ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1109 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 22161 - 22180 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
22161 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอำนาจเจริญ พ.ศ. .... | มท | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคบผังเมืองรวมจังหวัดอำนาจเจริญ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมือง ในท้องที่จังหวัดอำนาจเจริญ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
22162 | การแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของส่วนราชการต่าง ๆ เพิ่มเติม (จำนวน 7 ราย) | นร05 | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของส่วนราชการต่าง ๆ เพิ่มเติม จำนวน ๗ ราย ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. นายณัฐพงศ์ ศิริชนะ ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. กระทรวงมหาดไทย ๓. นายดำรงค์ ทองสม ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. กระทรวงวัฒนธรรม ๔. นายสมศักดิ์ อรรฆศิลป์ ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. กระทรวงสาธารณสุข ๕. นายประสาท พาศิริ ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ๖. นายคุณวุฒิ ตันตระกูล ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ๗. พลตรี ศักดา เนียมคำ ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร |
||||||||||||||||||||||||
22163 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนกันยายน ปี 2558 | พณ | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนกันยายน ปี ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมเศรษฐกิจโลกและตลาดคู่ค้าหลักในปัจจุบันอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน โดยล่าสุด (ตุลาคม) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ประกาศปรับลดคาดการณ์ขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี ๒๕๕๘ อยู่ที่ร้อยละ ๓.๑ เป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินในปี ๒๕๕๒ และเป็นระดับที่ต่ำกว่าการขยายตัวในปี ๒๕๕๗ ที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๔ รวมไปถึงสถานการณ์ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกหดตัวสูง โดยเฉพาะน้ำมัน ส่งผลให้ราคาสินค้าส่งออกโลกจะลดลงกว่าร้อยละ -๑๖.๙ จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้สถานการณ์การค้าโลกรวมทั้งไทยอยู่ในภาวะชะลอตัว ๒. ภาพรวมมูลค่าการส่งออกของไทยเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่า ๑๘,๘๑๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ -๕.๕๑ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน (YoY) ส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกของไทยช่วงมกราคม-กันยายน ๒๕๕๘ หดตัวที่ร้อยละ -๔.๙๘ อย่างไรก็ตามรายได้จากการส่งออกของไทยในรูปเงินบาทยังคงขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะเดือนกันยายน ๒๕๕๘ มีมูลค่า ๖๖๕,๕๘๗ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๕๒ ด้านมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเดือนกันยายน ๒๕๕๘ มีมูลค่า ๒,๖๕๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ -๙.๙ (YoY) จากปัจจัยราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกชะลอตัวและผลผลิตอาหารทะเลขาดแคลน ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมมีแนวโน้มการฟื้นตัวดีขึ้น จากทิศทางการฟื้นตัวในสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของไทย ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ ๒๐.๖ (YoY) ตามการเติบโตของการส่งออกรถยนต์นั่ง ส่วนรถกระบะยังคงหดตัว การส่งออกทองคำกลับมาขยายตัวอีกครั้งที่ร้อยละ ๕๘๙.๕ (YoY) เนื่องจากราคาทองคำขยับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้มีการส่งออกเพื่อทำกำไร ๓. การนำเข้าเดือนกันยายน ๒๕๕๘ มูลค่า ๑๖,๐๒๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ -๒๖.๒๐ (YoY) โดยกลุ่มเชื้อเพลิง หดตัวสูงถึงร้อยละ -๔๔.๐ ตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมทั้งการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป และสินค้าทุน หดตัวสูงถึงร้อยละ -๒๘.๑ และ -๒๓.๑ (YoY) ตามลำดับ อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณามูลค่าการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ในเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ซึ่งใช้เป็นปัจจัยการผลิตรถยนต์ สินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของไทยยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ ๑๙.๕ (YoY) เป็นสัญญาณบวกต่อแนวโน้มการส่งออกรถยนต์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ๒๕๕๘ ส่งผลให้ดุลการค้าระหว่างประเทศเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ยังคงเกินดุล ๒,๗๙๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในระยะ ๙ เดือน (มกราคม-กันยายน ๒๕๕๘) เกินดุล ๗,๗๕๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ
|
||||||||||||||||||||||||
22164 | การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง - ท่าเรือ สายบางนา - ท่าเรือ และสายดาวคะนอง - ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ - บางโคล่ และสายพญาไท - ศรีนครินทร์) เป็นทางที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558 | คค | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางพิเศษสายดินแดง-ท่าเรือ สายบางนา-ท่าเรือ และสายดาวคะนอง-ท่าเรือ) และทางพิเศษศรีรัช (ทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ-บางโคล่ และสายพญาไท-ศรีนครินทร์) เป็นทางที่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๘ มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นให้ผู้ใช้รถบนทางพิเศษสายดังกล่าวไม่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษสายยมราช ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษหัวลำโพง ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษสะพานสว่าง ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษอุรุพงษ์ ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษสุรวงศ์ ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษจันทน์ ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษสาทร ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษพระรามที่สี่ ๑ ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษพระรามที่สี่ ๒ ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษสุขุมวิท และด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษเพชรบุรี ตามอัตราที่ประกาศตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ นาฬิกา ถึงเวลา ๒๓.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยให้แก่ประชาชนในด้านการจราจรในการจัดกิจกรรมจักรยานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๘ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ กิจกรรม " ปั่นเพื่อพ่อ Bike for Dad" ตามพระราชปณิธานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
22165 | แนวทางการบริหารจัดการตลาดมันสำปะหลังปี 2558/59 | กษ | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติแนวทางการบริหารจัดการตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ จำนวน ๒ โครงการ โดยใช้แหล่งเงินจากเงินทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น ๙,๖๐๐ ล้านบาท และวงเงินชดเชยดอกเบี้ยรวม ๒๖๐.๓๒๕ ล้านบาท ดังนี้ ๑.๑ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังในระบบน้ำหยด ปี ๒๕๕๘/๕๙ กลุ่มเป้าหมายเกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกมันสำปะหลัง ๒๐,๐๐๐ ราย วงเงินกู้รายละไม่เกิน ๒๓๐,๐๐๐ บาท โดยใช้เงินทุนจาก ธ.ก.ส. ๔,๖๐๐ ล้านบาท รัฐชดเชยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ FDR+1 ต่อปี ระยะเวลา ๒๔ เดือน วงเงินชดเชยดอกเบี้ย ๒๐๔.๗๐ ล้านบาท ๑.๒ โครงการชะลอการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๘/๕๙ กลุ่มเป้าหมายเกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกมันสำปะหลัง ๑๐๐,๐๐๐ ราย วงเงินกู้รายละไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท โดยใช้เงินทุนจาก ธ.ก.ส. ๕,๐๐๐ ล้านบาท รัฐชดเชยดอกเบี้ยอัตรา FDR+1 ต่อปี ระยะเวลา ๖ เดือน วงเงินชดเชยดอกเบี้ย ๕๕.๖๒๕ ล้านบาท โดยเมื่อเกษตรกรได้สางคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยในส่วนที่ผู้กู้รับผิดชอบแล้ว ให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามภาระที่เกิดขึ้นจริงเพื่อชดเชยดอกเบี้ยในปีงบประมาณถัดไปตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนวิธีการดำเนินการโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อรวบรวมและสร้างมูลค่าเพิ่มมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ให้เหมาะสมตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงอีกครั้งหนึ่ง และรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และภาคเอกชน ในการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้การดำเนินโครงการอย่างทั่วถึง รวมทั้งมีการพิจารณาปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินงานดังกล่าวเพื่อให้การบริหารจัดการตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๘/๕๙ เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและเป็นประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกร และควรมีการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน เพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
22166 | ขอสนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินโครงการอบรมเพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี 2558/59 และจากปัญหา ราคาสินค้าเกษตร | กษ | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการอบรมเพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ และจากปัญหาราคาสินค้าเกษตร โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาราคาสินค้าเกษตร จำนวน ๒๒๐,๕๐๐ ราย ได้รับการอบรมเพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิต (หลักสูตร ๙๐ ชั่วโมง/รุ่น รุ่นละ ๕๐ ราย จำนวน ๕ รุ่น) ภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ สถานที่ดำเนินงาน ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก. ๘๘๒ ศูนย์) ทั่วประเทศ ๗๖ จังหวัด ระยะเวลาการดำเนินงาน ตั้งแต่ ๑ กุมภาพันธ์-๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ รวม ๕ รุ่น โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยพิจารณาทบทวนแผนการดำเนินโครงการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนการดำเนินการในระดับพื้นที่ โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย พิจารณาดำเนินโครงการหรือมาตรการต่าง ๆ โดยเน้นการสร้างงานเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้ ฟื้นฟูและให้ความช่วยเหลือเกษตรกร ปรับโครงสร้างการผลิต ส่งเสริมอาชีพและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ รวมถึงการให้ความรู้ สร้างแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนทัศนคติในการประกอบอาชีพ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ครอบคลุมทั่วถึงในทุกพื้นที่ทั้งประเทศเพื่อให้การดำเนินมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ของรัฐบาลสามารถช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบได้อย่างแท้จริง ยั่งยืน และมีความต่อเนื่อง |
||||||||||||||||||||||||
22167 | ขอสนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาอาชีพเกษตรกรตามความต้องการของชุมชนเพื่อบรรเทาภัยแล้งปี 2558/59 กรณีการปลูกพืชใช้น้ำน้อย | กษ | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการตามแผนพัฒนาอาชีพเกษตรกรตามความต้องการของชุมชนเพื่อบรรเทาภัยแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ กรณีการปลูกพืชใช้น้ำน้อย โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนแผนการดำเนินโครงการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อน มีความคุ้มค่า ประหยัด มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์โดยตรงต่อเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเป็นหลัก ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการบริหารโครงการฯ ตามที่นายกรัฐมนตรีมีบัญชาเพิ่มเติมให้ “ลงรายละเอียด ประหยัดงบประมาณ เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจ/มีเงินให้ราษฎรใช้จ่าย ขณะที่มาอบรม” และควรเร่งดำเนินการโครงการฯ ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ตลอดจนติดตามสถานการณ์สภาพแวดล้อมของพื้นที่เพาะปลูก เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของพื้นที่ในขณะนั้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนการดำเนินการในระดับพื้นที่โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย พิจารณาดำเนินโครงการหรือมาตรการต่าง ๆ โดยเน้นการสร้างงานเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้ ฟื้นฟู และให้ความช่วยเหลือเกษตรกร ปรับโครงสร้างการผลิต ส่งเสริมอาชีพ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูกมาเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อยและเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ รวมถึงการให้ความรู้ สร้างแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนทัศนคติในการประกอบอาชีพ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ครอบคลุมทั่วถึงในทุกพื้นที่ทั้งประเทศ เพื่อให้การดำเนินมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ของรัฐบาลสามารถช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบได้อย่างแท้จริง ยั่งยืน และมีความต่อเนื่อง ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการดำเนินงานโดยระบุถึงกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่ในการดำเนินการและสรุปผลการดำเนินการที่ผ่านมา รวมถึงการวัดผลสัมฤทธิ์ของโครงการดังกล่าว พร้อมทั้งให้เร่งประชาสัมพันธ์แผนงานโครงการดังกล่าวให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึงตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีด้วย |
||||||||||||||||||||||||
22168 | การเข้าร่วมทุนของญี่ปุ่นในบริษัท ทวาย เอสอีแซด ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด | กค | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง ผลการประชุมคณะทำงานฝ่ายไทย-เมียนมา (Myanmar-Thailand Taskforce) เพื่อวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงินโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๒] โดยให้กระทรวงการคลัง [สำนักงานพัฒนาความร่วมมือเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.)] เข้าร่วมจัดตั้งและร่วมลงทุนในบริษัท ทวาย เอสอีแซด ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (Special Purpose Vehicle : SPV) กับหน่วยงานของญี่ปุ่นและเมียนมาในสัดส่วนการถือหุ้นเท่ากัน คือ ร้อยละ ๓๓.๓๓ ภายใต้วงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ จำนวนไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท สำหรับการเพิ่มทุนใน SPV ขอให้พิจารณาใช้เงินรายได้ของ SPV ที่ได้รับจากคณะกรรมการบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย (Dawei special Economic Zone Management Committee : DSEZMC) เป็นลำดับแรกก่อน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. เห็นชอบร่างสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของบริษัท ทวาย เอสอีแซด ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ฉบับที่ ๒ (Shareholders Agreement II Relating to Dawei SEZ Development Company Limited) มีสาระสำคัญโดยสรุปคือ ให้ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation : JBIC) สพพ. และ Foreign Economic Relations Department (FERD) ของเมียนมา ร่วมถือหุ้นใน SPV ในสัดส่วนการถือหุ้นเท่าเทียมกันคือ ร้อยละ ๓๓.๓๓ และมีจำนวนกรรมการบริหารบริษัท (Board of Directors) ฝ่ายละ ๓ คน รวมทั้งสิ้น ๙ คน และกำหนดให้จัดตั้งบริษัทลูก (Subsidiary) หรือสาขา (Branch) ของ SPV ในเมียนมา เพื่อความคล่องตัวในการปฏิบัติงานเพื่อสนับสนุนโครงการทวายระยะสมบูรณ์ ๓. เห็นชอบให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. ร่วมลงนามในร่างสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นฯ ฉบับที่ ๒ ๔. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างสัญญาฯ ฉบับที่ ๒ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. ดำเนินการได้โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการแก้ไขดังกล่าวด้วย ๕. ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการเพิ่มทุนจดทะเบียน วัตถุประสงค์หลักของธุรกิจ และระยะเวลาของสัญญา รวมทั้งการกำหนดขอบเขตการดำเนินงานและเงินทุนของ SPV ให้เหมาะสมกับบทบาทการเป็นที่ปรึกษาให้แก่ DSEZMC และการเป็นหน่วยงานบริหารจัดการโครงการทวาย สำหรับการเพิ่มทุนใน SPV ให้พิจารณาใช้เงินรายได้ของ SPV ที่ได้รับจาก DSEZMC เป็นลำดับแรกก่อน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
22169 | ขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเพื่อดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริม | กษ | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้ขยายวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมของโครงการสนับสนุนสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริม จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับการขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๗๕ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าชดเชยดอกเบี้ยให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และค่าบริหารจัดการเพิ่มเติม ปี ๒๕๕๙ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ ค่าชดเชยดอกเบี้ยให้กับ ธ.ก.ส. อัตราร้อยละ ๓ ต่อปี สำหรับการดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑๕๐ ล้านบาท และค่าชดเชยดอกเบี้ยระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๐-พ.ศ. ๒๕๖๒ ระยะเวลารวม ๓ ปี รวม ๔๕๐ ล้านบาท ให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ตามภาระที่เกิดขึ้นจริง ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ ค่าใช้จ่ายในการจัดอบรมถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรที่ได้รับสินเชื่อตามแผนการผลิต/แผนธุรกิจของการยางแห่งประเทศไทย จำนวน ๒๐ ล้านบาท ให้ใช้จากกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๔๒ ล้านบาท ที่ยังคงเหลืออยู่เป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนพัฒนายางพารา โดยดำเนินการให้สอดคล้องตามนัยของพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป ๑.๓ ค่าบริหารจัดการของกรมส่งเสริมการเกษตรและการยางแห่งประเทศไทย จำนวน ๕ ล้านบาท ให้ใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่ทั้ง ๒ หน่วยงานได้รับจัดสรร รวม ๕ ล้านบาท เป็นค่าติดตามโครงการฯ เป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้ดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในทุกช่องทางถึงตัวอย่างความสำเร็จของเกษตรกรชาวสวนยางในทุกภูมิภาคที่ได้ปรับตัวและปรับเปลี่ยนวิถีการผลิตในสวนยางอย่างหลากหลาย รวมทั้งสนับสนุนองค์ความรู้และทักษะในการจัดทำแผนธุรกิจและการทำเกษตรกรรมทางเลือก เพื่อให้เกษตรกรสามารถสร้างอาชีพเสริมหรือปรับเปลี่ยนอาชีพได้อย่างยั่งยืน โดยการให้สินเชื่อดังกล่าวต้องมีความรัดกุม เหมาะสมตามศักยภาพของเกษตรกรอย่างแท้จริง เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาหนี้สินที่ไม่สามารถชำระคืนของเกษตรกรตามมา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินโครงการโดยใช้กลไก “ประชารัฐ” ขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ รวมถึงตรวจสอบและขึ้นทะเบียนเกษตรกรชาวสวนยางที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการให้ครบถ้วน ถูกต้อง ชัดเจน พร้อมทั้งพิจารณาแนวทางการดูแลให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อตามมาตรการนี้ได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องหลักประกันและกระแสเงินสด เพื่อให้การช่วยเหลือของรัฐบาลเป็นไปอย่างทั่วถึงและครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม |
||||||||||||||||||||||||
22170 | ขอความเห็นชอบการโอนสัมปทานและการแก้ไขสัญญาของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | คค | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการโอนสัมปทานสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ ๒ สัญญาเพื่อการต่อขยายโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ ๒ (ส่วนดี) และสัญญาสัมปทานการลงทุนออกแบบก่อสร้าง บริหารจัดการ ให้บริการและบำรุงรักษาโครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ไปยังบริษัทใหม่ [บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM)] ที่เกิดจากการควบบริษัทระหว่างบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BECL) กับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BMCL) ตามพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๕๗ (๖) และเห็นชอบการแก้ไขสัญญาโดยการเปลี่ยนแปลงคู่สัญญาในสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ ๒ (ส่วนดี) สัญญาเพื่อการต่อขยายโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ ๒ และสัญญาสัมปทานการลงทุนออกแบบก่อสร้าง บริหารจัดการ ให้บริการและบำรุงรักษาโครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอก กรุงเทพมหานคร ตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ มาตรา ๔๗ ๑.๒ เห็นชอบการโอนสัมปทานสัญญาโครงการระบบรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่-ราษฎร์บูรณะ ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ สัญญาที่ ๔ สัมปทานสำหรับการลงทุน การจัดหาระบบรถไฟฟ้า การให้บริการเดินรถไฟฟ้า และซ่อมบำรุงรักษา (สถานีคลองบางไผ่-สถานีเตาปูน) ของ BMCL ไปยังบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบบริษัทระหว่าง BMCL กับ BECL ตามพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๔๙ และมาตรา ๗๕ (๗) และเห็นชอบการแก้ไขสัญญาโดยการเปลี่ยนชื่อคู่สัญญาโครงการระบบรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล และสัญญาโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่-ราษฎร์บูรณะ ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ สัญญาที่ ๔ สัมปทานสำหรับการลงทุน การจัดหาระบบรถไฟฟ้า การให้บริการเดินรถไฟฟ้า และซ่อมบำรุงรักษา (สถานีคลองบางไผ่-สถานีเตาปูน) ของ BMCL ตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ มาตรา ๔๗ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรณีมีข้อสังเกตว่าการควบบริษัท BECL กับ BMCL จะทำให้บริษัทที่เกิดขึ้นใหม่ (BEM) มีวัตถุประสงค์อื่นที่อยู่นอกเหนือวัตถุประสงค์ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ (เนื่องจาก รฟม. ถือหุ้นอยู่ใน BMCL ซึ่งจะควบรวมกับ BECL เป็นบริษัทใหม่) นั้น หากบริษัทที่จะเกิดขึ้นใหม่ (BEM) ยังคงมีวัตถุประสงค์เดิมอยู่แม้จะมีการเพิ่มเติมวัตถุประสงค์อื่น นอกเหนือจากวัตถุประสงค์เดิมก็ยังถือว่าเป็นกรณีที่สามารถดำเนินการได้โดยไม่ขัดต่อวัตถุประสงค์ของ รฟม. ส่วนประเด็นสัดส่วนการถือหุ้นของ รฟม. ใน BEM ที่จะมีสัดส่วนลดลงเมื่อเทียบกับการถือหุ้นใน BMCL นั้น เป็นเรื่องที่กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังจะต้องพิจารณาความเหมาะสม ซึ่งกระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังยืนยันว่าได้พิจารณาความเหมาะสมของเรื่องดังกล่าวแล้ว และเมื่อทำสัญญากับบริษัท BEM แล้ว การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และ รฟม. ยังคงมีสิทธิตามที่ระบุไว้ในสัญญากับ BECL และ BMCL ทุกประการ เนื่องจากตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๕๓ บัญญัติให้บริษัทที่ควบกันและจดทะเบียนแล้วย่อมได้ไปทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของบริษัทเหล่านั้นทั้งหมด ดังนั้น จึงไม่กระทบต่อการดำเนินการตามสัญญา อย่างไรก็ตาม กระทรวงคมนาคมต้องกำกับดูแล กทพ. และ รฟม. ในการแก้ไขเอกสารสัญญาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องชัดเจน และควรกำกับดูแลให้มีการพัฒนาปรับปรุงการให้บริการประชาชนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
22171 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางในการปฏิบัติงาน การติดตามและเร่งรัดการดำเนินการ และการประเมินผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ | นร | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีได้มีบัญชาให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ถือปฏิบัติเกี่ยวกับ เรื่อง แนวทางในการปฏิบัติงานการติดตามและเร่งรัดการดำเนินการ และการประเมินผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ดังนี้
๑. การแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ผ่านกลไก “ประชารัฐ” ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ดำเนินการบนหลักการการทำงานเชิงรุก โดยให้ผู้ปฏิบัติทุกระดับในสังกัดเข้าใจปัญหาที่แท้จริงและลงพื้นที่เป็นระยะเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งในการดำเนินการของรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาและการบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งต้องติดตาม ประเมินผล และรายงานความก้าวหน้าในการทำงานเป็นระยะ เช่น การแก้ไขปัญหาโรงงานขยะที่ตำบลทุ่งบัว อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหา ๒. การบูรณาการการทำงานทั้งในระดับนโยบายและระดับพื้นที่ผ่านกลไก “ประชารัฐ” ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ดำเนินการบนหลักการความมีเอกภาพ โดยการดำเนินการหรือการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ จะต้องมีการประสานงานเพื่อหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้มีความชัดเจนเพื่อให้การดำเนินการสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน และการบังคับใช้กฎหมายต้องมีการบูรณาการ มิใช่ต่างคนต่างถือกฎหมายของตนเองเป็นหลัก เช่น ๒.๑ การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุ การตรวจสอบรถที่บรรทุกน้ำหนักเกิน ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม ๒.๒ การตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยของเสียสู่ชุมชนและแหล่งน้ำ และการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ การเร่งรัดการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอย ให้กระทรวงอุตสาหกรรมบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๓. การประเมินผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงาน ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปรับปรุงการประเมินผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ โดยประเด็นสำคัญที่ควรใช้ประกอบการประเมิน เช่น การมีวิสัยทัศน์ การทำงานเชิงรุก ประสิทธิภาพทั้งงานตามพันธกิจ และการขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมาย ผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนของประชาชน ความพึงพอใจของประชาชน ผลงานที่ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อส่วนรวมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมทั้งความประพฤติตนของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ ให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประกอบการประเมินผลในเดือนเมษายน ๒๕๕๙
|
||||||||||||||||||||||||
22172 | การแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา และผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2558 | นร11 | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาเสนอ ดังนี้
๑. การแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๑๔/๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ลงวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่เสนอแนะนโยบาย แนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษา การยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ตามนโยบายรัฐบาล และแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งกำกับดูแล ติดตาม และบูรณาการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินนโยบายและการดำเนินงานพัฒนาการศึกษา เพื่อให้การขับเคลื่อนการพัฒนายกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้มีความสอดคล้องอย่างเป็นระบบ เป็นเอกภาพ เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล ๒. ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา กรอบแนวคิดในการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ การเปรียบเทียบการจัดการศึกษาของประเทศไทยกับประเทศที่มีผลการจัดการศึกษาได้ดี และการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล
|
||||||||||||||||||||||||
22173 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 44/2558 เรื่อง การแก้ไขปัญหา การบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจ | สลธ.คสช. | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๔/๒๕๕๘ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการบริหารงานของบุคคลของข้าราชการตำรวจ ลงวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปในด้านการบริหารราชการแผ่นดินและกระบวนการยุติธรรม ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
22174 | การกำหนดประเด็นการปฏิรูปประเทศ | นร11 | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้มีหนังสือถึงรองประธานกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินทั้ง ๖ คณะ ได้แก่ (๑) คณะที่ ๑ คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบการศึกษา (๒) คณะที่ ๒ คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง การลงทุนภาครัฐ และโครงสร้างพื้นฐาน (๓) คณะที่ ๓ คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านระบบราชการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และสร้างความปรองดองสมานฉันท์ (๔) คณะที่ ๔ คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุข (๕) คณะที่ ๕ คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำ การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ และ (๖) คณะที่ ๖ คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และการกีฬา เพื่อนำเรียนแนวทางการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การกำหนดประเด็นการปฏิรูปประเทศ) พร้อมทั้งขอความอนุเคราะห์ในการจัดส่งประเด็นการขับเคลื่อนและการปฏิรูป มายังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ภายในวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ เพื่อประมวลและนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๒ จากการประสานไปยังคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินแต่ละคณะ พบว่า ส่วนใหญ่อยู่ระหว่างการยกร่างประเด็นการปฏิรูปประเทศเพื่อนำเสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินแต่ละคณะพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อให้การกำหนดกรอบการดำเนินการเป็นไปอย่างรอบคอบและมีเอกภาพ ทั้งนี้ ปัจจุบันร่างคำสั่งแต่งตั้งองค์ประกอบของคณะกรรมการแต่ละคณะอยู่ระหว่างนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติชี้แจงสื่อมวลชนและสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศว่า รัฐบาลจะร่วมมือกับสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศในการปฏิรูปประเทศระยะที่ ๑ โดยรับข้อพิจารณาของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศมาเป็นแนวทางในการปฏิรูปประเทศระยะที่ ๑ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป สำหรับการปฏิรูปประเทศในระยะที่ ๒ และระยะที่ ๓ ให้ส่งต่อแนวทางการปฏิรูปประเทศของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศให้รัฐบาลชุดใหม่เพื่อดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
22175 | การให้สิทธิประโยชน์ด้านการค้าบริการแก่กลุ่มประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) ภายใต้ WTO (เอกสารไม่สมบูรณ์) | พณ | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบบัญชีสิทธิประโยชน์ด้านการค้าบริการของไทยสำหรับประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (Least Developed Countries : LDCs) ภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับ ๖ สาขาย่อย ได้แก่ (๑) บริการสถานที่สำหรับกางเต็นท์พักแรม (๒) บริการด้านสวนสนุกและสถานพักผ่อนหย่อนใจ (๓) บริการโรงเรียนสอนภาษาต่างประเทศ (๔) บริการบ้านพักหรือศูนย์สำหรับวันหยุด (๕) บริการตัวแทนเดินทะเล และ (๖) บริการรับจัดการสินค้าขนส่งทางทะเล ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมสมาชิกที่เป็นประเทศ LDGs ให้มีโอกาสที่จะเข้าสู่ตลาดการค้าบริการได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการให้สิทธิประโยชน์กับเมียนมา กัมพูชา และลาว ซึ่งเป็นสมาชิก WTO ในฐานะ LDCs และสมาชิกอาเซียนด้วย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์หารือกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็นที่จะต้องเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ด้วย หรือไม่ ทั้งนี้ กรณีที่ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ให้กระทรวงพาณิชย์ยื่นบัญชีสิทธิประโยชน์ดังกล่าวต่อองค์การการค้าโลก (WTO) แต่หากกรณีบัญชีสิทธิประโยชน์ฯ เป็นหนังสือสัญญาที่จะต้องดำเนินการขอความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ให้เสนอคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป และเมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบบัญชีสิทธิประโยชน์ฯ แล้ว ให้กระทรวงพาณิชย์ยื่นบัญชีสิทธิประโยชน์ดังกล่าวต่อ WTO โดยทั้ง ๒ กรณีให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ก่อนจะแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันตามพันธกรณีต่อไป และในกรณีที่มีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในบัญชีสิทธิประโยชน์ดังกล่าว ให้กระทรวงพาณิชย์ใช้ดุลยพินิจในการปรับปรุงแก้ไขได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ ทั้งนี้ ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรีด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
22176 | การแต่งตั้งผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา (นักบริหารสูง) (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายปกรณ์ นิลประพันธ์) | นร09 | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายปกรณ์ นิลประพันธ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคำสั่งให้รักษาราชการแทนในตำแหน่งดังกล่าว เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
22177 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) (นายกัลยาณะ วิภัติภูมิประเทศ) | กต | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายกัลยาณะ วิภัติภูมิประเทศ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูตระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงตริโปลี รัฐลิเบีย โดยปฏิบัติราชการที่กระทรวงการต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
22178 | ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) (นางสาวมาลี วงศาโรจน์) | ทก | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวมาลี วงศาโรจน์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางสาววิไลลักษณ์ ชุลีวัฒนกุล ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||
22179 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม) (นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ) | ยธ | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ผู้ครองตำแหน่งอยู่เดิมลาออกจากราชการเพื่อไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ (กรรมการ ป.ป.ช.) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
22180 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน (จำนวน 10 คน) (1. นายกุลิศ สมบัติศิริ ฯลฯ) | กค | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน จำนวนรวม ๑๐ คน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ ธันวาคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายกุลิศ สมบัติศิริ ประธานกรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) ๒. นายประภาศ คงเอียด กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) ๓. นายสุทธิชัย สังขมณี กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) ๔. นายพิพัฒน์ ขันทอ กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) ๕. นายพิษณุ วิชิตชลชัย กรรมการ ๖. นางวรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการ ๗. นายเจษฎา พรหมจาต กรรมการ ๘. นางสาวสมพิศ เจริญเกียรติกุล กรรมการ ๙. นางปรารถนา มงคลกุล กรรมการ ๑๐. นายชูศักดิ์ สาลี กรรมการ
|
.....