ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1110 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 22181 - 22200 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
22181 | การแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของรองนายกรัฐมนตรีและส่วนราชการต่าง ๆ (จำนวน 9 ราย) | นร05 | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และส่วนราชการต่าง ๆ รวมจำนวน ๙ ราย ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นายนพปฎล สุนทรนนท์ ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ๒. พลโท นาวิน ดำริกาญจน์ ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ๓. นางบริสุทธิ์ เปรมประพันธ์ ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๔. นายพงษ์ศักดิ์ สมใจ ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. กระทรวงคมนาคม ๕. นายชวลิต พิชาลัย ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. กระทรวงพลังงาน ๖. นางสาววิไลลักษณ์ ชุลีวัฒนกุล ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ๗. นายบุญเลิศ ธีระตระกูล ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. กระทรวงแรงงาน ๘. นายปณิธาน จินดาภู ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. กระทรวงอุตสาหกรรม ๙. นายมนตรี บุญพาณิชย์ ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ |
|||||||||||||||||||||
22182 | แจ้งคำพิพากษาศาลปกครองกลางยกฟ้องคณะรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดี ที่ 6) คดีระหว่างเด็กหญิงวานิษา วงศ์คำชิน โดยนายพชร หรือ เหมือน วงศ์คำชิน ผู้แทนโดยชอบธรรม ที่ 1 กับพวกรวม 17 คน ผู้ฟ้องคดี บริษัท ท่าอากาศ ยานไทย จำกัด (มหาชน) ที่ 1 กับพวกรวม 6 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาท เกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย และละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ | อส | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองกลางยกฟ้องคณะรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดี ที่ ๖) คดีระหว่างเด็กหญิงวานิษา วงศ์คำชิน โดยนายพชร หรือ เหมือน วงศ์คำชิน ผู้แทนโดยชอบธรรมที่ ๑ กับพวกรวม ๑๗ คน ผู้ฟ้องคดี บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ที่ ๑ กับพวกรวม ๖ คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
22183 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 - 30 เมษายน 2559 | กค | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๖ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘-๓๐ เมษายน ๒๕๕๙ วงเงินชดเชยรวมทั้งสิ้น ๒,๑๐๓ ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ใน ๗๓ เส้นทาง ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๑,๕๙๙ ล้านบาท ๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๖๔ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์ จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๕๐๔ ล้านบาท ๒. ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ และกระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง แนวทางการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางตามมาตรการใหม่) ให้แล้วเสร็จและนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาโดยเร็ว เพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการตามมาตรการใหม่ได้ภายในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ |
|||||||||||||||||||||
22184 | ขออนุมัติโครงการอาคารปรีคลินิกและศูนย์วิจัย สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงาน | ศธ | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการโครงการอาคารปรีคลินิกและศูนย์วิจัย สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศไทยมีสถาบันทางการแพทย์ที่มีศักยภาพในการแข่งขันกับนานาชาติ ทั้งด้านการศึกษา การวิจัย และการบริการทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข มีผลงานวิจัยที่นำไปใช้ในการพัฒนาการให้บริการ และสร้างความเป็นเลิศด้านการจัดการศึกษาในหลักสูตรทางการแพทย์ สามารถสร้างบัณฑิตที่มีพหุศักยภาพสามารถทำให้สังคมไทยมีสุขภาวะที่ดีขึ้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ในส่วนของงบประมาณสำหรับการดำเนินการ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่อนุมัติในหลักการให้ดำเนินโครงการภายในกรอบวงเงิน ๑,๗๔๐,๘๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๑,๒๑๘,๕๖๐,๐๐๐ บาท และเงินนอกงบประมาณ จำนวน ๕๒๒,๒๔๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการผลิตแพทย์ร่วมระหว่างคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีกับกระทรวงสาธารณสุขเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมถึงการจัดการบริการสุขภาพในเขตสุขภาพด้วย และในการดำเนินโครงการดังกล่าวจะต้องดำเนินการในลักษณะบูรณาการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า รวมทั้งประโยชน์ที่ประชาชนและทางราชการจะได้รับเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนและการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพในเชิงบูรณาการอย่างยั่งยืน และให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความพร้อม ความจำเป็นและเหมาะสมที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละปีงบประมาณต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
22185 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการค่าก่อสร้างอาคารเรียน โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย จังหวัดภูเก็ต | ศธ | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ถอนเรื่อง ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการค่าก่อสร้างอาคารเรียน โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย จังหวัดภูเก็ต คืนไปได้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
22186 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ภูฏาน | คค | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-ภูฏาน และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและภูฏาน มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการจัดทำร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศฉบับใหม่ ปรับปรุงข้อบทว่าด้วยการกำหนดสายการบิน ใบพิกัดการบิน และสิทธิรับขนการจราจร ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำได้ตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ |
|||||||||||||||||||||
22187 | การแก้ไขปัญหาอุปสรรคด้านผังเมืองที่มีต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม | อก | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการยกเลิกบัญชีกำหนดประเภทจำพวกโรงงานท้ายกฎกระทรวงบังคับใช้ผังเมืองรวมเมือง/ชุมชน และจัดทำข้อกำหนดที่มีลักษณะยืดหยุ่น สามารถรองรับนโยบายหรือยุทธศาสตร์ของประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวการณ์ รวมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและที่จำเป็นต้องมีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ ๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยนำผลการศึกษาโครงการพัฒนาพื้นที่อย่างมีศักยภาพเพื่อรองรับการลงทุนของกระทรวงอุตสาหกรรมที่มีผลการศึกษาแล้วและที่จะมีผลการศึกษาต่อไป ไปใช้เป็นข้อมูลประกอบในการวางและจัดทำผังเมืองรวมจังหวัด/เมือง/ชุมชน จังหวัด ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานของรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดทำหลักเกณฑ์ ข้อกำหนดเกี่ยวกับแนวกันชน (Buffer) และแนวป้องกัน (Protection strip) ที่เหมาะสมกับโรงงานประเภทต่าง ๆ ทั้งนี้ ให้กำหนดในพื้นที่อุตสาหกรรมและสามารถประกอบกิจการที่ไม่เกิดมลพิษได้ และนำหลักเกณฑ์ดังกล่าวไปใช้ในการวางและจัดทำผังเมือง ๑.๔ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานของรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องดำเนินการกำหนดพื้นที่เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมและจัดทำผังเมืองให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่กำหนดพื้นที่พิเศษ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เกี่ยวกับการจัดทำข้อกำหนดที่มีลักษณะยืดหยุ่นที่สามารถรองรับนโยบายหรือยุทธศาสตร์ของประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ และส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การวางผังเมืองและการกำหนดพื้นที่พัฒนาอุตสาหกรรมควรคำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อการพัฒนาด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะด้านการเกษตรกรรมและผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตชองประชาชน การกำหนด Zoning อุตสาหกรรมศักยภาพ นอกเหนือจากเกณฑ์ระยะห่างจากแหล่งน้ำสาธารณะและแหล่งชุมชนแล้ว จะต้องพิจารณาแหล่งอื่น ๆ ที่มีความอ่อนไหวต่อผลกระทบสิ่งแวดล้อม แหล่งสำคัญด้านศิลปกรรมและโบราณคดี และระยะห่างระหว่างเขตอุตสาหกรรมแต่ละเขตไม่ให้กระจุกตัวหรืออยู่ใกล้กันเกินไป การกำหนดระวางพื้นที่พัฒนาอุตสาหกรรมศักยภาพบางจังหวัดควรมีการทบทวนเกณฑ์และความเหมาะสมในการกำหนดขนาดพื้นที่ระวาง (ขนาดไม่จำเป็นต้องเท่ากันทุกระวาง) การนำข้อมูลเชิงพื้นที่ด้านโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการกำหนดหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมในการกำหนดพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรม การวิเคราะห์เปรียบเทียบสาระสำคัญของการเปลี่ยนแปลงระหว่างบัญชีกำหนดประเภทจำพวกโรงงานท้ายกฎกระทรวงบังคับใช้ผังเมือง/ชุมชน และข้อกำหนดที่มีลักษณะยืดหยุ่นที่จะจัดทำขึ้นเพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐมนตรีผู้มีอำนาจตามกฎหมาย การศึกษาโครงการพัฒนาพื้นที่อย่างมีศักยภาพเพื่อรองรับการลงทุนให้แล้วเสร็จโดยแสดงวิธีการและหลักเกณฑ์โดยละเอียดและควรให้ผู้เชี่ยวชาญและผู้เกี่ยวข้องตามกระบวนการวางและจัดทำผังเมืองมีส่วนร่วมในการพิจารณาความเหมาะสมในการนำมาประกอบการวางและจัดทำผังเมืองรวมจังหวัด/เมือง/ชุมชน การจัดทำหลักเกณฑ์ข้อกำหนดเกี่ยวกับแนวกันชนและแนวป้องกันโดยคำนึงถึงสมดุลด้านความปลอดภัยของชุมชนในพื้นที่และความเหมาะสมของระยะแนวกันชนและแนวป้องกันจากพื้นที่ตั้งโรงงาน พร้อมทั้งมีการวางแผนดำเนินการ หรือกำหนดมาตรการที่เหมาะสมและเป็นธรรมสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่แล้วในปัจจุบัน รวมทั้งการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนอย่างกว้างขวางและรอบด้านก่อนนำสู่การปฏิบัติที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22188 | การลงนามในการดำเนินโครงการระดับภูมิภาคโครงการใหม่ ภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับประเทศสาธารณรัฐเกาหลีว่าด้วยความร่วมมือด้านการป่าไม้ (Agreement between the Governments of the Member States of the Association of Southeast Asia Nations and the Republic of Korea on Forestry Cooperation : AFoCo) | ทส | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในร่างเอกสารการลงนามการดำเนินโครงการระดับภูมิภาคโครงการใหม่ภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับประเทศสาธารณรัฐเกาหลีว่าด้วยความร่วมมือด้านการป่าไม้ (Agreement between the Governments of the Member States of the Association of Southeast Asian Nations and the Republic of Korea on Forestry Cooperation : AFoCo) จำนวน ๒ ฉบับ ดังนี้ ๑.๑ ร่าง Project Implementation Agreement Between Republic of the Philippines Department of Environment and Natural Resources Forest Management Bureau and Kingdom of Thailand Ministry of Natural Resources and Environment Royal Forest Department for the Implementation of the Regional Project Entitled “Facilitating the Participatory Planning of Community-based Forest Management Using Geographic Information System and Remote Sensing Technologies in Forest Resources Management in the Philippines, Indonesia and Thailand” ๑.๒ ร่าง Memorandum of Understanding between Republic of Korea and Socialist Republic of Viet Nam & Kingdom of Thailand for Implementation of ASEAN-ROK Forest Cooperation Project : “Developing High Valuable Species in Vietnam and Thailand as the Mechanism for Sustainable Forest Management and Livelihood Improvement for Local Communities” สำหรับร่าง Memorandum of Agreement between Korea Forest Service, Republic of Korea and Malaysian Forest Research and Development Board, Malaysia and Royal Forest Department, Thailand for Implementation of ASEAN-ROK Forest Cooperation Project : “Domestication of Endangered, Endemic and Threatened Plant Species in Disturbed Terrestrial Ecosystem in Malaysia and Thailand” กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมขอถอนร่างฉบับนี้ไปหารือกับสำนักงานอัยการสูงสุดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติก่อน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. อนุมัติให้อธิบดีกรมป่าไม้ หรือผู้ที่อธิบดีกรมป่าไม้มอบหมายเป็นผู้ลงนามในการดำเนินโครงการระดับภูมิภาคโครงการใหม่ภายใต้ AFoCo (ตามข้อ ๑.๑ และ ๑.๒) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขถ้อยคำของเอกสารการดำเนินโครงการฯ ทั้ง ๒ ฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนแก้ไขดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญและการปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพในการดำเนินโครงการ และควรจัดทำข้อตกลงการจัดส่งวัสดุชีวภาพ (Material Transfer Agreement) ในกรณีที่มีการเคลื่อนย้ายเชื้อพันธุกรรมทั้งพืช สัตว์และจุลินทรีย์ออกจากพื้นที่ รวมทั้งจัดทำลายพิมพ์ดีเอ็นเอของพันธุ์พืชที่ทำการศึกษาในแต่ละโครงการเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการระบุอัตลักษณ์ของชนิดพันธุ์พืชในประเทศไทย นอกจากนี้ ความหลากหลายทางชีวภาพเป็นสินทรัพย์ (Bio-Asset) ในเชิงเศรษฐกิจที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ควรได้รับการอนุรักษ์ บริหารจัดการอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ รวมถึงแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมและยุติธรรม หากต้องระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของชนิดพันธุ์ที่สำคัญหรือใกล้สูญพันธุ์ ควรกระทำด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากการระบุตำแหน่งที่ตั้งอาจจะทำให้เกิดการเข้าถึงได้ง่ายและส่งผลกระทบต่อสถานภาพของทรัพยากรชีวภาพนั้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22189 | การขอโอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 3/2550/79 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย หมายเลข G3/48 | พน | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เรื่อง การขอโอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๓/๒๕๕๐/๗๙ แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G3/48 ระหว่างบริษัท เอ็มพี จี๓ (ประเทศไทย) จำกัด กับบริษัท นอร์ธเทิร์น กัลฟ์ ออย (ประเทศไทย) จำกัด ๑.๒ อนุมัติการขอโอนสิทธิ ประโยชน์ และพันธะของบริษัท Tap Energy (Thailand) Pty Ltd ซึ่งถืออยู่ในอัตราร้อยละ ๓๐ ของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๓/๒๕๕๐/๗๙ ให้แก่บริษัท นอร์ธเทิร์น กัลฟ์ ออย (ประเทศไทย) จำกัด โดยอาศัยความตามมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ออกเป็นสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๕) ของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๓/๒๕๕๐/๗๙ ตามแบบ ชธ/ป๓/๑ ที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดแบบสัมปทานปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงความเป็นธรรมและประโยชน์สูงสุดของทางราชการอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22190 | เอกสารที่จะมีการลงนามและรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 15 และการประชุมอื่น ที่เกี่ยวข้อง | ทก | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบเอกสารที่จะมีการลงนามและรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ASEAN Telecommunications and Information Technology Ministers Meeting : ASEAN TELMIN) ครั้งที่ ๑๕ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ๑.๑.๑ ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร [Memorandum of Understanding between the Association of Southeast Asian Nations (“ASEAN”) and the International Telecommunication Union (“ITU”) on Joint Cooperation in Information and Communication Technology Development] ๑.๑.๒ ร่างแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๐ (ASEAN ICT Master Plan 2020 : AIM 2020) ๑.๑.๓ ร่างปฏิญญาดานัง ว่าด้วยประชาคมอาเซียนที่มุ่งสู่ระบบเศรษฐกิจและสังคมที่ใช้ดิจิทัล อย่างเท่าเทียม ทั่วถึง มั่นคงปลอดภัย และยั่งยืน (Da Nang Declaration : Towards a Digitally-enabled, Inclusive, Secure and Sustainable ASEAN Community) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๑.๒ มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมลงนามและรับรองเอกสาร ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับคำแปลบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับภาษาไทยซึ่งยังไม่สอดคล้องกับฉบับภาษาอังกฤษ สมควรที่จะได้ตรวจสอบความถูกต้องของคำแปลบันทึกความเข้าใจฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22191 | แผนปฏิบัติการเพื่อให้คลองแสนแสบสะอาดภายใน 2 ปี | คค | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการเพื่อให้คลองแสนแสบสะอาดภายใน ๒ ปี เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการดำเนินงาน โดยเสนอรายละเอียดแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม และงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๒ มอบหมายกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการเพื่อให้คลองแสนแสบสะอาดภายใน ๒ ปี เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำในคลองแสนแสบอย่างยั่งยืน และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๑.๓ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมเจ้าท่า และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บังคับใช้กฎหมายในความรับผิดชอบในพื้นที่คลองแสนแสบและคลองสาขาอย่างจริงจัง ๑.๔ มอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ และกรมประชาสัมพันธ์ เร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยให้กรมประชาสัมพันธ์ดำเนินมาตรการด้านประชาสัมพันธ์ในการรณรงค์เรื่องปัญหามลพิษทางน้ำ น้ำเน่าเสีย วิธีการแก้ไข และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความรู้ทางวิชาการเรื่อง ปัญหามลพิษทางน้ำ ให้แก่เจ้าของสถานประกอบการ นักเรียน นักศึกษา หน่วยงานต่าง ๆ และประชาชนทั่วไป และปลูกฝังทัศนคติให้เยาวชนมีความรับผิดชอบต่อสังคม ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการศึกษาปริมาณน้ำทิ้งจากจำนวนครัวเรือนที่อาศัยอยู่ริมคลอง หรือจำนวนครัวเรือนที่อาศัยรุกล้ำในคลองแสนแสบ การพิจารณามาตรการบำบัดน้ำเสียที่แหล่งกำเนิด การทบทวนการลงทุนสร้างระบบรวมน้ำเสียจากชุมชน การนำระบบบำบัดน้ำเสียทางชีวภาพมาใช้ การกำหนดมาตรการด้านการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในการขุดลอกตะกอนดินจากก้นคลองที่ชัดเจน การใช้วิธีการออกซิไดซ์สารกลุ่มโลหะซัลไฟด์ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำในคลองโดยทั่วไปเป็นสีดำ การสนับสนุนให้ชุมชนที่อาศัยอยู่ริมคลองแสนแสบและคลองสาขามีการจัดกิจกรรมของชุมชนเองในการดูแล รักษาและป้องกันมลพิษอย่างต่อเนื่อง การขอความร่วมมือผู้ประกอบการเดินเรือในคลองแสนแสบปรับปรุงเครื่องยนต์เรือสำหรับการเดินเรือในคลองแสนแสบให้เป็นรูปแบบที่สะอาด ลดมลพิษที่ปล่อยลงสู่ลำคลอง ตลอดจนมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเพื่อให้คลองแสนแสบสะอาดภายใน ๒ ปี อย่างเคร่งครัด โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน รวมทั้งการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และภารกิจพื้นฐานของหน่วยงาน เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม มีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และไม่ซ้ำซ้อนกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงคมนาคมจัดตั้งคณะกรรมการกำกับการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
22192 | การขอความเห็นชอบ (ร่าง) ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยการอุดมศึกษา | ศธ | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (ร่าง) ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยการอุดมศึกษา มีสาระสำคัญมุ่งเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการอุดมศึกษาระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ยกระดับคุณภาพการอุดมศึกษาของประเทศสมาชิกอาเซียน ส่งเสริมบทบาทเชิงวิชาการของการอุดมศึกษา สนับสนุนการเคลื่อนย้ายเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและเรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม การมีส่วนร่วมในการส่งเสริมเรื่องสันติภาพ ความมั่งคั่ง การปรับตัว และการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ส่งเสริมบทบาทของอุดมศึกษาด้านการพัฒนาศักยภาพเพื่อสร้างประชาคมอาเซียนให้เป็นสังคมแห่งนวัตกรรม สนับสนุนการดำเนินกิจกรรมทางวิชาการเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงส่งเสริมนักวิชาการในภูมิภาคให้เป็นที่ประจักษ์ในเวทีโลก ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไข (ร่าง) ปฏิญญาดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงศึกษาธิการสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||
22193 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการต่อสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู | กต | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
22194 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - เนเธอร์แลนด์ | คค | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-เนเธอร์แลนด์ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและเนเธอร์แลนด์ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงข้อบทว่าด้วยการแต่งตั้งสายการบินที่กำหนด การให้อนุญาตและการเพิกถอนใบอนุญาต และข้อบทว่าด้วยสิทธิเกี่ยวกับการควบคุมเชิงกำกับดูแลเรื่องความปลอดภัยการบิน ใบพิกัดเส้นทางบิน สิทธิความจุความถี่ สิทธิรับขนการจราจร และข้อบทว่าด้วยการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ๒. มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ |
|||||||||||||||||||||
22195 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ซาอุดีอาระเบีย | คค | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบีย และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและซาอุดีอาระเบีย มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ ใบพิกัดเส้นทางบิน ความจุความถี่ของบริการ สิทธิรับขนการจราจร เที่ยวบินพิเศษ และการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน และการรวมบันทึกความเข้าใจฉบับต่าง ๆ ๒. มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ |
|||||||||||||||||||||
22196 | การปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนและปรับเพิ่มเงินเดือนของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ | กค | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนใหม่ของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)ทุกระดับตำแหน่งตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ครส.) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ ๑.๒ เห็นชอบการปรับเงินเดือนเข้าโครงสร้างเงินเดือนใหม่ หากเงินเดือนใหม่ที่ได้รับยังไม่ถึงอัตราขั้นต่ำของกระบอกเงินเดือน ให้ปรับเงินเดือนให้ได้รับในอัตราขั้นต่ำ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของเงินเดือนใหม่ หากเกินร้อยละ ๑๐ ของเงินเดือนใหม่ ให้รอปรับเงินเดือนในปีต่อไปก่อน จึงจะปรับให้ได้รับในอัตราขั้นต่ำ ตามมติ ครส. ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ และเนื่องจากการปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนและการปรับเงินเดือนเข้าโครงสร้างเงินเดือนใหม่ของพนักงาน ธอส. อาจส่งผลกระทบให้ ธอส. มีภาระค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้ ธอส. ดำเนินการตามแนวทางการปรับเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรโดยเคร่งครัดเพื่อสร้างรายได้ให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อมิให้กระทบต่อฐานะการเงินของ ธอส. ในระยะยาว รวมทั้งต้องมีการประเมินผลงานรายบุคคลให้สอดคล้องกับการประเมินผลงานทั้งองค์กร และรายงานให้กระทรวงการคลังทราบความคืบหน้าของการดำเนินการด้วย ๑.๓ ไม่เห็นชอบให้ ธอส. ปรับเพิ่มเงินเดือนของพนักงานทุกตำแหน่งในอัตราร้อยละ ๒ ๑.๔ การกำหนดอัตราเงินเดือนขั้นสูงของพนักงานระดับ ๑๖ ในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส/รองกรรมการผู้จัดการ เนื่องจากที่ผ่านมา ธอส. ยังไม่ได้กำหนดอัตราเงินเดือนขั้นสูงสำหรับพนักงานระดับ ๑๖ ไว้ และในคราวนี้ ธอส. ได้เสนอและกำหนดอัตราเงินเดือนขั้นสูงสำหรับตำแหน่งระดับ ๑๖ ไว้แล้ว ดังนั้น จึงเห็นควรกำหนดอัตราเงินเดือนขั้นสูงของตำแหน่งระดับ ๑๖ สำหรับรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส/รองกรรมการผู้จัดการที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันให้อยู่ภายใต้โครงสร้างเงินเดือนใหม่ ๑.๕ เห็นชอบในหลักการแนวนโยบายการปรับโครงสร้างเงินเดือนพนักงานของ ธอส. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารออมสิน ภายใต้เงื่อนไขและระยะเวลาที่กระทรวงการคลังกำหนด ทั้งนี้ เพื่อมิให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างกัน ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนและปรับเพิ่มเงินเดือนให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของหน่วยงาน และพิจารณาการปรับเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรโดยไม่มีผลกระทบต่อประชาชนผู้รับบริการเพื่อสร้างรายได้ให้เพียงพอและครอบคลุมรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น การกำหนดแนวนโยบายในการพิจารณาปรับบัญชีโครงสร้างเงินเดือนและปรับเพิ่มเงินเดือนของพนักงานสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่อยู่ในกำกับดูแลของกระทรวงการคลังให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน การปรับปรุงตัวชี้วัดของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้งระบบให้สะท้อนประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงาน รวมทั้งมีแผนงานและแนวทางในการบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพ และในการปรับโครงสร้างเงินเดือนในคราวถัดไปต้องอยู่บนพื้นฐานของการประเมินค่างานที่แสดงให้เห็นถึงภารกิจหรือค่างานที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลและปรับปรุงวิธีการปรับเพิ่มเงินเดือนของพนักงานรัฐวิสาหกิจเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเน้นการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะในกรณีที่พนักงานในตำแหน่งระดับสูงได้รับการปรับเพิ่มเงินเดือนในอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับพนักงานระดับล่าง |
|||||||||||||||||||||
22197 | การขยายระยะเวลาการใช้บัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปัจจุบันออกไปอีก 1 ปี [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | กค | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการใช้บัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปัจจุบันออกไปอีก ๑ ปี จากที่สิ้นสุดในปี ๒๕๕๘ เป็นสิ้นสุดในปี ๒๕๕๙ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยเป็นการลดอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดามีผลใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังสร้างการรับรู้และส่งเสริมให้ประชาชนชำระภาษีให้ถูกต้องตามหน้าที่ รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งศึกษาผลกระทบจากการปรับปรุงโครงสร้างภาษี ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และการยกเว้นหรือลดหย่อนต่าง ๆ ตลอดจนควรเร่งจัดทำมาตรการ และแนวทางในการขยายฐานภาษีให้ผู้มีเงินได้เข้ามาอยู่ในระบบภาษีเพิ่มมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
22198 | รายงานการส่งมอบโบราณวัตถุ 16 รายการ ให้แก่รัฐบาลกัมพูชา | วธ | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมรายงานการส่งมอบโบราณวัตถุ ๑๖ รายการ ให้แก่รัฐบาลกัมพูชา โดยการส่งมอบมีข้าราชการสังกัดกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม จำนวน ๔ คน ได้เดินทางไปราชการ ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๘ โดยรถยนต์ เพื่อส่งมอบโบราณวัตถุ ๑๖ รายการ ให้แก่รัฐบาลกัมพูชาโดยได้ทำการตรวจสอบและจัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องในการเคลื่อนย้ายและผ่านแดน รวมทั้งตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของหีบห่อก่อนการเคลื่อนย้าย ประสานกับเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่จุดผ่านแดน และเมื่อได้ขนย้ายโบราณวัตถุถึงกัมพูชา ได้ร่วมตรวจสอบหีบห่อ ควบคุมการเคลื่อนย้าย เปิดหีบห่อและนำไปเก็บรักษาที่คลังโบราณวัตถุของกัมพูชาร่วมกับเจ้าหน้าที่ของกัมพูชา โดยการส่งมอบโบราณวัตถุดังกล่าวเป็นไปอย่างสมบูรณ์และถูกต้องเรียบร้อย
|
|||||||||||||||||||||
22199 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 244 สายทางเข้าสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่บึงกาฬ พ.ศ. .... | คค | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๔๔ สายทางเข้าสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่บึงกาฬ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๔๔ สายทางเข้าสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่บึงกาฬ ในท้องที่อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
22200 | รายงานผลการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง รายงานการศึกษาพระราชบัญญัติ การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 | พณ | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง รายงานการศึกษาพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ เนื่องจากมีหลักการที่สอดคล้องกับแนวทางการปรับปรุงกฎหมายการแข่งขันทางการค้าของกระทรวงพาณิชย์ และมีข้อเสนอให้ใช้คำว่า “บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน” แทนคำว่า “ผู้ประกอบธุรกิจโฮลดิ้ง” ให้พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ลดจำนวนคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าจากเดิม ๑๖ คน เป็น ๗ คน จัดตั้งหน่วยงานอิสระปราศจากการแทรกแซงเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ รวมทั้งกำหนดบทลงโทษทางอาญาทั้งโทษจำคุกและโทษปรับโดยให้สอดคล้องกับความร้ายแรงของการกระทำผิด และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
.....