ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 749 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 14961 - 14980 จากข้อมูลทั้งหมด 124278 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14961 | การเสนองบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี 2562 ขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย | พน | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบงบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี ๒๕๖๒ ขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย จำนวน ๔,๕๘๒,๓๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๗ หรือ ๓๑๓,๗๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ จากงบประมาณที่ได้รับอนุมัติในปี ๒๕๖๑ เนื่องจากค่าใช้จ่ายดำเนินงาน (Operating Expenditure) เพิ่มขึ้น ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการจัดงานครบรอบ ๔๐ ปี ของการจัดตั้งองค์กรร่วมฯ การปรับขึ้นเงินเดือนของบุคลากรตามการปรับโครงสร้างองค์กร ค่าใช้จ่ายในการขนย้ายเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานครบวาระ และการทำกิจกรรม CSR ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแลการดำเนินการ ให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14962 | ผลการดำเนินการตามมาตรา 5/8 แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 เรื่อง หลักเกณฑ์การกู้ยืมเงิน การถือหุ้นหรือการเข้าเป็นหุ้นส่วน การเข้าร่วมทุนในกิจการของนิติบุคคลอื่น และการจำหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญขององค์การมหาชน | นร12 | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ยกเลิกหลักเกณฑ์การกู้ยืมเงิน การถือหุ้นหรือการเข้าเป็นหุ้นส่วน การเข้าร่วมทุนในกิจการของนิติบุคคลอื่น การจำหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญขององค์การมหาชน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ ๑.๒ ผลการดำเนินการตามมาตรา ๕/๘ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ เรื่อง หลักเกณฑ์การกู้ยืมเงิน การถือหุ้นหรือการเข้าเป็นหุ้นส่วน การเข้าร่วมทุนในกิจการของนิติบุคคลอื่น การจำหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญขององค์การมหาชนของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ซึ่งได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ โดยปรับถ้อยคำให้สอดคล้องและตรงตามเจตนารมณ์กับพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ปรับวงเงินการกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้นให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน กำหนดกรอบวงเงินกรณีการเข้าร่วมทุนและผู้มีอำนาจอนุมัติวงเงินที่องค์การมหาชนเข้าร่วมทุนให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งและภายในวงเงินตามที่กำหนด โดยมิต้องเสนอขออนุมัติคณะรัฐมนตรีทุกกรณี เพื่อให้มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น ตลอดจนกำหนดให้องค์การมหาชนที่จะเข้าร่วมทุนต้องจัดทำคำชี้แจงประกอบการเสนอคณะกรรมการ รัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรีพิจารณา และกำหนดให้การจำหน่ายพัสดุเป็นสูญต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยกำหนดเป็นแนวปฏิบัติเรื่องการจำหน่ายหนี้สูญขององค์การมหาชน รวมทั้งปรับปรุงรูปแบบของหลักเกณฑ์ให้เป็นไปตามแบบของการร่างกฎหมาย และให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม นำไปใช้เป็นแนวปฏิบัติต่อไป ๑.๓ เห็นชอบให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเป็นผู้วินิจฉัยในกรณีที่องค์การมหาชนไม่สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การกู้ยืมเงินเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินงาน เห็นควรให้กระทำเฉพาะเท่าที่จำเป็น และการกู้ยืมเงินควรต้องนำไปใช้จ่ายเพื่อการลงทุนเท่านั้น การกำหนดนิยามคำว่า “การเข้าร่วมทุน” การแก้ไขถ้อยคำในข้อ ๙ การคงหลักการในส่วนการถือหุ้นหรือการเข้าเป็นหุ้นส่วนการเข้าร่วมทุนไว้ในหลักเกณฑ์ฉบับใหม่นี้ด้วย โดยต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และเป็นไปตามภารกิจขององค์การมหาชนนั้นด้วย การพิจารณาความสอดคล้องกับกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ เมื่อสำนักงาน ก.พ.ร. ปรับปรุงหลักเกณฑ์ตามความเห็นและข้อสังเกตดังกล่าวแล้ว ให้นำเสนอคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณาให้ความเห็นชอบ แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14963 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. .... | สว | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. .... โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเห็นชอบกับข้อสังเกตเกี่ยวกับการสรรหาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่ให้พิจารณาความรู้และประสบการณ์ด้านปรัชญา วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของไทย รวมถึงค่านิยมหรือหลักธรรมาภิบาลในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปี นอกเหนือจากความรู้ด้านกฎหมาย การจัดทำรายงานประจำปีของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยคำนึงถึงมาตรฐานการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐอย่างรอบด้านให้เทียบเท่ามาตรฐานสากลแล้ว การจัดทำคู่มือพนักงานสอบสวนตามมาตรา ๖๑ วรรคสาม ได้นำข้อปฏิบัติของพนักงานสอบสวนต้องแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงแห่งคดีแล้ว และได้มีการประสานความร่วมมือกับอัยการสูงสุดหรือหัวหน้าอัยการทหารเพื่อบูรณาการการทำงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สำหรับการออกระเบียบเกี่ยวกับการกำหนดเบี้ยประชุมของคณะกรรมการไต่สวน คณะกรรมการ คณะอนุกรรมการนั้น เป็นอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติโดยตรง จึงอาจไม่มีความจำเป็นต้องผ่านความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังก่อน รวมทั้งได้จัดทำระเบียบหรือประกาศเกี่ยวกับอัตราเงินเดือน เงินเพิ่มพิเศษ โดยเทียบเคียงกับหน่วยงานราชการอื่น ๆ และได้พิจารณาเพื่อออกหลักเกณฑ์ให้มีมาตรการป้องกันการเปลี่ยนแปลงข้อความหรือเอกสารในการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนการกำหนดตำแหน่งเพิ่มเติมสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ได้นำไปพิจารณาประกอบในการยกร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วยแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14964 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์รับคำขออนุญาต พ.ศ. .... | นร12 | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์รับคำขออนุญาต พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งศูนย์รับคำขออนุญาตขึ้นเป็นส่วนราชการในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรับคำขอตามกฎหมายว่าด้วยการอนุญาต ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.พ. ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. เห็นชอบแผนการจัดตั้งศูนย์รับคำขออนุญาต ประกอบด้วย โครงสร้างของศูนย์ฯ อัตรากำลัง และงบประมาณสำหรับการดำเนินการของศูนย์ฯ ในระยะเริ่มแรก ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า แผนการจัดตั้งศูนย์ฯ ควรกำหนดการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและการดำเนินการของศูนย์ฯ ให้ผู้บริการสามารถยื่นคำขอได้ภายในจุดเดียวครั้งเดียว ควรเร่งรัดการนำ digital service สมบูรณ์แบบมาใช้โดยเร็ว ควรมีการประเมินผลการดำเนินงาน ผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ ประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของการคงไว้ซึ่งภารกิจเป็นประจำทุกปี และตัดข้อความในร่างมาตรา ๓ วรรคสาม “... ศูนย์ฯ มีสิทธิเรียกเก็บค่าบริการนอกเหนือจากค่าธรรมเนียม” ออก ควรให้มีการทดลองเปิดใช้ระบบของศูนย์ฯ ก่อนที่ขยายสาขา ควรมีแนวทางปฏิบัติและการสื่อสารที่ชัดเจน ควรมีการกำหนดแผนงานที่ชัดเจนเพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเตรียมการรองรับภารกิจในการจัดเตรียมระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและเชื่อมโยงฐานข้อมูลหน่วยงานกับศูนย์ฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ควรให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) วางระบบการดำเนินงานของศูนย์ฯ ให้สามารถให้บริการทุกกระบวนงานผ่านระบบอินเทอร์เน็ตและต้องสามารถเชื่อมโยงข้อมูลของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน ส่วนการรับชำระค่าคำขอ ค่าธรรมเนียม ค่าบริการ หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ให้ดำเนินการผ่านระบบ Nation e-Payment และต้องมีระบบที่ผู้ยื่นคำขอสามารถตรวจสอบสถานะของคำขอต่าง ๆ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตด้วย โดยระบบดังกล่าวควรให้บริการได้ตั้งแต่วันแรกที่ศูนย์ฯ เปิดดำเนินการ ควรให้สำนักงาน ก.พ.ร. ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นลำดับแรกก่อน สำหรับในปีต่อ ๆ ไปให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ควรให้มีการทบทวนบทบาทโดยพิจารณาถึงการปรับโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐทั้งระบบ ผลการดำเนินงานต้องมีผลสัมฤทธิ์เป็นที่ประจักษ์และผลประโยชน์ที่ประชาชนและภาคธุรกิจได้รับจริงสอดคล้องตามนโยบายรัฐบาล โดยไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและเป็นภาระงบประมาณแผ่นดิน นอกจากนี้ อาจกำหนดหน้าที่เพิ่มเติมให้ศูนย์บริการร่วมที่มีอยู่แล้วสามารถดำเนินการตามภารกิจดังกล่าวแทนการจัดตั้งศูนย์ฯ แต่หากจำเป็นต้องจัดตั้งศูนย์ฯ ขึ้นใหม่ อาจกำหนดให้เป็นหน่วยงานภายในสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อทำหน้าที่ในการเสนอแนะนโยบายและประสานการพัฒนาระบบการขออนุญาตผ่านระบบแอปพลิเคชัน รวมถึงการพัฒนาเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในศูนย์บริการร่วมที่มีอยู่ให้สามารถปฏิบัติงานผ่านระบบแอปพลิเคชันดังกล่าวได้ และให้ศูนย์บริการร่วมให้บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ ครอบคลุมตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งควรเพิ่มบทบาทของศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน ๑๑๑๑ ในการเป็นศูนย์กลางการให้บริการภาครัฐในเรื่องต่าง ๆ ให้สามารถทำหน้าที่ให้บริการประชาชนเกี่ยวกับการรับคำขออนุญาต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14965 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะอาคารประเภทอื่นที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะอาคารประเภทอื่นที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดลักษณะอาคารประเภทอื่นที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อขยายระยะเวลาการดัดแปลงอาคารที่เปลี่ยนการใช้อาคารเพื่อประกอบธุรกิจโรงแรม จากเดิม ๒ ปี เป็น ๕ ปี (เดิมจะสิ้นสุดระยะเวลาในวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๑) โดยให้สามารถกระทำได้จนถึงวันที่กฎกระทรวงฯ สิ้นอายุ (วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๔) และผ่อนปรนข้อกำหนดบางประการเพื่อแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจโรงแรมในภาพรวมของประเทศ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการอนุญาต การดัดแปลงอาคาร หรือเปลี่ยนแปลงการใช้อาคารเพื่อประกอบธุรกิจโรงแรมให้เป็นไปตามกฎกระทรวงฯ อย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14966 | การเข้าร่วมคณะกรรมการด้านนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล (Committee on Digital Economy Policy : CDEP) ภายใต้องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) | ดศ | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเข้าร่วมคณะกรรมการด้านนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล (Committee on Digital Economy Policy : CDEP) ภายใต้องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) และอนุมัติในหลักการให้ชำระเงินค่าบำรุงสมาชิกรายปีในอัตราที่ OECD กำหนดเป็นประจำทุกปี (ค่าบำรุงสมาชิกปี ๒๕๖๑ จำนวน ๑๑,๐๐๐ ยูโร หรือประมาณ ๔๕๐,๐๐๐ บาท สำหรับปีต่อ ๆ ไป อาจมีการปรับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ) โดยค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นค่าธรรมเนียมในการเป็นสมาชิกประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ในโอกาสแรกก่อน ส่วนค่าธรรมเนียมในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ การเข้าร่วม CDEP จะต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่าและประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ของหน่วยงานของรัฐ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. หากในอนาคตค่าบำรุงสมาชิกรายปีมีการเปลี่ยนแปลงไปจากข้อมูลที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติในมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14967 | ขอความเห็นชอบโครงการ Combatting Illegal Wildlife Trade, focusing on lvory, Rhino Horn, Tiger and Pangolins in Thailand | ทส | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการ Combatting Illegal Wildlife Trade, focusing on lvory, Rhino Horn, Tiger and Pangolins in Thailand มีวัตถุประสงค์เพื่อลดปัญหาการค้าสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมายในประเทศไทย โดยเน้นที่ประเด็นของงาช้าง นอแรด เสือ และลิ่น โดยการเสริมสมรรถนะและสร้างความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมาย และการสร้างโครงการที่มุ่งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่สาธิต ได้แก่ จังหวัดหนองคายและจังหวัดสงขลา ซึ่งกิจกรรมภายใต้โครงการดังกล่าวจะดำเนินการในขอบข่าย ๔ องค์ประกอบ คือ (๑) การพัฒนาความร่วมมือ การประสานงาน และการแลกเปลี่ยนข่าวสาร (๒) การเสริมสมรรถนะของผู้บังคับใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม (๓) การลดอุปสงค์ต่อสัตว์ป่าและผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่า และ (๔) การจัดการความรู้ ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ลงนามร่วมกับผู้แทนสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations, Development Programme : UNDP) ประเทศไทย ในร่างเอกสารโครงการ (Project Document) และร่างข้อตกลงร่วม (Standard Letter of Agreement) ของโครงการดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น ส่วนราชการเจ้าของโครงการจะต้องพิจารณาว่าการสนับสนุนโครงการดังกล่าวมีข้อผูกพันทางการเงินที่เป็นตัวเงิน (In Cash) ด้วยหรือไม่ หากเป็นการสนับสนุนที่มีข้อผูกพันทางการเงินที่เป็นตัวเงิน ก็จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ด้วย และหากภายหลังมีค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานดังกล่าว ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อไปดำเนินการในโอกาสแรก และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14968 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและเทคโนโลยีดิจิทัลระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงคมนาคมและการสื่อสารแห่งสาธารณรัฐฟินแลนด์ | ดศ | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและเทคโนโลยีดิจิทัลระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงคมนาคมและการสื่อสารแห่งสาธารณรัฐฟินแลนด์ (Memorandum of Understanding on Cooperation in the Field of Telecommunication, Information Technology and Digital Technology between the Ministry of Digital Economy and Society of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Transport and Communications of the Republic of Finland) ในระหว่างการเยือนประเทศไทยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจแห่งสาธารณรัฐฟินแลนด์ ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและเทคโนโลยีดิจิทัลของสองประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาและส่งเสริมด้านไอซีทีและอุตสาหกรรมดิจิทัล ความร่วมมือด้านนวัตกรรมดิจิทัล การเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และการส่งเสริมธุรกิจดิจิทัลในกลุ่ม Startups ผู้ประกอบการใหม่ และผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14969 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการต่อสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของกระทรวงการต่างประเทศ รวม 4 แห่ง | กต | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14970 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2559 เรื่อง ขออนุมัติหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ | คค | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ [เรื่อง ขออนุมัติหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ] เพื่อให้เงื่อนไขและหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่า K ครอบคลุมการพิจารณาเงินชดเชยค่า K ของสัญญาที่ ๕ ของโครงการฯ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. สำหรับการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าในระยะต่อไป ให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) รวมทั้งข้อกำหนดต่าง ๆ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ (เรื่อง การพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพงานก่อสร้าง) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๙ [เรื่อง การกำหนดเงื่อนไข หลักเกณฑ์ ประเภทงานก่อสร้าง สูตรและวิธีการคำนวณที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ของการประกวดราคานานาชาติ และกำหนดแนวทางปฏิบัติเพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ กรณีการจ้างเหมาก่อสร้างแบบ Design and Build อย่างเคร่งครัด และหากในกรณีที่มีความจำเป็นที่ไม่สามารถปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี ระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้ ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14971 | ผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการร่วมตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงด้านอาหาร การค้า และการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล ครั้งที่ 1 และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการร่วม (Joint Steering Committee : JSC) ตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงด้านอาหาร การค้า และการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล ครั้งที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๓-๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม พาณิชย์ และการท่องเที่ยวของบาห์เรน เป็นประธานร่วม ซี่งสาระสำคัญของการประชุมฯ เช่น ไทยได้เน้นย้ำนโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” และยืนยันความสามารถของไทยในการเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารให้แก่บาห์เรน โดยไทยพร้อมที่จะจัดหาและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารตามที่ทางบาห์เรนต้องการ และเห็นพ้องที่จะจัดทำข้อตกลงยอมรับร่วม (Mutual Recognition Agreement : MRA) ด้านมาตรฐานสินค้าฮาลาลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ เป็นต้น นอกจากนี้ ได้มีการหารือทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม พาณิชย์ และการท่องเที่ยวของบาห์เรน เกี่ยวกับการขยายความร่วมมือในอุตสาหกรรมยางพารา และเชิญชวนบาห์เรนเข้ามาลงทุนในไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) และนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมยางพารา (Rubber City) ที่จังหวัดสงขลา และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14972 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและจัดอบรมสัมมนาในจังหวัดท่องเที่ยวรอง) | กค | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้พึงประเมินเท่าที่ผู้มีเงินได้ได้จ่ายไปเป็นค่าที่พักในสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดท่องเที่ยวรอง หรือในเขตพื้นที่ท่องเที่ยวอื่นใดที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกำหนดพื้นที่ในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดแนวทางปฏิบัติในการแสดงหลักฐานและการตรวจสอบเอกสารที่จะใช้ประกอบการขอลดหย่อนภาษีให้ชัดเจน ตลอดจนประชาสัมพันธ์ให้เกิดความเข้าใจแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องและสาธารณชนทั่วไปด้วย และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับปรุงมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้กำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลัง และควรมีการรายงานผลการดำเนินการและประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินการตามมาตรการภาษีดังกล่าวที่ส่งผลต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวสู่ชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14973 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน | กค | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการพิจารณาการขอจัดตั้งกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ของกรมการขนส่งทางบก ในคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการรวมพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ และพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ เข้าด้วยกัน เพื่อให้การกำกับและควบคุมดูแลการใช้รถ มาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยเกี่ยวกับรถ และการประกอบการขนส่งมีมาตรฐานเป็นแนวทางเดียวกันและมีความทันสมัย และในร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวยังคงให้กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนตามร่างพระราชบัญญัตินี้ เพื่อให้การดำเนินงานของกองทุนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยบทบัญญัติในส่วนของการจัดตั้งกองทุนและบทบัญญัติในส่วนของเงินและทรัพย์สินของกองทุนยังคงหลักการเช่นเดิม ดังนั้น การเสนอขอจัดตั้งกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนนี้ จึงมิใช่การจัดตั้งกองทุนหมุนเวียนใหม่ตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๒ คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. .... พบว่า การบริหารจัดการและการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินของกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนไม่เป็นไปตามนัยมาตรา ๖๓ วรรคสอง ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๒๑ (๒) คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนจึงเห็นว่า กรมการขนส่งทางบกควรปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. .... ในส่วนของกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารทุนหมุนเวียนให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงดำเนินการตามขั้นตอนอื่นต่อไป ๑.๓ เพื่อให้การจัดตั้งกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนเป็นไปอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการพิจารณาให้ความเห็นชอบให้เงินและทรัพย์สินของกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางบก สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนไปประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. .... ต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย เช่น การพิจารณาให้ความเห็นชอบให้แหล่งเงินของกองทุนดังกล่าวไม่ต้องนำส่งคลังตามนัยมาตรา ๒๕ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14974 | รายงานผลการปฏิบัติตามกฎหมายการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐประจำปี 2561 | พม | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติตามกฎหมายการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐ ประจำปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ อัตราส่วนที่ต้องจ้างงานคนพิการปี ๒๕๖๑ จำนวน ๑๒,๕๐๐ คน มีการจ้างงานแล้ว จำนวน ๑๐,๐๓๑ คน (ร้อยละ ๘๐.๒๕) ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นกว่าปี ๒๕๖๐ ที่มีการจ้างงาน จำนวน ๕,๘๒๘ คน (ร้อยละ ๔๕.๐๕) และได้ดำเนินการเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้หน่วยงานของรัฐที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น การจัดประชุมเพื่อชี้แจงแนวทางการปฏิบัติให้แก่ผู้บริหารระดับกรมและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการจ้างงานคนพิการ จำนวน ๑๓๓ กรม และดำเนินการจัดสอบคนพิการขึ้นบัญชีพนักงานราชการในตำแหน่งนักจัดการงานทั่วไป จำนวน ๑๒๒ คน เพื่อให้หน่วยงานของรัฐสามารถเรียกบัญชีไปสอบบรรจุได้ ๑.๒ การกำหนดให้การปฏิบัติตามกฎหมายการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐ เป็นตัวชี้วัดของหัวหน้าหน่วยงานในการประเมินผลการปฏิบัติงาน สำนักงาน ก.พ.ร. มีความเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องกำหนดเป็นตัวชี้วัดเพิ่มเติม เนื่องจากการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีทุกมติถือเป็นหน้าที่ของหัวหน้าหน่วยงานของรัฐอยู่แล้ว ประกอบกับรายงานที่เสนอมีข้อมูลชัดเจนและสามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการประเมินผลการปฏิบัติงานของหัวหน้าหน่วยงานของรัฐได้ ๒. ให้หน่วยงานของรัฐเร่งรัดดำเนินการจ้างงานคนพิการตามกฎหมายการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ [เรื่อง การจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๖] ให้ครบถ้วนภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ ๓. ให้กระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามดูแลและประสานงานการจ้างงานทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นผู้พิการอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้รับการจ้างงานในหน้าที่ความรับผิดชอบที่เหมาะสมในแต่ละกรณีด้วย ๔. กำหนดให้การปฏิบัติงานตามกฎหมายการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐเป็นตัวชี้วัดในการประเมินผลการปฏิบัติงานของหัวหน้าหน่วยงานระดับกระทรวง โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงาน ก.พ. ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14975 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 4 ราย 1. นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ฯลฯ) | พณ | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้
๑. นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ๓. นายวิชัย โภชนกิจ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าภายใน ๔. นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14976 | ข้อมูลประเด็นการศึกษาตามข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี | นร04 | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อมูลประเด็นการศึกษาตามข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑ ของกระทรวงศึกษาธิการ ดังนี้ (๑) การลดการบ้านนักเรียน เช่น ให้สถานศึกษาวางแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ครอบคลุมถึงการมอบการบ้านให้เหมาะสมทั้งปริมาณและสาระ (๒) การสอบเข้าเรียนระดับอนุบาล เช่น การรับเด็กก่อนประถมศึกษาอายุ ๓-๕ ปี ที่อยู่ในเขตพื้นที่บริการของโรงเรียนจะไม่มีการสอบ กรณีเป็นเด็กนอกพื้นที่ให้ใช้วิธีจับสลาก (๓) การสอบภาษาอังกฤษชั้น ป.๓ ไม่มีการสอบภาษาอังกฤษระดับชาติ แต่มีในชั้นเรียนเพื่อปรับปรุงพัฒนาและวัดผลการเรียน (๔) คูปองพัฒนาครู ยังมีปัญหาและอุปสรรค เช่น ครูขาดความเชี่ยวชาญในการใช้ IT ทำให้ขาดความคล่องตัวในการเข้าระบบ (๕) การปรับปรุงตำรา หนังสือเรียน และข้อสอบ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน (๖) การป้องกันการทุจริตโครงการอาหารกลางวัน มีแนวทางการดำเนินการและมาตรการกำกับติดตามอย่างเป็นระบบ เช่น ให้โรงเรียนจัดเมนูอาหารกลางวันโดยใช้โปรแกรม Thai School Lunch (๗) การสอนวิชาประวัติศาสตร์และวิชาศีลธรรม เช่น กำหนดให้สถานศึกษาทุกระดับชั้นจัดวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาพื้นฐานเฉพาะอย่างน้อยสัปดาห์ละ ๑ ชั่วโมง (๘) การสอบ O-NET และการสอบอื่น ๆ ดำเนินการสอบประเมินคุณภาพผู้เรียน ๓ ระดับ คือ ระดับสถานศึกษา (การอ่าน และใช้สอบมาตรฐานกลาง) ระดับชาติ (NT และ O-Net) ระดับนานาชาติ (PISA และ TIMSS) (๙) การสอนให้นักเรียนคิดอย่างมีเหตุผล เช่น ดำเนินโครงการบ้านพักนักวิทยาศาสตร์ระดับปฐมวัย จัดโครงการสะเต็มศึกษา (๑๐) การแต่งตั้งที่เป็นธรรม ดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการที่เป็นธรรม ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ./ก.พ. กำหนด (๑๑) การประเมินครูและบุคลากรทางการศึกษาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนด (๑๒) การสอบ TCAS มีข้อปรับปรุง เช่น ต้องแยกกลุ่มสถาบันแพทย์ศาสตร์แห่งประเทศไทยออกเป็นรายสถาบัน (๑๓) ค่าตอบแทนอธิการบดี เช่น ให้สภามหาวิทยาลัยกำหนดค่าตอบแทนอธิการบดี (รวมค่ารถประจำตำแหน่ง) อยู่ระหว่าง ๑๒๐,๐๐๐-๒๐๐,๐๐๐ บาท ขึ้นอยู่กับผลงานและรายได้ของมหาวิทยาลัยโดยไม่มีค่าตอบแทนแปรผันอื่น และ (๑๔) มาตรการควบคุมการเสนอขอรับงบประมาณการก่อสร้างที่ไม่มีข้อจำกัด เช่น สถาบันอุดมศึกษา (ของรัฐ) พิจารณาความจำเป็นในการใช้ประโยชน์อาคาร ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14977 | ผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในปีงบประมาณ 2560 นโยบายของคณะกรรมการ และโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต | คค | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ นโยบายของคณะกรรมการ รฟม. และโครงการและแผนงานของ รฟม. ในอนาคต ซึ่งผลการดำเนินงานในปี ๒๕๖๐ รฟม. สามารถผลักดันการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าตามนโยบายของรัฐบาลได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยสามารถนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ ๓ โครงการ คือ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-วงแหวนกาญจนาภิเษก รวมทั้งสามารถดำเนินการก่อสร้างโครงการต่าง ๆ ได้ตามแผนงานจนสามารถเปิดให้บริการเดินรถเส้นทางสายใหม่ (บางช่วง) ได้ ประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ (เปิดให้บริการช่วงแบริ่ง-สำโรง) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ (เปิดให้บริการช่วงบางซื่อ-เตาปูน ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรมได้) สำหรับโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล และสายฉลองรัชธรรม ที่เปิดให้บริการเดินรถแล้ว รฟม. สามารถผลักดันให้มีปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา และในส่วนของการพัฒนาตั๋วร่วม รฟม. ได้เริ่มแจกบัตรแมงมุมให้กับประชาชนทั่วไปแล้ว และสามารถใช้บัตรแมงมุมสำหรับโครงข่ายรถไฟฟ้าของ รฟม. ได้ตั้งแต่วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๑ และจะสามารถใช้ร่วมกับโครงการรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) ได้ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14978 | รายงานประจำปีและรายงานงบการเงินขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย ประจำปี 2560 | พน | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีและรายงานงบการเงินขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ประจำปี ๒๕๖๐ ประกอบด้วย กิจกรรมที่สำคัญในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ และรายงานงบการเงินขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ประจำปี ๒๕๖๐ ซึ่งสำนักงาน PricewaterhouseCoopers ผู้สอบบัญชีขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซียเห็นว่า งบดังกล่าวถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานรายงานทางการเงิน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14979 | แนวทางการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของหน่วยงานภายใต้คณะกรรมการบูรณาการด้านพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ | นร | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของหน่วยงานภายใต้คณะกรรมการบูรณาการด้านพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ ซึ่งคณะกรรมการบูรณาการด้านพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๑ มีมติเห็นชอบแนวทางดังกล่าวแล้ว ประกอบด้วย (๑) การเผยแพร่ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย EEC และอุตสาหกรรมเป้าหมาย ผ่านพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ใน ๓ จังหวัดพื้นที่ EEC (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) (๒) การจัดทำแผนที่และข้อมูลพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ในพื้นที่ EEC โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ๑๐ อุตสาหกรรม ทั้งพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ของรัฐและเอกชน และ (๓) การจัดกิจกรรมบูรณาการการเรียนรู้ของพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะของเด็กและเยาวชนในพื้นที่ EEC ตามที่สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14980 | รายงานผลการกู้เงินจากธนาคารพัฒนาเอเชียสำหรับโครงการก่อสร้างทางสายหลักเป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) ทางหลวงหมายเลข 22 ช่วงอำเภอหนองหาน - อำเภอพังโคน ทางหลวงหมายเลข 22 ช่วงสกลนคร - นครพนม (กิโลเมตรที่ 180 - 213) และทางหลวงหมายเลข 23 ช่วงร้อยเอ็ด - ยโสธร | กค | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินจากธนาคารพัฒนาเอเชียสำหรับโครงการก่อสร้างทางสายหลักเป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๒๒ ช่วงอำเภอหนองหาน-อำเภอพังโคน ทางหลวงหมายเลข ๒๒ ช่วงสกลนคร-นครพนม (กิโลเมตรที่ ๑๘๐-๒๑๓) และทางหลวงหมายเลข ๒๓ ช่วงร้อยเอ็ด-ยโสธร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการฯ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และผู้อำนวยการสำนักเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้แทนธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) กรอบวงเงิน ๙๙.๔๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเงื่อนไขการเบิกจ่ายเงินกู้ในคราวเดียวทั้งจำนวน และจะดำเนินการแปลงเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินบาท แล้วจึงนำฝากเงินเข้าบัญชีเงินฝากคลังของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะภายใต้ชื่อบัญชีเฉพาะของโครงการฯ เพื่อรองรับการเบิกจ่ายให้กับสัญญางานก่อสร้างและสัญญาจ้างที่ปรึกษาในแต่ละงวดงานตามความก้าวหน้าของโครงการฯ ตลอดจนดำเนินการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย (Cross Currency Swap) ภายใต้หลักเกณฑ์การบริหารความเสี่ยงเงินกู้ต่างประเทศที่กระทรวงการคลังได้ให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ รายละเอียดหนังสือสัญญาเงินกู้ดังกล่าวมีสาระสำคัญและเงื่อนไขเป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ๒. กระทรวงการคลังได้จัดทำประกาศกระทรวงการคลังเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาเสร็จแล้ว และเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงจะจัดทำคำรับรองทางกฎหมาย (Legal Opinion) ส่งให้แก่ ADB พิจารณาก่อนประกาศให้สัญญาเงินกู้โครงการฯ มีผลใช้บังคับ หลังจากนั้น กรมทางหลวงจึงจะสามารถเบิกจ่ายเงินกู้ได้ตามแผนงานโครงการฯ ที่กำหนด
|
.....