรวมทั้งสิ้น ๓๐ ข้อบท ๑.๒ ประเด็นสำคัญในการเจรจา ประกอบด้วยเรื่อง การเปิดตลาดสินค้า การค้าบริการ การลงทุน การเงิน กฎระเบียบ ทรัพย์สินทางปัญญา แรงงาน และสิ่งแวดล้อม ๑.๓ การหารือกับภาคเอกชน เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๘ กระทรวงพาณิชย์ได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อความตกลง TPP จากผู้แทนภาคเอกชน ส่วนใหญ่เห็นด้วยและสนับสนุนการเข้าร่วมความตกลง TPP โดยให้ไทยแสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมอย่างชัดเจน เพื่อมิให้เกิดผลกระทบเชิงจิตวิทยาต่อนักลงทุนที่อาจจะตัดสินใจย้ายฐานการผลิต อย่างไรก็ดี เอกชนบางรายยังมีข้อกังวลในบางประเด็น อาทิ ความสามารถในการแข่งขันในการส่งออกเนื้อไก่กับสหรัฐอเมริกา ระยะเวลาคุ้มครองข้อมูลยาที่อาจทำให้ยาราคาแพงขึ้น เป็นต้น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะหารือกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อไป ๑.๔ การวิเคราะห์เบื้องต้น ไทยมีความตกลงการค้าเสรีกับประเทศสมาชิก TPP แล้ว ๙ ประเทศ ยกเว้นสหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก และอยู่ระหว่างการเจรจาความตกลง RCEKP หรือ ASEAN+6 ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับสินค้าและบริการของไทยได้ ซึ่งผลกระทบที่สำคัญของความตกลง TPP ต่อไทยคือ การส่งออกและการลงทุนที่อาจเกิดการย้ายฐานการผลิตเนื่องจากการลดภาษีและกฎด้านแหล่งกำเนิดสินค้าที่เอื้อต่อประเทศสมาชิกความตกลง TPP นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ยังคงอ่อนไหวในการเจรจา อาทิ การคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่และผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) การค้าบริการด้านการเงิน การธนาคารและประกันภัย ประเด็นทรัพย์สินทางปัญญา การคุ้มครองสิทธิบัตรยา เป็นต้น ๑.๕ การดำเนินการเพื่อลดผลกระทบ ไทยควรเร่งผลักดันการเจรจา RCEP ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด และในระหว่างที่ประเทศสมาชิกความตกลง TPP ดำเนินกระบวนการภายในเพื่อให้ความตกลง TPP มีผลใช้บังคับ ไทยควรศึกษาข้อบท (Text) ในเชิงลึกเมื่อมีการเผยแพร่ข้อบทแล้ว เพื่อพิจารณาว่าไทยควรจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกความตกลง TPP หรือไม่ รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบและเตรียมมาตรการรองรับและเยียวยาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในกรณีที่จะเข้าร่วมการเจรจา และเสนอให้คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) พิจารณาต่อไป รวมทั้งใช้โอกาสในการพบปะหารือระดับสูงทั้งระดับทวิภาคี และในการประชุมอื่น ๆ เพื่อแสดงความสนใจในการเข้าร่วมต่อประเทศสมาชิกความตกลง TPP ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ศึกษารายละเอียดผลดีผลเสียของกิจกรรมการดำเนินการภายใต้ความตกลง TPP โดยนำข้อสงวนของประเทศสมาชิกมาประกอบการพิจารณาและให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น รวมทั้งให้พิจารณาถึงความซ้ำซ้อนกับความตกลงอื่นที่ไทยมีพันธกรณีอยู่แล้ว โดยเฉพาะความตกลงในรูปแบบทวิภาคีกับประเทศที่เป็นสมาชิกความตกลง TPP แล้วจัดทำข้อมูลตามประเด็นดังกล่าวข้างต้นเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเข้าร่วมเป็นสมาชิกความตกลง TPP ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22413 | การย้ายสถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งใหม่และการบริการผู้โดยสารของ บริษัท ขนส่ง จำกัด | อื่นๆ | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินงานโครงการย้ายสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) และปรับปรุงห้องสุขาให้ถูกสุขลักษณะ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ โครงการย้ายสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) เนื่องจากมีการก่อสร้างศูนย์คมนาคมพหลโยธิน และนโยบายการขยายระบบการขนส่งทางรางของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ทำให้บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) จำเป็นต้องย้ายสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) หรือหมอชิต ๒ ออกจากสถานที่เดิมซึ่งเช่าพื้นที่จาก รฟท. ไปสถานที่แห่งใหม่ให้เป็นไปตามแผนในกรอบระยะเวลาของการก่อสร้างรถไฟสายสีแดง โดย บขส. ได้ดำเนินการจัดทำข้อมูลเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย ผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาว แผนการเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งทั้งการเดินรถสายสั้นและสายยาว รวมถึงการให้บริการบางส่วนในพื้นที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) หรือหมอชิต ๒ เดิม นอกจากนี้ บขส. เสนอแผนการใช้พื้นที่ของ รฟท. ซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ การจัดสร้างสถานีขนส่งผู้โดยสารย่อย (พหลโยธิน) สำหรับรถตู้โดยสารประจำทาง โดยใช้พื้นที่ของ รฟท. ประมาณ ๑๗ ไร่ ได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีทำการศึกษาและออกแบบโครงการ และการย้ายสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) หรือหมอชิต ๒ เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคตข้างหน้า ซึ่งคาดว่าจะมีผู้โดยสารประมาณ ๒๘ ล้านคนต่อปี โดยใช้พื้นที่ประมาณ ๘๐ ไร่ โดยจากการวิเคราะห์พบว่า พื้นที่ที่มีความเหมาะสมในการจัดตั้สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ แห่งใหม่ ได้แก่ พื้นที่บริเวณติดถนนพหลโยธินด้านเหนือ เริ่มจากแยกถนนรังสิต-ปทุมธานี ฝั่งขาออกจนถึงมาหวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) ซึ่งมีความเหมาะสมสูงสุด ๑.๒ การปรับปรุงห้องสุขาให้ถูกสุขลักษณะ เนื่องจากรัฐบาลได้มีนโยบายยกเลิกการเก็บค่าใช้บริการห้องสุขาภายในสถานีขนส่งฯ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ บขส. ทั่วประเทศ จึงได้มีการปรับปรุงรูปลักษณ์และมาตรฐานของการให้บริการห้องสุขาภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) เป็นการนำร่องของการให้บริการห้องสุขามาตรฐานใหม่เป็นที่แรก และได้ยกเลิกเก็บค่าใช้บริการตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา รวมทั้งได้ปรับปรุงพัฒนาไปยังอีก ๖ สถานี ได้แก่ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (เอกมัย) สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (สายใต้) ถนนบรมราชชนนี สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดสุราษฎร์ธานี สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดสุพรรณบุรี และสถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพให้บริการรถโดยสาร และลดต้นทุน ของ บขส. ใน ๒ ประเด็น ได้แก่ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับสายการบินต้นทุนต่ำ ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน และการจัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในการให้บริการ
|
|||||||||||||||||||||
22414 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ การเชื่อมโยงการใช้ยางพาราในประเทศ และการจัดตั้งเมืองยางพารา (Rubber City) ในพื้นที่เศรษฐกิจตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนเกี่ยวกับรถประจำทางขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า โดยระยะแรกอาจพิจารณาดำเนินการในพื้นที่ชานเมืองเพื่อสนับสนุนนโยบายประหยัดพลังงานและอำนวยความสะดวกประชาชนในการเดินทางระหว่างพื้นที่ชานเมืองกับจุดเชื่อมต่อสำคัญต่าง ๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ให้นำเสนอผลการศึกษาต่อนายกรัฐมนตรีภายใน ๓ เดือน ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการจัดจำหน่ายผลิตผลทางการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดต้นทุนการผลิตให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๙ ๒. ด้านสังคม ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดูแลและให้การสนับสนุนด้านต่าง ๆ แก่ผู้พิการให้ได้รับความสะดวกในการดำเนินชีวิต โดยจัดให้มีการขึ้นทะเบียนผู้พิการที่มีศักยภาพ เช่น นักร้อง นักดนตรีที่เป็นผู้พิการทางสายตา จัดสถานที่สำหรับทำการแสดงดนตรี และจัดหาแว่นตาให้ เพื่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีแก่ผู้พบเห็น รวมทั้งดูแลช่วยเหลือคนเร่ร่อนและคนขอทานด้วย ๓. ด้านการต่างประเทศ ๓.๑ ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้ทุกส่วนราชการที่จะมีการประชุมเจรจาหรือจัดทำความตกลงระหว่างประเทศมีหลักการตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ การลดความหวาดระแวง และการได้รับผลประโยชน์ที่เท่าเทียมกัน อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ใช้หลักการต่างตอบแทนในการเจรจาโดยยื่นข้อเสนอความร่วมมือระหว่างประเทศที่เป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ภายหลังการเจรจาหรือจัดทำความตกลงเสร็จสิ้นให้นำผลการเจรจาข้อเสนอต่างตอบแทนดังกล่าวมาพิจารณาดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไปด้วย ๓.๒ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาส่งเสริมความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศกัมพูชา-ลาว-เมียนมา-เวียดนาม (CLMV) กลุ่มประเทศภายใต้สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) และประเทศหมู่เกาะต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในสหภาพยุโรป (EU) ประเทศตุรกี ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และสาธารณรัฐฟิจิ โดยให้ประเทศเหล่านี้เป็นศูนย์กระจายสินค้าเพื่อขยายตลาดส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีศักยภาพต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศพิจารณากำหนดมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐอิตาลีและสาธารณรัฐเช็กด้วย ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้ทุกส่วนราชการนำ ๓๗ วาระการปฏิรูป ๖ วาระการพัฒนาของสภาปฏิรูปแห่งชาติมาจัดทำแผนปฏิบัติการโดยจัดกลุ่มให้อยู่ภายใต้ประเด็นการปฏิรูปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ จำนวน ๑๑ ด้าน และแบ่งเป็น ๓ ระยะ ซึ่งในระยะที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗-๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ให้จัดทำเป็นข้อมูลผลการดำเนินการที่ผ่านมา นั้น ในการจัดทำข้อมูลดังกล่าวให้ทุกส่วนราชการจัดทำในลักษณะการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานก่อนและหลังวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ทั้งนี้ ให้ส่งข้อมูลให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อรวบรวมนำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป ๔.๒ ให้กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษาการดำเนินการหรือวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ (Irregular Migration) ของสหภาพยุโรปและกลุ่มประเทศอาเซียน รวมทั้งให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และกระทรวงยุติธรรม พิจารณากฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองในปัจจุบันว่ามีบทบัญญัติครอบคลุมถึงการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติหรือไม่ ประการใด ตลอดจนแนวทางการดำเนินการในเรื่องนี้ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศต่อไปด้วย ๔.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรักษาความสงบเรียบร้อยในแต่ละพื้นที่ให้มีความปลอดภัยและความสงบสุข โดยดำเนินการมิให้เกิดการกระทำผิดกฎหมายหรือมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งปราบปรามผู้มีอิทธิพลด้วย ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้มีผลสัมฤทธิ์ภายใน ๖ เดือน ๔.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในประเทศไทย เช่น เกาะล้าน เกาะสีชัง โดยศึกษารูปแบบการใช้ประโยชน์พื้นที่และการจัดกิจกรรมต่าง ๆ จากต่างประเทศ เช่น เกาะมาเก๊าที่มีการจัดพื้นที่เป็น Entertainment Complex ขนาดใหญ่ มีกิจกรรมหลากหลายประเภทสำหรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มเป้าหมาย เช่น สวนน้ำ หอชมวิว การแสดงต่าง ๆ เพื่อจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางมายังประเทศไทยมากขึ้น ๔.๕ ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้เร่งรัดการปรับปรุงและขยายพื้นที่สวนเบญจกิติและศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๘ รวมทั้งเร่งรัดพิจารณากำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่บริเวณมักกะสัน (ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยเดิม) ให้มีความชัดเจน โดยแบ่งสัดส่วนการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ตามประเภทการใช้งาน เช่น อาคารพาณิชย์ สวนสาธารณะ โดยในส่วนที่เป็นสวนสาธารณะให้คำนึงถึงการจัดสวนในลักษณะสวนป่าตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
|
|||||||||||||||||||||
22415 | สรุปการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานครั้งที่ 33 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2558 | พน | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๓ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในระหว่างวันที่ ๗-๘ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ได้รับรองแผนปฏิบัติการด้านพลังงานอาเซียนปี ๒๐๑๖-๒๐๒๕ ทั้ง ๗ สาขา ได้แก่ (๑) ด้านไฟฟ้า ที่จะมีความเชื่อมโยงทั้งอาเซียน (๒) ท่อก๊าซ ท่อน้ำมัน ที่จะมีความเชื่อมโยงทั้งอาเซียน (๓) เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด (๔) ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (๕) พลังงานทดแทน (๖) แผนการบริหารจัดการระยะยาว และ (๗) นิวเคลียร์ ๑.๒ ประเทศไทยได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีด้านพลังงานเป็นครั้งแรกกับองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency : IEA) ในระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมประชุม ๑.๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้หารือระดับทวิภาคีร่วมกับ ๔ ประเทศ โดย (๑) ประเทศไทยและเมียนมาจะร่วมกันผลักดันโครงการท่อรับก๊าซธรรมชาติเหลว (FSRU) เพื่อความมั่นคงของการจัดหาก๊าซฝั่งตะวันตก (๒) ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ต่างมีความยินดีที่โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมายังประเทศไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง (๓) ประเทศไทยและประเทศมาเลเซียเห็นพ้องกันว่า โครงการด้านไฟฟ้า ๔ ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย สาธารณรัฐสิงคโปร์ (LTMS) จะซื้อขายไฟฟ้าระดับพหุภาคีเป็นโครงการแรกของอาเซียนภายในปี ๒๐๑๘ และ (๔) ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนเห็นพ้องที่จะมีความร่วมมือในการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์เพื่อผลิตไฟฟ้าและเพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาความรู้ความสามารถของบุคลากรไทย ๑.๔ ประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ได้แก่ (๑) แสดงบทบาทนำของประเทศไทยในด้านพลังงานอาเซียนและส่งสัญญาณความพร้อมร่วมมือกับอาเซียนเพื่อพัฒนาภูมิภาคร่วมกัน (๒) เสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานจากการเชื่อมโยงท่อก๊าซ สายส่งไฟฟ้า การพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงาน (๓) พัฒนาบุคลากรของไทยด้านพลังงานถ่านหินและพลังงานนิวเคลียร์โดยเรียนรู้จากประเทศที่มีประสบการณ์ และ (๔) แสดงวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำด้านพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงานในภูมิภาค ๑.๕ ประเทศไทยได้รับรางวัล ASEAN Energy Awards 2015 ซึ่งเป็นรางวัลเกียรติยศด้านพลังงานของอาเซียน โดยประเทศไทยได้รับรางวัลถึง ๒๖ รางวัล มากที่สุดในอาเซียน เป็นที่ ๑ ต่อเนื่องเป็นเวลา ๑๑ ปี ๒. ให้กระทรวงพลังงานประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับรางวัล ASEAN Energy Awards 2015 ให้ประชาชนรับทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||
22416 | รายงานสรุปผลการดำเนินการอาคารแสดงประเทศไทย ในงานเอ็กซ์โปร มิลาโน 2015 | กษ | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการอาคารแสดงประเทศไทย ที่กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ได้เข้าร่วมงาน The Universal Exhibition Milano 2015 (Expo Milano 2015) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ งานมหกรรมโลกหรืองานเอ็กซ์โป จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ เมืองมิลาน สาธารณรัฐอิตาลี มีผู้เข้าร่วมงานทั้งหมด ๑๔๕ ประเทศ โดยมีแนวคิดหลักคือ “อาหารหล่อเลี้ยงโลก พลังงานหล่อเลี้ยงชีวิต” (Feeding the Planet Energy for Life) ๑.๒ การดำเนินการอาคารแสดงประเทศไทย ๑.๒.๑ อาคารแสดงประเทศไทยได้รับความนิยมในการเข้าชม ติดอันดับ ๑ ใน ๕ มีจำนวนผู้เข้าชมเกินกว่า ๒ ล้านคน ซึ่งบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ร้อยละ ๑๐ ของจำนวนผู้เข้าชมงานทั้งหมด และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในวันที่มีการจัดกิจกรรมพิเศษ ได้แก่ วันสงกรานต์ วันแม่ วันชาติไทย วันลอยกระทง และวันรำลึก ๑๔๗ ปี ความสัมพันธ์ไทย-อิตาลี โดยผู้เข้าชมได้ชื่นชมพระราชกรณียกิจด้านการเกษตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยในการเป็น “ครัวของโลก” รวมถึงวัฒนธรรม ประเพณี และการท่องเที่ยว ๑.๒.๒ ผลิตภัณฑ์อาหารไทยได้จัดแสดงและจำหน่ายในโซนอาหารแห่งอนาคต มียอดจำหน่ายตลอด ๖ เดือน มูลค่ากว่า ๑.๒ ล้านยูโร (ประมาณ ๔๘ ล้านบาท) โดยมีการจำหน่ายอาหารในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ กลุ่ม Ready-to-eat กลุ่ม Ready-to-go และกลุ่ม Ready-to-cook ๑.๒.๓ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดงานวันชาติไทยและเยี่ยมชมอาคารแสดงประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๘ ณ ศูนย์เอ็กซ์โป (Expo Center) ตามคำกราบบังคมทูลเชิญเสด็จ ๒. การจัดงานลักษณะนี้ในโอกาสต่อไป หน่วยงานผู้รับผิดชอบควรใช้ระบบ High Technology ในการนำเสนอเพื่อแสดงถึงความทันสมัยและน่าสนใจ การฉายวีดีทัศน์ควรเป็นการเสนอแบบเล่าเรื่องสั้น ๆ แต่ให้ผู้รับชมสามารถเข้าใจเรื่องราวหรือวิธีการได้ทั้งหมด โดยเน้นความมั่นคงทางด้านอาหาร พืชพลังงาน และให้คำนึงถึงความแตกต่างทางความคิดของคนไทยและชาวต่างชาติด้วย รวมทั้งให้ใช้การจัดงานดังกล่าวเพื่อขยายโอกาสทางการค้า โดยจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าไทย เช่น อาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป อาหารอบแห้ง เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
22417 | สรุปผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี 2558 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี ๒๕๕๘ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ระหว่างวันที่ ๘-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมผู้ว่าการของประเทศสมาชิกกลุ่มออกเสียงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA Group) มีประเด็นหารือเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่มีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในอนาคต ซึ่งได้มีการหยิบยกประเทศไทยขึ้นเป็นกรณีศึกษา โดยประเทศไทยมีจำนวนประชากรวัยทำงานอยู่ในระดับต่ำ และมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาสังคมผู้สูงอายุที่อาจเป็นภาระทางการคลังในอนาคต ๒. การเสวนาโต๊ะกลมระหว่างกรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางของประเทศอาเซียน มีประเด็นหารือเกี่ยวกับความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกและประเทศกำลังพัฒนา และการเตรียมพร้อมรับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่มีต่ออาเซียน ๓. การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี ๒๕๕๘ ๓.๑ กองทุนการเงินระหว่างประเทศมีการปรับลดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโลกในปีนี้จากร้อยละ ๓.๓ เหลือร้อยละ ๓.๑ เนื่องจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา ทั้งนี้ คาดว่าในปี ๒๐๑๖ เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวดีขึ้นทั้งประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา โดยจะขยายตัวร้อยละ ๓.๖ ๓.๒ ปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ประกอบด้วย (๑) การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน (๒) ราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ (๓) ข้อจำกัดทางการคลัง และ (๔) ความผันผวนในตลาดการเงินโลกจากแนวโน้มนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ๓.๓ เศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะได้รับผลกระทบจาก (๑) การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน โดยประเมินว่าหากเศรษฐกิจจีนลดลงร้อยละ ๑ จะทำให้เศรษฐกิจอาเซียนลดลงร้อยละ ๐.๓ และ (๒) ความเสี่ยงจากหนี้ภาคเอกชนอันเนื่องมาจากการกู้ยืมมากเกินไปในอดีต (Excess Corporate Borrowing) ๔. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้พบหารือทวิภาคีกับคู่เจรจา ได้แก่ (๑) ประธานธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation : JBIC) (๒) รองประธานธนาคารโลก และ (๓) รองประธานองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) โดยได้มีการหารือถึงประเด็นความร่วมมือระหว่างกัน
|
|||||||||||||||||||||
22418 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 2 ราย 1. นายประสิทธิ์ สืบชนะ ฯลฯ) | กค | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายประสิทธิ์ สืบชนะ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ๒. นายจุมพล ริมสาคร ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง
|
|||||||||||||||||||||
22419 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางสุจิตต์ สาลีพันธ์ และนายวสันต์ ศรีสุรินทร์) | สธ | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางสุจิตต์ สาลีพันธ์ ดำรงตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุขทรงคุณวุฒิ (ด้านโภชนาการ) กรมอนามัย ตั้งแต่วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ๒. นายวสันต์ ศรีสุรินทร์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลสุรินทร์ สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดสุรินทร์ สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||
22420 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี | นร01 | 20/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายจิรชัย มูลทองโร่ย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
.....