ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 918 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 18341 - 18360 จากข้อมูลทั้งหมด 124006 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
18341 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560) | นร | 21/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๐ วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ และครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๐ วันศุกร์ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) รับข้อสังเกตดังกล่าวไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18342 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....) (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร05 | 21/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญสภานิติบัญญัติแห่งชาติ [เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] ซึ่งให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาความจำเป็นในการจัดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ต่อไป โดยให้ครอบคลุมถึงเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18343 | การดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาดกระบี่ | พน | 21/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรายงานแนวทางการดำเนินงานโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาดกระบี่และสถานการณ์ระบบไฟฟ้าภาคใต้ว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาดกระบี่ และโครงการท่าเทียบเรือบ้านคลองรั้วตามขั้นตอนของกฎหมาย รวมทั้งเร่งรัดการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และเห็นชอบให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ของทั้งสองโครงการ โดยให้นำความเห็นของคณะกรรมการศึกษาการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินจังหวัดกระบี่ (คณะกรรมการไตรภาคี) ไปประกอบการพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาดกระบี่ หากการดำเนินโครงการเป็นไปตามแผนที่กำหนดคาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดใช้งานได้ในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้มีประชาชนบางกลุ่มออกมาคัดค้านการดำเนินโครงการ โดยเรียกร้องให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเป็นที่ยอมรับของประชาชนผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย จึงเห็นควรให้ กฟผ. จัดทำ EIA และ EHIA ตลอดจนกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนให้ครบถ้วน สมบูรณ์ ชัดเจน และเป็นที่ยอมรับของผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย โดยให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ การดำเนินการตามข้อเรียกร้องดังกล่าวจะทำให้โครงการมีความล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้เดิมและอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าของภาคใต้ได้ ๒. รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมว่า โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาดกระบี่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจและชุมชนในภาคใต้ การพัฒนานิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนการพัฒนาเส้นทางคมนาคมในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งได้มีการพิจารณาแนวทางการดำเนินการต่าง ๆ อย่างรอบด้านแล้วพบว่า โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาดกระบี่มีความเหมาะสมคุ้มค่าที่จะดำเนินการ และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18344 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายพรชัย ฐีระเวช) | กค | 21/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายพรชัย ฐีระเวช ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18345 | รายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | กค | 21/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ประกอบด้วย งบรายได้และค่าใช้จ่าย และงบแสดงฐานะการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. งบรายได้และค่าใช้จ่าย ๑.๑ รัฐบาลมีรายได้รวมทั้งสิ้น จำนวน ๒,๑๖๒,๙๘๔.๐๐ ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน จำนวน ๑๑๐,๑๙๙.๓๑ ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ ๔.๘๕ ส่วนใหญ่เป็นรายได้แผ่นดินที่หน่วยงานภาครัฐนำส่งซึ่งเป็นรายได้จากภาษีอากร ค่าธรรมเนียมและอื่น ๆ รายได้จากการนำส่งกำไรและเงินปันผลจากรัฐวิสาหกิจ และรายได้ที่ไม่เป็นตัวเงิน ประกอบด้วย กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และส่วนเกินมูลค่าพันธบัตรตัดจำหน่ายซึ่งเป็นรายการปรับปรุงบัญชีเพื่อรับรู้รายได้ที่ไม่เป็นตัวเงินตามหลักการบัญชีที่กระทรวงการคลังกำหนด และรายได้อื่น ๑.๒ รัฐบาลมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น จำนวน ๒,๔๖๔,๐๘๔.๗๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๑๓.๙๒ ของรายได้รวม ลดลงจากปีก่อน จำนวน ๑๕๑.๕๕ ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ ๐.๐๑ ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายจากเงินงบประมาณ (ปีปัจจุบันและปีก่อน) ดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศและต่างประเทศ ค่าธรรมเนียมเงินกู้ และค่าใช้จ่ายอื่น ๑.๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รัฐบาลมีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่าย จำนวน ๓๐๑,๑๐๐.๗๙ ล้านบาท ๒. งบแสดงฐานะการเงิน ๒.๑ รัฐบาลมีสินทรัพย์ ณ วันสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รวมทั้งสิ้น จำนวน ๖,๘๐๐,๕๑๙.๐๙ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน ๑๒๗,๐๕๙.๘๖ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๙๐ ประกอบด้วยสินทรัพย์หมุนเวียน จำนวน ๕๗๘,๔๐๗.๔๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘.๕๑ ของสินทรัพย์รวม และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน จำนวน ๖,๒๒๒,๑๑๑.๖๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๑.๔๙ ของสินทรัพย์รวม ๒.๒ รัฐบาลมีหนี้สินและภาระผูกพันรวมทั้งสิ้น จำนวน ๔,๓๑๐,๑๔๘.๕๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๓.๓๘ ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน ๒๐๓,๓๓๖.๔๙ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๙๕ ประกอบด้วย หนี้สินหมุนเวียน จำนวน ๗๗๙,๓๗๓.๒๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๑.๔๖ ของสินทรัพย์รวม และหนี้สินไม่หมุนเวียน จำนวน ๓,๕๓๐,๗๗๕.๓๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๑.๙๒ ของสินทรัพย์รวม ๒.๓ รัฐบาลมีสินทรัพย์สุทธิหรือส่วนทุน จำนวน ๒,๔๙๐,๓๗๐.๕๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๖.๖๒ ของสินทรัพย์รวม ลดลงจากปีก่อน จำนวน ๗๖,๒๗๖.๖๓ ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ ๒.๙๗
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18346 | การยุติการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | อส | 21/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้พิจารณาตัดสินชี้ขาดการดำเนินคดีระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจด้วยกันเอง รวม ๑๒ เรื่อง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในฐานะประธานกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอ และแจ้งให้สำนักงานอัยการสูงสุดส่งเรื่องคืนตัวความหรือส่งคำตัดสินชี้ขาดและมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้ให้คู่กรณีทราบและถือปฏิบัติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18347 | รายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | วท | 21/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๘ มกราคม ๒๕๖๐ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) การหารือและเยี่ยมชมอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อาดเลอร์โฮฟ เบอร์ลิน (Science and Technology Park Berlin Adlershof) (๒) การหารือและเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยฮุมโบลด์ทแห่งเบอร์ลิน (The Humboldt University of Berlin) (๓) การหารือและเยี่ยมชมสถาบันฟรอนโฮเฟอร์ ไอพีเค (Fraunhofer Institute of Production Systems and Design Technology) (๔) การเยี่ยมชมงาน International Green Week (IGW) (๕) การหารือและเยี่ยมชมศูนย์ความสามารถดาร์มสตัดท์ (Darmstadt Competence Centre) (๖) การหารือระดับทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการศึกษาและวิจัยแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และ (๗) การหารือกับ Mr. Mark Huaptmann สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรค CDU และ Mr. Ernst Stockl-Pukall ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีดิจิทัลและอุตสาหกรรม ๔.๐ และคณะจากกระทรวงเศรษฐกิจและพลังงานแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18348 | รายงานผลการประชุมระดับโลกว่าด้วยการขนส่งที่ยั่งยืน (Global Sustainable Transport Conference) | คค | 21/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการประชุมระดับโลกว่าด้วยการขนส่งที่ยั่งยืน (Global Sustainable Transport Conference) ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ณ กรุงอาชกาบัต ประเทศเติร์กเมนิสถาน ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีการหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาการขนส่งอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ในปี ค.ศ. ๒๕๓๐ ของสหประชาชาติ การลดผลกระทบจากภาคการขนส่งต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการพัฒนาและปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัยและความมั่นคงในภาคการขนส่ง และการสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในทุกรูปแบบการขนส่ง ทั้งนี้ จากผลการประชุมดังกล่าว กระทรวงคมนาคมเห็นควรให้ความสำคัญกับการดำเนินงานเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมใน ๔ เรื่อง ดังนี้
๑. การเชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งที่บูรณาการทั้งภายในประเทศและเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศอาเซียน และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยให้เร่งรัดระบบการเชื่อมต่อระหว่างระบบการขนส่งสาธารณะในแต่ละระบบ ๒. การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเร่งรัดพัฒนาระบบรถขนส่งสาธารณะที่ใช้พลังงานสะอาด ได้แก่ ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระบบรถโดยสารประจำทางในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และเมืองหลักในภูมิภาค ๓. การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในระบบการขนส่งและความปลอดภัย เช่น การใช้ตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ร่วมกันของระบบขนส่งทุกระบบ และการนำระบบเทคโนโลยีมาใช้กับการจำกัดและควบคุมความเร็วของรถยนต์ ๔. การกำหนดมาตรฐานการออกแบบระบบขนส่งสาธารณะให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18349 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 26 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 30 พฤศจิกายน 2559) | นร | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๒๖ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๙) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) เสนอ และให้ กขร. รวบรวมสรุปข้อมูลการติดตามประเมินผลการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ตั้งแต่ปี ๒๕๕๗ ถึงปัจจุบัน เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลต่อไป มีผลงานสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณี กิจกรรมทางศาสนา และกิจกรรมพัฒนาต่าง ๆ และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ผ่านศูนย์ดำรงธรรม ๒. การปฏิรูปประเทศ กขร. ได้มีการติดตามขับเคลื่อนความคืบหน้าการดำเนินการตามประเด็นปฏิรูป โดยกระทรวงการคลังได้รายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอประเด็นปฏิรูปตามแผนปฏิรูปของสภาปฏิรูปแห่งชาติ เรื่องการป้องกันและควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพด้านอาหารและโภชนาการในประเด็นการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกินเกณฑ์มาตรฐานสุขภาพ ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การใช้มาตรการทางกฎหมายและมาตรการทางระบบสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินการและเฝ้าระวังเว็บไซต์ที่เข้าข่ายละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘) ให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยทั่วไปที่ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย การพัฒนา กศน. ตำบล เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อสร้างและกระจายโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิตในชุมชน ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรการรองรับสังคมผู้สูงอายุ มาตรการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลตามนโยบายรัฐบาล ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น โครงการห้องสมุดอาเซียน การจัดงาน CLMVT Forum 2016 เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และการติดตามการแก้ไขปัญหาการค้าชายแดนด้านประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และมาเลเซีย ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การจัดหน่วยบริการหนังสือเดินทางเคลื่อนที่ โครงการมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และการปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18350 | สรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 และข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนน | มท | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๐ และข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนน โดยผลการดำเนินการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ในภาพรวมพบว่า จำนวนการเกิดอุบัติเหตุ เสียชีวิต และบาดเจ็บ สูงกว่าปี ๒๕๕๙ ซึ่งศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนได้นำข้อมูลมาวิเคราะห์และจัดทำแนวทางการขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนน ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านคน ด้านถนน ด้านยานพาหนะ และด้านสิ่งแวดล้อม โดยแนวทางการขับเคลื่อนที่สำคัญ เช่น (๑) ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาประสิทธิภาพเรื่อง “ด่านชุมชน” ในชุมชน/หมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง (๒) ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทยกำหนดคุณภาพของถนนให้เป็นมาตรฐาน (๓) ให้กระทรวงการคลังกำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนให้มีการติดตั้งกล้องติดรถยนต์ อุปกรณ์บันทึกพฤติกรรมการขับขี่ และอุปกรณ์ดับเพลิงในยานพาหนะ และ (๔) ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทยดำเนินการมิให้มีสิ่งอันตรายบนเขตทางเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุทางถนน เป็นต้น ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18351 | ร่างกฎกระทรวงแบบบัตรประจำตัวพนักงานคุมประพฤติ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงแบบบัตรประจำตัวอาสาสมัครคุมประพฤติ พ.ศ. .... | ยธ | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบบบัตรประจำตัวพนักงานคุมประพฤติ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทวงแบบบัตรประจำตัวอาสาสมัครคุมประพฤติ พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแบบบัตรประจำตัวพนักงานคุมประพฤติและอาสาสมัครคุมประพฤติ เพื่อให้พนักงานคุมประพฤติและอาสาสมัครคุมประพฤติแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุมประพฤติ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18352 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2558 | ปช | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับงบแสดงฐานะการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน และงบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่า รายงานการเงินดังกล่าวแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ และผลการดำเนินงานทางการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกัน โดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐ ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18353 | การศึกษาเขตพิเศษยุทธศาสตร์คันไซ | นร11 | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการศึกษาเขตพิเศษยุทธศาสตร์คันไซ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เขตพิเศษฯ คันไซ ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๗ มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ๑๒ แห่ง ในจังหวัดโดยรอบ พัฒนาเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมทางการแพทย์และพลังงาน และใช้เป็นเขตสำหรับทดลองการปฏิรูปกฎหมาย/ระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อภาคธุรกิจ ตลอดจนการส่งเสริมสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชน โดยเฉพาะนักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจและใช้ชีวิตในญี่ปุ่นได้สะดวก โดยมีกลไกการบริหารจัดการ ๒ ระดับ ได้แก่ (๑) กลไกระดับชาติ ประกอบด้วย สภาเขตพิเศษยุทธศาสตร์แห่งชาติ (The Council on National Strategic Special Zones) มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และคณะทำงานเขตพิเศษยุทธศาสตร์ (Strategic Special Zones Working Group) ประกอบด้วยนักธุรกิจและนักวิชาการซึ่งเป็นอิสระจากหน่วยงานของรัฐทำหน้าที่เจรจากับหน่วยงานของรัฐในการแก้ไขกฎหมาย และ (๒) กลไกระดับพื้นที่ มีสภาเขตพิเศษ (Zone Council) ประกอบด้วย ผู้แทนจากรัฐบาลกลาง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน ทำงานร่วมกันเพื่อจัดเตรียมแผนพัฒนา แผนงาน/โครงการ และขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมาย ๑.๒ การพัฒนาเขตพิเศษฯ คันไซ มีความใกล้เคียงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนและโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) มากกว่าเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน โดยมีความคล้ายคลึงกันในด้านการออกกฎหมายใหม่เพื่อรองรับเขตพิเศษ กำหนดกิจการเป้าหมายที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา และการมีกลไกการบริหารจัดการระดับชาติและในระดับท้องถิ่น ๑.๓ การประยุกต์ใช้ (๑) ควรมีกลไกระดับนโยบายที่มีอำนาจหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาและข้อจำกัดด้านกฎหมาย ระเบียบ วิธีและขั้นตอนปฏิบัติของหน่วยงาน (๒) ควรมีกลไกการบริหารจัดการในระดับพื้นที่ (๓) ควรสนับสนุนให้เกิดการวิจัยและพัฒนาในส่วนของภาคเอกชนและสถาบันการศึกษามากขึ้น และ (๔) ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมืองในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนและ EEC ๒. ให้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางของเขตพิเศษยุทธศาสตร์คันไซมาปรับใช้กับ EEC และประยุกต์ใช้กับเรื่องที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18354 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2559 | ทส | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ ที่มีมติเห็นชอบ จำนวน ๓ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒. โครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ โครงการทดแทนโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ระยะที่ ๑ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ตำบลบางโปรง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ๓. โครงการนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดสระแก้ว ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18355 | ผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ของกระทรวงคมนาคม | คค | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๐ ของกระทรวงคมนาคม ซึ่งได้ดำเนินการระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๙-๔ มกราคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์การเดินทางและการให้บริการขนส่งสาธารณะตลอดระยะเวลา ๗ วัน มีประชาชนเดินทางโดยใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะรวมทั้งสิ้น ๑๕,๑๖๓,๘๒๐ คน ซึ่งกระทรวงคมนาคมสามารถให้บริการระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างเพียงพอ ไม่มีผู้โดยสารตกค้าง พนักงานขับรถโดยสารสาธารณะและรถโดยสารส่วนใหญ่อยู่ในสภาพพร้อมให้บริการ ๒. สรุปสถานการณ์อุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๐ กรมทางหลวงรายงานปริมาณการใช้รถบนถนนสายหลัก มีจำนวน ๑๑,๔๑๗,๕๘๑ คัน มีการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ๓,๙๑๙ ครั้ง เพิ่มขึ้นจากปีใหม่ ๒๕๕๙ จำนวน ๕๔๐ ครั้ง คิดเป็นร้อยละ ๑๕.๙๘ มีผู้เสียชีวิต ๔๗๘ คน เพิ่มขึ้นจากปีใหม่ ๒๕๕๙ จำนวน ๙๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๕.๗๙ และมีผู้บาดเจ็บ ๔,๑๒๘ คน เพิ่มขึ้นจากปีใหม่ ๒๕๕๙ จำนวน ๖๒๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๗.๗๗ สาเหตุสำคัญของการเกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ การขับรถเร็วเกินกำหนด และคนหรือรถตัดหน้ากระชั้นชิด ประเภทยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ รถจักรยานยนต์ รถปิคอัพบรรทุก ๔ ล้อ และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล/รถยนต์นั่งสาธารณะ ตามลำดับ โดยช่วงทางตรงเป็นช่วงที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด และช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด คือ ช่วงเวลา ๑๖.๐๑-๒๐.๐๐ น. ๓. มาตรการป้องกันอุบัติเหตุเพิ่มเติม ได้แก่ การควบคุมความปลอดภัยในการขับขี่รถโดยสารสาธารณะ การควบคุมความปลอดภัยของสภาพโครงข่ายถนน และการควบคุมพฤติกรรมผู้ใช้รถใช้ถนน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18356 | ความคืบหน้าผลการดำเนินการบริหารจัดการการนำเข้าวัตถุดิบทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ | พณ | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความคืบหน้าผลการดำเนินการบริหารจัดการการนำเข้าวัตถุดิบทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ การบริหารจัดการการนำเข้าวัตถุดิบทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ (๑) ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ข้าวสาลีเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๙ (๒) ออกระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้นำข้าวสาลีเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๙ และ (๓) ออกคำสั่งกระทรวงพาณิชย์แต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบปริมาณการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบที่กำหนดไว้ ๑.๒ การแก้ไขปัญหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จังหวัดน่าน กระทรวงพาณิชย์ได้ประชุมหารือร่วมกับสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เพื่อแก้ไขปัญหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จังหวัดน่าน รวมทั้งปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการตามมาตรการนำเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ ซึ่งสมาคมฯ ได้ให้ความร่วมมือรับซื้อจากเกษตรกรที่เพาะปลูกในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ในราคาไม่ต่ำกว่า ๘ บาท (ณ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล) ณ ความชื้น ๑๔.๕% สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์จะรับซื้อในราคาที่ลดหลั่นตามชั้นคุณภาพและระยะทาง เพื่อใช้เฉพาะในโรงงานอาหารสัตว์ที่บริโภคภายในประเทศ ๑.๓ การแก้ไขปัญหาการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) อยู่ระหว่างยกร่างแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้อย่างยั่งยืนเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา และกระทรวงพาณิชย์จะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการส่งเสริมในเรื่องพันธุ์เพาะปลูกพืชทดแทนเพื่อเป็นทางเลือกให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศตามแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ของ Agri Map มอบหมายเจ้าหน้าที่กำกับดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎระเบียบในพื้นที่ฟื้นฟูพื้นที่อนุรักษ์ พื้นที่ป่าสงวน ป้องกันมิให้มีการบุกรุกป่าไม้เพิ่มขึ้น และจัดหาเชื่อมโยงตลาดสินค้าเกษตร เร่งผลักดันในการนำนวัตกรรมที่หลากหลายเพื่อเพิ่มมูลค่าและช่องทางตลาดใหม่ ๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งสำรวจและส่งเสริมด้านการตลาดให้กับพืชทางเลือกอื่น ๆ ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่ากระทรวงพาณิชย์ควรประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการรักษาเสถียรภาพราคาและปริมาณข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในภาพรวมของประเทศให้เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ ในกรณีที่มีการปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นวัตถุดิบ เช่น อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบจำนวนพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ เช่น จังหวัดน่าน จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นต้น ให้ชัดเจน และกำหนดแนวทางและมาตรการในการปรับเปลี่ยนการประกอบอาชีพของกลุ่มเกษตรกรดังกล่าวให้เหมาะสมและมีความยั่งยืนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18357 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติกรณีคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ | กต | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินการตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๓๒๑ (ค.ศ. ๒๐๑๖) เกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ ๑.๒ มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติตามแนวทางจากผลการประชุมส่วนราชการเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๙ และปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวให้เป็นไปตามรายการล่าสุด พร้อมทั้งแจ้งการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติ (United Nations : UN) ต่อไป และหากพบข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าว ให้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศทราบด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศหารือร่วมกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติตามข้อมติฯ ดังกล่าวให้มีความชัดเจนและเป็นที่เข้าใจถูกต้องตรงกัน โดยให้คำนึงถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ข้อจำกัด และข้อพึงระวังในการปฏิบัติให้มีความสอดคล้องกับกฎหมายภายในประเทศ ท่าทีของประเทศในกลุ่มอาเซียน และพันธกรณีระหว่างประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์และความมั่นคงระหว่างประเทศในภาพรวมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18358 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรภูฏานว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน การจ้างแรงงาน และ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ | รง | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรภูฏานว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน การจ้างแรงงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดหลักการพื้นฐานและส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการเกี่ยวกับความร่วมมือด้านแรงงาน การจ้างแรงงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ร่วมกัน พร้อมทั้งให้การสนับสนุนการมีกระบวนการจัดส่งและรับคนงานอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพระหว่างสองประเทศ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นผู้แทนฝ่ายไทยลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นผู้ลงนามในเอกสารดังกล่าว ๑.๔ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณากำหนดมาตรการตรวจสอบและควบคุมดูแลเพื่อป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน และปัญหาด้านความมั่นคง รวมทั้งกำหนดกลไกและช่องทางการประสานความร่วมมือในการป้องกันและแก้ปัญหาร่วมกันอย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18359 | การขอเช่าที่ดินสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (บริเวณซอยสีคาม) | ศย | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานศาลยุติธรรมทำสัญญาเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (บริเวณซอยสีคาม) ตามโฉนดเลขที่ ๔๒๑๖ และ ๔๒๑๘ แปลงหมายเลข ๑ ตำบลริมแม่น้ำเจ้าพระยา สามเสน เนื้อที่ประมาณ ๒๐๙.๔๒ ตารางวา ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ระยะเวลา ๑๔ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๔ ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งยกเว้นการปฏิบัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) โดยให้สำนักงานศาลยุติธรรมก่อหนี้ผูกพันงบประมาณล่วงหน้าเกินกว่า ๕ ปี ได้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย สำหรับค่าใช้จ่ายในการเช่าที่ดินที่จะเกิดขึ้นดังกล่าว เห็นควรให้สำนักงานศาลยุติธรรมปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ พร้อมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามสัญญาในแต่ละปีงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18360 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณ (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร) | สผ | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีต่อไปได้ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนเมษายน ๒๕๖๐ รวม ๓ รายการ ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ประกอบด้วย ๑.๑ งานออกแบบรายละเอียดการติดตั้งระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ วงเงินงบประมาณ ๕๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท (งบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๗) ๑.๒ โครงการปรับปรุงอาคารที่พักสวัสดิการเคหะสงเคราะห์สำหรับข้าราชการ วงเงินงบประมาณ ๑๓,๖๐๐,๐๐๐ บาท (งบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗) ๑.๓ จ้างที่ปรึกษาออกแบบและพัฒนาระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย วงเงินงบประมาณ ๑๐,๔๗๕,๐๐๐ บา (งบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘) ๒. ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเร่งรัดการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ตลอดจนปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
|
.....