ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1123 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 22441 - 22460 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
22441 | รายงานการศึกษาโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ | อก | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานการศึกษาโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สรุปได้ ดังนี้
๑. กนอ. ได้ศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมเบื้องต้นโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะแรก ๓ พื้นที่ (จังหวัดตาก สระแก้ว และสงขลา) โดยมีขอบเขตการศึกษา ได้แก่ การคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ การรวบรวม ศึกษา และวิเคราะห์ข้อมูลนโยบาย แผนและยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์สภาพข้อเท็จจริงทุกด้านของศักยภาพ โอกาส ข้อจำกัดทั้งหมดในจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม การกำหนดประเภทอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สอดคล้องกับเป้าหมายของโครงการ การกำหนดขนาดพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม การออกแบบนิคมอุตสาหกรรม และผังการใช้ที่ดิน การวิเคราะห์มูลค่าการลงทุน การศึกษาความเป็นไปได้ทางเงินและเศรษฐศาสตร์ และการจัดสัมมนานำเสนอผลการศึกษา เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลโครงการให้แก่หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ที่สนใจของทั้ง ๓ พื้นที่ ๒. ผลการศึกษาพบว่า โครงการฯ มีความเป็นได้ทางการเงิน (Financial Feasibility) ที่ค่อนข้างต่ำ เนื่องด้วยขนาดของพื้นที่โครงการมีขนาดเล็ก ทำให้มีต้นทุนการพัฒนาต่อไร่ที่สูง ประกอบกับการกำหนดราคาค่าเช่าที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมจะต้องไม่สูงเกินไปเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและสามารถแข่งขันได้ จึงไม่ก่อให้เกิดความคุ้มค่าในเชิงธุรกิจหรือประหยัดต่อขนาดการลงทุน (Economy of Scale) แต่โครงการฯ ได้ให้ผลประโยชน์ตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์หรือเชิงเศรษฐกิจ ได้แก่ การจ้างงานจากการลงทุน มูลค่าเพิ่มจากความต้องการวัตถุดิบในท้องถิ่นในการผลิต และการจ้างงานระยะก่อสร้างโครงการที่สูงและคุ้มค่าต่อการลงทุนซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ในเชิงนโยบายที่ต้องการสร้างความมั่นคง และมั่งคั่งทางเศรษฐกิจแก่พื้นที่ สำหรับรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมและมีความเป็นไปได้ทางการเงินมากที่สุด ได้แก่ การลงทุนโดยใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ ๕ ต่อปี ระยะเวลากู้ ๑๕ ปี ระยะเวลาปลอดชำระเงินต้น ๕ ปีแรก โดย กนอ. รับผิดชอบชำระค่าดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี และรัฐบาลอุดหนุนงบประมาณส่วนต่างของค่าดอกเบี้ย
|
|||||||||||||||||||||
22442 | ขอความเห็นชอบแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย | กษ | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ เป็นผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ ๑๔๐,๐๐๐ บาท และให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับเงื่อนไขการจ้างและการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
|||||||||||||||||||||
22443 | รายงานแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. ให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลให้หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่น และผู้ว่าราชการจังหวัด ติดตามและกำกับดูแลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด และปฏิบัติตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๘ และหากมีความจำเป็นดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลที่มีความจำเป็นเร่งด่วน แต่มิได้ตั้งงบประมาณไว้ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยขอความเห็นชอบจากรัฐมนตรีเจ้าสังกัดก่อน แล้วขอตกลงกับสำนักงบประมาณตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่น จังหวัดและกลุ่มจังหวัด รายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณเป็นรายเดือน โดยบันทึกในระบบฐานข้อมูลแผน/ผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ (BB EvMis) และส่งรายงานให้สำนักงบประมาณเพื่อใช้ในการติดตามความก้าวหน้าของการปฏิบัติงานและสรุปรายงานเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22444 | (ร่าง) นโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็กและเยาวชน (พ.ศ. 2558 - 2564) | พม | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง) นโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็กและเยาวชน (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๔) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานตามนโยบายและยุทธศาสตร์ฯ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. นโยบายมุ่งขจัดการกระทำความรุนแรงทุกรูปแบบต่อเด็กและเยาวชน โดยระดมสรรพกำลัง ทรัพยากร ความคิด การปฏิบัติ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน การบ่มเพาะค่านิยมไม่ใช้ความรุนแรง การแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี การตราและปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการและติดตามการป้องกัน ช่วยเหลือ คุ้มครอง บำบัดฟื้นฟู แก้ไข และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กและเยาวชน หรือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน ๒. ยุทธศาสตร์มุ่งเน้นการป้องกันและแก้ไขปัญหาในมิติที่เด็กและเยาวชนเป็นผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ นอกจากนี้ยังคำนึงถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องและมีบทบาทสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาตั้งแต่บุคคลในครอบครัว สถานศึกษา สถานที่ที่ดูแลเด็กและเยาวชน และบุคคลในสังคม ซึ่งมียุทธศาสตร์หลัก ๗ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) ยุทธศาสตร์การป้องกันการกระทำความรุนแรง (๒) ยุทธศาสตร์การคุ้มครอง ช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่ประสบปัญหาความรุนแรง และเป็นผู้กระทำความรุนแรง เพื่อให้กลับคืนสู่สังคมอย่างมีคุณภาพ (๓) ยุทธศาสตร์ด้านกฎหมาย (๔) ยุทธศาสตร์กลไกระดับชาติ ระดับพื้นที่ และการบริหารจัดการ (๕) ยุทธศาสตร์การประสานงานและส่งเสริมการมีส่วนร่วม (๖) ยุทธศาสตร์การพัฒนาองค์ความรู้และการวิจัย และ (๗) ยุทธศาสตร์ความร่วมมือกับต่างประเทศ |
|||||||||||||||||||||
22445 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 3 ปีงบประมาณ 2558 | กค | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ (เมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๘) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่ม ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง ผลไม้ นาฬิกาและอุปกรณ์ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง สุราต่างประเทศ สูท เสื้อ กระโปรง กางเกง สำหรับบุรุษ สตรี เด็กชาย เด็กหญิง และเนคไท รองเท้าหนังและรองเท้าผ้าใบ เลนส์ แว่นตา ปากกาและอุปกรณ์ ไวน์ เครื่องประดับที่ทำด้วยคริสตัล กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ ผ้าทอทำด้วยขนสัตว์ ไฟแช็คและอุปกรณ์ ดอกไม้ และเครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหาร หรือใช้ตกแต่งภายในที่ทำด้วยคริสตัล มีมูลค่านำเข้า ๘๗๖.๙๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๑.๗๐ ของมูลค่านำเข้ารวม เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ๑๓๙.๗๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๑๘.๙๕ โดยสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง นาฬิกาและอุปกรณ์ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง
|
|||||||||||||||||||||
22446 | รายงานผลการดำเนินงานประเด็นเรื่องสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รอบ 9 เดือน (ตั้งแต่ตุลาคม 2557 - มิถุนายน 2558) ของกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินงานประเด็นเรื่องสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รอบ ๙ เดือน (ตั้งแต่ตุลาคม ๒๕๕๗-มิถุนายน ๒๕๕๘) สรุปได้ ดังนี้
๑. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ภาพรวมการเบิกจ่ายงบประมาณฯ ณ สิ้นไตรมาสที่ ๓ จำนวน ๙,๗๙๑.๕๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๘ ของงบประมาณที่ได้รับจัดสรร สูงกว่าเป้าหมายการเบิกจายที่สำนักงบประมาณกำหนด (กำหนดไว้ร้อยละ ๗๖) และเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุน จำนวน ๒๓๕.๔๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๐.๒ ของงบประมาณรายจ่ายลงทุนที่ได้รับจัดสรร ต่ำกว่าเป้าหมายการเบิกจ่ายที่สำนักงบประมาณกำหนด (กำหนดไว้ร้อยละ ๗๔) ๒. การเจรจาหรือจัดทำความตกลงระหว่างประเทศ เช่น การเจรจาภายต้กรอบอาเซียน การเจรจาภายใต้กรอบการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) การเจรจาภายใต้กรอบเอเปค และการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-มาเลเซีย ส่วนใหญ่มีความก้าวหน้าตามลำดับหรือบรรลุข้อสรุปการเจรจา ซึ่งจะมีผลให้การค้าระหว่างประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น ๓. การแก้ไขปัญหาราคาข้าวและการระบายข้าว ดำเนินการขยายตลาดการส่งออกข้าวไปยังประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางการระบายข้าว และตรวจสอบคุณสมบัติผู้ประกอบการ การทำสัญญาให้รัดกุมและกำหนดหลักเกณฑ์การรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร ๔. การแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตรที่กำลังออกตามฤดูกาล มีการจัดตั้งศูนย์การช่วยเหลือผลิตผลทางการเกษตรระดับจังหวัด ดูแลราคาและบริหารจัดการผลผลิตที่ออกสู่ตลาดตามฤดูกาล และส่งเสริมการแข่งขันและขยายตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ๕. การให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผ่านโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs Pro-active) สร้างองค์ความรู้การประกอบธุรกิจ (Entrepreneurship) ให้แก่ผู้ประกอบการ การสร้างระบบการบริหารจัดการที่ดี (Standard and Governance) ให้แก่สำนักงานบัญชี ๖. เรื่องอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อประเทศชาติและประชาชน เช่น การดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและค่าครองชีพ การลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชน โดยการจัดงานธงฟ้าราคาประหยัดลดค่าครองชีพประชาชน การจัดหาร้านจำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จราคาถูก การลดราคาจำหน่ายสินค้าทั้งประเทศ ๗. การสนับสนุนการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยการส่งเสริมและขยายการค้าชายแดนใน ๔ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตาก มุกดาหาร สระแก้ว และสงขลา
|
|||||||||||||||||||||
22447 | รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2558 (ครั้งที่ 7) | มท | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ (ครั้งที่ ๗) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลงานสะสมที่ทำได้ คิดเป็นร้อยละ ๑๓.๙๑ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๗๓.๖๐ ๒. การส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง ส่งมอบแล้ว ๑๐๒-๓-๗๖ ไร่ (คิดเป็นร้อยละ ๘๓.๕) ครอบคลุมพื้นที่ก่อสร้างอาคารหลักทั้งหมด เหลือพื้นที่ยังไม่ได้ส่งมอบ ๒๐-๐-๘๐ ไร่ ๓. การขนย้ายดินออกจากพื้นที่ก่อสร้าง ได้ขนย้ายดินออกจากพื้นที่ ๙๕๘,๒๗๑ ลูกบาศก์เมตร เหลือดินในพื้นที่ต้องขนออก ๗๔,๕๔๗ ลูกบาศก์เมตร ๔. ปัญหา/อุปสรรค ได้แก่ ปัญหาการส่งมอบพื้นที่ที่เหลือยังส่งมอบไม่ได้ตามสัญญาก่อสร้างกระทบกับแผนงานก่อสร้างตามที่ได้รับอนุมัติ และปัญหากรณีชาวบ้านปลูกบ้านรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่การก่อสร้างอาคารรัฐสภา บริเวณก่อสร้างเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นอุปสรรคต่องานก่อสร้างเขื่อนริมแม่น้ำ
|
|||||||||||||||||||||
22448 | รัฐบาลสาธารณรัฐสโลวีเนียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายยาเนส เปรโมเจ (Mr. Janez Premoze)] (รัฐบาลสาธารณรัฐสโลวีเนียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐสโลวีเนียประจำประเทศไทย) | กต | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายยาเนส เปรโมเจ (Mr. Janez Premoze) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐสโลวีเนียประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงปักกิ่ง สืบแทน นางสาวมารียา อาดันยา (Miss Marija Adanja) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
22449 | ร่างกฎกระทรวงที่เกี่ยวกับแสตมป์สรรพสามิต จำนวน 2 ฉบับ | กค | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงที่เกี่ยวกับแสตมป์สรรพสามิต จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๒๗ ว่าด้วยวิธีการในการใช้แสตมป์สรรพสามิตและเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี เพื่อให้ปรากฏว่าได้เสียภาษีแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดวิธีการในการใช้แสตมป์สรรพสามิตสำหรับเครื่องดื่มเพื่อให้ปรากฏว่าได้เสียภาษีแล้ว ๒. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๒๗ ว่าด้วยชนิดและลักษณะแสตมป์สรรพสามิต มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดชนิดและลักษณะแสตมป์สรรพสามิตสำหรับเครื่องดื่มที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร |
|||||||||||||||||||||
22450 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดประเภทงานให้คนต่างด้าวตามมาตรา 13 (2) แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2551 ทำได้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดประเภทงานให้คนต่างด้าวตามมาตรา ๑๓ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ทำได้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดงานช่างเครื่องยนต์ในเรือประมงทะเลให้คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองสามารถทำงานได้ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับรูปแบบการร่างกฎหมายบางประการ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ๓ สัญชาติ (เมียนมา ลาว และกัมพูชา) ที่จดทะเบียนให้ระบบผ่อนผัน ซึ่งโดยหลักการจะต้องนำเข้าสู่กระบวนการตรวจ (พิสูจน์) สัญชาติของประเทศต้นทางเพื่อยกระดับเป็นแรงงานถูกกฎหมาย โดยในส่วนที่ผ่านกระบวนการดังกล่าวแล้วจะมีสถานะเทียบเท่ากับแรงงานนำเข้าใหม่ตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงานระหว่างไทยกับสามประเทศต้นทางข้างต้น จึงอาจมีความจำเป็นต้องพิจารณาปรับปรุง MOU ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||
22451 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลกุดป่อง และตำบลชัยพฤกษ์ อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลกุดป่อง และตำบลชัยพฤกษ์ อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินค่าทดแทนเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์และส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างเพื่อขยายทางหลวงชนบทสายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๑๓๘ กับทางหลวงชนบท ลย. ๔๐๐๙ บริเวณบ้านท่าข้าม เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
22452 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ในการกำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย รัฐเอริเทรีย และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปีย รวม 3 ฉบับ | พณ | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ จำนวน ๓ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๘ ซึ่งให้ความเห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ จำนวน ๗ ฉบับ เกี่ยวกับสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและรัฐเอริเทรียในการกำหนดมาตรการคว่ำบาตรทางอาวุธ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า การอ้างอิงข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในอารัมภบทของร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์แต่ละฉบับ ควรอ้างถึงข้อมติที่กำหนดเนื้อหาสาระของพันธกรณีของรัฐสมาชิกในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการคว่ำบาตรให้ครบถ้วน และการอ้างอิงถึงคณะกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติควรระบุที่มาของคณะกรรมการดังกล่าวให้ชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย และกำหนดให้ถ่านไม้เป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าจากสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและนำเข้าจากรัฐเอริเทรีย พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปีย พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นการตรวจค้นเรือตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๑๘๒ (ค.ศ. ๒๐๑๔) ซึ่งมีกำหนดสิ้นสุดในวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๘ โดยประชาสัมพันธ์ให้หน่วยปฏิบัติที่เกี่ยวข้องรับทราบอย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการไม่ทราบข้อมูลดังกล่าว และควรแจ้งรายละเอียดประกาศกระทรวงพาณิชย์ทั้ง ๓ ฉบับ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนรับทราบอย่างทั่วถึงโดยเร็ว เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
22453 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3097 สายแยกทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 4 - บรรจบทางหลวงพิเศษหมายเลข 35 (บ้านปอ) ที่บ้านศรีพิพัฒน์ ที่บ้านหนองบัว ที่บ้านหลักสาม ที่บ้านทุ่งอินทรีย์ และที่บ้านท้ายวัดใหญ่ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๐๙๗ สายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔-บรรจบทางหลวงพิเศษหมายเลข ๓๕ (บ้านปอ) ที่บ้านศรีพิพัฒน์ ที่บ้านหนองบัว ที่บ้านหลักสาม ที่บ้านทุ่งอินทรีย์ และที่บ้านท้ายวัดใหญ่ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินค่าทดแทนเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์ และส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างได้ตามกำหนดเวลา เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
22454 | การยอมรับพิธีสารแก้ไขความตกลงทริปส์ด้านสาธารณสุขของไทย | พณ | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการยอมรับพิธีสารแก้ไขความตกลงว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้าหรือความตกลงทริปส์ (Agreement on Trade-Related Aspects of Intellectual Property Rights : TRIPS) ด้านสาธารณสุขของไทย มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองที่สำคัญเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงยาของสมาชิกองค์การการค้าโลกที่ไม่มีศักยภาพการผลิตยา และจะทำให้สมาชิกองค์การการค้าโลกซึ่งรวมทั้งไทยสามารถประกาศมาตรการบังคับใช้สิทธิในสิทธิบัตร (Compulsory Licensing : CL) เพื่อส่งออกยาที่ไทยมีศักยภาพการผลิตไปช่วยเหลือประเทศที่ไม่มีศักยภาพการผลิตได้ และนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบ ๑.๒ มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำตราสารยอมรับ (Instrument of Acceptance) หลังจากที่คณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบพิธีสารดังกล่าวเพื่อให้กระทรวงพาณิชย์นำส่งไปยังองค์การการค้าโลก ๒. ให้นำพิธีสารแก้ไขความตกลงทริปส์ด้านสาธารณสุขของไทยเสนอคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับมาตรการบังคับใช้สิทธิในสิทธิบัตร (CL) ที่กำหนดไว้ภายใต้ความตกลงทริปส์ด้านสาธารณสุข และกำหนดแนวทางการบริหารจัดการและความเสี่ยงของการเบี่ยงเบนทางการค้าให้สอดคล้องกับวิธีการป้องกันการส่งออกซ้ำของผลิตภัณฑ์ยาที่นำเข้ามาในประเทศ ตลอดจนเร่งขยายความร่วมมือทางด้านเทคนิคกับประเทศสมาชิกที่พัฒนาแล้ว เพื่อให้ประเทศสมาชิกเชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์ยาที่ไทยนำเข้ามาจะถูกนำไปใช้สำหรับวัตถุประสงค์ด้านการสาธารณสุขอย่างแท้จริง และในระยะยาวควรมีมาตรการสนับสนุนการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาในอุตสาหกรรมการผลิตยาของไทยเพื่อสร้างแรงจูงใจในการผลิตยาต้นแบบ รวมทั้งส่งเสริมให้มีการใช้ยาสมุนไพรไทยที่ได้มาตรฐานและมีคุณสมบัติในการรักษาใกล้เคียงหรือเทียบเท่ากับยาแผนปัจจุบัน เพื่อช่วยลดผลกระทบทางด้านดุลการค้ายาของไทย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
22455 | การขออนุมัติแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ กรุงเยเรวาน สาธารณรัฐอาร์เมเนีย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นางรีปซีเม มเกิร์ตเจียน (Mrs. Hripsime Mkrtchyan)] | กต | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางริปซีเม มเกิร์ตเจียน (Mrs. Hripsime Mkrtchyan) เป็นกลสุลกิตติมศักดิ์ ณ กรุงเยเรวาน สาธารณรัฐอาร์เมเนีย สืบแทน นายอาตูร์ มเกิร์ตเจียน (Mr. Artur Mkrtchyan) ซึ่งถึงแก่กรรม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
22456 | ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การเพิ่มตำแหน่งผู้ช่วยตุลาการศาลปกครองชั้นต้น) | ศป | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การเพิ่มตำแหน่งผู้ช่วยตุลาการศาลปกครองชั้นต้น) ตามที่สำนักงานศาลปกครองเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22457 | การยกเว้นเงินสมทบงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อดำเนินงานโครงการจัดการขยะเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิง (Refuse Derived Fuel: RDF) และปุ๋ยอินทรีย์ภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม ในระดับจังหวัด | ทส | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการยกเว้นเงินสมทบงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อดำเนินงานโครงการจัดการขยะเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิง (Refuse Derived Fuel : RDF) และปุ๋ยอินทรีย์ ภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ เนื่องจากการตรวจสอบพื้นที่พบว่า อปท. หลายแห่งมีความสามารถในการสมทบเงินงบประมาณได้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการยกเว้นเงินสมทบควรมีเงื่อนไขกรณีการปรับลดการสมทบงบประมาณในแต่ละโครงการว่า การปรับแก้ไขแบบรายละเอียดโครงการ RDF และปุ๋ยอินทรีย์ จะต้องไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างหลักของระบบการจัดการขยะมูลฝอย และให้มีระบบการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์จากระบบดังกล่าว รวมทั้งการยกเว้นเงินสมทบควรเป็นมาตรการระยะสั้นตามความจำเป็นเร่งด่วน สำหรับระยะยาวให้ อปท. เข้ามามีส่วนร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจ่ายค่าบริการในอัตราที่เหมาะสมสะท้อนต้นทุนที่เป็นจริง และควรมีการจัดทำข้อตกลงร่วม (MOU) ระหว่าง อปท. ที่เข้าร่วมโครงการและมีกลไกการกำกับดูแลเพื่อให้มีปริมาณขยะเข้าสู่ระบบจัดการขยะอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีกลไกการกำกับดูแลติดตามเร่งรัดการดำเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณ และในโอกาสต่อไปหากมีการแก้ไขกฎหมายหรือมีการกำหนดมาตรการจัดเก็บรายได้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น และ อปท. สามารถจัดเก็บรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นควรให้ อปท. มีส่วนร่วมในการใช้เงินรายได้สมทบงบประมาณค่าก่อสร้างระบบการจัดการน้ำเสียและมูลฝอยชุมชน ภายใต้หลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับงบประมาณในการดำเนินงานโครงการ RDF และปุ๋ยอินทรีย์ ภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ซึ่งในครั้งนี้ อปท. ไม่ต้องสมทบงบประมาณในการดำเนินงานตามโครงการ รวมทั้งปัญหาการจัดเก็บขยะมูลฝอยของประเทศ เพื่อให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับ อปท. ในการจัดการขยะมูลฝอยต่อไป ๔. โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๘ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการขยะของประเทศในภาพรวมทั้งระบบ ซึ่งรวมถึงการกำหนดให้มีกลไกเพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาขยะในภาพรวมให้เป็นเอกภาพ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนั้น เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติในเรื่องดังกล่าวแล้ว ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอเรื่องนี้ต่อสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเป็นเรื่องเร่งด่วนต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22458 | รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง เสรีภาพในการถือศาสนา เสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติและ การเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม กรณีการห้ามสตรีที่นับถือศาสนาอิสลามสวมฮิญาบ | สม | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอ เรื่อง รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง เสรีภาพในการถือศาสนา เสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ และการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม กรณีการห้ามสตรีที่นับถือศาสนาอิสลามสวมฮิญาบ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และมอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และสภาการพยาบาล เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยมีข้อเสนอ ดังนี้
๑. ทบทวนกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ และคำสั่ง ที่อาจเป็นการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกทางศาสนา รวมถึงการแต่งกาย ที่ไม่อยู่ในข่ายเป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมือง และเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน รวมทั้งกำชับหน่วยงานในความรับผิดชอบและเจ้าหน้าที่ให้ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบที่รองรับเสรีภาพในการแสดงออกทางศาสนา รวมถึงการแต่งกายอย่างจริงจัง ๒. กำหนดแนวทางในการแต่งกายของพยาบาล นักเรียนและนักศึกษาพยาบาลที่นับถือศาสนาอิสลาม เพื่อให้พยาบาล นักเรียนและนักศึกษาพยาบาลที่สังกัดในหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หรือเอกชนสามารถสวมผ้าคุลมศรีษะตามหลักศาสนาได้ในลักษณะเดียวกัน เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติต่อไป ๓. สร้างความเข้าใจและสร้างความตระหนักในการเคารพสิทธิมนุษยชนให้แก่องค์กรธุรกิจในอำนาจหน้าที่ที่รับผิดชอบ โดยอาจมีมาตรการในการดำเนินการต่าง ๆ ทางนโยบายและทางกฎหมายเพื่อป้องกัน ส่งเสริม และเยียวยาความเสียหายที่เกิดจากผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับการสวมผ้าคลุมศรีษะ (ฮิญาบ) ตามหลักศาสนา ๔. พิจารณาความเหมาะสมในการที่จะมีกฎหมายกลางที่เกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมด้วยเหตุต่าง ๆ ตามที่รับรองในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมายไทย กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ผิว เพศ ภาษา อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม ความคิดเห็นทางการเมือง ความคิดเห็นอื่นใด เผ่าพันธุ์แห่งชาติหรือสังคม ทรัพย์สิน หรือสถานะอื่นๆ
|
|||||||||||||||||||||
22459 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุม Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship ครั้งที่ 4 | พณ | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการต่อประเด็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าสำหรับการหารือกับสิงคโปร์ และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่ากระทรวงพาณิชย์ใช้เป็นกรอบการหารือสำหรับการประชุม Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ ๔ โดยมีสาระสำคัญประกอบด้วย (๑) การอำนวยความสะดวกทางการค้าต่อการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ของไทยไปยังสิงคโปร์ (๒) การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (๓) การเชิญชวนสิงคโปร์เข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษและความร่วมมือด้านการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษ และโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของไทย (๔) ความคืบหน้าของการจัดทำความตกลงการยอมรับร่วมกันในเรื่อง Authorized Economic Operator (AEO) (๕) การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาไทยและ Intellectual Property Office of Singapore (IPOS) (๖) การพัฒนาความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเรือสำราญตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวทางเรือระหว่างกัน และ (๗) ความร่วมมือด้านการบินระหว่างไทยและสิงคโปร์ ๑.๒ หากในการประชุม STEER มีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากข้อ ๑.๑ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทยกับสิงคโปร์ โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมา ให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุม STEER ครั้งที่ ๔ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หากในการประชุม STEER จะมีการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนการทำความตกลงนั้นตามมาตรา ๔(๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และหากความตกลงดังกล่าวมีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ ต้องเสนอขอความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22460 | ขออนุมัติโครงการเพิ่มเติมภายใต้กรอบโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2558 ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท | คค | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนเรื่อง ขออนุมัติโครงการเพิ่มเติมภายใต้กรอบโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท คืนไปเพื่อพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอ
|
.....