ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1102 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 22021 - 22040 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
22021 | ขออนุมัติลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงเกษตรแห่งสาธารณรัฐฟิจิว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร และบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงประมงและป่าไม้แห่งสาธารณรัฐฟิจิว่าด้วยความร่วมมือด้านประมง | กษ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงเกษตรแห่งสาธารณรัฐฟิจิว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร และบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงประมงและป่าไม้แห่งสาธารณรัฐฟิจิว่าด้วยความร่วมมือด้านประมง ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาประเด็นเกี่ยวกับใบรับรองการจับสัตว์น้ำหรือเอกสารอื่นใดที่แสดงว่าสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำได้มาจากการประมงโดยชอบด้วยกฎหมาย และให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อให้คู่ภาคีมั่นใจว่าจะมีการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดขึ้นภายใต้ร่างบันทึกความเข้าใจฯ จึงควรดำเนินการอย่างเคร่งครัดเพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย และให้มีการใช้สัญญาอนุญาตให้ใช้วัสดุชีวภาพระหว่างกัน สำหรับการแลกเปลี่ยนวัสดุชีวภาพ เชื้อพันธุกรรมและดีเอ็นเอ (พืช สัตว์ และจุลินทรีย์) เฉพาะเพื่องานวิจัยและวิชาการ ซึ่งดำเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ เพื่อปกป้องทรัพยากรชีวภาพของประเทศ และเกิดการแบ่งปันผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นอย่างเหมาะสมและเท่าเทียม รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อหารือแนวทางหรือท่าทีในการสร้างความร่วมมือกับสาธารณรัฐฟิจิทั้งในฐานะของการเป็นแหล่งวัตถุดิบและอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมประมง อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย และการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญของสาธารณรัฐฟิจิ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่รัฐมนตรีมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งสองฉบับดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||
22022 | การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 (COP 21) และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 11 (CMP 11) | ทส | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบองค์ประกอบของคณะผู้แทนไทยในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๑ (The 21st Session of the Conference of the Parties to the UNFCCC : COP 21) และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๑๑ (The 11th session of the Conference of the Parties serving as the Meeting of the Parties to the Kyoto Protocol : CMP 11) โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอขออนุมัติองค์ประกอบของคณะผู้แทนไทยให้เป็นไปตามนัยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุมัติให้เดินทางไปราชการและการจัดการประชุมของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๒๔ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การเสนอองค์ประกอบของคณะผู้แทนไทยเพื่อเข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศ) ต่อไปด้วย ๒. เห็นชอบกรอบท่าทีการเจรจาของไทยสำหรับใช้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๑ (COP 21) และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๑๑ (CMP 11) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเน้นย้ำท่าทีในการเจรจาฯ ว่า ไทยไม่สามารถสนับสนุนพันธกรณีในการลดก๊าซเรือนกระจกในประเด็นเกี่ยวกับก๊าซมีเทนที่เกิดขึ้นจากภาคการเกษตรได้ เนื่องจากภาคการเกษตรของไทยมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร การพัฒนาชนบท การลดความยากจน และเป็นวิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่ในประเทศ ๓. กรณีมีข้อเจรจาใดที่นอกเหนือจากท่าทีการเจรจาฯ และไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (Legally Binding) ต่อประเทศไทย หากไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีเคยอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไปแล้ว ให้เป็นดุลยพินิจของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้พิจารณาจนสิ้นสุดการประชุมฯ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๔. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในการพัฒนาเศรษฐกิจของโลกอย่างยั่งยืน ควรพิจารณาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่ส่งผลต่อความเชื่อมโยงระหว่างมิติความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ อาหาร และพลังงาน (Water-Food-Energy Security Nexus) รวมทั้งมีการเตรียมความพร้อม ซักซ้อมความเข้าใจ และกำหนดท่าทีการเจรจาในการประชุมในเวทีต่าง ๆ ให้ชัดเจน เพื่อให้การเข้าร่วมประชุมดังกล่าวมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และเกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ นอกจากนี้ หากในการประชุมจะมีการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐภาคี ก็จะต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนการทำความตกลงนั้นตามมาตรา ๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และหากความตกลงดังกล่าวมีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศก็จะเข้าข่ายลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ต้องเสนอขอความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
22023 | การลงนามเอกสาร Statement of Intent between the Government of Japan and the Government of the Kingdom of Thailand on High Level Joint Commission และเอกสาร Memorandum of Intent on Human Resource Development in the Mekong Sub-Region between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of Japan | พณ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสาร Statement of Intent between the Government of Japan and the Government of the Kingdom of Thailand on High Level Joint Commission เป็นเอกสารเชิงนโยบายสำหรับการตั้งกลไกการหารือระดับสูงด้านการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่าง ๆ และเอกสาร Memorandum of Intent on Human Resource Development in the Mekong Sub-Region between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of Japan เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของไทยและญี่ปุ่นที่จะร่วมมือกันพัฒนาบุคลากรในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและทักษะฝีมือแรงงานในสาขาอุตสาหกรรมหลัก พัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่น และให้ SMEs สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคและโลกได้ ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในเอกสาร Statement of Intent between the Government of Japan and the Government of the Kingdom of Thailand on High Level Joint Commission ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในเอกสาร Memorandum of Intent on Human Resource Development in the Mekong Sub-Region between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of Japan ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำในเอกสารทั้งสองฉบับในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการดำเนินการเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางการลงทุนเพิ่มเติม โดยให้สนับสนุนและเชื่อมโยงกับการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในประเทศ และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษด้วย เพื่อใช้เป็นกรอบในการกำหนดนโยบายด้านการส่งเสริมการลงทุนระหว่างไทยและญี่ปุ่นต่อไป |
|||||||||||||||||||||
22024 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเซอร์เบียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ | กต | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเซอร์เบียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ มีสาระสำคัญเพื่ออำนวยความสะดวกแก่บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการของแต่ละฝ่ายในการเดินทางเข้า-ออก เดินทางผ่านและพำนักอยู่ในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตราเป็นระยะเวลาไม่เกิน ๙๐ วันนับจากวันเดินทางเข้ามา รวมถึงผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นสมาชิกในคณะผู้แทนทางการทูตหรือในสถานทำการกงสุลหรือเป็นผู้แทนประจำองค์การระหว่างประเทศในดินแดนของอีกฝ่ายด้วย ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ ๑.๓ อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งฝ่ายเซอร์เบียเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเบลารุสว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราตามหนังสือเดินทางทูตและราชการ) ที่มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการจัดกลุ่มประเภทหนังสือเดินทางและตรวจสอบการให้สิทธิในการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางแต่ละประเภทให้ชัดเจนและเป็นไปตามหลักการต่างตอบแทนกับประเทศต่าง ๆ รวมทั้งเสนอแนวทางปรับปรุงการให้สิทธิที่เหมาะสมและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้เร่งรัดระบบการยื่นขอวีซ่าผ่านทางอินเทอร์เน็ต (Electronic Visa) ให้แล้วเสร็จก่อนปลายปี ๒๕๕๘ เพื่อเตรียมการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนด้วย |
|||||||||||||||||||||
22025 | แผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลลอยกระทง 2558 ของกระทรวงคมนาคม | คค | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลลอยกระทง ๒๕๕๘ ระยะดำเนินการ วันที่ ๒๔-๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ มีเป้าหมายเพื่อบริการที่ดี เกิดความปลอดภัย แก้ไขปัญหาการเดินทางและบรรเทาทุกข์ ซึ่งประชาชนจะได้รับประโยชน์จากการดำเนินงานตามแผนดังกล่าว โดยแผนอำนวยความสะดวก ประกอบด้วย (๑) การอำนวยความสะดวกการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะ การอำนวยความสะดวกด้านโครงข่ายถนน การขนส่งและการจราจรทางน้ำ การจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในท่าเรือ สถานีขนส่ง ท่าอากาศยาน และอาคารผู้โดยสาร สถานีรถไฟ สถานีรถไฟฟ้า และการอำนวยความสะดวกในด้านข้อมูลการจราจร (๒) แผนงานบริหารด้านความปลอดภัย (๓) มาตรการด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับการปล่อยโคมลอยและโคมควันของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม และ (๔) การรายงานผลการปฏิบัติและการประเมินผล
|
|||||||||||||||||||||
22026 | รายงานสรุปผลการจัดงานแสดงสินค้า BIG+BIH เดือนตุลาคม 2558 | พณ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปผลการจัดงานแสดงสินค้าของขวัญและงานแสดงสินค้าของใช้ในบ้าน ครั้งที่ ๔๐ (Bangkok International Gift Fair 2015 and Bangkok International Houseware Fair 2015 : BIG+BIH) เดือนตุลาคม ๒๕๕๘ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค-บางนา โดยมีจำนวนผู้เข้าร่วมแสดงสินค้า รวมทั้งสิ้น ๔๘๙ บริษัท ๑,๓๕๓ คูหา จำนวนผู้เข้าชมงาน รวมทั้งสิ้น ๕๗,๐๔๗ ราย มูลค่าการสั่งซื้อภายในงาน รวมทั้งสิ้น ๑,๓๑๘,๒๐๕,๔๙๒ บาท สินค้าที่ได้รับความสนใจ ได้แก่ ของขวัญ ของที่ระลึก ของตกแต่งบ้าน งานหัตถกรรม ของใช้ในครัวเรือน เครื่องเขียนและอุปกรณ์สำนักงาน และสินค้าในกลุ่มพลาสติก ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำบัญชีรายการสินค้าของผู้ประกอบการไทยที่จำหน่ายภายในงานแสดงสินค้า โดยให้ความสำคัญกับสินค้าตามอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและมีความเชื่อมโยงกับนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบคลัสเตอร์ ทั้งนี้ ให้แยกประเภทเป็นอุตสาหกรรมเดิมและอุตสาหกรรมใหม่ที่ได้รับการส่งเสริม และให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับสินค้าดังกล่าวให้ผู้ประกอบการสินค้าที่ผลิตได้ในระดับชุมชนของแต่ละภูมิภาครับทราบและดำเนินการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22027 | สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2558/2559 ครั้งที่ 1 | กษ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ถึง ๓๐ เมษายน ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำ ๑.๑ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศ จำนวน ๓๓ แห่ง ณ วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ มีปริมาตรน้ำรวม ๔๑,๐๒๗ ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นน้ำใช้การได้ ๑๗,๕๒๔ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑.๒ อ่างเก็บน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลอง ณ วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ลุ่มน้ำเจ้าพระยามีปริมาณน้ำใน ๔ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุงแดน และป่าสักชลสิทธิ์ จำนวน ๑๐,๙๓๕ ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นน้ำใช้การได้ ๔,๒๓๙ ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนลุ่มน้ำแม่กลองมีปริมาณน้ำใน ๒ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนศรีนครินทร์ และวชิราลงกรณ จำนวน ๑๘,๔๘๓ ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นน้ำใช้การได้ ๕,๒๐๖ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑.๓ แหล่งน้ำอื่นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ แหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทานทั้งหมด จำนวน ๓๕๒,๕๒๘ บ่อ ความจุรวม ๓๕๒ ล้านลูกบาศก์เมตร มีปริมาตรน้ำรวม ๒๑๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑.๔ ตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ณ วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ แหล่งเก็บน้ำอื่น ๆ ได้แก่ แหล่งน้ำในและนอกเขตชลประทาน สระน้ำในไร่นา น้ำบาดาลเพื่อการเกษตร มีความจุรวม ๑,๐๓๖.๗๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำรวม ๓๓๐.๓๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒. การจัดสรรน้ำ แผนการใช้น้ำจากโครงการชลประทานขนาดใหญ่และขนาดกลางทั้งประเทศในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ณ วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ปริมาตรน้ำต้นทุนสามารถใช้การได้ ๒๐,๐๓๕ ล้านลูกบาศก์เมตร โดยจัดสรรน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ๓,๓๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร และผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลอง ๔๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร โดยวางแผนจัดสรรให้สำหรับการอุปโภคบริโภค ๑,๑๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร การรักษาระบบนิเวศ และอื่น ๆ ๑,๘๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อการเกษตรที่ปลูกไว้เดิม เช่น ไม้ผล และอ้อย ๔๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. สถานการณ์การเพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ พื้นที่ปลูกข้าวนาปี ปี ๒๕๕๘ แผนเพาะปลูก ๗.๔๕ ล้านไร่ ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ แบ่งเป็น เก็บเกี่ยวแล้ว ๕.๐๕ ล้านไร่ เสียหาย ๐.๐๒ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว ๑.๓๓ ล้านไร่ คาดว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ แบ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่ต้องการใช้น้ำ ๐.๑๔ ล้านไร่ และพื้นที่ที่ต้องการใช้น้ำอีก ๑.๑๙ ล้านไร่ ใช้น้ำประมาณ ๕๔๙ ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนพื้นที่ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ปี ๒๕๕๘ พื้นที่ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่องตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๑.๗๕ ล้านไร่ (ข้าวอายุตั้งแต่ ๒-๑๓ สัปดาห์) คาดว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ยังต้องใช้น้ำประมาณ ๙๖๙ ล้านลูกบาศก์เมตร
|
|||||||||||||||||||||
22028 | รายงานผลการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐสิงคโปร์ | กห | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ ๑๖ ถึงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การเข้าเยี่ยมคำนับนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐสิงคโปร์ และได้หารือถึงแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่มีความใกล้ชิดและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และด้านความมั่นคง ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐสิงคโปร์ได้กล่าวชื่นชมไทยต่อการปฏิบัติหน้าที่ผู้ประสานงานอาเซียน-สาธารณรัฐประชาชนจีน ในห้วงที่ผ่านมาก่อนที่สาธารณรัฐสิงคโปร์จะได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ โดยสาธารณรัฐสิงคโปร์จะสานต่อสิ่งที่ไทยดำเนินการไว้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แสดงความเชื่อมั่นว่าสาธารณรัฐสิงคโปร์จะประสบความสำเร็จในการพัฒนาความสัมพันธ์อาเซียน-สาธารณรัฐประชาชนจีน ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยินดีสนับสนุนและร่วมมือกับสาธารณรัฐสิงคโปร์เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของภูมิภาคต่อไป ๒. การเข้าเยี่ยมคำนับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันถึงความสัมพันธ์และการพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงของกระทรวงกลาโหมทั้งสองประเทศ ทั้งเรื่องการฝึก การศึกษา การแลกเปลี่ยนการเยือน การพัฒนาความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และการปฏิบัติงานร่วมกันเพื่อนำมาซึ่งความสงบสุขของภูมิภาค ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐสิงคโปร์ได้เดินทางไปเยี่ยมชมกองบัญชาการกองทัพอากาศเพื่อเข้ารับฟังการบรรยายสรุป และกรมทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์ จังหวัดชลบุรี เพื่อชมการสาธิตทางทหาร
|
|||||||||||||||||||||
22029 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 12 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2557 - 30 กันยายน 2558) | นร | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๑๒ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๓๐ กันยายน ๒๕๕๘) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ ซึ่งมีผลงานสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น โครงการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน โครงการส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ การแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ โดยศูนย์ดำรงธรรม ๒. การปฏิรูปประเทศ ในห้วง ๑ ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินการที่ถือว่าเป็นการปฏิรูปงานที่สำคัญ ได้แก่ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ การปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูปเพื่อการลดความเหลื่อมล้ำ การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ การเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพการบริหารงานภาครัฐ การปฏิรูประบบงบประมาณ การปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน การปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และการดำเนินการอื่น ๆ ได้แก่ แต่งตั้ง “Mister ปฏิรูป” ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูป และจัดทำเว็บไซต์ “การปฏิรูปประเทศไทย” ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน การบริหารเศรษฐกิจ การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนาและนวัตกรรม สนับสนุนการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของประเทศ การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ และการปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
|
|||||||||||||||||||||
22030 | ปฏิญญาเวียงจันทน์ว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาอย่างมีประสิทธิผล | กต | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการร่างปฏิญญาเวียงจันทน์ว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาอย่างมีประสิทธิผล (Vientiane Declaration on Partnership for Effective Development Cooperation) มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาต่าง ๆ ให้มีการดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกันและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยส่งเสริมการหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านแนวทางการพัฒนาและการขยายความร่วมมือด้านการพัฒนาในสาขาต่าง ๆ ที่กว้างขวางขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ สปป.ลาว หลุดพ้นจากการเป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุด ซึ่งร่างปฏิญญาดังกล่าวเป็นเอกสารที่ใช้ขับเคลื่อนการทำงาน และใช้เป็นผลของการประชุม 12th High-Level Round Table Meeting 2015 (HL RTM) ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม HL RTM ครั้งที่ ๑๒ และร่วมลงนามในปฏิญญาดังกล่าว ในวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||
22031 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือด้านระบบรางระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น เส้นทางแนวเศรษฐกิจด้านใต้ | คค | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือ (Memorandum of Cooperation : MOC) ด้านระบบรางระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น เส้นทางแนวเศรษฐกิจด้านใต้ (กาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-อรัญประเทศ และกรุงเทพฯ-แหลมฉบัง) เพื่อสานต่อความร่วมมือภายใต้บันทึกความร่วมมือด้านระบบรางระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ฉบับลงนามเมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุขอบเขตความร่วมมือด้านการพัฒนาการขนส่งระบบราง โดยเฉพาะเส้นทางแนวเศรษฐกิจด้านใต้เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานและเป็นแนวทางในการพัฒนาและสานต่อความร่วมมือระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ต่อไปในอนาคต อีกทั้งเป็นการผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเร็วที่สุด ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำในบันทึกความร่วมมือดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการปรับเปลี่ยนได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการกำหนดแผนพัฒนาพื้นที่ภายในเขตทางรถไฟบริเวณพื้นที่ภาคตะวันออกโดยเฉพาะบริเวณท่าเรือแหลมฉบังให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความซ้ำซ้อนของการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในบริเวณดังกล่าว รวมทั้งให้ความสำคัญกับการบูรณาการแผนฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านระบบรางให้กับบุคลากรไทยอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถนำไปต่อยอดในการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงคมนาคมพิจารณาแนวทางการพัฒนาระบบรางในเส้นทางเชื่อมเหนือ-ใต้ (North-South Corridor) ด้วย เนื่องจากขณะนี้มาเลเซียได้สร้างเส้นทางรถไฟขึ้นมาเชื่อมต่อใกล้บริเวณพื้นที่ชายแดนของไทยแล้ว |
|||||||||||||||||||||
22032 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 และ 13 ตุลาคม 2558 ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามโครงการมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล | มท | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามโครงการมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบลในส่วนที่กำหนดให้จังหวัดส่งรายละเอียดโครงการให้สำนักจัดทำงบประมาณเขตพื้นที่ ๑-๑๘ จาก “ภายในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๘” เป็น “ภายในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘” ๑.๒ แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๘ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามโครงการมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบลในส่วนที่กำหนดให้เบิกจ่ายงบประมาณตามโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จ จาก “ภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๙” เป็น “ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙” ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า สมควรที่กระทรวงมหาดไทย จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการ และมาตรฐาน ตามที่เคยดำเนินการมาก่อนนี้แล้ว โดยคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการและประชาชนในพื้นที่ที่จะได้รับเป็นสำคัญ รวมทั้งเร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาดังกล่าวด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
22033 | รายงานผลการพิจารณาการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียน | กค | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้จัดตั้งกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยให้มีวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณรับไปพิจารณาเรื่องแหล่งที่มาของรายได้สำหรับกองทุนฯ ดังกล่าวต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการกำหนดหลักเกณฑ์ในการให้งบประมาณสนับสนุนด้านต่าง ๆ แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างชัดเจน โปร่งใส และมีความสอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมของประเทศ และข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียนเกี่ยวกับการกำหนดรายได้ของกองทุนฯ จากเงินกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และกองทุนพัฒนาการกีฬา จำเป็นต้องกำหนดเป็นนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขกฎหมายของ ๒ กองทุนดังกล่าว เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินกองทุนฯ เป็นลำดับแรก ก่อนขอสนับสนุนเงินงบประมาณแผ่นดิน และในการยกร่างกฎหมายจัดตั้งกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการสนับสนุนเงินกองทุนฯ ให้ผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ควรต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการที่มีความโปร่งใส รอบคอบ และตรวจสอบได้ เพื่อให้มีความเป็นธรรมในการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนโดยรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22034 | การปรับปรุงโบนัสของพนักงานและลูกจ้างประจำของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล | กค | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอเพิ่มเติมว่า ขอยืนยันตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า การปรับปรุงโบนัสของพนักงานรัฐวิสาหกิจที่จ่ายเป็นเงินค่าตอบแทนพิเศษจากผลการปฏิบัติงานเป็นเงินที่จ่ายให้แก่พนักงานโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นรางวัลและเพื่อเป็นแรงจูงใจให้แก่พนักงาน มิใช่อยู่ในความหมายและขอบเขตของคำว่า “สภาพการจ้าง” ตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งหมายถึงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขทั่วไปเกี่ยวกับการจ้างหรือการทำงาน ๒. เห็นชอบให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลปรับปรุงการจ่ายโบนัสพนักงานและลูกจ้างประจำ จาก ๓.๗๕ เท่าของเงินเดือนหรือค่าจ้าง เป็น ๔ เท่าของเงินเดือนหรือค่าจ้าง ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับเฉพาะในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเร่งดำเนินการตามแผนปฏิรูประบบสลากกินแบ่งรัฐบาลของคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมทั้งเร่งปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสพนักงานและลูกจ้างประจำของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลให้เชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานตามระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล) รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ในโอกาสต่อไปสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจะต้องมีการดำเนินการตามแผนการปฏิรูประบบสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยการปรับเข้าระบบแรงจูงใจกลุ่มรัฐวิสาหกิจประเภทที่จัดสรรโบนัสให้พนักงานได้เมื่อมีผลกำไร เพื่อให้การจัดสรรโบนัสตามระบบประเมินผลโดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22035 | ขอสนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินโครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งปี 2558/59 ตามมาตรการที่ 1 และมาตรการที่ 2 | กษ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๙๗๑,๙๗๙,๙๓๖ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการที่ ๑ การส่งเสริมความรู้และสนับสนุนปัจจัยการผลิตเพื่อลดรายจ่ายในครัวเรือน จำนวน ๔ โครงการ ในกรอบวงเงินรวม ๙๗๑,๙๗๙,๙๓๖ บาท ประกอบด้วย ๑.๑.๑ กรมส่งเสริมเกษตรกร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการสร้างรายได้จากพืชทดแทนนาปรัง จำนวน ๓๕๖,๙๒๐,๙๐๐ บาท ๑.๑.๒ กรมปศุสัตว์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการสร้างรายได้จากปศุสัตว์ในฤดูแล้ง จำนวน ๔๔๒,๗๙๓,๗๓๖ บาท ๑.๑.๓ กรมประมง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการสร้างรายได้จากประมงในฤดูแล้ง จำนวน ๑๖๓,๑๒๙,๘๐๐ บาท ๑.๑.๔ กรมพัฒนาที่ดิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของดิน จำนวน ๙,๑๓๕,๕๐๐ บาท ๑.๒ สำหรับมาตรการที่ ๒ ค่าใช้จ่ายโครงการช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งของกรมส่งเสริมสหกรณ์ เห็นสมควรที่จะจ่ายชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้แทนสมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร สัญญากู้ระยะสั้น ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๙ ในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี เป็นระยะเวลา ๖ เดือน ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๒๐๖,๒๓๓,๐๐๐ บาท โดยให้กรมส่งเสริมสหกรณ์จัดทำรายละเอียดมูลหนี้ที่เกิดขึ้นจริง ตามผลการดำเนินงานประจำปี และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่ละหน่วยงานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ รายละเอียดค่าใช้จ่าย โดยขอทำความตกลงเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณโดยตรงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในทันต่อฤดูเพาะปลูกพืชฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ และรายงานจำนวนเกษตรกรที่ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรดังกล่าวด้วย ๓. ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐติดตามการใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ให้เกิดความโปร่งใสและเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป |
|||||||||||||||||||||
22036 | ขอทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2558/59 | พณ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังกำกับให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรรับผิดชอบและบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๘/๕๙ โดยไม่ทำสัญญาในลักษณะที่ก่อให้เกิดภาวะต่อเกษตรกร ทั้งนี้ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์พิจารณากำหนดมาตรการในการชดเชยค่าใช้จ่ายกรณีเกิดภาวะขาดทุนจากการดำเนินโครงการฯ และเสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22037 | การจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ (Thailand Countdown 2016) | กก | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบในหลักการให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ (Thailand Countdown 2016) ภายในกรอบวงเงิน ๑๑๘,๖๙๐,๐๐๐ บาท แต่เนื่องจากในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไม่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้ จึงขอให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอ ก็ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีแล้ว ทั้งนี้การจัดกิจกรรมดังกล่าว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน การบูรณาการ และประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประชาชนที่จะได้รับเป็นสำคัญ รวมทั้งจัดทำรายละเอียดแผนการใช้จ่ายเงินงบกลางและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
22038 | การปรับเงื่อนไขของแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามที่ขออนุญาตทำงานได้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2558 | รง | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับเงื่อนไขของแรงงานต่างด้าวที่ขออนุญาตทำงานได้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เรื่อง การจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวในกิจการแปรรูปสัตว์น้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) และการจัดระบบแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม ข้อ ๘.๒ แนวทางการจัดระบบแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม ข้อ ๘.๒.๑ ผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามทำงานได้ชั่วคราว ข้อ ๘.๒.๑.๒ เงื่อนไขของแรงงานต่างด้าวที่ขออนุญาตทำงานได้ (๒) จากเดิมที่กำหนดให้ต้องเดินทาง “เข้ามาในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมายครั้งสุดท้ายก่อนวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ปรับเป็น เข้ามาในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมายครั้งสุดท้ายก่อนวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๘” สำหรับรายละเอียดและการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปเช่นเดิม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เรื่อง การจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวในกิจการแปรรูปสัตว์น้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) และการจัดระบบแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงแรงงานพิจารณาดำเนินการโดยให้คำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและผู้ประกอบการในประเทศไม่ให้เกิดผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานเป็นสำคัญ ทั้งนี้ หากกระทรวงแรงงานพิจารณาแล้วเห็นว่า มีความจำเป็นต้องให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามอยู่ทำงานต่อในประเทศไทยอีก อาจพิจารณาขอขยายระยะเวลาได้อีก ๖ เดือน ตามที่นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้ร้องขอต่อนายกรัฐมนตรีในโอกาสการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๗ ๓. มอบหมายให้กระทรวงแรงงานเร่งรัดการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้ครบถ้วน รวมทั้งเร่งรัดการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ทั้งนี้ ให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวและการพิสูจน์สัญชาติดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีทุก ๖ เดือน |
|||||||||||||||||||||
22039 | การแต่งตั้งกรรมการผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ (นายวิทัศน์ เตชะบุญ) | พม | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้นายเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต กรรมการผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ พ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งนายวิทัศน์ เตชะบุญ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นกรรมการผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ แทนนายเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||
22040 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (นักบริหารระดับสูง) (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายผดุงศักดิ์ อมาตยกุล) | นร06 | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายผดุงศักดิ์ อมาตยกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคำสั่งให้รักษาราชการแทนในตำแหน่งดังกล่าว เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอ
|
.....