ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 912 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 18221 - 18240 จากข้อมูลทั้งหมด 124006 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
18221 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิมรายการค่าจ้างศึกษาแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (พื้นที่ต่อเนื่อง) ระยะที่ 2 เป็นค่าจ้างศึกษาจัดทำแผนแม่บทบูรณาการพัฒนาระบบการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และค่าจ้างศึกษาการจัดเก็บค่าผ่านทางรองรับการขนส่งของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน | คค | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิมรายการค่าจ้างศึกษาแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (พื้นที่ต่อเนื่อง) ระยะที่ ๒ งบประมาณทั้งสิ้น ๓๓.๙๓๙๙ ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบประมาณปี ๒๕๖๐ จำนวน ๑๕.๒๗๒๗ ล้านบาท และผูกพันงบประมาณปี ๒๕๖๑ จำนวน ๑๘.๖๖๗๒ ล้านบาท เป็น (๑) งานศึกษาจัดทำแผนแม่บทบูรณาการพัฒนาระบบการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล งบประมาณทั้งสิ้น ๑๘.๙๓๙๙ ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบประมาณปี ๒๕๖๐ จำนวน ๘.๕๒๒๗ ล้านบาท และผูกพันงบประมาณปี ๒๕๖๑ จำนวน ๑๐.๔๑๗๒ ล้านบาท และ (๒) งานศึกษาการจัดเก็บค่าผ่านทางรองรับการขนส่งของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน งบประมาณทั้งสิ้น ๑๕.๐๐๐๐ ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบประมาณปี ๒๕๖๐ จำนวน ๖.๗๕๐๐ ล้านบาท และผูกพันงบประมาณปี ๒๕๖๑ จำนวน ๘.๒๕๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ การดำเนินการจ้างงานศึกษาดังกล่าว เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับ รวมทั้งดำเนินการต่อรองราคาให้ได้ต่ำสุด และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตลอดจนจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานตามรายการใหม่ทั้ง ๒ รายการที่เสนอมาในครั้งนี้ ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ โดยให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการศึกษาแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (พื้นที่ต่อเนื่อง) ระยะที่ ๒ ควรให้ความสำคัญกับการศึกษาข้อมูลพื้นฐานในรายละเอียด เช่น ปริมาณการเดินทางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลทั้งในปัจจุบันและอนาคต กฎหมายผังเมืองและการใช้ประโยชน์พื้นที่ กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น และให้กำหนดขอบเขตการศึกษาดังกล่าวให้มีความชัดเจนและครอบคลุมในประเด็นต่าง ๆ ที่สำคัญ เช่น โครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วม แนวทางการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน และการกำหนดมาตรการการบริหารจัดการปริมาณความต้องการเดินทางที่เหมาะสม เป็นต้น สำหรับการศึกษาแผนแม่บทบูรณาการพัฒนาระบบการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ควรกำหนดกรอบระยะเวลาการบูรณาการแผนงานให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศและยุทธศาสตร์ประเทศ ๒๐ ปี รวมทั้งให้มีการกำหนดดัชนีชี้วัดที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศในแต่ละช่วงเวลาที่ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18222 | ขอความเห็นชอบยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2537 เรื่อง พื้นที่ที่ควรกำหนดให้ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า) เป็นระบบใต้ดินโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทอง (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี - สำนักงานเขตคลองสาน - ประชาธิปก) | มท | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๗ [เรื่อง พื้นที่ที่ควรกำหนดให้ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า) เป็นระบบใต้ดิน] ในการดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทอง (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี-สำนักงานเขตคลองสาน-ประชาธิปก) เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ บรรลุวัตถุประสงค์ในการรองรับการเดินทางในบริเวณพื้นที่ฝั่งธนบุรี แก้ไขปัญหาการจราจร ประชาชนเดินทางสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้ กทม. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่เห็นควรให้ กทม. ดำเนินการตามความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๙ [เรื่อง ขอความเห็นชอบดำเนินการโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทอง (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี-สำนักงานเขตคลองสาน-ประชาธิปก)] ให้ครบถ้วน และสำหรับการจัดหาแหล่งเงินทุนของโครงการฯ ให้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด รวมทั้งควรกำกับดูแลให้โครงสร้างของโครงการฯ มีผลกระทบต่อทัศนียภาพของเมืองให้น้อยที่สุด โดยจะต้องไม่กระทบหรือกีดขวางการเข้าถึงของบริการสาธารณะอื่น ๆ เช่น รถดับเพลิง และระบบสาธารณูปโภค เป็นต้น และประสานงานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง (ช่วงหัวลำโพง-มหาชัย) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ มีความสมบูรณ์และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน รวมถึงให้เร่งรัดจัดทำรายงานฉบับสมบูรณ์ที่ได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดข้อมูลตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานทางบกและอากาศ เพื่อเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณา นอกจากนี้ เห็นควรให้ กทม. พิจารณาทบทวนความเหมาะสมของการแบ่งระยะการพัฒนาออกเป็นช่วง ๆ ของโครงการฯ โดยเร่งแผนการก่อสร้างและเปิดให้บริการโครงการฯ ให้สามารถเชื่อมโยงกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ โดยเร็ว และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรเร่งพิจารณาศึกษาโครงสร้างอัตราค่าโดยสารของระบบขนส่งมวลชนทางรางทั้งขนาดใหญ่และขนาดรองที่เหมาะสมทั้งระบบ เพื่อให้สามารถใช้โครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมกันได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการดำเนินโครงการของกรุงเทพมหานครให้เป็นไปตามแผนการลงทุนที่กำหนดไว้ รวมทั้งให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18223 | การจัดระเบียบการบริหารจัดการหมู่บ้านโดยกลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) เพื่อให้เกิดเอกภาพและบูรณาการตามแนวทางประชารัฐ | มท | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอขอถอนข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทยในหนังสือกระทรวงมหาดไทย ด่วนที่สุดที่ มท ๐๓๑๐.๓/๒๓๓๒๘ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๙ ที่ว่า “ห้ามมิให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดตั้งอาสาสมัคร มวลชน เครือข่าย หรือมวลชนที่เรียกชื่ออื่นใดในพื้นที่ซึ่งมีคณะกรรมการหมู่บ้านปฏิบัติหน้าที่อยู่แล้ว หากมีภารกิจที่จะต้องดำเนินการในหมู่บ้านให้มอบหมายให้คณะกรรมการหมู่บ้านดำเนินการแทนหรือร่วมดำเนินการ” ออกไป ๒. เห็นชอบแนวทางการจัดระเบียบการบริหารจัดการหมู่บ้านโดยกลไกคณะกรรมการหมู่บ้านเพื่อให้เกิดเอกภาพและบูรณาการตามแนวทางประชารัฐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยหารือร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการเพื่อความรอบคอบและลดผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น และควรพิจารณาถึงเจตนาในการจัดตั้งอาสาสมัคร มวลชน เครือข่ายของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการเป็นเครือข่ายการทำงานช่วยเหลือปฏิบัติภารกิจของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐนั้น ๆ สำหรับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการหมู่บ้านควรพิจารณาไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งควรจัดระเบียบมวลชน/อาสาสมัคร ให้ครอบคลุมทั้งประเทศ และควรมีการสร้างกลไกที่จะควบคุมได้มาในการคัดเลือกคณะกรรมการหมู่บ้าน หรือคณะทำงานฝ่ายต่าง ๆ เพื่อให้ดำเนินการเป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๖ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18224 | ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (ค่าใช้จ่ายสำหรับสนับสนุนการปฏิบัติงานของสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) | นร07 | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๙๓,๘๖๙,๘๐๐ บาท ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับสนับสนุนการปฏิบัติงานของสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเพิ่มเติม ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18225 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ช่วง กม.44 + 266.833 - กม.46 + 000.000 (รวมทางแยกต่างระดับนครปฐมตะวันตก) (ช่วง 13) | คค | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบกรณีกรมทางหลวงก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป รายการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ช่วง กม.๔๔+๒๖๖.๘๓๓ -กม.๔๖+๐๐๐.๐๐๐ (รวมทางแยกต่างระดับนครปฐมตะวันตก) (ช่วง ๑๓) ระยะทางยาวประมาณ ๑.๗๓๓ กิโลเมตร ในวงเงินค่าก่อสร้าง ๑,๗๒๗,๐๗๘,๐๐๐ บาท กำหนดเวลาทำการ ๑,๐๒๐ วัน โดยก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ในส่วนที่เหลือและนำเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบโดยเร็ว รวมทั้งกำกับดูแลการดำเนินการก่อสร้าง เพื่อให้การก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี เป็นไปตามแผนและสามารถเปิดให้บริการได้ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18226 | รายงานผลการประชุม LNG Producer - Consumer Conference 2016 และการประชุม The 27th Meeting of Energy Charter Conference and Ministerial Meeting | พน | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม LNG Producer-Consumer Conference 2016 และการประชุม The 27th Meeting of Energy Charter Conference and Ministerial Meeting ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การสัมมนา LNG Producer-Consumer Conference 2016 โดยผู้บริหารระดับสูงทั้งจากภาครัฐและเอกชนทั่วโลกได้มีการหารือถึงแนวทางการสร้างความสมดุลระหว่างการผลิตและการใช้ ก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas : LNG) เพื่อให้ราคา LNG อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยประเทศไทยได้นำเสนอที่ประชุมเรื่อง นโยบายเพื่อรองรับการเติบโตและการขยายตัวของการใช้เชื้อเพลิง LNG และการนำเข้า LNG ของประเทศว่าภาครัฐได้เตรียมมาตรการรองรับการขยายตัวการนำเข้า LNG อย่างเหมาะสม และประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางความร่วมมือด้านการซื้อขาย LNG ในภูมิภาคอาเซียนเพื่อสร้างความร่วมมือในการซื้อขาย LNG ในภูมิภาค และสร้างความมั่นคงด้านพลังงานร่วมกัน ๒. การประชุม Energy Charter Conference ครั้งที่ ๒๗ เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีพลังงานของประเทศที่เป็นสมาชิกของ Energy Charter มีแนวคิดหลักของการประชุมคือ ความสำคัญของ International Energy Charter กับความท้าทายของพลังงานโลก โดยเฉพาะการพัฒนาที่ยั่งยืนและการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งที่ประชุมเห็นว่า Energy Charter Treaty ที่มีอยู่ในปัจจุบันควรมีการปรับปรุงให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้นเพื่อให้สามารถรองรับการลงทุนใหม่ ๆ รวมทั้งรองรับรูปแบบของความร่วมมือระหว่างประเทศที่มีความแตกต่างและหลากหลายมากขึ้นในปัจจุบัน ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้หารือระดับทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่น (METI) และประธานสถาบันวิจัยเศรษฐกิจพลังงานญี่ปุ่น (The Institute of Energy Economics of Japan : IEEJ) ซึ่งมีประเด็นหารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการทั้งสองประเทศเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองร่วมกันให้ได้ราคาและปริมาณ LNG ที่เหมาะสมและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น การสนับสนุนเทคโนโลยีการบริหารจัดการ LNG ที่ทันสมัย ก้าวหน้า และมีประสิทธิภาพ การลงทุนในธุรกิจด้านพลังงานในประเทศไทย และการจัดตั้งหน่วยงาน ศูนย์ข้อมูลพลังงานไทย (The Institute of Energy Economics of Thailand : IEET) เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18227 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีชาวโรฮิงญาที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย และกรณีการสังหารหมู่แรงงานข้ามชาติชาวกะเหรี่ยงสัญชาติพม่า | พม | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาดำเนินการตามผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีชาวโรฮิงญาที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย และกรณีการสังหารหมู่แรงงานข้ามชาติชาวกะเหรี่ยงสัญชาติพม่า ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาชาวโรฮิงญาที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย และกรณีสังหารหมู่แรงงานข้ามชาติชาวกะเหรี่ยงสัญชาติพม่า ซึ่งมีการกำหนดนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาและป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ การจัดการแรงงานข้ามชาติ รวมถึงเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาและแก้ไขปัญหาดังกล่าว อีกทั้งเสนอให้มีการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยให้มีความชัดเจน เป็นต้น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18228 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อ.591/2555 คดีหมายเลขแดงที่ อ.1563/2559 ระหว่างนายอาทิตย์ จรูญทัด ที่ 1 กับพวก รวม 2 คน ฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน ต่อศาลปกครองสูงสุด เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้นให้ยกฟ้องคดี | นร | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อ.๕๙๑/๒๕๕๕ คดีหมายเลขแดงที่ อ.๑๕๖๓/๒๕๕๙ ระหว่างนายอาทิตย์ จรูญทัด ที่ ๑ กับพวกรวม ๒ คน ฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ ๑ กับพวกรวม ๔ คน ต่อศาลปกครองสูงสุด เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้นให้ยกฟ้องคดี ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18229 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นกรณีที่มี ความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินค่าทดแทน เข้าครอบครอง หรือใช้อสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนและส่งมอบพื้นที่โครงการสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๕ กับทางหลวงชนบท สส. ๓๐๕๗ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18230 | การดำเนินการเพื่อบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุนพัฒนาเอเชีย 12 | กค | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบยอดเงินบริจาคเพิ่มทุนในกองทุนพัฒนาเอเชีย ๑๒ (Asian Development Fund 12 : ADF 12) ของประเทศไทยที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ เป็นจำนวน ๙๑,๙๑๐,๐๐๐ บาท (ลดลงจากยอดเดิม ๑,๓๐๒ บาท) ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามใน Instrument of Contribution (IOC) เพื่อยืนยันการบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุน ADF 12 และออกตั๋วสัญญาใช้เงินคลังประเภทจ่ายเงินเมื่อทวงถามและไม่มีดอกเบี้ย จำนวน ๔ ฉบับ ประกอบด้วย ฉบับที่ ๑ ลงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ฉบับที่ ๒ ลงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ฉบับที่ ๓ ลงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ และฉบับที่ ๔ ลงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ สำหรับการบริจาคเงินเพิ่มทุนของไทยในกองทุน ADF 12
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18231 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาการศึกษา เรื่อง หลักเกณฑ์และรายละเอียดที่ระบุในใบแจ้งค่าไฟฟ้า ของคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และรายละเอียดที่ระบุในใบแจ้งค่าไฟฟ้า โดยกระทรวงพลังงานได้พิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และผู้แทนจากกระทรวงมหาดไทย ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยที่ประชุมมีความเห็นสรุปได้ว่า อัตราค่าบริการรายเดือนมีความเหมาะสมแล้ว การแสดงต้นทุนในบิลค่าไฟฟ้าอาจทำให้เกิดความสับสน เนื่องจากการไฟฟ้าแต่ละแห่งมีการคิดต้นทุนแตกต่างกัน มีการนำเทคโนโลยีการชำระเงินค่าไฟฟ้าในระบบ E-Payment มาให้บริการ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18232 | แนวทางในการแก้ปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย กรณีนำเรือออกนอกระบบ จำนวน 3 ลำ | ทส | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบกรณีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจัดซื้อเรือประมง น.เจริญชัยสมุทร ๑ พร้อมเครื่องยนต์และอุปกรณ์ จำนวน ๑ ลำ ในวงเงิน ๑๒,๕๓๖,๑๖๓.๐๔ บาท โดยเห็นควรให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเสนอขอยกเว้นผ่อนผันการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามขั้นตอนต่อไป และรับทราบการดำเนินการตามแนวทางในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย กรณีที่ไม่สามารถนำเรือออกนอกระบบได้ จำนวน ๒ ลำ และจะนำงบประมาณรายจ่ายเพื่อการดังกล่าวไปเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำและวางปะการังเทียม และคุ้มครองป้องกันการบุกรุกทำลายระบบนิเวศน์ปะการังเทียมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นว่า หากมีประเด็นที่ไม่สามารถดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในขั้นตอนใดบ้าง ให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งขอยกเว้น/ผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามระเบียบฯ ต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุต่อไป และให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งดำเนินการตรวจรับให้ถูกต้อง ครบถ้วน เป็นตามแบบรูปและรายละเอียด ข้อกำหนด และขอบเขตของงานตามที่กำหนดไว้ในสัญญาด้วย รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีมาตรการในการควบคุมกรณีที่ต้องลดจำนวนเรือให้เหมาะสมกับจำนวนสัตว์น้ำ เพื่อเป็นการรักษาดุลทางธรรมชาติ และไม่กระทบต่อเงื่อนไขหรือข้อตกลงเกี่ยวกับการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18233 | ร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลดู่ใต้ ตำบลกองควาย อำเภอเมืองน่าน และตำบลท่าน้าว ตำบลนาปัง อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน พ.ศ. 2556 พ.ศ. .... | มท | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลดู่ใต้ ตำบลกองควาย อำเภอเมืองน่าน และตำบลท่าน้าว ตำบลนาปัง อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน พ.ศ. ๒๕๕๖ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลดู่ใต้ ตำบลกองควาย อำเภอเมืองน่าน และตำบลท่าน้าว ตำบลนาปัง อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน พ.ศ. ๒๕๕๖ เนื่องจากในปัจจุบันพื้นที่ตามกฎกระทรวงดังกล่าวได้มีกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดน่าน พ.ศ. ๒๕๕๖ และกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองน่าน พ.ศ. ๒๕๕๘ ใช้บังคับอยู่ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ความสำคัญต่อการกำกับ ดูแล อนุมัติการใช้ประโยชน์ที่ดิน และการก่อสร้างอาคารอย่างเข้มงวด เพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองและป้องกันผลกระทบต่อโบราณสถานและศิลปกรรมสำคัญ รวมทั้งคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18234 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายทางยกระดับเชื่อมระหว่างอาคารอู่จอดและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้ากับถนนวิภาวดีรังสิต พ.ศ. .... | มท | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่นสายทางยกระดับเชื่อมระหว่างอาคารอู่จอดและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้ากับถนนวิภาวดีรังสิต พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่นสายทางยกระดับเชื่อมระหว่างอาคารอู่จอดและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้ากับถนนวิภาวดีรังสิต ในท้องที่แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรุงเทพมหานครเร่งรัดการดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาฯ ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่มีพระราชกฤษฎีกาฯ ใช้บังคับใหม่ และให้กรุงเทพมหานครและกรมธนารักษ์ร่วมกันพิจารณารูปแบบและระยะเวลาการก่อสร้างถนนให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานและปริมาณการจราจรของโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครควรให้ความสำคัญกับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และกำหนดมาตรการลดผลกระทบต่อประชาชนตามแนวสายทางที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18235 | ขอความเห็นชอบแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2560 - 2564 | พม | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ฉบับที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ซึ่งเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ฉบับที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ คือ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ เสริมพลังคนพิการและองค์กรด้านคนพิการให้มีศักยภาพและความเข้มแข็ง ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการ ขจัดการเลือกปฏิบัติ เพื่อให้คนพิการเข้าถึงสิทธิได้จริง ยุทธศาสตร์ที่ ๓ เสริมสร้างความเข้าใจและเจตคติเชิงสร้างสรรค์ต่อคนพิการและความพิการ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ สร้างสภาพแวดล้อมและบริการสาธารณะที่ทุกคนเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ และยุทธศาสตร์ที่ ๕ ส่งเสริมการบูรณาการเครือข่ายและสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการอย่างยั่งยืน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพัฒนาระบบการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ที่สามารถเชื่อมโยงให้คนพิการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ทางการศึกษาตั้งแต่วัยแรกเกิดจนถึงวัยเรียนในสถานศึกษา การจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการทั้งระบบโดยเน้นการทำงานร่วมกันเชิงบูรณาการ การจัดลำดับความสำคัญของประเด็นการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้ชัดเจนเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น เห็นควรให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำงบประมาณในเชิงบูรณาการ รวมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินการตามแนวทางและมาตรการที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ฉบับที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ เพื่อขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ ๔. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งเรื่อง ขอความเห็นชอบแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ฉบับที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ให้คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติทราบเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18236 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 6 | พณ | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการต่อประเด็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าสำหรับการหารือกับราชอาณาจักรกัมพูชา ได้แก่ (๑) เป้าหมายการค้า (๒) การส่งเสริมการค้าชายแดนผ่านยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองหน้าด่านชายแดนไทย-กัมพูชา (๓) ความร่วมมือด้านการเกษตร (๔) การอำนวยความสะดวกสินค้าผ่านแดน (๕) ความร่วมมือด้านการเชื่อมโยง (๖) ความร่วมมือในการอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน (๗) ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว (๘) ความตกลงเพื่อยกเว้นการเก็บภาษีซ้อน (๙) ความร่วมมือเพื่อพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (๑๐) ความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และความร่วมมืออื่น ๆ ด้านการค้า และ (๑๑) การให้ความช่วยเหลือราชอาณาจักรกัมพูชาในการเตรียมความพร้อมเพื่อเป็นเจ้าภาพจัดงาน CLMVT Forum 2017 และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ใช้เป็นกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๖ ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๔ มีนาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุม JTC ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๖ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรีที่ว่า ประเทศไทยควรใช้การประชุม JTC ไทย-กัมพูชา เป็นเวทีในการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมและควรเพิ่มประเด็นข้อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการจัดการการท่องเที่ยวทางทะเลให้เชื่อมโยงกัน โดยในระยะต่อไป อาจพิจารณาขยายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวดังกล่าวให้ครอบคลุมถึงสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทีไทยสำหรับการประชุม JTC ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๖ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18237 | หลักเกณฑ์และแนวทางการจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... พร้อมปฏิทินโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร07 | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และแนวทางการจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... พร้อมปฏิทินโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ ๒. กรณีภายหลังจากที่พระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับแล้ว หากหน่วยงานใดที่มีความจำเป็นเร่งด่วนจะต้องดำเนินโครงการลงทุนที่ไม่สามารถลงนามจัดซื้อจัดจ้างได้ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ เพื่อเป็นการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลและมีความพร้อม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งไปยังสำนักงบประมาณเพื่อรวบรวมข้อมูลแล้วนำเสนอคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์พิจารณา ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18238 | การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18239 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ (จำนวน 8 คน 1. นายสุวิชัย โรจนเสถียร ฯลฯ) | กษ | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๘ คน เนื่องจากกรรมการเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปีแล้ว เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ มีนาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๔ คน ๑.๑ นายสุวิชัย โรจนเสถียร ๑.๒ นางสาวลดาวัลย์ คำภา ๑.๓ นางอรทัย ศิลปนภาพร ๑.๔ นายวิชา ธิติประเสริฐ ๒. ผู้แทนเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน ๔ คน ๒.๑ นายเชิดชัย จิณะแสน ๒.๒ นายดิเรก สังขจันทร์ ๒.๓ นายกันตพงษ์ แก้วกมล ๒.๔ นายพัฒน์พงษ์ มงคลกาญจนคุณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18240 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม | ยธ | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมไม่อาจปฏิบัติราชการได้ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ มีนาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
.....