ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1103 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 22041 - 22060 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
22041 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) (จำนวน 3 ราย 1. นายบรรสาน บุนนาค ฯลฯ) | กต | 24/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน ในจำนวนนี้เป็นการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ จำนวน ๒ ราย ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นายบรรสาน บุนนาค ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ๒. นายธงชัย ชาสวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ๓. นายวราวุธ ชูวิรัช ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการกงสุล
|
||||||||||||||||||
22042 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) (จำนวน 3 ราย 1. นางบุษยา มาทแล็ง ฯลฯ) | กต | 24/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นางบุษยา มาทแล็ง ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม ๒. นางรัตติกุล จันทร์สุริยา ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน ๓. นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี
|
||||||||||||||||||
22043 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม | อก | 24/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นลำดับที่ ๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมหรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้
|
||||||||||||||||||
22044 | ขอรับการจัดสรรเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (สำนักงานอัยการสูงสุด) | นร07 | 24/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงบประมาณเสนอว่า นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มาบรรจุข้าราชการฝ่ายอัยการ จำนวน ๖๐๐ อัตรา ระยะเวลา ๓ เดือน กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๙ ในวงเงิน ๔๔,๔๘๕,๐๐๐ บาท ก่อน ซึ่งการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีไปตั้งจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากร เพื่อกำหนดอัตราเงินเดือนตั้งใหม่เป็นอำนาจของอัยการสูงสุด ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ข้อ ๑๗ และหากไม่เพียงพอก็ให้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น หรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ต่อไป
|
||||||||||||||||||
22045 | การเสนอรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อให้เป็นประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 24/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ซึ่งเห็นชอบรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อให้เป็นประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ จำนวน ๕ ราย และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ดังนี้
๑. นายกิตติ ลิ้มชัยกิจ ประธานกรรมการ ๒. นายจีระรัตน์ นพวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการ ๓. พลตำรวจเอก จรัมพร สุระมณี กรรมการ ๔. พลเอก ชัยรัตน์ ชีระพันธุ์ กรรมการ ๕. นายอนุสิษฐ คุณากร กรรมการ
|
||||||||||||||||||
22046 | การกำหนดประเด็นการปฏิรูปประเทศ | นร | 24/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รายงานว่า ประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศประสานขอให้รัฐบาลกำหนดประเด็นวาระการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ ๑๒ ด้าน เพื่อให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศนำไปประกอบการพิจารณาดำเนินการเพื่อให้การปฏิรูปสอดคล้องกับทิศทางการดำเนินการของรัฐบาลต่อไป นอกจากนี้ ได้ประสานกรอบการดำเนินการในการบริหารราชการแผ่นดินและการปฏิรูปประเทศของคณะรัฐมนตรี (Roadmap) ซึ่งแบ่งออกเป็น ๔ ระยะ ให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศปรับกรอบการดำเนินการให้สอดคล้องด้วยแล้ว ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรีทุกท่านในฐานะรองประธานกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินทั้ง ๖ คณะ พิจารณากลั่นกรองประเด็นวาระการปฏิรูปในขอบเขตความรับผิดชอบเพื่อส่งให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศใช้เป็นกรอบในการดำเนินการปฏิรูปเพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินการปฏิรูปของรัฐบาล โดยให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อรวบรวมและสรุปให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ ก่อนส่งให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป
|
||||||||||||||||||
22047 | การเตรียมการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา 5 ธันวาคม 2558 | นร | 24/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๘ พรรษา ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ จึงเห็นควรให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ และภาคประชาชน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเตรียมการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติและถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสดังกล่าวอย่างสมพระเกียรติ
|
||||||||||||||||||
22048 | การเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 23 ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 27 และการประชุมสุดยอดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ของนายกรัฐมนตรี | กต | 24/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการเข้าร่วมการประชุม ของนายกรัฐมนตรี สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๓ ระหว่างวันที่ ๑๘-๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ๑.๑ สาระสำคัญของการประชุมแบ่งเป็น ๒ วาระ ๑.๑.๑ วาระที่ ๑ : การเติบโตอย่างครอบคลุม (Inclusive Growth) ผ่านเศรษฐกิจที่บูรณาการ ฝ่ายไทยได้ผลักดันประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การเจริญเติบโตที่มีคุณภาพและการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย (๒) การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบการจัดทำความตกลงการค้าเสรีของเอเชีย-แปซิฟิก (Free Trade Agreement for Asia-Pacific : FTAAP) (๓) การสร้างความเข้มแข็งจากภายในของแต่ละเขตเศรษฐกิจโดยการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ และ (๔) การเติบโตโดยก้าวเดินหน้าไปพร้อมกัน ๑.๑.๒ วาระที่ ๒ : การเติบโตอย่างครอบคลุมผ่านชุมชนที่ยั่งยืนและยืดหยุ่น ฝ่ายไทยได้เสนอประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การลงทุนเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (๒) การพัฒนาคุณภาพการศึกษาทั้งในด้านคุณธรรม จริยธรรม และด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (๓) การสร้างสังคมที่เท่าเทียมและไม่ทอดทิ้งผู้ด้อยโอกาส และ (๔) การเตรียมรับมือกับความท้าทายในอนาคต เช่น ความมั่นคงทางอาหาร พลังงาน และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เป็นต้น ๑.๒ การประชุมเอเปคครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญ คือ การสร้างโอกาสเพื่อให้ทุกคนได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง ภายใต้แนวคิด “การเติบโตอย่างครอบคลุม หรือ Inclusive Growth” โดยฝ่ายไทยได้นำเสนอปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งสอดคล้องกับวาระการพัฒนาอย่างยั่งยืน ปี ค.ศ. ๒๐๓๐ (Sustainable Development Goals : SDGs) ของสหประชาชาติ ทั้งนี้ ในปี ๒๕๕๙ ประเทศไทย ในฐานะประธานกลุ่ม G77 จะผลักดันวาระการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างเต็มที่ ๑.๓ นายกรัฐมนตรีได้หารือทวิภาคีกับผู้นำปาปัวนิวกินี สาธารณรัฐโคลอมเบีย สหพันธรัฐรัสเซีย เขตบริหารพิเศษฮ่องกง และสาธารณรัฐเปรู และได้พบปะสนทนากับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกายืนยันว่า ยินดีที่จะสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตย รวมทั้งได้หารือกับกลุ่มพันธมิตรแปซิฟิก (Pacific Alliance) ในประเด็นความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน และความร่วมมือระดับประชาชน ทั้งนี้ ประเทศไทยได้เข้าเป็นประเทศผู้สังเกตการณ์ของกลุ่ม Pacific Alliance โดยในปี ๒๕๕๙ จะปฏิบัติหน้าที่ประเทศผู้ประสานงานของอาเซียนกับกลุ่มดังกล่าว และได้หารือกับผู้แทนสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (APEC Business Advisory Council : ABAC) ถึงการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และผู้ประกอบการรายย่อย ๒. การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๗ และการประชุมสุดยอดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ๒.๑ ผู้นำทั้ง ๑๐ ประเทศได้ประกาศเจตนารมณ์แสดงความพร้อมจัดตั้งประชาคมอาเซียนอย่างเป็นทางการในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ รวมทั้งได้มีการประกาศวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ และแผนงานประชาคมอาเซียนทั้งสามเสา (ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน) ระยะ ๑๐ ปี ระหว่างปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ นอกจากนี้ อาเซียนยังได้ประชุมกับประเทศคู่เจรจาที่มีบทบาทสำคัญ อาทิ สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐอินเดีย และสหประชาชาติ โดยได้ยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับสหรัฐอเมริกาและประเทศนิวซีแลนด์ด้วย ในโอกาสนี้ ประเทศไทยได้ผลักดันทิศทางประชาคมอาเซียนให้มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ประชาชนทุกคนก้าวหน้าไปด้วยกัน และทุกภาคส่วนได้รับประโยชน์เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนร่วมกัน โดยจะแสวงหาความร่วมมือเพื่อรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวและการเชื่อมโยงในภูมิภาค อาทิ ปัญหาหมอกควันข้ามแดน ยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ ภัยพิบัติ การโยกย้ายถิ่นฐานอย่างไม่ปกติ และอาชญากรรมออนไลน์ รวมทั้งส่งเสริมความเป็นเอกภาพและความแข็งแกร่งจากภายในของอาเซียน เพื่อให้อาเซียนสามารถเป็นแกนกลางในภูมิภาคในการรับมือกับประเด็นท้าทายต่าง ๆ ทั้งในและนอกภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ๒.๒ นายกรัฐมนตรีได้หารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และได้หารืออย่างไม่เป็นทางการกับนายกรัฐมนตรีเวียดนามและนายกรัฐมนตรีอินเดีย นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ด้วย
|
||||||||||||||||||
22049 | การเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการระหว่างไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 2 | นร | 24/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการระหว่างไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๒ ที่จะมีขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ในการกำหนดประเด็นการเจรจาให้เป็นไปตามแนวทางที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ด้านการต่างประเทศ ที่มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการจัดการประชุมร่วมในระดับคณะรัฐมนตรีกับประเทศกลุ่มเป้าหมายทางเศรษฐกิจ (เช่น สหพันธรัฐรัสเซีย สิงคโปร์) เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้า เพิ่มบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก รวมทั้งพิจารณาการจัดทำข้อตกลงร่วมทางด้านการค้า (เช่น การแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรของไทยกับสินค้าของประเทศกลุ่มเป้าหมาย) และความร่วมมือด้านต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทย
|
||||||||||||||||||
22050 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | อื่นๆ | 24/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ๒. เห็นชอบให้รับร่างพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. .... (นายมณเฑียร บุญตัน กับคณะ เป็นผู้เสนอ) มาพิจารณาก่อนรับหลักการและส่งคืนร่างพระราชบัญญัติฯ พร้อมข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีอย่างน้อย ๒๐ วันนับแต่ได้รับแจ้งจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ๓. เห็นชอบรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ จำนวน ๕ คน และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๔. เห็นชอบการเสนอขอแก้ไขชื่อ “ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม พ.ศ. ....” เป็น “ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พ.ศ. ....” ตามที่ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม พ.ศ. .... สภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ เพื่อให้สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติและอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พร้อมให้แก้ไขเนื้อหาของร่างพระราชบัญญัตินี้ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
|
||||||||||||||||||
22051 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒธรรม พ.ศ. ..... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 24/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเสนอขอแก้ไขชื่อ “ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม พ.ศ. ....” เป็น “ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พ.ศ. ....” ตามที่ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม พ.ศ. .... สภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ เพื่อให้สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติและอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พร้อมให้แก้ไขเนื้อหาของร่างพระราชบัญญัตินี้ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
|
||||||||||||||||||
22052 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 24/11/2558 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เร่งรัดการเจรจาในระดับผู้นำเกี่ยวกับการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างไทย-สาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของไทยให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว และให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการได้โดยเร็วต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้เร่งดำเนินการเพิ่มแหล่งการทำประมงในเขตประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ทะเล ซึ่งได้มีการเจรจาความร่วมมือด้านประมงไว้แล้ว เช่น บรูไนดารุสซาลาม กินี ศรีลังกา รวมทั้งให้พิจารณาดำเนินการทำประมงร่วมกับเวียดนามซึ่งมีความสนใจที่จะจัดทำความร่วมมือในเรื่องดังกล่าวกับไทยให้เกิดผลโดยเร็วต่อไปด้วย ๑.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงระบบการบริหารจัดการกองทุนและการกำกับติดตามการบริหารจัดการหนี้ ตลอดจนแก้ไขปัญหาการค้างชำระหนี้ของผู้กู้ยืมเงินกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และกำหนดแนวทางการดำเนินการสำหรับผู้กู้ยืมรายใหม่ให้มีความชัดเจน เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นเร่งด่วนอาจพิจารณาดำเนินการโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ๒. ด้านการต่างประเทศ ๒.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย รัสเซีย สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ๒.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศชี้แจงสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์การสหประชาชาติ สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการดำเนินการของไทยในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนว่าเป็นการดำเนินการภายใต้สนธิสัญญา ข้อตกลงระหว่างรัฐต่อรัฐ หรือกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ส่วนการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นการดำเนินการที่อยู่บนพื้นฐานของกฎหมายและปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน ตลอดจนเหตุผลความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐในการใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศให้เป็นไปอย่างยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดทำแผนปฏิบัติการและประเด็นภารกิจสำคัญสำหรับส่งต่อรัฐบาลต่อไปตามกรอบระยะเวลา (Roadmap) การบริหารราชการแผ่นดินและการปฏิรูปประเทศของรัฐบาล โดยให้ส่งข้อมูลดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ เพื่อรวบรวมนำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป ๓.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจัดให้มีหน่วยส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในระดับพื้นที่เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในพื้นที่ต่อไป ๓.๓ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นหน่วยงานหลักประสานกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ SMEs รายย่อยในประเทศไทย ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี โดยให้รายงานผลการดำเนินการให้นายกรัฐมนตรีทราบทุก ๓ เดือนด้วย ๓.๔ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณากำหนดแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างระบบราชการ การบริหารจัดการ หรือการประเมินผลส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้ระบบราชการมีประสิทธิภาพและสามารถเป็นกลไกในการขับเคลื่อนประเทศในระยะยาวต่อไป โดยหากจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะได้นำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป ๓.๕ ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการศึกษาเปรียบเทียบระบบการศึกษาในระดับต่าง ๆ ที่มีคุณภาพของต่างประเทศ เช่น ประเทศสิงคโปร์ในระดับปฐมวัย ประเทศเกาหลีใต้ในระดับอาชีวศึกษา และประเทศฟินแลนด์ในระดับอุดมศึกษา เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการศึกษาของไทย โดยให้เชิญนักวิชาการ/ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศที่มีศักยภาพทางวิทยาการด้านต่าง ๆ มาร่วมหารือ ให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อนำไปประกอบการกำหนดแนวทางการพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้จัดทำรายงานสรุปเสนอนายกรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ๓.๖ ให้กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมนักเรียนนักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาทใช้ความรุนแรงโดยด่วน รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการลงโทษผู้กระทำความผิดในกรณีดังกล่าวให้เกิดความเหมาะสมต่อไปด้วย ๓.๗ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคมทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด เช่น การจัดพื้นที่ของทางราชการที่ไม่มีการใช้ประโยชน์เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประกอบอาชีพหรือเป็นที่อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราว นั้น ให้เพิ่มเติมกระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาพื้นที่สำหรับประกอบอาชีพค้าขายในวันเสาร์-อาทิตย์ หรือจัดหาพื้นที่เปิดตลาดกลางคืน ถนนคนเดิน ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคมดังกล่าวด้วย โดยให้จัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับเงื่อนไขในการใช้พื้นที่ให้เกิดความชัดเจนต่อไป ทั้งนี้ ให้มีผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||
22053 | การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี | นร05 | 24/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดแนวทางการเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ โดยให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับให้ส่วนราชการถือปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวโดยเคร่งครัดต่อไป ดังนี้
๑. กรณีเรื่องทั่วไปที่เป็นเรื่องเร่งด่วน ให้ส่วนราชการส่งเรื่องให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอย่างน้อย ๗ วัน ก่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรี ๒. กรณีเรื่องกฎหมายที่เป็นเรื่องด่วน ให้ส่วนราชการส่งเรื่องให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอย่างน้อย ๑๐ วัน ก่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรี ๓. หากส่วนราชการมีความจำเป็นต้องเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นเรื่องเร่งด่วนนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ตามข้อ ๑ และ ๒ ส่วนราชการจะต้องชี้แจงเหตุผล ความจำเป็น และสาเหตุที่ไม่สามารถเสนอเรื่องภายในกำหนดเวลาในหนังสือเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีให้ครบถ้วน รวมทั้งให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดรับผิดชอบในการตรวจสอบข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งหารือส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนก่อนส่งเรื่องให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในวันศุกร์ก่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการต่อไป ๔. กรณีเรื่องขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้ส่วนราชการเสนอเรื่องให้สำนักงบประมาณดำเนินการเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาก่อนตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ โดยเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||
22054 | รายงานการปฏิบัติภารกิจต่างประเทศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก | 24/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานเกี่ยวกับการเดินทางไปประชุมร่วมกับ United Nations World Tourism Organization (UNWTO) ณ สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๘ และการร่วมงาน World Travel Mart ณ สหราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ ๒-๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การเปิดตลาดเอเชียใต้ บังกลาเทศ เชื่อมโยงการท่องเที่ยวเมืองพุทธ องค์การการท่องเที่ยวโลก (UNWTO) ได้เสนอแนวคิดเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวเอเชียใต้กับอาเซียน เส้นทางพุทธศาสนาระหว่างสาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ราชอาณาจักรเนปาล ราชอาณาจักรภูฏาน และสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ไปสู่อาเซียน เนื่องจากมีประชากรนับถือศาสนาพุทธเป็นจำนวนมาก เป็นการเสริมสร้างการท่องเที่ยวให้แก่เอเชียใต้และการท่องเที่ยวแนวพุทธศาสนาซึ่งเป็นตลาดที่มีคุณภาพของประเทศไทยและอาเซียน ๑.๒ การพัฒนาตลาดยุโรป สหราชอาณาจักร โดยแบ่งเป็น ๒ กลุ่มหลัก คือ (๑) สร้างกลุ่มนักท่องเที่ยวใหม่โดยเจาะตลาดเมืองรอง เช่น แมนเชสเตอร์ และเบอร์มิ่งแฮม เป็นต้น และ (๒) รักษานักท่องเที่ยวที่มาซ้ำโดยนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ กิจกรรมใหม่ ๆ ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้นำเสนอ ๑๒ เมืองต้องห้ามพลาดเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นกลุ่มเมืองที่มีเสน่ห์ มีอัตลักษณ์ และวิถีท้องถิ่นที่น่าสนใจ รวมทั้งแนะนำกิจกรรมการท่องเที่ยวใหม่ ๆ เชิงกีฬาและแหล่งท่องเที่ยวสำหรับผู้หญิง (Ladies Destination) ๑.๓ การรีแบรนด์การท่องเที่ยวไทย โดยเน้นจุดขายที่แท้จริงในการดึงนักท่องเที่ยวให้กลับมาเที่ยวประเทศไทย คือ ความเป็นมิตรและการท่องเที่ยววิถีไทย ทั้งนี้ ได้มีการเบิดตัวโลโก้ใหม่ของ Amazing Thailand เป็นรูปดวงตา รอยยิ้ม และสีสันสดใส เพื่อสะท้อนถึงมิตรภาพความเป็นเพื่อนแท้ของคนไทย ๑.๔ เปิดตัวสินค้าใหม่ ได้แก่ (๑) การท่องเที่ยวเชิงกีฬา “Sport Tourism” เพื่อผลักดันให้ไทยเป็น Sport Destination ตามแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวไทย ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ และเป็นการออกตัวสินค้าการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในงานระดับโลก World Travel Mart โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยร่วมกับการกีฬาแห่งประเทศไทยนำเสนอโอกาสในการท่องเที่ยวเชิงกีฬาแก่นักท่องเที่ยวที่สนใจกีฬาให้มาเล่นกีฬาหรือมาชมกีฬาในประเทศไทย และ (๒) การเสนอแหล่งท่องเที่ยวเพื่อผู้หญิง “Ladies Journey” โดยมีการเสนอสินค้าท่องเที่ยวรูปแบบใหม่เพื่อเพิ่มนักท่องเที่ยวผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงทำงานที่มีแนวโน้มการใช้จ่ายสูงกว่าผู้ชาย มีการเชื่อมโยงสินค้าที่เหมาะกับผู้หญิง ได้แก่ การเสริมความงาม สปา สอนทำอาหารไทย สอนรำไทย สอนมวยไทย สอนนั่งสมาธิในวัด และพาไปแหล่งซื้อของโดยเฉพาะหัตถกรรมไทย เป็นต้น ๒. มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องศึกษาและกำหนดแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวทั้งทางบก ทางอากาศ และทางทะเล เพื่อส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและก่อให้เกิดรายได้แก่ประเทศในระยะยาว
|
||||||||||||||||||
22055 | การประชุมคณะรัฐมนตรี (วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2558) | นร | 24/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๑ (COP 21) และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๑๑ (CMP 11) ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน-๒ ธันวาคม ๒๕๕๘ ดังนั้น ในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) จะทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมแทน ทั้งนี้ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๑๙/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๘ เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนกัน
|
||||||||||||||||||
22056 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารหอพักนิสิต แพทย์ พยาบาล และบุคลากรสาธารณสุข โรงพยาบาลชลประทาน ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ | ศธ | 17/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างและดำเนินการ รายการอาคารหอพักนิสิต แพทย์ พยาบาล และบุคลากรสาธารณสุขโรงพยาบาลชลประทาน ภายในกรอบวงเงิน ๕๑๑,๕๕๘,๘๐๐ บาท ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ เป็นกรณีเฉพาะราย แต่เนื่องจากรายการก่อสร้างดังกล่าวมีการปรับแบบรูปรายการนอกเหนือจากที่ตั้งงบประมาณไว้ อาทิ ระบบเครื่องปรับอากาศ และราคาค่าก่อสร้างค่อนข้างสูง จึงเห็นสมควรที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒจะต้องพิจารณาทบทวนรายละเอียดของแบบรูปรายการและวงเงินค่าก่อสร้างอีกครั้ง โดยคำนึงถึงความประหยัดและประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณก่อนประกวดราคาต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการกำกับ ติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด และคำนึงถึงความจำเป็นและความเหมาะสมของการใช้งบประมาณให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
22057 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พ.ศ. .... และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พ.ศ. .... พิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 17/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พ.ศ. .... และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พ.ศ. .... พิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการพิจารณาพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจะต้องดำเนินกระบวนการพิจารณาด้วยความรวดเร็วและเป็นมาตรฐานสากล ส่วนการคัดเลือกผู้พิพากษามาปฏิบัติหน้าที่ควรยึดความรู้ความเชี่ยวชาญในคดีชำนัญพิเศษที่เกี่ยวข้องเป็นสำคัญ และการจัดตั้งหรือเปิดทำการของศาลยุติธรรมในแต่ละแห่ง สำนักงานศาลยุติธรรมและคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติควรร่วมกันเร่งรัดดำเนินการให้มีการบริหารจัดการ การประสานงาน และบูรณาการเพื่อเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านการจัดเตรียมที่ดิน อาคารสถานที่ อัตรากำลัง และงบประมาณเพื่อรองรับการจัดตั้งหรือเปิดทำการของศาลดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพต่อไป ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ พิจารณาเป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. มอบหมายให้สำนักงานศาลยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงยุติธรรมเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
22058 | รายงานผลการดำเนินการตามประเด็นสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รอบ 12 เดือน (ตุลาคม 2557 - กันยายน 2558) | พณ | 17/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามประเด็นสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รอบ ๑๒ เดือน (ตุลาคม ๒๕๕๗-กันยายน ๒๕๕๘) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ภาพรวมการเบิกจ่าย ณ สิ้นไตรมาสที่ ๔ เบิกจ่ายได้ ๑๑,๕๑๐.๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๒ ของงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร และเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุน ณ สิ้นไตรมาสที่ ๔ จำนวน ๓๗๑.๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๔ ของงบประมาณรายจ่ายลงทุนที่ได้รับจัดสรร ๒. การเจรจาหรือทำความตกลงระหว่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาภายใต้กรอบอาเซียน การเจรจาภายใต้กรอบการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) การเจรจาภายใต้กรอบเอเปค การประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) และการหารือทวิภาคี ๓. การแก้ไขปัญหาราคาข้าวและการระบายข้าว ได้ขยายตลาดการส่งออกข้าวไปยังประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางการระบายข้าว และตรวจสอบคุณสมบัติผู้ประกอบการ การทำสัญญาให้รัดกุมและกำหนดหลักเกณฑ์การรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร ๔. การแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตรที่กำลังออกตามฤดูกาล มีการจัดตั้งศูนย์การช่วยเหลือผลิตผลทางการเกษตรระดับจังหวัด ดูแลราคาและบริหารจัดการผลผลิตที่ออกสู่ตลาดตามฤดูกาล และส่งเสริมการแข่งขันและขยายตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคอื่น ๆ โดยพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้รักษาคุณภาพ ความสดใหม่ได้นาน ๕. การให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprise : SMEs) ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือผ่านโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ ส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs Pro-active) สร้างองค์ความรู้การประกอบธุรกิจ (Entrepreneurship) สร้างระบบการบริหารจัดการที่ดี (Standard and Governance) และสร้างโอกาสการตลาดและขยายเครือข่ายทางธุรกิจ (Marketing and Networking) ๖. เรื่องอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อประเทศชาติและประชาชน ได้แก่ การดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและค่าครองชีพ การลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชน และการสนับสนุนการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
|
||||||||||||||||||
22059 | รายงานการดำเนินงานแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ และมัคคุเทศก์ขาดแคลน | กก | 17/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ และมัคคุเทศก์ขาดแคลน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ซึ่งเป็นการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาให้คำแนะนำช่วยเหลือนักท่องเที่ยว และประสานงานให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ สรุปได้ ดังนี้
๑. การแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ ๑.๑ ร่วมกับกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยวตรวจสอบผู้ประกอบธุรกิจและมัคคุเทศก์ที่ไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน (ไกด์เถื่อน) พบผู้กระทำความผิด จำนวน ๔๔ ราย ซึ่งได้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดและขยายผลไปยังบริษัทนำเที่ยวที่ใช้ไกด์เถื่อน พบผู้กระทำความผิด จำนวน ๖ ราย จึงได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ๑.๒ ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม และกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว แก้ปัญหาการประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (nominee) พบผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวที่เข้าข่ายประกอบธุรกิจท่องเที่ยวโดยใช้คนไทยเป็นตัวอำพราง (nominee) จำนวน ๖ ราย ซึ่งได้ดำเนินการส่งรายชื่อให้แก่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการจดทะเบียนบริษัท และเมื่อพบมูลความผิดจะดำเนินการส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการต่อไป ๑.๓ จัดอาสาสมัครช่วยเหลือนักท่องเที่ยว ๕ แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ เชียงราย ชลบุรี และภูเก็ต เพื่อให้คำแนะนำช่วยเหลือนักท่องเที่ยว และประสานงานให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๒. การแก้ไขปัญหามัคคุเทศก์ขาดแคลน ๒.๑ ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามความร่วมมือในการผลิตมัคคุเทศก์ โดยเพิ่มเติมคุณสมบัติตามมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. ๒๕๕๑ เพื่อให้ผู้จบการศึกษาด้านการท่องเที่ยวในระดับ ปวส. และอนุปริญญาสามารถรับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ประเภททั่วไปได้ ๒.๒ จัดทำโครงการสร้างเสริมสมรรถนะและพัฒนาศักยภาพด้านภาษาต่างประเทศให้แก่มัคคุเทศก์และบุคลากรด้านการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและการพัฒนามัคคุเทศก์ให้มีทักษะด้านภาษาในการปฏิบัติหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในการอบรมภาษารัสเซีย จีน เวียดนาม มลายู เมียนมา ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย เกาหลี และอังกฤษ จำนวน ๙ ภาษา ๒.๓ จัดการฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพให้แก่มัคคุเทศก์ในเรื่องการนำเที่ยวตามรอยวิถีไทยเพื่อเสริมสมรรถนะ องค์ความรู้ ทักษะ ความสามารถในการทำงานให้แก่มัคคุเทศก์ รวมถึงเป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว สามารถให้บริการนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๔ ดำเนินการแก้ไขปัญหามัคคุเทศก์ภาษาเกาหลีขาดแคลนระยะสั้น โดยจัดอบรมให้แก่ชาวเกาหลีในด้านทัศนคติที่ดีต่อประเทศไทย เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานให้แก่นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีเท่านั้น และร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวใช้การเรียนรู้โดยการทำงาน (learning by doing) ร่วมกับการใช้ผู้ประสานงานต่างชาติสอนมัคคุเทศก์ไทย (coaching) เพื่อให้มัคคุเทศก์ไทยได้ฝึกภาษาและเรียนรู้การทำงานและทดลองปฏิบัติหน้าที่บนรถ ๒.๕ ร่วมกับสำนักพระราชวังดำเนินการฝึกอบรมผู้ที่ได้รับใบอนุญาตมัคคุเทศก์เฉพาะ (ต่างประเทศ-เฉพาะพื้นที่) เพื่อพัฒนาศักยภาพมัคคุเทศก์สำหรับปฏิบัติงานในเขตพระบรมมหาราชวัง ในการยกระดับความรู้ ความสามารถ และการให้บริการของมัคคุเทศก์
|
||||||||||||||||||
22060 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ขอให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีกล่าวอ้างว่าพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่อำเภอพุนพิน อำเภอท่าขนอน กิ่งอำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอเมืองพังงา อำเภอ ท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา และอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ เพื่อสร้างทางรถไฟ พุทธศักราช 2488 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 | คค | 17/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ขอให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีกล่าวอ้างว่าพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่อำเภอพุนพิน อำเภอท่าขนอน กิ่งอำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอเมืองพังงา อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา และอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ เพื่อสร้างทางรถไฟ พุทธศักราช ๒๔๘๘ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงคมนาคมได้เสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ฉบับใหม่ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำหรับบทบัญญัติว่าด้วยการคืนทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของการเวนคืนภายในกำหนดระยะเวลานั้น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าควรรอรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่กำลังยกร่างว่าบทบัญญัติเกี่ยวกับการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์กำหนดให้ต้องคืนทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ภายในระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ เพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญต่อไป ๒. พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่อำเภอพุนพิน อำเภอท่าขนอน กิ่งอำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอเมืองพังงา อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา และอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ เพื่อสร้างทางรถไฟ พุทธศักราช ๒๔๘๘ ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ ซึ่งเป็นกฎหมายกลางในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการเวนคืน ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้ให้สิทธิผู้ถูกเวนคืนที่จะร้องขอคืนทรัพย์สินที่ถูกเวนคืนจากการรถไฟแห่งประเทศไทยหากไม่ได้ใช้ตามวัตถุประสงค์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น พระราชบัญญัติการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯ เพื่อสร้างทางรถไฟดังกล่าว จึงไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
|
.....