ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1101 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 22001 - 22020 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
22001 | รายงานของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง เรื่อง แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | สว | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การจัดเก็บรายได้ของแผ่นดิน การบริหารกิจการที่รัฐมีรายได้ และการบริหารจัดการทรัพย์สินของแผ่นดินในส่วนที่เกี่ยวกับบทบาทอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และกรุงเทพมหานคร เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของรายงานและข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22002 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูประบบการประเมิน ผลกระทบสิ่งแวดล้อม) | ทส | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง การปฏิรูประบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาแล้วเห็นด้วยกับข้อเสนอการปฏิรูปและแนวทางการดำเนินการ ได้แก่ (๑) การบูรณาการสิ่งแวดล้อมสู่นโยบายโดยใช้กระบวนการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment) (๒) ระบบการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment) และ (๓) ระบบติดตามตรวจสอบและประเมินผล (Monitoring Evaluation and Auditing : ME&A) รวมทั้งเห็นด้วยกับกลไกการขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติ ได้แก่ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และการปรับปรุงองค์กร ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22003 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการและเพิ่มวงเงิน รายการผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 - 2558 (วิทยาลัยการอาชีพวังไกลกังวล 2 และวิทยาลัย อาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี) | ศธ | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติปลี่ยนแปลงรายการและเพิ่มวงเงิน รายการผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ (วิทยาลัยการอาชีพวังไกลกังวล ๒ และวิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี) ของกระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑. เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการอาคารเรียนและปฏิบัติการ พื้นที่ไม่ต่ำกว่า ๑,๙๒๐ ตารางเมตร จำนวน ๑ หลัง ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี ตำบลตลิ่งงาม อำเภอสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี จากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ วงเงิน ๑๗,๖๔๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๓๑,๙๑๘,๐๐๐ บาท ตามผลการประกวดราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๒,๕๒๐,๐๐๐ บาท ที่ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๒,๗๙๘,๙๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอีก จำนวน ๒๖,๕๙๙,๑๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ตามความจำเป็นและเหมาะสม ๑.๒ เปลี่ยนแปลงชื่อรายการและสถานที่ดำเนินการก่อสร้าง จากเดิม วิทยาลัยการอาชีพวังไกลกังวล ตำบลหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็น วิทยาลัยการอาชีพวังไกลกังวล ๒ ตำบลเขาใหญ่ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี จำนวน ๓ รายการ ๑.๒.๑ อาคารเรียนและปฏิบัติการ พื้นที่ไม่ต่ำกว่า ๑,๙๒๐ ตารางเมตร จำนวน ๑ หลัง วงเงิน ๑๖,๓๐๐,๐๐๐ บาท ตามผลการประกวดราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๗,๔๓๕,๗๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอีก จำนวน ๘,๘๖๔,๓๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ตามความจำเป็นและเหมาะสม ๑.๒.๒ อาคารโรงฝึกงาน พื้นที่ไม่ต่ำกว่า ๔,๐๐๐ ตารางเมตร จำนวน ๑ หลัง ภายในวงเงิน ๒๕,๖๐๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๙,๕๑๕,๗๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอีก จำนวน ๑๖,๐๘๔,๓๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ตามความจำเป็นและเหมาะสม ๑.๒.๓ อาคารแฟลต ๑๔ หน่วย ๔ ชั้น จำนวน ๑ หลัง ภายในวงเงิน ๑๔,๕๕๐,๐๐๐ บาท ตามผลการประกวดราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๗,๓๘๑,๕๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอีก จำนวน ๗,๑๖๘,๕๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ตามความจำเป็นและเหมาะสม และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนลงนามอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ การดำเนินการก่อสร้างและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้ถูกต้อง ครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินงานของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ทั้ง ๒ แห่ง เห็นควรมีการกำกับ ติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิภาพ ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22004 | แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) | กค | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละโครงการเร่งดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ พร้อมทั้งให้แต่ละโครงการดำเนินการขออนุมัติงบประมาณในแต่ละโครงการโดยตรง และดำเนินการแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องตามแผนยุทธศาสตร์ด้วย ๑.๒ เห็นชอบการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเป็นประธาน เพื่อผลักดันการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแผนยุทธศาสตร์ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตามวัตถุประสงค์ กรอบเวลา และตัวชี้วัดที่กำหนด รวมทั้งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ (Working Committee) เป็นคณะทำงานย่อยที่รับผิดชอบแต่ละโครงการในแผนยุทธศาสตร์ ๑.๓ ให้กำหนดแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ ในระยะต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดรายละเอียดสถาปัตยกรรมองค์กร (Enterprise Architecture) ที่แสดงให้เห็นภาพรวมของการดำเนินการและเพื่อประโยชน์ในการขยายระบบในอนาคต การให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และมาตรฐานในการแลกเปลี่ยนข้อมูล การพัฒนาระบบการชำระเงินของประเทศจะต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลเป็นสำคัญเพื่อให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในการใช้ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์และราชการสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment เพื่อทำหน้าที่ในการกำหนดแนวทางและนโยบายเพื่อผลักดันและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ให้ประสบผลสำเร็จ ตลอดจนให้มีอำนาจในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ (Working Committee) เป็นคณะทำงานย่อยในแต่ละ โครงการตามแผนยุทธศาสตร์ รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ฯ ให้คำนึงถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนทั่วไปที่มีความคุ้นเคยกับการซื้อสินค้าและบริการในร้านค้าที่ยังไม่มีระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ ควรจะบูรณาการเชื่อมโยงฐานข้อมูลในบัตรประชาชนกับข้อมูลของหน่วยงานอื่นเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดทำฐานข้อมูลภาครัฐ โดยเริ่มจัดทำฐานข้อมูลที่ยังไม่มีด้วย เช่น รายได้ของผู้ประกอบอาชีพค้าขายที่มีรายได้ไม่แน่นอนและยังไม่ได้อยู่ในระบบการเสียภาษี เป็นต้น และในการจัดเก็บข้อมูลบุคคลในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องคำนึงถึงความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศ รวมทั้งข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. เห็นชอบให้เพิ่มปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการในคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment |
|||||||||||||||||||||
22005 | ขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2530 วันที่ 23 กรกฎาคม 2534 วันที่ 22 สิงหาคม 2543 และวันที่ 17 ตุลาคม 2543 เพื่อใช้ประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าชายเลน (สำหรับดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามคลองดู ตำบลแหลมสน อำเภอละงู จังหวัดสตูล) | คค | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคมใช้ประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าชายเลนสำหรับดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามคลองดู ตำบลแหลมสน อำเภอละงู จังหวัดสตูล ของกรมทางหลวงชนบท โดยให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนมาบังคับใช้เป็นการเฉพาะราย ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมจะต้องดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมกรณีการดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมถึงการจัดสรรงบประมาณให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทน ไม่น้อยกว่า ๒๐ เท่า ของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ประโยชน์ ให้แล้วเสร็จก่อนดำเนินโครงการฯ ต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การก่อสร้างสะพานข้ามคลองดูดังกล่าวเป็นการดำเนินโครงการในบริเวณปากคลองที่เชื่อมต่อกับทะเล พื้นที่สองฝั่งคลองเป็นป่าชายเลน ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงการจับสัตว์น้ำตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่จะต้องถือปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ และเห็นควรรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในประเด็นการดำเนินการตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อระบบนิเวศน์และป่าชายเลนอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ หลังจากก่อสร้างโครงการเสร็จสิ้นแล้ว ควรมีการรณรงค์ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลรักษาพื้นที่ป่าชายเลนอย่างจริงจัง รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะทำการศึกษาเพื่อกำหนดวิธีการประเมินต้นทุนค่าเสียโอกาสจากการทำลายป่าชายเลนเพื่อใช้เป็นมาตรฐานสำหรับการประเมินความเหมาะสมของโครงการที่มีการขอใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22006 | การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีและทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้อง เสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2558 | คค | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีและทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยยกเว้นให้ผู้ใช้รถบนทางพิเศษสายดังกล่าวไม่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศตั้งแต่วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ถึงวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๙ เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
22007 | รายงานประจำปี พ.ศ. 2557 คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ สำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม | ยธ | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะประธานกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ สำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นการรวบรวมผลงานสำคัญของคณะกรรมการฯ และสำนักงานกิจการยุติธรรม จำแนกแบ่งออกเป็น ๖ ด้าน ได้แก่ (๑) การพัฒนาและผลักดันทิศทางงานยุติธรรม (๒) การเสริมสร้างนวัตกรรมงานยุติธรรม (๓) การบูรณาการความร่วมมือจากภาคีและเครือข่ายกระบวนการยุติธรรม (๔) การพัฒนาและเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านกระบวนการยุติธรรม (๕) การส่งเสริมความร่วมมืองานยุติธรรมระหว่างประเทศ และ (๖) การพัฒนาระบบการบริหารจัดการองค์กรและศักยภาพของบุคลากรของสำนักงานกิจการยุติธรรม
|
|||||||||||||||||||||
22008 | สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2558/2559 ครั้งที่ 4 | กษ | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ครั้งที่ ๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๘ เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศ จำนวน ๓๓ แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม ๔๐,๖๙๙ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๘ ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ ๑๗,๑๙๖ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓๗ ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ๒. การจัดสรรน้ำ ช่วงวันที่ ๑ พฤศจิกายน-๓ ธันวาคม ๒๕๕๘ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และอ่างเก็บน้ำขนาดกลางทั้งประเทศ ใช้น้ำไปแล้ว ๕๙๓ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕ ของแผนการจัดสรรน้ำ ส่วนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุงแดน ป่าสักชลสิทธิ์ และผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลอง) ใช้น้ำไปแล้ว ๔๘๕ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๑๗ ของแผนการจัดสรรน้ำ ๓. การบริหารจัดการน้ำและอาคารชลประทานในลุ่มน้ำเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ช่วงวันที่ ๑-๖ ธันวาคม ๒๕๕๘ กำหนดแผนการระบายน้ำจากเขื่อน จำนวน ๖ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนนเรศวร และเขื่อนเจ้าพระยา ๔. สถานการณ์การเพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๘ ปลูกข้าวนาปี ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๖.๔๐ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว จำนวน ๕.๕๐ ล้านไร่ เสียหาย จำนวน ๐.๐๒ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว จำนวน ๐.๘๘ ล้านไร่ ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑.๗๕ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว จำนวน ๐.๑๒๘ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว จำนวน ๑.๕๗ ล้านไร่ และปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ จำนวน ๑.๒๑ ล้านไร่
|
|||||||||||||||||||||
22009 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล (ธันวาคม พ.ศ. 2558) | ทก | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล (ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘) ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การติดตามข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล ประชาชนร้อยละ ๘๘.๒ ระบุว่า ติดตามฯ มีเพียงร้อยละ ๑๑.๘ ที่ไม่ติดตาม โดยผู้ที่ติดตามระบุว่าติดตามจากสื่อโทรทัศน์มากที่สุด ร้อยละ ๘๖.๕ รองลงมา ได้แก่ เพื่อน/ญาติ/คนในครอบครัว ร้อยละ ๑๔.๗ หนังสือพิมพ์/สื่อสิ่งพิมพ์ ร้อยละ ๑๔.๕ เจ้าหน้าที่รัฐ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ ร้อยละ ๑๐.๘ อินเทอร์เน็ต ร้อยละ ๑๐.๑ ๒. รายการ/ข้อมูลข่าวสารที่ประชาชนติดตามมากที่สุด คือ รายการคืนความสุขให้คนในชาติ ร้อยละ ๘๕.๒ รองลงมา ได้แก่ ข่าวสารของรัฐบาล เช่น รายการข่าวทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ อินเทอร์เน็ต ฯลฯ ร้อยละ ๘๔.๘ รายการเดินหน้าประเทศไทย ร้อยละ ๘๓.๔ ๓. ประชาชนสูงกว่าร้อยละ ๙๐ ระบุว่า ทราบเกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐบาลที่ผ่านมา โดยเรื่องที่ระบุว่าทราบ ได้แก่ การควบคุมสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคา ๘๐ บาท ร้อยละ ๙๘.๑ การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ร้อยละ ๙๖.๙ การแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ร้อยละ ๙๒.๗ โครงการจัดสวัสดิการเพื่อพี่น้องประชาชน ร้อยละ ๙๒.๓ การจัดระเบียบสังคม เพื่อทำให้สังคมน่าอยู่ ร้อยละ ๙๑.๘ การปราบปรามผู้มีอิทธิพล ร้อยละ ๙๑.๕ และการป้องกัน/แก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ร้อยละ ๙๑.๑ ๔. ประชาชนสูงกว่าร้อยละ ๙๒ มีความพึงพอใจต่อผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของรัฐบาล โดยเรื่องที่มีความพึงพอใจ ๓ อันดับแรก ได้แก่ การควบคุมสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคา ๘๐ บาท ร้อยละ ๙๙.๙ โครงการจัดสวัสดิการเพื่อพี่น้องประชาชน ร้อยละ ๙๙.๙ การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ร้อยละ ๙๙.๕ และการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ร้อยละ ๙๘.๙ ๕. ประชาชนร้อยละ ๙๙.๓ มีความพึงพอใจต่อผลการดำเนินงานในภาพรวมของรัฐบาล (มาก-มากที่สุด ร้อยละ ๖๓.๙ ปานกลาง ร้อยละ ๓๐.๗ และน้อย ร้อยละ ๔.๗) ๖. ประชาชนร้อยละ ๙๘.๙ มีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของประเทศ (มาก-มากที่สุด ร้อยละ ๖๐.๒ ปานกลาง ร้อยละ ๓๒.๙ และน้อย ร้อยละ ๕.๘) ๗. การกำหนดให้ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ต่อรัฐ เพื่อจัดทำฐานข้อมูลในการวางแผนจัดสวัสดิการ ประชาชนร้อยละ ๕๒.๒ ระบุว่า เห็นด้วย และมีร้อยละ ๒๖.๐ ที่ไม่เห็นด้วย ขณะที่ร้อยละ ๒๑.๘ ยังไม่แน่ใจ ๘. เรื่องที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการอย่างเร่งด่วน ได้แก่ การควบคุมสินค้าอุปโภค บริโภคไม่ให้มีราคาแพง ร้อยละ ๕๓.๒ การแก้ปัญหาผลผลิตทางการเกษตรราคาตกต่ำ ร้อยละ ๓๕.๗ การแก้ปัญหายาเสพติด ร้อยละ ๒๙.๕ การแก้ปัญหาหนี้สิน ร้อยละ ๒๕.๘ และการปรับขึ้นค่าแรงให้เพียงพอกับค่าครองชีพ ร้อยละ ๑๘.๑
|
|||||||||||||||||||||
22010 | โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ระยะที่ 2 | กค | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ระยะที่ ๒ และงบประมาณในการดำเนินโครงการ จำนวน ๑๐,๐๑๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เพื่อให้การดำเนินการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในภาพรวมมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ เห็นควรให้เสนอคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมพิจารณาก่อนดำเนินการ ทั้งนี้ การดำเนินโครงการดังกล่าวให้ธนาคารออมสินพิจารณาการอนุมัติสินเชื่อให้กับสถาบันการเงินและผู้ประกอบการอย่างรอบคอบและตรง SMEs กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการโดยการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำอย่างแท้จริง สำหรับค่าใช้จ่ายและภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้น เห็นควรให้ธนาคารออมสินเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละปีงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป และหากธนาคารออมสินจะขอนำส่วนต่างระหว่างค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริงและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ได้รับชดเชยมาบวกกลับเพื่อคำนวณโบนัสประจำปีของพนักงานนั้น เห็นควรให้ธนาคารออมสินเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังทำการประเมินผลการดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ระยะที่ ๑ ควบคู่ไปกับการดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ระยะที่ ๒ และเมื่อดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ระยะที่ ๒ เสร็จสิ้นแล้ว ให้กระทรวงการคลังประเมินผลการดำเนินโครงการดังกล่าวและเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||
22011 | ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... | นร09 | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาปรับแก้ไขถ้อยคำในส่วนของบทนิยามคำว่า “คดีทุจริตและประพฤติมิชอบ” ให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ สำหรับการดำเนินงานด้านงบประมาณให้สำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
22012 | โครงการของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน ประจำปี 2559 ของกระทรวงการต่างประเทศ | กต | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน ประจำปี ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. โครงการห้องสมุดอาเซียน ๒. โครงการเสริมทักษะภาษาอังกฤษให้แก่เยาวชนต้อนรับประชาคมอาเซียน ๓. โครงการให้บริการทำหนังสือเดินทางนอกเวลาราชการ
|
|||||||||||||||||||||
22013 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | กห | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพร้อมคณะ ระหว่างวันที่ ๑๗ ถึงวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารระหว่างกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ พร้อมทั้งเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย-ลาว ครั้งที่ ๒๒ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การเข้าเยี่ยมคำนับ นายทองสิง ทำมะวง นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันที่จะเสริมสร้างมิตรภาพและความเข้าใจระหว่างกองทัพและประชาชนของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว เห็นว่าทั้งสองฝ่ายควรร่วมกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างสันติวิธี และจะไม่ยอมให้ผู้ไม่หวังดีมาสร้างปัญหาความขัดแย้งและความแตกแยกภายในของแต่ละประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างกัน ๑.๒ การเข้าเยี่ยมคำนับ พลโท แสงนวน ไซยะลาด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ สปป.ลาว ทั้งสองฝ่ายได้หารือและเห็นชอบร่วมกันในการเสริมสร้างความสัมพันธ์และยกระดับความร่วมมือทางทหารระหว่างกันให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น รวมถึงการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับการฝึกศึกษาและการประสานงานในด้านต่าง ๆ ให้ใกล้ชิดมากขึ้น โดยรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เสนอให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและความร่วมมือในการจัดระเบียบชายแดน เพื่อป้องกัน สกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติด การลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย รวมทั้งเสนอการทำเส้นเขตแดนให้เป็น “เส้นแห่งความร่วมมือ” เพื่ออำนวยความสะดวกเสริมสร้างความปลอดภัย และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนของทั้งสองประเทศในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีชายแดนติดต่อกัน ๑.๓ ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยฯ ครั้งที่ ๒๒ มีความคืบหน้าในหลายประเด็นที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ร่วมกัน โดยทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงบริเวณชายแดน ไทย-ลาว ฉบับใหม่ เพื่อเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ สันติภาพ มิตรภาพ และเสถียรภาพของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากขึ้น ทั้งนี้ สาระสำคัญยังคงยึดถือแนวทางตามความตกลงฉบับเดิมที่หมดอายุลง โดยปรับให้ทันสมัยและมีความอ่อนตัวมากขึ้น ๒. ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการเจรจาเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่สอดคล้องกับเป้าหมายตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย โดยเฉพาะแนวโน้มความต้องการไฟฟ้า และขีดความสามารถของระบบไฟฟ้าและสายส่งภายในประเทศ รวมทั้งความเป็นไปได้ในการผันน้ำจากเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำที่ประเทศเพื่อนบ้านจะสร้างในอนาคตเข้ามาใช้ประโยชน์ในฝั่งประเทศไทยด้วย
|
|||||||||||||||||||||
22014 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนตุลาคม 2558 | นร11 | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนตุลาคม ๒๕๕๘ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม และดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวลดลง และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสที่สามตามการขยายตัวของดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน และจำนวนนักท่องเที่ยว รวมทั้งการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐที่สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก การลดลงของราคาสินค้าส่งออก และผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งทำให้ดัชนีผลผลิตภาคเกษตร ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม และการส่งออกปรับตัวลดลง และเป็นข้อจำกัดที่สำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในขณะที่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||
22015 | รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาลครบรอบ 1 ปี (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2557 - 12 กันยายน 2558) | นร | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลได้เสนอรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ครบรอบ ๑ ปี (๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๑๒ กันยายน ๒๕๕๘) เพื่อเผยแพร่และนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22016 | โครงการประชารัฐเพื่อผู้มีรายได้น้อย | นร04 | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการประชารัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย โดยขอรับการสนับสนุนงบกลาง จำนวน ๑,๓๐๐ ล้านบาท ให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติสนับสนุนให้กองทุนชุมชนเมืองในกรุงเทพมหานคร จำนวน ๙๕๘ กองทุน และกองทุนชุมชนทหารในกรุงเทพมหานคร จำนวน ๑๘๐ กองทุน จำนวน ๑,๑๓๘ ล้านบาท เป็นค่าบริหารจัดการ จำนวน ๑๖๒ ล้านบาท และโครงการตลาดประชารัฐเพื่อประชาชนในกรุงเทพมหานคร โดยมีสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ และสถาบันการเงินของรัฐ ร่วมออกเงินทุนสนับสนุนในการจัดทำตลาดประชารัฐทั้งสี่มุมเมือง ทั้งในเรื่องโครงสร้าง รูปแบบ การบริหารจัดการ การประชาสัมพันธ์ และการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) เสนอ ๒. ในส่วนของงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการประชารัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ให้ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ตามนัยมาตรา ๑๒ (๒) แห่งพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑,๓๐๐ ล้านบาท โดยให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบกลาง เพื่อขอรับเงินอุดหนุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติในการดำเนินโครงการฯ และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการตลาดประชารัฐเพื่อประชาชนในกรุงเทพมหานคร ประมาณ ๕๐ ล้านบาท นั้น เห็นควรให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติและสถาบันการเงินของรัฐที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||
22017 | การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล | ทส | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลในลักษณะแปลงรวมโดยมิให้กรรมสิทธิ์ แต่อนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐเป็นกลุ่มหรือชุมชนตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติกำหนดในรูปแบบสหกรณ์ หรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม โดยการดำเนินงานตามนโยบายดังกล่าวให้หน่วยงานของรัฐซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของประเภทที่ดินกำหนดระเบียบ หลักเกณฑ์ ข้อกำหนด หรือเงื่อนไขภายใต้ความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. รับทราบกระบวนการการจัดระเบียบการใช้ประโยชน์ในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติพื้นที่ดำเนินการ ระยะที่ ๑ กระบวนการการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนในพื้นที่ ส.ป.ก. สำหรับพื้นที่ดำเนินการระยะที่ ๒ และผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการจัดให้ชุมชนเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินได้ตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการที่ดินทำกินตามนโยบายรัฐบาลให้เกิดประโยชน์สูงสุด และจัดให้มีการปลูกป่าเพิ่มเติมในพื้นที่ที่มีความเหมาะสม รวมทั้งพิจารณาออกกฎหมายเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐแต่ไม่สามารถนำมาเรียกร้องให้รัฐออกเอกสารสิทธิ เช่น โฉนดที่ดินให้ในภายหลัง ๔. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการจัดระเบียบการใช้ประโยชน์ในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติควรคำนึงถึงความจำเป็นในการช่วยเหลือเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนเป็นหลักสำคัญมากกว่าสิทธิในการจัดสรร และเพื่อเป็นการลดข้อพิพาทระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน และควรมีการประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการจัดระเบียบการใช้ประโยชน์ในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติให้กับประชาชนทั่วไปทราบในวงกว้างควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และในกระบวนการดำเนินการจัดที่ดินให้เกษตรกรควรเพิ่มกระบวนการประเมินและเตรียมความพร้อมของกลุ่มเกษตรกร เพื่อให้มีทักษะหรือองค์ความรู้ในการบริหารจัดการทรัพยากรให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของการจัดสรรที่ดิน และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมสำหรับสมาชิกทุกคน ลดความเสี่ยงต่อการเกิดความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากรที่ดินร่วมกันจนอาจทำให้การดำเนินกระบวนการจัดหาที่ดินไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ ควรมีหลักเกณฑ์ในการแก้ปัญหากลุ่มเกษตรกรไม่สามารถรวมกันได้ หรือไม่ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการที่ดินที่ได้รับไปแล้ว รวมทั้งควรดำเนินการให้สอดคล้องและถูกต้องตามหลักเกณฑ์ ระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22018 | การขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2555 - 2558 | กค | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการพิจารณาอนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี และเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่นอกเหนือจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง รายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบกลางและเงินงบประมาณเหลือจ่าย) ๑.๒ อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณที่ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ในส่วนของเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ และเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่นอกเหนือจากพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๘ สำหรับโครงการที่มีความพร้อมและสามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ จำนวน ๕,๖๔๐.๙๔ ล้านบาท และ ๔.๒๓๖.๓๖ ล้านบาท (ตามลำดับ) ส่วนเงินงบประมาณที่เหลือจำนวน ๑,๑๗๙.๕๙ ล้านบาท และ ๕๐๐.๕๓ ล้านบาท (ตามลำดับ) เห็นควรให้เงินงบประมาณนั้นพับไป ๑.๓ อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่นอกเหนือจากพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๘ ภายหลังเดือนกันยายน ๒๕๕๘ กรณีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐส่งเรื่อง รายการเงินงบประมาณดังกล่าวให้กระทรวงการคลังเพิ่มเติมในภายหลัง และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรติดตามให้มีการก่อหนี้ผูกพันให้เป็นไปตามกำหนดระยะเวลาและตรงตามวัตถุประสงค์ของการใช้เงินงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลให้หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐติดตามและเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้เสร็จสิ้นภายในปีงบประมาณ หากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้เงินงบประมาณนั้นพับไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) และสำนักงบประมาณรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือนต่อไปด้วย ๔. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||
22019 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา แทนตำแหน่งที่ว่าง (นางกรรณิการ์ แสงทอง) | ยธ | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางกรรณิการ์ แสงทอง อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา แทนพันตำรวจเอก ณรัชต์ เศวตนันทน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ลาออก ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||
22020 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย - จีน (JC เศรษฐกิจ) ครั้งที่ 4 (The Fourth Meeting of the Joint Committee on Trade, Investment and Economic Cooperation between Thailand and China) | พณ | 22/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน (JC เศรษฐกิจ) ครั้งที่ ๔ (The Fourth Meeting of the Joint Committee on Trade, Investment and Economic Cooperation between Thailand and China) เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๘ ณ ตึกสันติไมตรีหลังใน ทำเนียบรัฐบาล โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และมนตรีแห่งรัฐ (เทียบเท่ารองนายกรัฐมนตรี) (นายหวัง หย่ง) เป็นประธานร่วมการประชุม ซึ่งการประชุมครั้งนี้เป็นเวทีการหารือระดับสูง เพื่อกำหนดนโยบายการปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน บนพื้นฐานของยุทธศาสตร์ของทั้งสองประเทศที่ลักษณะเกื้อกูลกันและกัน และมอบหมายกระทรวงที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. การตั้งเป้าขยายมูลค่าการค้าสองฝ่ายเพิ่มเป็นสองเท่าของมูลค่าการค้าปัจจุบันภายใน ๕ ปี (๑๒๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๖๓) ๒. การเชิญนักลงทุนจีนให้เข้ามาลงทุนใน ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมายตามแนวนโยบายของรัฐบาล ๓. การจัดตั้งหน่วยงานกลาง (focal point) ระหว่างไทยกับจีน ๔. การเพิ่มการค้าสินค้าเกษตร (ข้าว/ยางพารา/มันสำปะหลัง/สินค้าเกษตรอื่น ๆ) ๕. โครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และการขยายความร่วมมือด้านระบบรางขนส่งไปพร้อมกับการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ ๖. ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นวัตกรรม และความร่วมมือด้านอวกาศ ๗. ความร่วมมือด้านสุขอนามัยและมาตรฐานการตรวจสอบ ๘. ความร่วมมือด้านการเงิน ๙. ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ๑๐. ความร่วมมือด้านพลังงาน ๑๑. ความร่วมมือในระดับท้องถิ่น ๑๒. ความร่วมมือด้านการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ |
.....