ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 745 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 14881 - 14900 จากข้อมูลทั้งหมด 124278 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14881 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง อำเภอศรีราชา และตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... | คค | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง อำเภอศรีราชา และตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ กับทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อใช้บังคับต่อจากพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง อำเภอศรีราชา และตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งสิ้นสุดการใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ แล้ว เพื่อให้มีผลใช้บังคับต่อเนื่องอีก ๔ ปี เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปดำเนินการสำรวจและจัดกรรมสิทธิ์ให้แล้วเสร็จตามแผนการที่กำหนดไว้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้างด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต และเห็นควรให้กรมทางหลวงชนบทเร่งรัดการดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกานี้ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่มีพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับใหม่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14882 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 [กำหนดสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (เพิ่มเติม)] | ปง | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๔๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยกำหนดเพิ่มเติมให้ผู้ประกอบธุรกิจระบบการชำระเงินภายใต้การกำกับ และผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินภายใต้การกำกับตามกฎหมายว่าด้วยระบบการชำระเงิน เป็นสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการติดตามและปรับกลไกการกำกับดูแลให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีทางการเงินที่ส่งผลให้ธุรกรรมที่อาจเข้าข่ายการฟอกเงินมีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นช่องว่างที่เอื้อต่อการทำธุรกรรมทางการเงินเพื่อสนับสนุนกิจกรรมผิดกฎหมายได้ในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14883 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนกรกฎาคม 2561 | นร11 | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑ โดยมีความก้าวหน้าในการจัดทำแผนแม่บทตามยุทธศาสตร์ชาติ การขับเคลื่อนตามกิจกรรม/โครงการเร่งด่วน (Quick Win) ของคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และการสร้างการรับรู้ต่อยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งการดำเนินการในระยะต่อไป เช่น ดำเนินการยืมตัวข้าราชการจากหน่วยงานและส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนแม่บทฯ ร่วมกับคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติทุกคณะระหว่างช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ๒๕๖๑ และดำเนินการจัดทำรายงานผลการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศของหน่วยงานของรัฐให้คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและรายงานต่อรัฐสภาเพื่อทราบทุก ๓ เดือน เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14884 | ขออนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 - 2566 รายการเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่ง | นร12 | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่ง จำนวน ๑ คัน ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ วงเงินทั้งสิ้น ๓,๗๒๘,๔๐๐ บาท ระยะเวลา ๖๐ เดือน ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖ ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นกรณีเฉพาะราย ตามอัตราค่าเช่ารถยนต์และค่าจ้างพนักงานขับรถที่กระทรวงการคลังกำหนด โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ แผนงานพื้นฐานด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ ผลผลิตการยกระดับระบบการบริหารงานที่มีคุณภาพมาตรฐานและธรรมาภิบาลของหน่วยงานของรัฐ งบดำเนินงาน รายการค่าเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่ง ๑ คัน จำนวน ๕๒๕,๔๐๐ บาท ที่หมดความจำเป็น และปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๒๒๐,๒๘๐ บาท รวมเป็นเงิน ๗๔๕,๖๘๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๒,๙๘๒,๗๒๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๖ โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งสำนักงบประมาณจะได้บรรจุไว้ในสัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย ตามมาตรา ๑๑ (๔) ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ทั้งนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. สามารถก่อหนี้ผูกพันได้เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ประกาศใช้บังคับแล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14885 | แต่งตั้งผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย | กก | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายก้องศักด ยอดมณี ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ตามมติคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14886 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม 2561) | นร04 | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๑ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติรับข้อสังเกตดังกล่าวไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14887 | ร่างพระราชบัญญัติระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. .... | สธ | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกลไกและกระบวนการในการจัดระบบสุขภาพปฐมภูมิที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพโดยการประสานความร่วมมือเพื่อจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิ ซึ่งเป็นการดำเนินการที่มีส่วนร่วมกันระหว่างภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคประชาชน รวมทั้งการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยบริการทั้งระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข เช่น การกำหนดให้คณะกรรมการระบบสุขภาพปฐมภูมิไม่ต้องเสนอแผนยุทธศาสตร์ต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี) การพิจารณาประเภทและขอบเขตบริการสาธารณสุขของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติประกอบด้วย การมีหน่วยงานกลางที่ทำหน้าที่เป็นธุรการในการจัดสรรค่าใช้จ่ายให้แก่หน่วยบริการปฐมภูมิ การทำความตกลงเกี่ยวกับการขยายสวัสดิการหรือสิทธิการรักษาพยาบาล การพิจารณาในประเด็นเกี่ยวกับการกำหนดโทษทางอาญา รวมทั้งการบริหารจัดการอัตรากำลังที่มีอยู่ ไม่ควรเป็นการเพิ่มอัตรากำลังในภาพรวมของกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเกี่ยวกับการจัดบริการระบบสุขภาพปฐมภูมิที่ต้องดำเนินการเพื่อให้มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุขดูแลประชาชนในสัดส่วนที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจำเป็นต้องเพิ่มแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวอีกประมาณ ๕,๕๐๐ คน ในช่วง ๑๐ ปี นั้น กระทรวงสาธารณสุขควรสร้างแรงจูงใจให้แก่นักศึกษาแพทย์ให้มีความสนใจที่จะเข้ามาศึกษาในสาขาวิชาแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวมากขึ้น เช่น การให้ทุนรัฐบาลแก่นักศึกษาแพทย์เพื่อศึกษาในสาขาวิชาดังกล่าว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14888 | โครงการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 | กค | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี ๒๕๖๐ เพื่อส่งเสริมให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ โดยเฉพาะข้อมูลที่ส่งเสริมการพัฒนาตนเองและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ รวมทั้งเป็นการเพิ่มช่องทางการสื่อสารระหว่างภาครัฐกับประชาชน โดยจะให้บริการอินเทอร์เน็ตสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่แก่ผู้มีรายได้น้อย ผ่านกลไกการดำเนินโครงการที่กระทรวงการคลังได้หารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) และสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงาน กสทช. สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเพื่อจัดทำแผนการดำเนินโครงการดังกล่าวในรายละเอียด เช่น แนวปฏิบัติในการดำเนินโครงการฯ ระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ รูปแบบชุดข้อมูลแนวทางการประชาสัมพันธ์โครงการฯ เป็นต้น แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ในการจัดทำแผนการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำประเด็นต่อไปนี้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๑.๑ ให้นำฐานข้อมูลผู้ได้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้จัดทำไว้เป็นรายบุคคลมาวิเคราะห์เพื่อให้เห็นถึงความต้องการของผู้เข้าร่วมโครงการฯ แต่ละบุคคลหรือแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เพื่อใช้ในการออกแบบข้อมูลที่ตอบสนองความต้องการของผู้ได้รับสิทธิตามโครงการฯ แบบรายบุคคลหรือรายกลุ่มเป้าหมาย และพัฒนาช่องทางการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมโครงการฯ ๑.๒ ให้ประสานงานกับสำนักงาน กสทช. เพื่อขอความร่วมมือให้หารือร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยคำนึงถึงประเด็นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (๑) ควรสนับสนุนให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เข้าร่วมโครงการฯ จัดสรรการให้บริการที่เหมาะสมกับผู้มีรายได้น้อยและภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ และ (๒) ให้ระมัดระวังความซ้ำซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นของการให้บริการอินเทอร์เน็ตภายใต้โครงการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี ๒๕๖๐ ที่กระทรวงการคลังเสนอมาในครั้งนี้กับโครงการเน็ตประชารัฐที่ดำเนินการอยู่แล้ว ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน กสทช. เช่น ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมนำฐานข้อมูลผู้ได้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐมาวิเคราะห์เพื่อใช้ออกแบบข้อมูลที่ตอบสนองความต้องการของผู้ได้รับสิทธิแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่มเป้าหมาย และควรประชาสัมพันธ์การใช้อินเทอร์เน็ตอย่างถูกต้องและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และให้สำนักงาน กสทช. หารือร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของภาครัฐและประชาชน และความซ้ำซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นกับโครงการเน็ตประชารัฐที่ดำเนินการอยู่แล้ว รวมทั้งให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินโครงการฯ เพื่อนายกรัฐมนตรีทราบในลักษณะข้อมูลออนไลน์ผ่านศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี และให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดกลไกในการประเมินผลโครงการฯ ในภาพรวม เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดกลไกในการประเมินผลโครงการสวัสดิการแห่งรัฐในภาพรวม เพื่อให้สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ ได้อย่างชัดเจน และนำมาประกอบการพิจารณาปรับปรุงรูปแบบการจัดสวัสดิการของภาครัฐในระยะต่อ ๆ ไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14889 | การดำเนินโครงการ Country Programme | กต | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการ Country Programme (CP) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) ฉบับภาษาอังกฤษและภาษาไทย ตามความเห็นเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งการปรับถ้อยคำให้เป็นปัจจุบันในบางส่วน เช่น การปรับปรุงรูปแบบข้อความเกี่ยวกับสถานที่ วันที่ ภาษา เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการจัดทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศของไทย และการปรับเปลี่ยนชื่อโครงการเพื่อให้เกิดความชัดเจนและสอดคล้องกับความต้องการของฝ่ายไทยยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การปรับถ้อยคำดังกล่าวไม่ใช่ส่วนที่เป็นสาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้วเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14890 | สรุปผลการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ 3 (The 3rd Mekong River Commission Summit) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | ทส | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๓ (The 3rd Mekong River Commission Summit) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ระหว่างวันที่ ๔-๕ เมษายน ๒๕๖๑ โดยผลการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๓ ที่ประชุมฯ รับทราบผลการดำเนินงานตามปฏิญญานครโฮจิมินห์ ค.ศ. ๒๐๑๔ ซึ่งผู้นำประเทศสมาชิกได้ร่วมรับรองในการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๒ และผลการประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่อง “การร่วมดำเนินความพยายามและความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการบรรลุเป้าการพัฒนาที่ยั่งยืนในลุ่มน้ำโขง” รวมทั้งร่วมกันพิจารณาร่างปฏิญญาเสียมราฐ ค.ศ. ๒๐๑๘ และหารือการดำเนินความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาและหุ้นส่วนการพัฒนา โดยฝ่ายไทยได้มีถ้อยแถลงถึงความสำคัญของการพัฒนาและการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพตามพันธกรณีของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. ๒๕๓๘ และขอให้มุ่งเน้นพัฒนาคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงให้เป็นศูนย์ความรู้ด้านการบริหารจัดการลุ่มน้ำข้ามพรมแดนของภูมิภาค ซึ่งจำเป็นต้องมีการบูรณาการและกำหนดทิศทางการดำเนินงานที่ชัดเจน เชื่อมโยงกับกรอบความร่วมมือที่มีอยู่ในภูมิภาคเพื่อบรรลุเป้าหมายของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการพัฒนาที่ยั่งยืน สำหรับการประชุมที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การหารือทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว การหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยและนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา การประชุมของนายกรัฐมนตรีประเทศสมาชิกอย่างไม่เป็นทางการ (Prime Ministers Retreat) และการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๓ (แบบเต็มคณะ) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14891 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดเก็บภาษีเงินได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวม) | กค | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร เพื่อจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เฉพาะรายได้ตามมาตรา ๔๐ (๔) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร และปรับปรุงการจัดเก็บภาษีจากกองทุนรวมทั้งระบบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า เดิมรัฐบาลได้มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวมเพื่อลดความเสี่ยงของผู้ถือหน่วยลงทุนรายย่อย ซึ่งการเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวของกระทรวงการคลังอาจจะส่งผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนรายย่อยเปลี่ยนไปลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้โดยตรงมากขึ้น อันจะทำให้เกิดความเสี่ยงในการลงทุนของผู้ถือหน่วยลงทุนรายย่อยสูงขึ้น ดังนั้น กระทรวงการคลังควรพิจารณากำหนดมาตรการลดความเสี่ยงในการลงทุนของผู้ถือหน่วยลงทุนรายย่อยที่เปลี่ยนไปลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้โดยตรงมากขึ้นด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14892 | สรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 3/2561 | นร10 | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๑ โดยนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานการประชุมได้มีประเด็นข้อสั่งการให้คณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่ารับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น (๑) ให้ส่วนราชการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีและแผนปฏิบัติราชการประจำปีให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (๒) ให้ทุกส่วนราชการรายงานผลการดำเนินงานภารกิจสำคัญโดยให้มีการนำเสนอข้อมูลเชิงประจักษ์และสถิติตัวเลขประกอบโดยเปรียบเทียบกับข้อมูลในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ (๓) ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคมในเรื่องการลดปริมาณขยะ การลดการใช้พลาสติก และการใช้กระดาษในสำนักงาน และ (๔) ให้ทุกส่วนราชการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำระบบหรือโปรแกรมการทำงานที่พัฒนาโดยสถาบันการศึกษาหรือบริษัท Startups ของคนไทยมาใช้ในภาคราชการ เป็นต้น ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14893 | บันทึกความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย (Eurasian Economic Commission : EEC) | พณ | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบบันทึกความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย (Eurasian Economic Commission : EEC) มีสาระสำคัญเพื่อเป็นช่องทางสร้างความรู้และความเข้าใจ รวมทั้งความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในสาขาที่สองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน โดยมีสาขาความร่วมมือต่าง ๆ เช่น การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค นโยบายการค้า กฎระเบียบด้านศุลกากร กฎระเบียบทางเทคนิค มาตรฐาน และกระบวนการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช การเงิน การขนส่ง นโยบายพลังงาน อุตสาหกรรมเกษตร นโยบายแข่งขันทางการค้าและกฎระเบียบต่อต้านการผูกขาดทางการค้า อุตสาหกรรม ทรัพย์สินทางปัญญา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและเศรษฐกิจแบบดิจิทัล การค้าบริการและการลงทุน การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ เป็นต้น โดยกำหนดลงนาม ณ ประเทศไทย ในช่วงระหว่างการเดินทางเยือนประเทศไทยของประธาน EEC ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือฯ ฉบับภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษารัสเซีย ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบและอนุมัติไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินงานในระยะต่อไป ควรให้ความสำคัญกับการเจรจาเพื่อลดความซับซ้อนในการดำเนินธุรกิจเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ภาคเอกชนในการส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกันและให้ได้รับประโยชน์จากบันทึกความร่วมมือฯ สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14894 | การเติมเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับเปลี่ยนการเพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อการเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่น ๆ ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด รายเดือน (๒๐๐/๑๐๐ บาท/คน/เดือน) สำหรับระยะเวลาคงเหลืออีก ๔ เดือน (กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑) เป็นการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ผู้มีสิทธิตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแทนด้วยเงินจำนวนเท่าเดิมกับที่เคยได้รับ เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกและกำลังซื้อให้แก่ผู้มีสิทธิสามารถนำไปใช้จ่ายตามความต้องการ อันจะช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพ และส่งเสริมให้เกิดการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การพิจารณาแนวทาง รูปแบบ วิธีการ และการบูรณาการกลไกสนับสนุนมาตรการทางการคลังต่าง ๆ อย่างครอบคลุมและเป็นองค์รวม ตลอดจนพึงเสริมสร้างวินัยให้ผู้มีสิทธิใช้จ่ายในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างเหมาะสมและเท่าที่จำเป็นตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เพื่อให้การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการและประชาชนโดยรวม รวมทั้งการเตรียมความพร้อมรองรับการใช้งานกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการ ทั้งความพร้อมด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการให้ทราบถึงช่องทางและวิธีการใช้บัตร เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ผู้สูงอายุที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ทราบถึงการเติมเงินสงเคราะห์เข้ากระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม (กรณีที่มีรายได้ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาทต่อปี ได้รับเงินเดือนละ ๑๐๐ บาท และกรณีที่มีรายได้เกินกว่า ๓๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อปี ได้รับเงินเดือนละ ๕๐ บาท) รวมทั้งรณรงค์เพื่อเสริมสร้างวินัยให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนำเงินไปใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างเหมาะสมเท่าที่จำเป็น เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์หลักของการดำเนินโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14895 | หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (ฉบับที่ 2) | สธ | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (ฉบับที่ ๒) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินโครงการ “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” โดยการเพิ่มรายการในบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายหลักเกณฑ์ฯ จำนวน ๑,๖๔๙ รายการ ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มรายการใน ๔ หมวด จากทั้งสิ้น ๑๒ หมวด ประกอบด้วย หมวดที่ ๒ ค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ในการบำบัดรักษาโรค จำนวน ๒๒๖ รายการ หมวดที่ ๓ ค่ายาและสารอาหารทางเส้นเลือด จำนวน ๑,๐๒๙ รายการ หมวดที่ ๕ ค่าเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา จำนวน ๓๖ รายการ และหมวดที่ ๗ ค่าตรวจวินิจฉัยทางเทคนิคการแพทย์ จำนวน ๓๕๘ รายการ ทั้งนี้ รายการยา เวชภัณฑ์ และค่าบริการอื่น ๆ ที่ขอเพิ่มในบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายหลักเกณฑ์ฯ เป็นรายการที่ผู้ป่วยสามารถเบิกได้ตามสิทธิรักษาพยาบาล เช่น กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนประกันสังคม และกรมบัญชีกลาง อยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณเพิ่มเติมแต่อย่างใด ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่เห็นควรสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินการแก่ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต และประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับเป็นสำคัญ ตลอดจนแนวทาง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ทุกภาคส่วนจะต้องนำไปปฏิบัติให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งกำกับ ติดตาม และตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราที่กำหนด นอกจากนี้ ให้มีการกำกับราคาจ่ายชดเชยค่ารักษาพยาบาลในโครงการ “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” ให้เหมาะสม และเฝ้าระวังผลกระทบต่องบประมาณของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกอบกับควรเริ่มมีการตรวจสอบการจ่ายชดเชยค่ารักษาพยาบาลในโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14896 | การจัดทำและลงนามร่างความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีภายใต้กรอบความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (BIMSTEC) | วท | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีภายใต้กรอบความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation : BIMSTEC) ระหว่างรัฐบาลประเทศสมาชิก รวมทั้งประเทศไทย สำหรับการลงนามในการประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๓๐-๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินงานของศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี BIMSTEC โดยจะจัดตั้ง ณ กรุงโคลัมโบ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา และประเทศสมาชิกจะแต่งตั้งผู้แทนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี BIMSTEC วาระ ๓ ปี เพื่อร่วมกำหนดนโยบาย กลไก แผนงานและดำเนินการกับศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี BIMSTEC ให้บรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งมุ่งเน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) ระหว่างประเทศสมาชิกใน ๑๔ สาขาที่เกี่ยวข้อง เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ นาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ เทคโนโลยีการเกษตร เทคโนโลยีการแปรรูปอาหาร และเทคโนโลยีเภสัชกรรม เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้กับผู้ลงนาม ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นที่เกี่ยวข้องที่จะต้องดำเนินการตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือไม่ และเห็นควรให้มีการเสนอให้ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี BIMSTEC พิจารณากำหนดกระบวนการและระดับของเทคโนโลยีที่จะถ่ายทอดให้เกิดความชัดเจน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อ MSMEs ของประเทศสมาชิกอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. สำหรับค่าใช้จ่ายสนับสนุนค่าธรรมเนียมสมาชิกศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี BIMSTEC ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการก่อนตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้อง ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14897 | ขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา | ยธ | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณแล้วถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๑ จำนวน ๒๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ให้เพียงพอจนถึงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14898 | ร่างพระราชบัญญัติเจ้าพนักงานตำรวจศาล พ.ศ. .... | ศย | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติเจ้าพนักงานตำรวจศาล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีเจ้าพนักงานตำรวจศาลมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในการปฏิบัติหน้าที่ โดยจัดตั้งสำนักอำนวยความยุติธรรมและเสริมสร้างประสิทธิภาพบุคลากร ระบบ และมาตรการ เพื่อรักษาและคุ้มครองความปลอดภัยของศาลยุติธรรม ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เช่น การพิจารณาถึงความจำเป็นที่จะกำหนดให้เจ้าพนักงานตำรวจศาลมีขอบเขตอำนาจหน้าที่และการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจจับกุมตามกฎหมายอื่นกับเจ้าพนักงานตำรวจศาลให้ชัดเจน การกำหนดให้มีเจ้าพนักงานตำรวจศาลทุกศาลควรกำหนดให้มีความเหมาะสม มิเช่นนั้น อาจส่งผลกระทบต่องบประมาณด้านบุคลากรภาครัฐในภาพรวม จึงควรใช้การเกลี่ยอัตรากำลังจากภารกิจที่ไม่มีความจำเป็นหรืออาจใช้เทคโนโลยีทดแทนได้ควบคู่กับการจ้างหน่วยงานภายนอกหรือให้เอกชนร่วมดำเนินการ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ ๓. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม เช่น การเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวซึ่งจะมีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องจะต้องดำเนินการตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยหน่วยงานของรัฐต้องพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14899 | ร่างพระราชบัญญัติจริยธรรมเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. .... | นร10 | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจริยธรรมเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรม และกำหนดให้มีคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่องค์กรกลางบริหารงานบุคคลในการจัดทำและปรับปรุงประมวลจริยธรรม กำหนดหลักเกณฑ์การนำจริยธรรมไปใช้ในกระบวนการบริหารทรัพยากรบุคคล รวมถึงวินิจฉัย ตีความ หรือให้ความเห็นในเรื่องที่ขัดแย้งกับมาตรฐานทางจริยธรรม ตลอดจนกำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินการตามมาตรฐานทางจริยธรรม ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้นำผลการประชุมตามคำสั่งรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รวมทั้งความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับ (๑) มาตรฐานทางจริยธรรมที่กำหนดตามมาตรา ๕ ของร่างพระราชบัญญัติจริยธรรมเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. .... ให้ใช้เป็นมาตรฐานทางจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภท และ (๒) กลไกการขับเคลื่อนจริยธรรม ในหมวด ๒ และการรักษาจริยธรรม ในหมวด ๓ ของร่างพระราชบัญญัติจริยธรรมเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. .... ให้ใช้สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภท ยกเว้นเจ้าหน้าที่ของรัฐในองค์กรอิสระและศาล ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดแนวทางและคำอธิบายพฤติกรรมทางจริยธรรมสำหรับกระบวนการบริหารงานบุคคล เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในการแทรกมาตรฐานทางจริยธรรมเข้าไปในกระบวนการสรรหา เลือกสรร เลื่อนตำแหน่ง และการบริหารงานบุคคลอื่น ๆ ที่ถูกต้องตรงกัน รวมทั้งควรกำหนดเกณฑ์การประเมินผลในแต่ละด้านตามประมวลจริยธรรมให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ มีแนวทางการประเมินผลในเบื้องต้นและดำเนินการให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตลอดจนควรศึกษาและประเมินผลการบังคับใช้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14900 | ขออนุมัติการลงนามในเอกสารโครงการ Supporting the Application of the Ecosystem Approach to Fisheries Management considering Climate and Pollution Impacts (EAF-Nansen Programme) | กษ | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในเอกสารโครงการ Supporting the Application of the Ecosystem Approach to Fisheries Management considering Climate and Pollution Impacts (EAF-Nansen Programme) ขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) เพื่อดำเนินงานวิจัยและการสำรวจทรัพยากรประมงและทะเลของประเทศไทย และอนุมัติให้อธิบดีกรมประมงเป็นผู้ลงนามในเอกสารโครงการฯ รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม โดยเอกสารโครงการฯ เป็นความตกลงระหว่างรัฐบาลนอร์เวย์ผ่านองค์กรนอร์เวย์เพื่อการพัฒนาความร่วมมือ (Norad) สถาบันวิจัยทางทะเล (IMR) FAO และประเทศตามแนวชายฝั่งแอฟริกา โดยในการดำเนินการจะใช้เรือสำรวจทรัพยากรทางทะเล [Dr Fridtjof Nansen ขนาด ๓,๘๕๓ ตันกรอส สัญชาตินอร์เวย์และชักธงองค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN)] ทำการสำรวจทางนิเวศวิทยาและประเมินทรัพยากรทะเล เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรประมงในมหาสมุทรอินเดีย เริ่มจากแอฟริกาใต้ โมซัมบิก แทนซาเนีย มอริเชียส ศรีลังกา บังกลาเทศ เมียนมา และสิ้นสุดการสำรวจ ณ ทะเลอันดามัน ประเทศไทย โดยมีกำหนดเข้าน่านน้ำไทยช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารโครงการฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบและอนุมัติไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ทั้งนี้ หากมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีมาดำเนินการตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงดำเนินโครงการฯ ด้วยความระมัดระวังและรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประเทศไทยในทุกมิติ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศและความมั่นคงของชาติเป็นสำคัญ โดยประสานงานกับ FAO อย่างใกล้ชิดเพื่อติดตามการสำรวจทรัพยากรทางทะเลในน่านน้ำไทย และเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดหลักเกณฑ์การเข้าถึงข้อมูลการรักษาความลับและความปลอดภัยของข้อมูลเพื่อไม่ให้เกิดการนำข้อมูลสำคัญของประเทศไปใช้อย่างไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของการดำเนินโครงการฯ รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและกองทัพเรือ และข้อสังเกตของสำนักข่าวกรองแห่งชาติที่เห็นควรให้ผู้แทนกองทัพเรือ อาทิ กรมอุทกศาสตร์ เข้ามามีส่วนร่วมในการสำรวจและเก็บข้อมูลทางสมุทรศาสตร์เพื่อเป็นการป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และพื้นที่สำรวจควรสำรวจเฉพาะในบริเวณเขตเศรษฐกิจจำเพาะของไทย และขอให้งดทำการสำรวจพื้นที่ซึ่งอยู่ใกล้ทางเข้าฐานทัพเรือทหารในรัศมี ๒๗ ไมล์ทะเล นอกจากนี้ ต้องพิจารณารายงานและการประเมินผลอย่างละเอียด เพราะอาจมีเนื้อหารายงานที่ส่งผลเชิงลบต่อประเทศไทยและอาจทำให้กลุ่มที่ไม่ประสงค์ดีนำไปแสวงประโยชน์โดยอ้างอิงเนื้อหาในโครงการฯ ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงบูรณาการการปฏิบัติงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น เพื่อให้สามารถนำข้อมูลที่ได้รับจากการดำเนินโครงการฯ ไปใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลในภาพรวมของประเทศ และสามารถนำไปต่อยอดเพื่อการพัฒนาในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น อุตสาหกรรมประมงของไทยอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป โดยให้กรมประมงติดตามและประเมินผลที่ได้รับจากการดำเนินโครงการฯ เป็นระยะ ๆ ต่อไป
|
.....