ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1105 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 22081 - 22100 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
22081 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์เกี่ยวกับการเจรจา RCEP ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 27 | พณ | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์เกี่ยวกับการเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Joint Declaration on the Launch of Negotiations for the Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) มีสาระสำคัญเป็นการประกาศความคืบหน้าการเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค และการขยายระยะเวลาการเจรจาให้สรุปผลการเจรจาภายในปี ๒๕๕๙ แทนเป้าหมายเดิมที่ผู้นำได้กำหนดให้สรุปผลการเจรจาภายในปี ๒๕๕๘ ๑.๒ ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมในการแถลงการณ์ฯ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรเร่งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาการแลกเปลี่ยนข้อเรียกร้อง ข้อเสนอการเปิดตลาดการค้าบริการและการลงทุน ข้อบท และประเด็นทางเทคนิคอื่น ๆ ในส่วนที่เหลือ เพื่อให้เป้าหมายในการขยายระยะเวลาการเจรจาให้สรุปผลการเจรจาภายในปี ๒๕๕๙ บรรลุผลตามที่วางไว้ และเพื่อแสดงเจตนารมณ์ในการผลักดันและให้ความร่วมมือในการเสริมสร้างความเชื่อมโยงภูมิภาคในทุกมิติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างแถลงการณ์ดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22082 | การลงนามในร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความตกลงที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบความตกลงฯ ระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กับสาธารณรัฐประชาชนจีน | พณ | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความตกลงที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบความตกลงฯ ระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กับสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีสาระสำคัญครอบคลุมข้อบทด้านพิธีการศุลกากร และการอำนวยความสะดวกทางการค้า การปรับปรุงกฎถิ่นกำเนิดสินค้า ข้อผูกพันการเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๓ การปรับปรุงความตกลงด้านการลงทุนอาเซียนและจีน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ รวมทั้งประเด็นที่จะเจรจาต่อไปในอนาคต และการมีผลบังคับใช้ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมเป็นผู้ลงนามร่างพิธีสารฯ ๑.๔ ภายหลังการลงนามแล้วให้นำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบพิธีสารเพื่อแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความตกลงที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบความตกลงฯ ระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กับสาธารณรัฐประชาชนจีน ๑.๕ มอบหมายกรมศุลกากรและกรมการค้าต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้พิธีสารฯ มีผลบังคับใช้ภายในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ตามที่ระบุไว้ในร่างพิธีสารฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบพิธีสารดังกล่าวแล้ว ๑.๖ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการมอบสัตยาบันสารของพิธีสารฯ ดังกล่าวให้แก่เลขาธิการอาเซียนเพื่อรับทราบการให้สัตยาบันพิธีสารฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบพิธีสารดังกล่าวแล้ว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นการเจรจาในอนาคตซึ่งครอบคลุมการเปิดเสรีสินค้าอ่อนไหวเพิ่มเติม ควรพิจารณาอย่างรอบคอบโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อนโยบายการสร้างและพัฒนาความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs รวมทั้งควรมีการหารือในเรื่องคำจำกัดความ Territory ที่ปรากฏในเชิงอรรถของข้อบทกฎถิ่นกำเนิดสินค้าอาเซียน-จีน กับประเทศสมาชิกอาเซียน โดยสรุปเป็นข้อตกลงร่วมกันของอาเซียนที่เป็นความเห็นเดียวกันก่อน ก่อนเสนอให้ฝ่ายจีนในการพิจารณาต่อไป เพื่อหาข้อสรุปที่สอดคล้องกันภายในอาเซียนและสามารถสรุปผลการเจรจาตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้ นอกจากนี้ ควรใช้เวทีการเจรจาดังกล่าวผลักดันให้มีกลไกสำหรับการแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน โดยเฉพาะอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษีที่ผู้ส่งออกไทยมักประสบปัญหาในการส่งออกไปจีน เช่น ปัญหาความแตกต่างของแนวทางการปฏิบัติงานและกฎระเบียบข้อบังคับของจีนในแต่ละเมือง/มณฑล รวมทั้งขั้นตอนและวิธีการและกระบวนการนำเข้าที่มีความยุ่งยาก เป็นต้น เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงเสรีทางการค้าได้อย่างเต็มที่ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำในร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการปรับเปลี่ยนได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22083 | การขอความเห็นชอบต่อการขยายระยะเวลาสำหรับแผนปฏิบัติการอย่างรอบด้านเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสหพันธรัฐรัสเซีย ปี ค.ศ. 2005 - 2015 | กต | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขยายระยะเวลาของแผนปฏิบัติการอย่างรอบด้านเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสหพันธรัฐรัสเซีย ปี ค.ศ. ๒๐๐๕-๒๐๑๕ (พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๘) จนกว่าจะมีการรับรองแผนปฏิบัติการฯ ฉบับใหม่ในปี ๒๕๕๙ โดยประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการขยายระยะเวลาแผนปฏิบัติการฯ จะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความพร้อมของประเทศไทยที่จะมีบทบาทสำคัญในการดำเนินกิจกรรมและโครงการความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหพันธรัฐรัสเซียอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นคง ตลอดจนความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และสาขาความร่วมมืออื่น ๆ ที่จะช่วยส่งเสริมความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชนของประเทศสมาชิกอาเซียนและสหพันธรัฐรัสเซีย อีกทั้งจะเป็นการย้ำถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างประเทศไทยกับสหพันธรัฐรัสเซีย และจะมีผลช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งยืนยันการขยายระยะเวลาแผนปฏิบัติการดังกล่าวไปยังกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย (ในฐานะประธานอาเซียน) ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแนวทางในการสร้างความร่วมมือในคณะทำงานรัสเซีย-อาเซียนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ASEAN-Russian Federation Working Group on Science and Technology : ARWGST) โดยโน้มน้าวให้สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเป็นผู้ริเริ่มหรือเสนอโครงการอาเซียนด้านวิจัยและพัฒนา รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยประเทศไทยสามารถเสนอเป็นฐานที่ตั้งการฝึกอบรมหรือฐานงานวิจัยบางส่วนที่เหมาะสมได้ และเมื่อประเทศไทยได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะทำงาน ARWGST จะเป็นโอกาสในการเสนอให้สหพันธรัฐรัสเซียจัดการอบรมเกี่ยวกับการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีขั้นสูงซึ่งสหพันธรัฐรัสเซียมีความเชี่ยวชาญ โดยใช้หน่วยงาน/สถาบันวิจัยของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในประเทศไทยเป็นศูนย์กลางจัดฝึกอบรมของคณะทำงาน ARWGST รวมทั้งควรมีการระบุเกี่ยวกับความร่วมมือระดับอนุภูมิภาคที่มีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนการรวมตัวของภูมิภาคอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรมชัดเจน นอกเหนือจากการดำเนินงานของการริเริ่มเพื่อการรวมตัวของอาเซียน (Initiative for ASEAN Integration : IAI) โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion : GMS) และแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) ซึ่งทั้งสองแผนงานความร่วมมือฯ ดังกล่าวมีประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกและได้มีการกำหนดเป็นแผนปฏิบัติการทั้งในระดับโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะสามารถดึงดูดความสนใจและขับเคลื่อนความร่วมมือโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการค้าการลงทุนและการเงินของสหพันธรัฐรัสเซียให้เข้าสู่ภูมิภาคอาเซียนได้มากขึ้น ตลอดจน Brunei-Indonesia-Malaysia-Philippines East Asian Growth Area (BIMP-EAGA) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22084 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดเผยและการใช้ข้อมูล ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งราชอาณาจักรไทย และกรมการตรวจคนเข้าเมืองและการป้องกันชายแดนแห่งเครือรัฐออสเตรเลียเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบและอนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ฝ่ายไทย รวมทั้งขออนุมัติให้มีการแก้ไขในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หากมีความจำเป็นในภายหน้า | ยธ | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดเผยและการใช้ข้อมูล ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งราชอาณาจักรไทยและกรมการตรวจคนเข้าเมืองและการป้องกันชายแดนแห่งเครือรัฐออสเตรเลีย มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการดำเนินความร่วมมือในการเปิดเผยและใช้ข้อมูลด้านยาเสพติดระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลีย มีวัตถุประสงค์เพื่อการส่งเสริมความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านการปราบปรามยาเสพติด ๑.๒ อนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. กรณีที่มีการปรับแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญให้กระทรวงยุติธรรมนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22085 | การขออนุมัติจำหน่ายหนี้สูญเงินทุนหมุนเวียนโครงการไทย - เยอรมัน | กค | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอการจำหน่ายหนี้สูญเงินทุนหมุนเวียนโครงการไทย-เยอรมัน ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ โดยไม่ขอเงินชดเชยจากรัฐบาล ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ จำนวนเงินทั้งสิ้น ๗,๖๒๔,๕๒๔.๖๓ บาท ตามรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ จำหน่ายดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้สมาชิกนิคมสร้างตนเอง จำนวน ๑๐ แห่ง ลูกหนี้สมาชิกนิคมสร้างตนเอง จำนวน ๑๖๑ ราย เป็นเงิน ๓,๘๔๕,๖๗๓.๒๑ บาท ๑.๒ จำหน่ายเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้สมาชิกนิคมสร้างตนเอง จำนวน ๖ แห่ง ลูกหนี้สมาชิกนิคมสร้างตนเอง จำนวน ๓๕๙ ราย เป็นเงิน ๓,๗๗๘,๘๕๑.๔๒ บาท (เงินต้น ๑,๖๒๒,๑๒๙.๑๐ บาท และดอกเบี้ย ๒,๑๕๖,๗๒๒.๓๒ บาท) ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการให้ทันต่อสถานการณ์ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรในภาพรวมอย่างเหมาะสมและยั่งยืนต่อไป รวมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยในการส่งเสริมอาชีพและสร้างรายได้แก่เกษตรกรเพื่อเพิ่มศักยภาพการชำระหนี้คืนและป้องกันปัญหาหนี้สูญที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๖ ในการปรับปรุงมติสภาบริหารคณะปฏิวัติเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ เกี่ยวกับเรื่องจำหน่ายหนี้เงินและทรัพย์สินออกจากบัญชี แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22086 | มาตรการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะยานยนต์ต้นแบบในภูมิภาค | กค | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะยานยนต์ต้นแบบในภูมิภาค โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรแก่รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ต้นแบบที่ใช้ในการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะ และอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติพิธีการนำเข้า รวมทั้งควบคุม กำกับดูแล และตรวจสอบให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ๑.๒ มอบหมายกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการแก้ไขระเบียบกระทรวงพาณิชย์ ว่าด้วยการอนุญาตให้นำรถยนต์ที่ใช้แล้วเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๔๙ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๔๙ สำหรับรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ต้นแบบที่ได้รับการรับรองจากกรมสรรพสามิตไม่ต้องขออนุญาตนำเข้าจากกระทรวงพาณิชย์ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรให้ครอบคลุมไปถึงชิ้นส่วนต้นแบบ การกำกับดูแลที่เหมาะสมในทางปฏิบัติโดยเฉพาะในการบริหารจัดการต้นแบบรถยนต์และรถจักรยานยนต์ภายหลังการดำเนินงานวิจัยพัฒนาสิ้นสุด การเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐและภาคการศึกษาที่มีความสนใจเข้าเยี่ยมชมพื้นที่และใช้เครื่องมืออุปกรณ์วิเคราะห์ทดสอบที่ทันสมัยเพื่อการถ่ายทอดหรือแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ หรือการทำวิจัย ในส่วนที่ไม่เป็นความลับ การให้ความสำคัญแก่ยานยนต์ต้นแบบที่สร้าง/ผลิตขึ้นในประเทศไทย (สภาพใหม่) หรือเคยผลิตขึ้นในประเทศไทย (สภาพใช้แล้ว นำมาทำการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะเพื่อปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพ สมรรถนะที่ดีขึ้น) การยกร่างกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยให้หน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรมการขนส่งทางบก ร่วมพิจารณาด้วย การเสนอข้อมูลและข้อเท็จจริง เช่น ปริมาณยานยนต์ต้นแบบที่นำเข้าเพื่อการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะ จำนวนบริษัทที่ประสงค์จะนำเข้ายานยนต์ต้นแบบ จำนวนเงินที่รัฐต้องสูญเสียรายได้จากการให้ยกเว้นภาษี ความเพียงพอของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะ เพื่อประกอบการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรี การกำหนดแนวทางในการควบคุม กำกับดูแล และตรวจสอบยานยนต์ต้นแบบสำหรับใช้ในการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะอย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการนำออก ส่งออก หรือทำลายยานยนต์ต้นแบบภายหลังจากการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะแล้ว เพื่อป้องกันการนำยานยนต์ต้นแบบไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ การกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการต้องจัดให้มีบุคลากรวิจัยของไทยเข้าร่วมในการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะยานยนต์ต้นแบบเพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบุคลากรวิจัยของไทย ตลอดจนมีระบบการติดตามและประเมินผลการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงรูปแบบของมาตรการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาที่มีความเหมาะสมในอนาคต ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย รวมทั้งให้กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อให้มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้โดยเร็วต่อไป ๓. กำหนดหลักการและแนวทางการนำเสนอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปรับลดหรือปรับเปลี่ยนอัตราภาษีอากรหรือปรับเปลี่ยนวิธีการคำนวณอัตราเพื่อเสียภาษีอากรต่อคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๓.๑ การเสนอมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการปรับลดหรือปรับเพิ่มอัตราภาษีอากรหรือปรับเปลี่ยนวิธีการคำนวณอัตราเพื่อเสียภาษีอากรที่อาจส่งผลให้เกิดพฤติกรรมที่นำมาซึ่งการได้เปรียบในเชิงการค้าก่อนมาตรการมีผลใช้บังคับตามกฎหมาย เช่น การกักตุนสินค้า เป็นต้น ให้กระทรวงการคลังจัดทำข้อวิเคราะห์ผลกระทบในภาพรวมจากการดำเนินการดังกล่าว โดยเฉพาะผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐ และเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาไปในคราวเดียวกัน ๓.๒ หากมีความจำเป็นเร่งด่วนและกรณีไม่เข้าข่าย ตามข้อ ๓.๑ กระทรวงการคลังอาจเสนอมาตรการเพื่อขอความเห็นชอบในหลักการจากคณะรัฐมนตรีก่อนได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังต้องนำเสนอร่างกฎหมายที่จะออกตามมาตรการภาษีดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๒ สัปดาห์ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22087 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... | มท | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรยกเว้นให้สามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนบางประเภทที่ไม่มีมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมหรือมีแต่น้อยมากตามที่หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมจะกำหนด เพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาพลังงานทดแทนตามนโยบายของรัฐบาล และเห็นควรเพิ่มประเภทและขนาดโรงงานในบัญชีท้ายร่างกฎกระทรวงฯ รวมทั้งเพิ่มประเภทโรงงาน เช่น ประเภท ๑๐๑ โรงงานปรับคุณภาพของเสียรวม ประเภท ๑๐๕ โรงงานคัดแยก ฝังกลบสิ่งปฏิกูล ประเภท ๑๐๖ โรงงานนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้วหรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตทางอุตสาหกรรม ตลอดจนเพิ่มประเภทโรงงาน เช่น ประเภท ๘๘ โรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล ชีวภาพ และขยะชุมชน นอกจากนี้ เนื่องจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอย่างรุนแรง เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำกับให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นดูและอนุมัติการใช้ประโยชน์ที่ดินใก้ห้เป็นไปตามผังเมืองรวมอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการบุกรุกทำลายพื้นที่ชายฝั่งทะเล และควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดคล้องกับภูมิสังคมของพื้นที่อย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22088 | การขอความเห็นชอบการเข้าร่วมเจรจาเพื่อปรับปรุงแก้ไขพิธีสารว่าด้วยกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจฉบับใหม่ของอาเซียน (ASEAN Protocol on Enhanced Dispute Settlement Mechanism: EDSM) และการทบทวนรายชื่อผู้แทนไทยที่จะทำหน้าที่ในคณะผู้พิจารณาและองค์กรอุทธรณ์ภายใต้พิธีสารฯ | พณ | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. การเข้าร่วมเจรจาปรับปรุงแก้ไขพิธีสารว่าด้วยกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจฉบับใหม่ของอาเซียน (ASEAN Protocol on Enhanced Dispute Settlement Mechanism : EDSM) ในการประชุมคณะทำงานว่าด้วยกลไกระงับข้อพิพาทของอาเซียน ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ๒. กรอบการเจรจาเพื่อปรับปรุงแก้ไขพิธีสารว่าด้วยกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียน และท่าทีการเจรจาฯ ของไทย มีวัตถุประสงค์หลัก คือ (๑) เพื่อให้กลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียนมีหลักการและกระบวนการที่ชัดเจน มีความเป็นธรรม ความโปร่งใส และสอดคล้องกับหลักการระหว่างประเทศที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และ (๒) เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาทบทวนรายชื่อผู้แทนไทยที่จะทำหน้าที่ในคณะผู้พิจารณาและองค์กรอุทธรณ์ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22089 | รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ 30 กันยายน 2558 (ครั้งที่ 8) | มท | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ (ครั้งที่ ๘) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลงานสะสมที่ทำได้ คิดเป็นร้อยละ ๑๔.๔๖ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๗๘.๕๒ ๑.๒ การส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง ยังไม่มีการส่งมอบพื้นที่เพิ่มเติม ๑.๓ การขนย้ายดินออกจากพื้นที่ก่อสร้าง ได้ขนย้ายดินออกจากพื้นที่ ๙๘๗,๖๒๕ ลูกบาศก์เมตร (ร้อยละ ๙๕.๖๓) เหลือดินในพื้นที่ต้องขนออก ๔๕,๑๙๓ ลูกบาศก์เมตร (ร้อยละ ๔.๓๗) ๑.๔ ปัญหา/อุปสรรค ได้แก่ ปัญหาการส่งมอบพื้นที่ที่เหลือยังส่งมอบไม่ได้ตามสัญญาก่อสร้างกระทบกับแผนงานก่อสร้างตามที่ได้รับอนุมัติ ปัญหากรณีชาวบ้านปลูกบ้านรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่การก่อสร้างอาคารรัฐสภา บริเวณก่อสร้างเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นอุปสรรคต่องานก่อสร้างเขื่อนริมแม่น้ำ รวมทั้งสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยต่อการก่อสร้างชั้นใต้ดิน ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับกรุงเทพมหานครเพื่อเร่งรัดการดำเนินการส่งมอบพื้นที่ที่เหลือให้รัฐสภาตามกำหนดเวลาโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22090 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... | มท | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๔ มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๙ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๔ มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22091 | กรอบการเจรจาและลงนามในปฏิญญาร่วมของการประชุมอัยการสูงสุด จีน - อาเซียน ครั้งที่ 9 | อส | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมของการประชุมอัยการสูงสุดจีน-อาเซียน ครั้งที่ ๙ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของสำนักงานอัยการสูงสุดของประเทศอาเซียนและสำนักงานอัยการสูงสุดแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อต้านการทุจริต และมุ่งเน้นไปในเรื่องความร่วมมือระหว่างประเทศในการส่งคืนตัวผู้หลบหนีและการติดตามเอาทรัพย์สินคืนภายในกรอบกฎหมายภายในของแต่ละประเทศ ๒. มอบหมายให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นผู้เจรจาร่างปฏิญญาร่วมฯ ภายในกรอบที่สอดคล้องกับกฎหมายภายใน ๓. ให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ลงนามในปฏิญญาร่วมฯ ดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22092 | รายงานความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการกำกับดูแลความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรป (European Aviation Safety Agency - EASA) | สลธ.คสช. | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประธานกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แต่งตั้งคณะทำงานพิเศษหารือกับผู้แทนสหภาพยุโรป รวมทั้งสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ (Federal Aviation Administration : FAA) โดยมีนายพิศาล มาณวพัฒน์ เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เป็นหัวหน้าคณะทำงาน พลอากาศเอก ปรีชา ประดับมุข กรรมการและเลขานุการศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือน และนายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เป็นรองหัวหน้าคณะ และผู้เกี่ยวข้องจำนวนไม่เกิน ๕ นาย ร่วมเป็นคณะ เดินทางไปหารือเพื่อให้ข้อมูลความคืบหน้าของฝ่ายไทยในรายละเอียดแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยใช้งบประมาณของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือน ๑.๒ เห็นชอบร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเกี่ยวกับ Cooperation Framework Agreement on Aviation Safety ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย โดยให้ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เป็นผู้ลงนาม ๑.๓ เห็นชอบค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ดังกล่าว ภายในวงเงิน ๒,๕๐๐,๐๐๐ ยูโร หรือไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ รายการเงินงบกลางเพื่อสำรองจ่ายในกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนร่วมกับผู้แทนส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินทางไปลงนามและเจรจากับองค์การกำกับดูแลความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรป (European Aviation Safety Agency : EASA) ในเรื่องขอบเขตของงานหรือรายละเอียดความร่วมมือแล้ววางแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เสนอให้ทราบภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๔ ให้ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนร่วมกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรการเร่งรัดผลักดันให้ผู้ที่ได้รับใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศทุกรายของสายการบินทั้ง ๔๑ สายการบิน เข้ามาดำเนินกระบวนการเพื่อออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศฉบับใหม่ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยให้มีมาตรการลงโทษทางปกครองเกี่ยวกับใบอนุญาต เช่น พักใช้หรือระงับใบอนุญาต ฯลฯ สำหรับสายการบินที่ไม่ให้ความร่วมมือ หรือมีความเสี่ยงสูงด้านความไม่ปลอดภัย ภายในระยะเวลาที่เหมาะสม และไม่เกิดความเสียหายต่อการแก้ไขปัญหาในภาพรวมของประเทศ ทั้งนี้ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยจะต้องไม่ออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศฉบับใหม่เพิ่มเติม จนกว่าจะสามารถแก้ไขข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญต่อความปลอดภัย (Significant Safety Concern : SSC) ได้โดยเร็วที่สุดด้วย ๑.๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นผู้นำเสนอแผนปฏิบัติการที่มีรายละเอียด ขั้นตอนและระยะเวลาในการดำเนินงาน กิจกรรม ทุกเรื่อง โดยเฉพาะแผนงานด้านการจัดการบุคลากรของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๖ ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเร่งรัดและติดตามผลการดำเนินการในภาพรวมแล้วรายงานให้ทราบทุกระยะ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำในกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความปลอดภัยการบิน (Cooperation Framework Agreement on Aviation Safety) ในกรณีที่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ ไม่ขัดกับผลประโยชน์ของไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมและศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ในส่วนของงบประมาณในการดำเนินการให้กระทรวงคมนาคมและศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยเพื่อให้การแก้ไขปัญหาด้านการบินพลเรือนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22093 | ข้อเสนอ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย : กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (NEW Engine of Growth) | อก | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการข้อเสนอ ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) จำนวน ๑๐ คลัสเตอร์ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การต่อยอด ๕ อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) ประกอบด้วย ๑.๑.๑ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next-Generation Automotive) ๑.๑.๒ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) ๑.๑.๓ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Affluent, Medical and Wellness Tourism) ๑.๑.๔ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (Agriculture and Biotechnology) ๑.๑.๕ อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร (Food for the Future) ๑.๒ การเติม ๕ อุตสาหกรรมอนาคต (New-S-curve) ประกอบด้วย ๑.๒.๑ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotics) ๑.๒.๒ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (Aviation and Logistics) ๑.๒.๓ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (Biofuels and Biochemicals) ๑.๒.๔ อุตสาหกรรมดิจิตอล (Digital) ๑.๒.๕ อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) ๒. มอบหมายให้คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามภารกิจและอำนาจหน้าที่ โดยมีผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๐ ทั้งนี้ มาตรการใดเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะมาตรการด้านสิทธิพิเศษ การส่งเสริมการลงทุน มาตรการด้านการเงินและการคลัง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องจัดทำรายละเอียด และดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นรายมาตรการก่อนดำเนินการ ๓. เห็นชอบในหลักการกลไกการผลักดันการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเร่งรัดการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะจัดตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อทำหน้าที่ “คัดเลือก-เจรจา” โครงการลงทุนรายสำคัญที่จะให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมเป้าหมายเกิดขึ้นได้โดยเร็ว และนำเสนอผลการเจรจาให้กับคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อการพิจารณาอนุมัติต่อไป และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณารายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการเร่งรัดการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะแต่งตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษต่อไป ๔. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายและแหล่งที่มาของเงินลงทุน และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรศึกษาและวิเคราะห์ข้อเท็จจริงในรายละเอียดของศักยภาพของแต่ละอุตสาหกรรมโดยมีการเปรียบเทียบความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศเพิ่มเติมเพื่อให้ทราบถึงศักยภาพที่แท้จริงของอุตสาหกรรมที่เสนอ การกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนของ ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกับอุตสาหกรรมเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบคลัสเตอร์ ๖ คลัสเตอร์ ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๘ การกำหนดจุดเน้นของคลัสเตอร์ที่ประเทศไทยมีศักยภาพที่แท้จริงก่อนที่จะกำหนดมาตรการสนับสนุน ตลอดจนการพิจารณาความเหมาะสมและผลกระทบข้อดีและข้อเสียที่อาจเกิดขึ้นต่อประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และให้คณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนผลักดันการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22094 | เอกสาร Asia Pacific Leaders Malaria Alliance (APLMA) Malaria Elimination Roadmap | สธ | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเอกสาร Asia Pacific Leaders Malaria Alliance (APLMA) Malaria Elimination Roadmap ในการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๑๐ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยได้กำหนดการดำเนินงานสำคัญ ๖ ประการ (6 Roadmap priorities) ในการดำเนินการเกี่ยวกับการกำจัดโรคไข้มาลาเรีย ที่ผู้นำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะใช้เป็นแนวทางในการสนับสนุนและดำเนินการต่อไป ดังนี้
๑. การร่วมมือดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ในระดับประเทศและการมีการดำเนินงานของภูมิภาค (Unite national effort and regional action) ๒. กำหนดพื้นที่สำหรับการดำเนินการป้องกันตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคไข้มาลาเรียในทุก ๆ แห่ง (Map, prevent, test and treat the disease, everywhere) ๓. สร้างความมั่นใจว่าการบริการที่เกี่ยวข้องของโรคไข้มาลาเรีย ชุดตรวจวินิจฉัย ยา มุ้ง และสารเคมีกำจัดแมลง มีคุณภาพสูง (Ensure high quality malaria services, tests medicines, nets and insecticides) ๔. พัฒนาการกำหนดเป้าหมายและประสิทธิภาพของการดำเนินการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Improve targeting and efficiency to maximize impact) ๕. เคลื่อนย้ายทรัพยากรการเงินภายใน และยกระดับการสนับสนุนจากภายนอก (Mobilize domestic financing and leverage external) ๖. นวัตกรรมสำหรับการกวาดล้างโรคไข้มาเลเรีย (Innovate for elimination) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22095 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูง ระหว่างไทย - ญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 | พณ | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อท่าทีไทยสำหรับการหารือกับญี่ปุ่น ได้แก่ การจัดตั้งกลไกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูง ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ความเชื่อมโยงในภูมิภาค การลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ประเด็นทางการค้า การอำนวยความสะดวกทางการค้า ความร่วมมือด้านการพัฒนาบุคลากร ความร่วมมือด้านการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการท่องเที่ยว และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ใช้ท่าทีไทยข้างต้นประกอบการหารือสำหรับการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑ (The 1st High Level Joint Commission between Thailand and Japan : HLIC) ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุม HLIC ไทย-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑ รวมถึงเอกสารที่เป็นผลการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22096 | ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 เพื่อนำไปชำระให้แก่ผู้ร้องตามคำพิพากษาของ ศาลปกครองสูงสุด (กรณีคลองด่าน) | ทส | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) เพื่อนำไปชำระให้แก่ผู้ร้องตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำ ที่ อ. ๒๘๕-๒๘๖/๒๕๕๖ คดีหมายเลขแดงที่ อ. ๔๘๗-๔๘๘/๒๕๕๗ ตามผลการเจรจาของคณะทำงานเจรจาเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทางราชการอันเนื่องมาจากคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน เป็นจำนวนเงินที่ต้องชำระทั้งสิ้น ๗,๙๓๖,๔๕๓,๙๑๕.๑๐ บาท กับ ๕๔,๒๙๔,๖๓๘.๕๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ ๑,๙๕๔,๖๐๖,๙๘๖ บาท (อัตราแลกเปลี่ยนวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เท่ากับ ๓๖.๐๐ บาท ต่อ ๑ ดอลลาร์สหรัฐ) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๙,๘๙๑,๐๖๐,๙๐๑.๑๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (องค์การจัดการน้ำเสีย) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการออกแบบรวมก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษจังหวัดสมุทรปราการ (คลองด่าน) ในการดำเนินการตรวจสอบ/วิเคราะห์สภาพงานก่อสร้าง และองค์ประกอบต่าง ๆ รวมถึงการประเมินมูลค่าปัจจุบันของโครงการฯ ในสภาพปัจจุบัน และหาแนวทางที่เหมาะสมเพื่อนำโครงการฯ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และคุ้มค่ากับงบประมาณที่ลงทุนไป รวมทั้งดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๘ ที่ให้พิจารณาศึกษากำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่ก่อสร้างโครงการดังกล่าวโดยอาจพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนเพื่อดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) รับผิดชอบการดำเนินคดีที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการฯ ดังกล่าวเช่นเดิม รวมทั้งให้เร่งรัดการดำเนินการเพื่อให้บุคคลที่รับผิดชอบหรือเกี่ยวข้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น โดยต้องดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนและคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22097 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 (จังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ และอำนาจเจริญ) | นร11 | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๒ (จังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ และอำนาจเจริญ) เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เพื่อติดตามความคืบหน้าผลการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมทั้งการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และรับฟังปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะซึ่งจะนำไปสู่การปรับปรุงกระบวนการขับเคลื่อนของรัฐบาลในระดับพื้นที่ให้สอดคล้องกับศักยภาพ ตามความต้องการและมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชนและท้องถิ่นอย่างแท้จริง ๒. เห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป โดย ๒.๑ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาทบทวนรายละเอียดและกรอบวงเงินคงเหลือตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล วงเงินงบประมาณ ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการภัยแล้งและการบริหารจัดการน้ำและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๒.๒ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดให้ทุกจังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการ กรอ. จังหวัด ตามโครงสร้างใหม่ที่ได้หารือร่วมกับภาคเอกชนเรียบร้อยแล้ว และให้มีการประชุมอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย ๒ เดือน/ครั้ง ๒.๓ มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขยายผลการดำเนินโครงการธนาคารข้าว เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ผลผลิตทางการเกษตร เพื่อให้ประชาชนกู้ไปประกอบอาชีพ และสามารถนำผลผลิตทางการเกษตรอย่างอื่นมาชำระคืนได้ในมูลค่าราคาที่เท่าเทียมกัน อย่างทั่วถึง ๒.๔ มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาความเป็นไปได้ในการขยายถนนเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดและภูมิภาคให้เป็นถนน ๔ ช่องทาง และเชื่อมโยงไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเหมาะสม ๒.๕ มอบหมายให้กระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาความเป็นไปได้ในการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่อยู่ในแนวระบบสายส่ง และดำเนินการให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ๒.๖ มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปพิจารณาจัดโซนนิ่งพื้นที่อุตสาหกรรมโดยเน้นการเป็นเมืองอุตสาหกรรมสีเขียว และให้ติดตามผลการขออนุญาตตั้งโรงงานให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ๒.๗ ในกรณีที่กลุ่มจังหวัดฯ จะเสนอโครงการพัฒนา ให้จัดทำข้อเสนอไปยังกระทรวงมหาดไทยโดยให้มีการพิจารณากลั่นกรองร่วมกันกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย และนำเสนอไปยังคณะกรรมการ กรอ. ส่วนกลางต่อไป ๒.๘ ขอความร่วมมือภาคเอกชนทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคให้ความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์การดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลตามแนวทาง “ประชารัฐ” หรือ การสร้างความเข้มแข็งไปพร้อมกัน (Stronger Together) โดยเฉพาะการจดทะเบียนนิติบุคคลของ SMEs เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐในด้านต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22098 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ) (นายพะโยม ชิณวงศ์) | ศธ | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายพะโยม ชิณวงศ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22099 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี [นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)] | นร04 | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางสาวพรพรรณ มณีสถิตย์ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22100 | การแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน | เวียน | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน รวม ๖ คณะ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบการศึกษา ๑.๒ คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง การลงทุนภาครัฐ และโครงสร้างพื้นฐาน ๑.๓ คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านระบบราชการ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ๑.๔ คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุข ๑.๕ คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำ การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ๑.๖ คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และการกีฬา ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นรองประธานกรรมการแต่ละคณะพิจารณากำหนดองค์ประกอบคณะกรรมการฯ วาระการขับเคลื่อนและปฏิรูปฯ แล้วส่งให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดทำคำสั่งเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓. มอบหมายให้คณะกรรมการฯ แต่ละคณะใช้แนวทางการดำเนินการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้ ๓.๑ ประสานและสนับสนุนการทำงานระหว่างคณะกรรมการฯ ทั้ง ๖ คณะ ๓.๒ ใช้กลไก “ประชารัฐ” ซึ่งประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด ศูนย์ปฏิบัติการอำเภอ การปกครองท้องถิ่น องค์กรส่วนท้องถิ่น พลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) นายอำเภอ องค์กรพัฒนาเอกชน หรือ อพช. (NGOs : Non Governmental Organizations) ภาคเอกชน และประชาชน ในการขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ ๓.๓ ประสานงานกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อให้สนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการฯ ทั้ง ๖ คณะ โดยเฉพาะสนับสนุนการทำงานในระดับพื้นที่ ๔. มอบหมายให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีและสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์การขับเคลื่อนและปฏิรูปของคณะกรรมการฯ และการดำเนินการของกลไกประชารัฐที่ขับเคลื่อนในระดับพื้นที่
|
.....