ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1101 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 22001 - 22020 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
22001 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างกลุ่มอาคารหอพักนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ | ศธ | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างกลุ่มอาคารหอพักนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จากวงเงิน ๑๒๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๑๓๒,๖๐๔,๗๘๑.๒๐ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าก่อสร้างส่วนที่เหลือ จำนวน ๕๘,๔๖๐,๐๐๐ บาท ให้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๓๐,๘๔๐,๓๔๔.๑๖ บาท และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๒๗,๖๑๖,๖๕๕.๘๔ บาท โดยในส่วนของเงินงบประมาณให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๗,๑๙๓,๓๔๔.๑๖ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๓,๖๕๐,๐๐๐ บาท ซึ่งกระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการดังกล่าวให้มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ทั้งนี้ การดำเนินโครงการก่อสร้างที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไปแล้วนั้น เห็นสมควรที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่จะต้องติดตามและเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนและวงเงินที่ได้รับการจัดสรรอย่างเคร่งครัดด้วย และหากความล่าช้าดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานตามภารกิจหรือมีความเสียหายเกิดขึ้น ก็สมควรที่จะพิจารณาตรวจสอบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาใช้สิทธิของผู้ว่าจ้างภายหลังบอกเลิกสัญญาเพื่อเรียกค่าเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากกรณีที่ผู้รับจ้างรายเดิมไม่สามารถก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาตามสัญญาด้วย |
||||||||||||||||||||||||
22002 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทหมู่ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา 5 ธันวาคม 2558 โดยไม่ถือเป็นวันลา | พศ | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๘๘ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ ในระหว่างวันที่ ๑-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ เป็นระยะเวลา ๑๕ วัน (นับระยะเวลาตั้งแต่เตรียมการอุปสมบทถึงลาสิกขา) โดยไม่ถือเป็นวันลาเสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนปกติ ๒. การใช้สิทธิการลาตามข้อ ๑ ให้สิทธิแก่ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ รวมทั้งลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการมาแล้ว และข้าราชการซึ่งเคยอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการลาเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๕ รอบ ๖๐ พรรษา โดยไม่ถือเป็นวันลา) สามารถจะลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้อีก สำหรับผู้ที่ไม่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการ หากได้ลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้แล้ว ไม่มีผลกระทบสิทธิในการลาอุปสมบทในอนาคต ซึ่งเป็นการใช้สิทธิการลาอุปสมบทครั้งแรกตั้งแต่เริ่มราชการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยยังคงใช้สิทธิการลาอุปสมบทและยังคงได้สิทธิในการรับเงินเดือนตามพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๓. การใช้สิทธิตามมติคณะรัฐมนตรี ผู้ลาจะต้องเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการที่ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐหรือภาคเอกชนร่วมกับคณะสงฆ์จัดขึ้นเป็นโครงการอย่างชัดเจนและมีการจัดอบรมตามหลักสูตรสำหรับผู้บวชระยะสั้นที่คณะสงฆ์กำหนดในระยะเวลาที่กำหนดของโครงการแต่ไม่เกิน ๑๕ วัน ทั้งนี้ ให้ลาได้ตามระยะเวลาที่กำหนดของโครงการแต่ไม่เกิน ๑๕ วัน หากอุปสมบทเป็นเอกเทศโดยไม่ได้เข้าร่วมโครงการ จะไม่ได้รับสิทธิในการลาดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||
22003 | การเข้าร่วมเป็นสมาชิกในสถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลก (Global Green Growth Institute - GGGI) | ทส | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกในสถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลก (Global Green Growth Institute-GGGI) ๑.๒ เห็นชอบสัญญาในการจัดตั้งสถาบัน GGGI โดยมีสาระสำคัญ ประกอบด้วย ๑.๒.๑ วัตถุประสงค์ : เพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศกำลังพัฒนา ประเทศเกิดใหม่ และประเทศพัฒนาน้อยที่สุด โดยสนับสนุนและเผยแพร่กระบวนทัศน์ใหม่ของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ กำหนดเป้าหมายลักษณะสำคัญของประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ โดยความร่วมมือกันระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา และภาครัฐและเอกชน ๑.๒.๒ กิจกรรม : สนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาและประเทศเกิดใหม่ด้วยการสร้างขีดความสามารถในการออกแบบและดำเนินการตามแผนการเจริญเติบโตสีเขียวในระดับชาติ ภูมิภาค หรือท้องถิ่น อำนวยความสะดวกให้มีความร่วมมือภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ๑.๒.๓ สมาชิกภาพ : รัฐจะเป็นสมาชิกของสถาบัน GGGI โดยการเข้าเป็นคู่สัญญาในการจัดตั้งสถาบัน GGGI และให้สัตยาบัน โดยการจัดส่งตราสารแบบของการเข้าร่วมของสถาบัน GGGI ให้กับสถาบัน GGGI จะมีผลบังคับใช้วันที่สามสิบหลังจากการฝากตราสารฯ ให้กับผู้อำนวยการใหญ่สำนักเลขาธิการในฐานะผู้เก็บรักษาสัญญา ๑.๒.๔ การเงิน : สถาบัน GGGI จะได้รับแหล่งการเงินจากการให้เงินสนับสนุนโดยสมัครใจจากสมาชิก (ไม่จำเป็นต้องเสียค่าสมาชิก) ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำและส่งมอบตราสารแบบของการเข้าร่วมของสถาบัน GGGI ต่อผู้อำนวยการใหญ่ของสำนักเลขาธิการ ในฐานะผู้เก็บรักษาสัญญา ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับคำนิยามสมาชิกใน Article 3 DEFINITIONS ได้แสดงลักษณะของสมาชิก ๒ ประเภท คือ Contributing member (สมาชิกที่สนับสนุนด้านการเงิน) และ Participating member (สมาชิกที่เข้าร่วม) โดยใช้การตัดสินใจของสมัชชา (Assembly) หรือ สภา (Council) ประกอบกับเนื้อหาใน Article 12 FINANCE ได้แสดงให้เห็นถึงความต้องการให้สมาชิกให้เงินสนับสนุนรายปีโดยสมัครใจ ดังนั้น การพิจารณาจึงต้องให้ครอบคลุมถึงงบประมาณในการสนับสนุนด้านการเงินแก่สถาบัน GGGI และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาขอบเขตความร่วมมือที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
22004 | ร่างข้อบังคับคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการบริหารและจัดสรรเงินกองทุนพัฒนายางพารา พ.ศ. 2558 | กษ | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างข้อบังคับคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการบริหารและจัดสรรเงินกองทุนพัฒนายางพารา พ.ศ. ๒๕๕๘ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเรื่องการจัดสรรเงินจากกองทุนพัฒนายางพาราเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาสัดส่วนของรายจ่ายที่เกิดขึ้นในการบริหารกิจการของ กยท. ให้สอดคล้องกับสัดส่วนของเงินกองทุนที่ได้รับจัดสรรในแต่ละปี และพิจารณาภาพรวมของงบลงทุนให้สอดคล้องกับแหล่งเงินทุนของ กยท. ตลอดจนพิจารณาถึงปัจจัยความเสี่ยงด้านการลงทุนและความคุ้มค่าของการลงทุนภายใต้วัตถุประสงค์ของ กยท. รวมทั้งกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และการจัดสรรเงินในหมวด ๔ ตามร่างข้อบังคับฯ ให้คณะกรรมการ กยท. กำหนดสัดส่วนในการจัดสรรเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านต่าง ๆ ให้มีความสมดุลและเหมาะสมตามสถานการณ์ นอกจากนี้ การพิจารณาจัดสรรวงเงินเพื่องานศึกษาวิจัย ควรให้ความสำคัญกับงานวิจัยและพัฒนาที่จะส่งผลให้เกิดการต่อยอดและขับเคลื่อนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและนวัตกรรมของสินค้าและผลิตภัณฑ์ยางพาราในหลากหลายช่องทางการตลาดได้อย่างเป็นรูปธรรม และเห็นควรให้ กยท. มีบทบาทหลักในการบูรณาการองค์ความรู้และข้อคิดเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งจัดทำยุทธศาสตร์ยางพาราฉบับใหม่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
22005 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างกลุ่มอาคารเรียนรวม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ | ศธ | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างกลุ่มอาคารเรียนรวม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จากวงเงิน ๑๕๗,๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๑๕๙,๐๕๕,๗๘๖ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าก่อสร้างส่วนที่เหลือ จำนวน ๗๑,๖๐๐,๐๐๐ บาท ให้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๔๗,๐๕๑,๘๙๙ บาท และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๒๔,๕๔๘,๑๐๑ บาท โดยในส่วนของเงินงบประมาณให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒๖,๘๗๓,๘๙๙ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒๐,๑๗๘,๐๐๐ บาท ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว โดยให้มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ทั้งนี้ การดำเนินโครงการก่อสร้างที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไปแล้วนั้น เห็นควรที่มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่จะต้องติดตามและเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนและวงเงินที่ได้รับการจัดสรรอย่างเคร่งครัดด้วย และหากความล่าช้าดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานตามภารกิจหรือมีความเสียหายเกิดขึ้น ก็สมควรที่จะพิจารณาตรวจสอบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาใช้สิทธิของผู้ว่าจ้างภายหลังบอกเลิกสัญญาเพื่อเรียกค่าเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากกรณีที่ผู้รับจ้างรายเดิมไม่สามารถก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาตามสัญญาด้วย |
||||||||||||||||||||||||
22006 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะ ๓ เดือนแรก ที่ใช้เงินกู้เหลือจ่ายจากโครงการตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ (ไทยเข้มแข็ง) กรอบวงเงิน ๑๕,๒๐๐ ล้านบาท ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการยกเลิกรายการที่ไม่สามารถลงนามในสัญญาได้ทันภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ๑.๒ อนุมัติให้การขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการสำหรับรายการที่ลงนามในสัญญาแล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดดำเนินการและเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๓๖๐ วัน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา ทั้งนี้ หากดำเนินการไม่แล้วเสร็จจะไม่มีการจัดสรรเงินเพื่อดำเนินการอีกต่อไป รวมทั้งให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอน คือ เรียกค่าปรับ หากบริษัทไม่ยินยอมก็จะต้องมีการฟ้องร้องเรียกค่าปรับต่อไป ตามความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ๒. อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่าย จำนวน ๑๖ รายการ วงเงิน ๔๗,๒๖๙,๙๒๑.๗๗ บาท ๓. เห็นชอบการปิดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และยุติการดำเนินงานของคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ๔. สำหรับแนวทางการจัดสรรเงินสำรองจ่ายเมื่อปิดโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยหากปรากฏภายหลังว่าหน่วยงานเจ้าของโครงการมีความจำเป็นต้องขอรับการชดเชยค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ก็เห็นสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติหลักการให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ เรื่อง การพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพงานก่อสร้าง กรณีที่ต้องจ่ายค่า K ตามสัดส่วนแหล่งที่มาของวงเงินค่าก่อสร้าง เพื่อให้สามารถใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดินหรือเงินรายได้ของหน่วยงานในการชดเชยค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย |
||||||||||||||||||||||||
22007 | ร่างพระราชบัญญัติความปลอดภัยทางชีวภาพ พ.ศ. .... | ทส | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติความปลอดภัยทางชีวภาพ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเพื่อพัฒนากฎหมายในประเทศที่จะใช้ในการดำเนินการควบคุมดูแลการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ให้เกิดความปลอดภัยต่อความหลากหลายทางชีวภาพและคำนึงถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์ และสอดคล้องกับการดำเนินงานในระดับสากล ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดให้มีการรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายอันเป็นผลมาจากการประกอบกิจกรรมเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมที่ไม่อยู่ในบัญชีปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมให้รวมถึงสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมทั้งที่อยู่และไม่อยู่ในบัญชีปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม การออกกฎหมายลูกที่รัดกุมหรือกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับการรายงานการขนส่ง เคลื่อนย้าย การเก็บรักษา การบรรจุ การปิดฉลาก และการจัดทำเอกสารกำกับสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมในประเทศ และมีข้อยกเว้นในกรณีที่พิสูจน์ได้ว่าความเสียหายเกิดขึ้นจากเหตุสุดวิสัยหรือการกระทำของผู้ได้รับความเสียหายเองด้วย การครอบครอง นำเข้า ส่งออก หรือนำผ่านสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมที่ไม่อยู่ในบัญชีปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมกำหนดให้แจ้งหรือขออนุญาตพร้อมแนบหลักปฏิบัติที่ชัดเจน การกำหนดหน่วยงานผู้รับผิดชอบมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมให้คำนึงถึงบทบาทภารกิจหลักและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามที่กำหนดไว้เดิม รวมทั้งความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ปริมาณงานในความรับผิดชอบ จำนวนบุคลากรและผลกระทบต่องบประมาณรายจ่ายภาครัฐ การบัญญัติให้ชัดเจนในลักษณะที่ห้ามมิให้ผลิต นำเข้า หรือส่งออกสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมทุกชนิด เว้นแต่รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการความปลอดภัยทางชีวภาพจะได้ประกาศยกเว้นไว้ และเพิ่มเติมมาตรการคุ้มครองระบบเกษตรกรรมอินทรีย์และเกษตรกรรมรายย่อยโดยเฉพาะกรณีเจ้าของหรือผู้ปลูกพืชดัดแปลงพันธุกรรมทำให้เกิดการปนเปื้อนทางพันธุกรรมกับพืชทั่วไป พืชที่ปลูกในระบบเกษตรอินทรีย์ หรือทำให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อระบบนิเวศ ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
22008 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินการตามโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท ผ่านสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร ปีที่ 3 | กษ | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เหลือจ่ายตามโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ผ่านสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร ปีที่ ๒ จำนวน ๒๐๑,๒๙๕,๖๐๗.๓๑ บาท เพื่อจ่ายชดเชยดอกเบี้ยตามโครงการฯ ปีที่ ๓ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรมีการประเมินผลความสำเร็จของโครงการฯ โดยเฉพาะผลการอุดหนุนฟื้นฟูอาชีพที่มีการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายของเกษตรกร ความสามารถในการชำระหนี้คืนสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร และความสามารถในการออมเงินเพื่อสร้างฐานะและความมั่นคงให้กับครัวเรือนของเกษตรกร ทั้งนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
22009 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (รายการก่อสร้างอาคารสำนักงานและบ้านพักสำนักตรวจเงินแผ่นดิน จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดมหาสารคาม) | ตผ | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าก่อสร้างอาคารสำนักงานและบ้านพักสำนักตรวจเงินแผ่นดินจังหวัด (สตจ.) จำนวน ๓ รายการ ตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ค่าก่อสร้างอาคารสำนักงานและบ้านพัก สตจ. บุรีรัมย์ วงเงิน ๖๙,๕๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๐ เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๒๑,๓๗๖,๔๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๓๑,๖๒๓,๖๐๐ บาท ส่วนที่ขาด จำนวน ๑๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณเหลือจ่ายของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ๑.๒ ค่าก่อสร้างอาคารสำนักงานและบ้านพัก สตจ. กาฬสินธุ์ วงเงิน ๖๙,๕๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๐ เบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๒๑,๓๗๖,๔๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๓๑,๖๒๓,๖๐๐ บาท ส่วนที่ขาด จำนวน ๑๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณเหลือจ่ายของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ๑.๓ ค่าก่อสร้างอาคารสำนักงานและบ้านพัก สตจ. มหาสารคาม วงเงิน ๖๙,๕๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๐ เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๒๑,๓๗๖,๔๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๓๑,๖๒๓,๖๐๐ บาท ส่วนที่ขาด จำนวน ๑๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณเหลือจ่ายของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ๒. ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินรับความเห็นของสำนักงบประมาณและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการดำเนินการก่อสร้างรายการดังกล่าวให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ การดำเนินการในทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องมีความโปร่งใสและพร้อมรับการตรวจสอบจากหน่วยงานและองค์กรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
22010 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวผู้ที่ถูกปล่อยชั่วคราว หลักเกณฑ์การบังคับคดีผู้ประกัน และการอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว) | สว | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวผู้ที่ถูกปล่อยชั่วคราว หลักเกณฑ์การบังคับคดีผู้ประกัน และการอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว) ว่ารัฐบาลควรส่งเสริมและสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยของรัฐที่ออกนอกระบบศึกษาวิจัยและพัฒนาต่อยอดเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวผู้ที่ถูกปล่อยชั่วคราว รวมทั้งพัฒนาระบบบริหารจัดการ เพื่อให้อุปกรณ์ดังกล่าวมีคุณภาพที่ดีขึ้น และสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดจากการใช้อุปกรณ์ดังกล่าว และในการดำเนินการทำสัญญาเช่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวผู้ที่ถูกปล่อยชั่วคราว รัฐบาลควรทำความตกลงกับบริษัทเอกชนที่เข้าทำสัญญาต้องจัดให้มีศูนย์ควบคุมรวมเพื่อติดตาม ตรวจสอบการใช้อุปกรณ์ของผู้ที่ถูกปล่อยชั่วคราวมายังส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้โดยตรง ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ และมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมรับไปพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
22011 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิและสถานะบุคคล อันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐ กรณีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปลดสิทธิกลุ่มผู้มีปัญหาสถานะบุคคลและสิทธิที่เคยได้รับสิทธิกองทุนหลักประกันสุขภาพ จำนวน 202,139 คน | สม | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิและสถานะบุคคล อันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐ กรณีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปลดสิทธิกลุ่มผู้มีปัญหาสถานะบุคคลและสิทธิที่เคยได้รับสิทธิกองทุนหลักประกันสุขภาพ จำนวน ๒๐๒,๑๓๙ คน ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยมีข้อเสนอแนะว่า กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขควรพิจารณากรณีที่มีการให้สิทธิ (คืนสิทธิ) ขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ เพิ่มเติม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ ซึ่งยังมีกลุ่มบุคคลที่ตกหล่น คือ กลุ่มคนจีนโพ้นทะเลและคนที่ไม่มีสัญชาติไทยกลุ่มอื่น ๆ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้จัดทำทะเบียนราษฎรไว้แล้ว ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ควรพิจารณากำหนดให้กลุ่มคนที่ตกหล่นดังกล่าวได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย และมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
22012 | ร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในระบบ การกำหนดรายการและการขอเปลี่ยนแปลงรายการในตราสารจัดตั้ง และการกำหนด ขนาดที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนในระบบ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในระบบ การกำหนดรายการและการขอเปลี่ยนแปลงรายการในตราสารจัดตั้ง และการกำหนดขนาดที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนในระบบ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในระบบ การกำหนดรายการและการขอเปลี่ยนแปลงรายการในตราสารจัดตั้ง และการกำหนดขนาดที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนในระบบ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
22013 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกันยายน 2558 | อก | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกันยายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ลดลงร้อยละ ๓.๖ เมื่อเทียบกับช่วงเดือนกันของปีก่อน ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ที่ลดลงร้อยละ ๘.๓ อุตสาหกรรมสำคัญที่ลดลง อาทิ HDD เครื่องนุ่งห่ม โทรทัศน์ ผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ และเบียร์ ส่วนอุตสาหกรรมรถยนต์ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ๒. การนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย ด้านการนำเข้าเครื่องจักรอุตสาหกรรมและเครื่องมือกล มีมูลค่า ๙๒๑.๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๒๓.๓ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน และการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๕,๙๐๔.๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๑๙.๑ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ๓. การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิต มีปริมาณทั้งหมด จำนวน ๑๐,๑๐๐.๙ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๐.๒๖ และเพิ่มขึ้นช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๗ ร้อยละ ๑.๕ โดยกิจการขนาดเล็กและขนาดใหญ่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาและช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๗ ส่วนกิจการขนาดกลางมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าลดลงจากเดือนที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๗ ๔. ภาวะการประกอบกิจการของโรงงาน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ จำนวน ๔๙๘ ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๒๘.๓๕ มียอดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๓๓,๐๕๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๗.๖๙ แต่มีการจ้างงาน จำนวน ๑๑,๗๗๙ คน ลดลงจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๑๑.๘ และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการน้อยกว่าเดือนกันยายน ๒๕๕๗ ร้อยละ ๘.๑๒ และมียอดเงินลงทุนรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๔๘ และมีการจ้างงานรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๗ ๕. ภาวะการเลิกกิจการของโรงงาน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการ จำนวน ๓๑๙ ราย มากกว่าเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๒๖.๐๙ มีการเลิกจ้าง จำนวน ๑๖,๖๒๓ คน มากกว่าเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ แต่มีเงินทุนของการเลิกกิจการรวม ๗,๐๕๘ ล้านบาท น้อยกว่าเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการมากกว่าเดือนกันยายน ๒๕๕๗ ร้อยละ ๑๕๓.๑๗ มีการเลิกจ้างงานมากกว่าเดือนกันยายน ๒๕๕๗ แต่มีเงินทุนของการเลิกกิจการน้อยกว่าเดือนกันยายน ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||
22014 | การเป็นเจ้าภาพจัดงานแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 12 | รง | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการเป็นเจ้าภาพจัดงานแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ ๑๒ เพื่อเป็นโอกาสที่จะแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมและศักยภาพในการรองรับงานระดับนานาชาติ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในความมีเสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจและทางสังคม วัฒนธรรมของประเทศไทยต่อประชาคมอาเซียน ตลอดจนช่วยเสริมสร้างโอกาสในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมายังอาเซียน เป็นอีกหนึ่งกลไกที่จะช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในการเป็นศูนย์กลางการประชุมและการจัดงานต่าง ๆ ทั้งในระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนและระดับนานาชาติ ซึ่งจะนำไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยส่วนของงบประมาณสำหรับการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ โดยให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์และภารกิจพื้นฐาน รวมถึงเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมให้สอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่จะกำหนดขึ้นต่อไป ทั้งนี้ การเป็นเจ้าภาพงานดังกล่าวควรคำนึงถึงการสนับสนุนและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องด้วย และให้ใช้จ่ายงบประมาณในลักษณะที่ประหยัด คุ้มค่า โดยการดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานประสานงานกระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้แก่นักเรียนอาชีวศึกษาเพื่อต่อยอดศักยภาพแรงงานไทยในตลาดต่อไปและให้พิจารณาคัดเลือกนักเรียนอาชีวศึกษาที่มีศักยภาพเข้าร่วมการแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียนด้วย |
||||||||||||||||||||||||
22015 | รายงานผลการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประจำไตรมาสที่ 4 (1 ตุลาคม 2557 - 30 กันยายน 2558) ตามมติคณะรักษาความสงบ แห่งชาติและข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน - 2 กันยายน 2557) | กษ | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประจำไตรมาสที่ ๔ (๑ ตุลาคม ๒๕๕๗-๓๐ กันยายน ๒๕๕๘) ตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (ตั้งแต่วันที่ ๑๐ มิถุนายน-๒ กันยายน ๒๕๕๗) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เรื่องที่เป็นหลักการ ได้แก่ ๑.๑ งบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๕๘ ในภาพรวมมีการเบิกจ่ายร้อยละ ๙๕.๐๗ ต่ำกว่าเป้าหมายรัฐบาลร้อยละ ๐.๙๓ (รัฐบาลกำหนดร้อยละ ๙๖) และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๔๑,๒๑๗.๓๘ ล้านบาท เบิกจ่ายร้อยละ ๙๒.๘๘ สูงกว่าเป้าหมายรัฐบาลร้อยละ ๕.๘๘ (รัฐบาลกำหนดร้อยละ ๘๗) ๑.๒ การจัดทำโครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการ โครงการที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการเขื่อนทดน้ำผาจุก จังหวัดอุตรดิตถ์ โครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี โครงการก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่งัด-แม่กวง และโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ๑.๓ การเสนอร่างกฎหมายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบและมีผลใช้บังคับแล้ว เช่น พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ และพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๔ การแต่งตั้งคณะกรรมการในรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ กรรมการบริหารกิจการขององค์การสวนยาง กรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร กรรมการสงเคราะห์การทำสวนยาง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย และกรรมการองค์การสะพานปลา ๒. เรื่องที่เป็นประเด็น/โครงการสำคัญเร่งด่วน ได้แก่ ๒.๑ การแก้ไขปัญหาการผลิตทางการเกษตรในระยะยาวและการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) ได้เน้นจัดทำยุทธศาสตร์สินค้าที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศและมีพื้นที่ปลูกมาก อาทิ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง กำหนดเป้าหมายการผลิตให้สอดคล้องกับตลาดทั้งในระยะสั้นและระยะยาวภายใต้การขับเคลื่อนปรับโครงสร้างการผลิตทางการเกษตร รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตต่อไร่และเชื่อมโยงการตลาด ๒.๒ การแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตรตามฤดูกาล ได้มีมาตรการในการแก้ไขปัญหาผลไม้ล้นตลาดอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลไม้ภาคตะวันออก (จังหวัดตราดและระยอง) โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลไม้ภาคใต้ และโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาลำไย ๒.๓ การจัดการที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกร โดยมอบเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. ๔-๐๑ แก่เกษตรกร และออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินทำกิน (กสน.๓) แก่เกษตรกร รวมทั้งออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (กสน.๕) ให้แก่สมาชิกนิคมสหกรณ์ ๒.๔ การจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เพิ่มศักยภาพของสหกรณ์ในพื้นที่บริเวณชายแดนในการนำพืชผลการเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาปรับปรุงคุณภาพ จำหน่ายหรือส่งออก ๒.๕ การแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ มีผลการดำเนินงาน อาทิ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพารา วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ขณะนี้มีสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรได้รับอนุมัติวงเงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรแล้ว ๕๑๐ แห่ง เป็นเงิน ๕,๐๕๕.๔๕ ล้านบาท ๒.๖ การจัดตั้งศูนย์บริการประชาชน ได้จัดตั้งศูนย์บริการประชาชนด้านการเกษตรทั่วประเทศในทุกอำเภอเพื่อให้ความช่วยเหลือ เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ และรับเรื่องร้องเรียนจากเกษตรกรและประชาชน ๓. เรื่องอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อประเทศชาติและประชาชน ได้แก่ การช่วยเหลือประชาชนและผู้ประสบภัยด้านการเกษตร ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๗ โดยใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น กรอบวงเงิน ๕,๔๙๘.๙๙ ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร จำนวน ๖๘ จังหวัด และการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำที่ท่วมขังในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร และปราจีนบุรี เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
22016 | สรุปผลการประชุมสมัยสามัญองค์การการท่องเที่ยวโลก ครั้งที่ 21 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (21th UNWTO GENERAL ASSEMBLY) | กก | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมสมัยสามัญองค์การการท่องเที่ยวโลก ครั้งที่ ๒๑ (21st UNWTO GENERAL ASSEMBLY : GA) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๔-๒๐ กันยายน ๒๕๕๘ ณ เมืองเมเดยิน สาธารณรัฐโคลอมเบีย ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม UNWTO GA ครั้งที่ ๒๑ มีประเด็นสำคัญ อาทิ (๑) มีสมาชิกใหม่จากซามัวและบาร์เบโดส (๒) รับรองผลการเลือกตั้ง Executive Council (2015-2019) (๓) รับรองแผนริเริ่ม UNWTO QUEST และ Destination Management Organization Certification System (๔) รับรองให้ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็น International Year of Sustainable Tourism for Development (๕) รับรองให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานฉลองวันท่องเที่ยวโลกอย่างเป็นทางการ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ (๖) รับรองให้กาตาร์เป็นเจ้าภาพจัดงานฉลองวันท่องเที่ยวโลกอย่างเป็นทางการ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ (๗) รับทราบการนำเสนอร่างอนุสัญญา UNWTO Convention on the Protection of Tourists and Tourism Service Providers (๘) รับทราบรายงานของคณะกรรมการโลกด้านจริยธรรมด้านท่องเที่ยว (World Committee on Tourism Ethics) เกี่ยวกับการดำเนินการส่งเสริม Global Code of Ethics for Tourism (๙) รับทราบการนำเสนอองค์การระหว่างประเทศด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และ (๑๐) รับทราบการลงนามความตกลงจัดตั้งสำนักงานระหว่าง UNWTO กับรัฐบาลสเปน (๑๑) รับทราบช่องทางใหม่ ๆ ในการเข้าถึงข้อมูลด้านการท่องเที่ยวผ่านระบบ digital media และ (๑๒) เร่งรัดขอให้ประเทศที่ยังไม่ได้ให้สัตยาบัน Amend Statutes and 1947 Convention on the Privileges and Immunities of the Specialized Agencies ดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เป็นต้น ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวของโคลอมเบีย มีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) การส่งเสริม พัฒนา และเพิ่มความร่วมมือด้านแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (๒) ส่งเสริมทางการตลาด การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเน้นด้านสปา การวิจัยและการพัฒนา และ (๓) แลกเปลี่ยนข้อมูลการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อให้บันทึกความเข้าใจดังกล่าวมีผลในทางปฏิบัติ ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและท่องเที่ยวของเกาหลีในประเด็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแถลงข่าวร่วมกับเลขาธิการ UNWTO ผู้บริหารระดับสูงจากสมาคมส่งเสริมท่องเที่ยวแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Pacific Asia travel Association : PATA) และผู้บริหารจากสภาการเดินทางและการท่องเที่ยวโลก (World Travel and Tourism Council : WTTC) เพื่อเน้นย้ำความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและการดูแลนักท่องเที่ยวของไทย ๕. การประชุม Executive Council ครั้งที่ ๑๐๒ ที่ประชุมได้เลือกตั้งประธานและรองประธานคนที่ ๑ และ ๒ (ระยะเวลา ๑ ปี) คือ อียิปต์ โครเอเชีย และคองโก ตามลำดับ รวมทั้งเห็นชอบให้ยกเลิกการจัดงานฉลองวันท่องเที่ยวโลกที่บูร์กินาฟาโซ เนื่องจากสถานการณ์รุนแรงทางการเมือง จึงขอให้แต่ละประเทศเฉลิมฉลองวันท่องเที่ยวโลกในประเทศของตน
|
||||||||||||||||||||||||
22017 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. 2556 พ.ศ. .... | นร04 | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. ๒๕๕๖ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
22018 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2558 | กษ | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๕/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. แนวทางการพัฒนาโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มทั้งในด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนการนำเทคโนโลยีและเครื่องจักรกลมาใช้ในการพัฒนาการสกัดน้ำมันปาล์มและการผลิตผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง มอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมไปดำเนินการขับเคลื่อนในการส่งเสริมและสนับสนุนการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการสกัดน้ำมันปาล์มเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มแบบไม่ใช้ไอน้ำ (Dry Process) โดยการสนับสนุนด้านการเงินของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และด้านนวัตกรรมของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มในการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มแบบใช้ไอน้ำ (Wet Process) โดยพิจารณาแนวทางส่งเสริมและสนับสนุนสิทธิประโยชน์และมาตรการทางภาษี รวมถึงแนวนโยบายส่งเสริมการลงทุนในลักษณะ Cluster ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ๒. การแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ๒.๑ ด้านราคาและการรับซื้อตามคุณภาพ ให้กระทรวงพาณิชย์ออกประกาศราคาแนะนำรับซื้อผลปาล์มทะลายและผลปาล์มร่วง และราคาจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบตามราคาตลาด โดยให้ราคาเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม และผู้รับจ้างตัดปาล์มในการตัดผลปาล์มสุกที่มีคุณภาพ ที่มีอัตราน้ำมันสูง ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๑๙ เพื่อให้เกษตรกรได้รับราคาที่สูงขึ้น ๒.๒ การลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์ม มอบหมายฝ่ายเลขานุการฯ ยกร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มเป็นการเฉพาะ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มเป็นไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนร่วมเป็นคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงาน ได้แก่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมศุลกากร เป็นต้น สำหรับในระยะยาว มอบหมายหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการงานต่อไป ๒.๓ ด้านการบริหารจัดการปริมาณสต็อกคงเหลือน้ำมันปาล์ม เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติกำหนดให้โรงไฟฟ้ากระบี่เพิ่มสัดส่วนการใช้น้ำมันปาล์มดิบผลิตในโรงไฟฟ้าเป็นเดือนละ ๑๐,๐๐๐ ตัน และให้ซื้ออย่างต่อเนื่อง และเร่งรัดการใช้ B10 และ B20 ให้เร็วกว่าแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (AEDP 2015) รวมทั้งเห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน และองค์การคลังสินค้าร่วมกันพิจารณาแนวทางการซื้อน้ำมันปาล์มดิบเพื่อเก็บเป็นสต็อกไว้ใช้ผลิตไบโอดีเซลในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย ตลอดจนให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาแนวทางการผลักดันการส่งออก ๓. ยุทธศาสตร์ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๙ (Roadmap) เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทบทวนยุทธศาสตร์ฯ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (AEDP 2015) ๔. การเปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม ภายใต้กรอบการค้าระหว่างประเทศ เห็นชอบให้เปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (WTO) ปี ๒๕๕๙ ตามข้อผูกพัน คือ ปริมาณในโควตา ๔,๘๖๐ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๐ นอกโควตาร้อยละ ๑๔๓ โดยให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้าและกระจายให้ผู้ผลิตภายในประเทศตามที่สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มเป็นผู้จัดสรร รวมทั้งเห็นชอบให้เปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม ภายใต้กรอบการค้า AFTA และ FTA ปี ๒๕๕๙ ตามข้อผูกพันของทุกกรอบการค้า โดยให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้าและกระจายให้ผู้ผลิตภายในประเทศตามที่สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มเป็นผู้จัดสรร และมอบหมายฝ่ายเลขานุการ กนป. แจ้งมติดังกล่าวให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง เพื่อทราบและดำเนินการต่อไป ๕. ทบทวนคณะทำงาน เห็นควรปรับปรุงคณะทำงานพิจารณารายละเอียดโครงการปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการตลาดปาล์มน้ำมันแบบครบวงจร และคณะทำงานบูรณาการข้อมูลด้านผลผลิต ปาล์มน้ำมัน การใช้ และสต็อกน้ำมันปาล์ม รวมทั้งยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อตรวจสอบสต็อกน้ำมันปาล์ม เนื่องจากได้ดำเนินการเสร็จแล้วเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
22019 | การเข้าร่วมรับรองและลงนามในปฏิญญานครนิวยอร์กว่าด้วยป่าไม้ (New York Declaration on Forests) | ทส | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมรับรองปฏิญญานครนิวยอร์กว่าด้วยป่าไม้ (New York Declaration on Forests) ในการประชุมภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๑ ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ โดยปฏิญญาดังกล่าวมีเป้าหมายระดับสูงเพื่อหยุดการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ (ค.ศ. ๒๐๓๐) และกำหนดให้ประเทศที่เข้าร่วมลงนามในปฏิญญาฯ ลดอัตราการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ลงให้ได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งภายในปี ๒๕๖๓ (ค.ศ. ๒๐๒๐) ส่งเสริมการฟื้นฟูสภาพป่าไม้และพื้นที่เพาะปลูก รวมทั้งเชื่อมโยงไปถึงเรื่องของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ภายใต้กรอบการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่า และให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามขั้นตอนการเข้าร่วมเป็นภาคีในปฏิญญาดังกล่าวต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เมื่อประเทศไทยเข้าร่วมรับรองและลงนามในปฏิญญาดังกล่าวแล้ว ควรปรับกรอบแนวทางดำเนินงานโครงการพัฒนาของหน่วยงานต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับปฏิญญาฯ โดยให้ความสำคัญของการรักษาพื้นที่ป่าเป็นหลักมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งเปิดโอกาสให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในกระบวนการตัดสินใจในโครงการพัฒนาที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ป่า เพื่อให้ลดความขัดแย้งและนำไปสู่ความร่วมมือในการรักษาพื้นที่ป่าที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
22020 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 5 | พณ | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการต่อประเด็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าสำหรับการหารือกับกัมพูชา ซึ่งมีประเด็นที่จะผลักดัน คือ (๑) การตั้งเป้าหมายการค้าสองฝ่ายให้ขยายตัวร้อยละ ๓๐ ต่อปี (ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๓) (๒) ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองหน้าด่านชายแดนไทยและกัมพูชา (๓) ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในสินค้าเกษตร (๔) ความร่วมมือในการเชื่อมโยงระหว่างกัน (๕) การส่งเสริมการค้าและการลงทุน (๖) การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษร่วมบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (๗) ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว และ (๘) ความร่วมมือด้านวิชาการ การพัฒนาบุคลากร และอื่น ๆ และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ใช้เป็นกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๕ ในระหว่างวันที่ ๓-๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาประเด็นการเจรจาที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือในการเชื่อมโยงระหว่างกันโดยการเปิดด่านชายแดนด้วยความรอบคอบ เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ ๒. หากในการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ มีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากข้อ ๑ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมา ให้กระทรวงพาณิชย์และคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการเพิ่มเติมดังกล่าวด้วย ๓. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุม JTC ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๕ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี) ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หากในการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ จะมีการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ก็จะต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนการทำความตกลงนั้นตามมาตรา ๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และหากความตกลงดังกล่าวมีเนื้อหาที่เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศก็จะเข้าข่ายลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญฯ ต้องเสนอขอความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
.....