ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 269 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 5361 - 5380 จากข้อมูลทั้งหมด 123968 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
5361 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การขับเคลื่อนเกษตรอุตสาหกรรมในประเทศไทย ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา | สว. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
การขับเคลื่อนเกษตรอุตสาหกรรมในประเทศไทย
ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา
ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยสรุปผลการพิจารณาได้ว่า
แนวทางการขับเคลื่อนเกษตรอุตสาหกรรมของคณะกรรมาธิการดังกล่าว มีความเหมาะสม
สอดคล้อง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำมาบูรณาการเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเกษตรอุตสาหกรรมได้อย่างยั่งยืน
และเห็นด้วยกับแนวทางและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว
โดยมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ดังนี้ ๑) การกำหนดกรอบยุทธศาสตร์และกลไกการพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรมในระดับชาติควรมีการกำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรมเฉพาะให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์
แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ และแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๒)
การส่งเสริมและการสร้างผู้นำในการขับเคลื่อนเกษตรอุตสาหกรรมแบบคลัสเตอร์ควรเพิ่ม
“นิคมเกษตรอุตสาหกรรมภูมิภาค”
เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ใช้เป็นพื้นที่ในการพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรมแบบคลัสเตอร์
สำหรับการคัดเลือกเกษตรต้นแบบในแต่ละจังหวัด
ควรให้สภาเกษตรกรแห่งชาติและสภาหอการค้าจังหวัด เข้ามามีส่วนร่วมในการคัดเลือก และ
๓) การขับเคลื่อนหน่วยงานสนับสนุนการพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม
โดยการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเชื่อมโยงเกษตรอุตสาหกรรมในทุกภาคส่วน
โดยแนวทางในการส่งเสริมในส่วนของการวิจัยด้านการเกษตรควรขยายให้ครอบคลุมปัจจัยการผลิตอื่น
ๆ เช่น ปุ๋ย สารกำจัดศัตรูพืช เครื่องจักรกลการเกษตรขนาดเล็ก ระบบเตือนภัยต่าง ๆ
เพื่อช่วยลดความสูญเสียในกระบวนการผลิต เป็นต้น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5362 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (ว่าที่ร้อยเอก มนตรี มั่นคง) | ดศ. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง ว่าที่ร้อยเอก มนตรี มั่นคง เป็นข้าราชการการเมือง
ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๕) เป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5363 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 18/2565 | นร.11 สศช | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๘/๒๕๖๕
เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
ที่มีมติเกี่ยวกับแนวทางการเตรียมแหล่งเงินรองรับกรณีการตรวจสอบเหตุทุจริตของโครงการภายใต้พระราชกำหนดกู้เงินฯ
พ.ศ. ๒๕๖๓ และการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดกู้เงินฯ
พ.ศ. ๒๕๖๓ กรณีโครงการภายใต้โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ของกระทรวงมหาดไทย ให้จังหวัดแม่ฮ่องสอนเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการ จำนวน ๒
โครงการ และให้จังหวัดชัยนาทเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการ จำนวน ๑ โครงการ
ยกเลิกการดำเนินโครงการ จำนวน ๒ โครงการ และ ๑ กิจกรรม ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑)
ให้หน่วยงานเร่งรัดการดำเนินการแผนงาน/โครงการตามกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติไว้
(๒)
ให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามหน่วยงานเจ้าของโครงการในการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด
(๓) โครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก หากมีเงินเหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบและส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังในโอกาสแรก
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5364 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 29/2565 | นร.11 สศช | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๙/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ที่มีมติเกี่ยวกับการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดกู้เงินฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ กรณีโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ของกระทรวงมหาดไทย
ให้จังหวัดภูเก็ตเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ จำนวน ๖ โครงการ
ให้จังหวัดระนอง จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดกาฬสินธุ์
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ
โดยการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดปริมาณงานและรายละเอียดโครงการ จำนวน ๔ โครงการ
(จังหวัดละ ๑ โครงการ) ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่งกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑)
ให้หน่วยงานเร่งรัดการดำเนินการแผนงาน/โครงการตามกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติไว้
(๒)
ให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามหน่วยงานเจ้าของโครงการในการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด
(๓) โครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
หากมีเงินเหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบและส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังในโอกาสแรก
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5365 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย | กก. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในนามของผู้แทนฝ่ายไทย และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามในฝ่ายซาอุดีอาระเบีย โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ
โดยการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนร่วมกัน
รวมถึงสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพและมีรายได้สูง
รวมทั้งการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวให้มีความหลากหลายมากขึ้น
อันจะเป็นการสร้างประโยชน์และโอกาสในการลงทุนด้านการท่องเที่ยวให้กับไทยในระยะยาว
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5366 | ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม มาตรการป้องกันการทุจริตจากกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ | ปช. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
มาตรการป้องกันการทุจริตจากกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ
มีสาระสำคัญเพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ
หรือการวางแผนโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ
เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต การกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
และเพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือมาตรการใดที่เป็นช่องทางให้มีการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ
หรือเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดผลดีต่อราชการได้
ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5367 | ขออนุมัติลงนามและดำเนินการให้ความตกลงว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางการศาลระหว่างประเทศในคดีแพ่งระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามมีผลใช้บังคับ | ศย. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางการศาลระหว่างประเทศในคดีแพ่งระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามมีผลใช้บังคับ
และอนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
แล้วแต่กรณี เป็นผู้ลงนามความตกลงฯ โดยร่างความตกลงฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดความร่วมมือระหว่างศาลผู้มีอำนาจของทั้งสองประเทศในการดำเนินการที่จำเป็นในคดีแพ่ง
อาทิ การส่งเอกสารของศาลและเอกสารทางคดี การขอให้สืบพยานและส่งพยานหลักฐาน
การส่งหมายเรียกพยานและผู้เชี่ยวชาญ โดยมีถ้อยคำและบริบทที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้ข้อบังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ
ร่างความตกลงดังกล่าวจึงเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนการลงนามและดำเนินการให้มีผลผูกพัน และให้กระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความตกลงฯ
มีผลใช้บังคับ และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางการศาลระหว่างประเทศในคดีแพ่งแห่งราชอาณาจักรและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้ ให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยการดำเนินการต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
รวมทั้งจัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลการดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเปิดเผยต่อสาธารณชนด้วย
สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามความตกลงดังกล่าวให้สำนักงานศาลยุติธรรมใช้จ่ายจากการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณหรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5368 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงิน และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าก่อสร้างอาคารสำนักงานอัยการจังหวัดลพบุรี พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ | อส. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานอัยการสูงสุดเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
เป็นกรณีเฉพาะราย จากวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันไว้เดิม จำนวน
๒๖๒,๐๘๘,๔๐๐ บาท เป็นจำนวน ๒๗๓,๙๔๕,๕๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิมปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๖ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๗ ตามนัยข้อ ๗ (๓)
ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผู้กพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๖ จำนวน ๑๖๘,๗๘๒,๘๐๐ บาท ที่ได้รับอนุมัติจัดสรรและอยู่ในบัญชีของสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว
ส่วนที่เหลือ จำนวน ๑๐๕,๑๖๒,๗๐๐ บาท ให้สำนักงานอัยการสูงสุดจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ในการเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละปี
ให้ครบวงเงินตามสัญญาจ้างต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้สำนักงานอัยการสูงสุดรับความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่ควรเร่งดำเนินโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
และถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ของทางราชการ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5369 | ร่างถ้อยแถลงข่าวร่วมของการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทยกับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส | กต. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5370 | ร่างแผนความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการร่วมกันส่งเสริมเส้นทางเศรษฐกิจสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 | กต. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแผนความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการร่วมกันส่งเสริมเส้นทางเศรษฐกิจสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่
๒๑ (Cooperation Plan between the Government of
the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of China on
Jointly Promoting the Silk Road Economic Belt and the 21st Century
Maritime Silk Road) และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในร่างแผนความร่วมมือฯ โดยร่างแผนความร่วมมือฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่ายในประเด็นต่าง ๆ
ตามแนวคิดหลักของข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative :
BRI) อาทิ การค้าอย่างไร้อุปสรรค (Unimpeded Trade) และการบูรณาการทางการเงิน (Financial Integration) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนความร่วมมือฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
รวมทั้งต้องวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานร่างแผนความร่วมมือฯ
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานดังกล่าวให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5371 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวา ของอ่างเก็บน้ำแม่กวง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวา
ของอ่างเก็บน้ำแม่กวง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวา
ของอ่างเก็บน้ำแม่กวง ในท้องที่ตำบลหนองแหย่งและตำบลหนองหาร อำเภอสันทราย
จังหวัดเชียงใหม่
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทานจากผู้ใช้น้ำที่นำน้ำไปใช้เพื่อกิจการโรงงาน
การประปา หรือกิจการอื่นนอกจากภาคเกษตรกรรม เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลน้ำ
และให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5372 | ร่างถ้อยแถลงร่วมระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการดำเนินการเพื่อมุ่งสู่การเป็นประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันไทย-จีนเพื่อนำไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น ในโอกาสการเยือนไทยของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในห้วงการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค | กต. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการดำเนินการเพื่อมุ่งสู่การเป็นประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันไทย-จีนเพื่อนำไปสู่ความมั่นคง
มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น (Joint Statement
between the Kingdom of Thailand and the People’s Republic of China on Working
towards a Thailand-China Community with a Shared Future for Enhanced Stability,
Prosperity and Sustainability) ในโอกาสการเยือนไทยของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ในห้วงการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค และอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีร่วมกับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
โดยไม่มีการลงนาม โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ สะท้อนสาะสำคัญของผลการหารือข้อราชการระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในประเด็นต่าง
ๆ เช่น การขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
การย้ำท่าทีทางการเมืองในการเคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกันและกัน
การส่งเสริมการค้า การลงทุน และความเชื่อมโยง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
กระทรวงการต่างประเทศจำเป็นต้องวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานร่างแผนความร่วมมือฯ
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานดังกล่าวให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5373 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีในการกำหนดค่าธรรมเนียมในการตรวจลงตราเพื่อการรักษาพยาบาลระยะเวลา 1 ปี (Medical Treatment Visa) รหัส Non-MT | สธ. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีในการกำหนดค่าธรรมเนียมในการตรวจลงตราเพื่อการรักษาพยาบาล
ระยะเวลา ๑ ปี (Medical Treatment Visa) รหัส Non-MT ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ข้อ ๘.๘
ค่าธรรมเนียมการเข้าออกหลายครั้ง (Multiple Entry) รายละ ๖,๐๐๐ บาท เป็นรายละ ๕,๐๐๐ บาท
เพื่อให้เป็นไปตามกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๒๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง
พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๗ (พ.ศ. ๒๕๔๖)
ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องและประชาสัมพันธ์ให้ชาวต่างชาติทราบอย่างทั่วถึงต่อไป
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5374 | ขอความเห็นชอบโครงการบูรณาการการท่องเที่ยวบนพื้นฐานความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Mainstreaming Biodiversity-based Tourism in Thailand to Support Sustainable Tourism Development) | ทส. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5375 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย | พน. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
(Memorandum of Understanding between the
Ministry of Energy of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Energy of the
Kingdom of Saudi Arabia in the Field of Energy) และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีด้านพลังงานระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
และเสริมสรางความสัมพันธ์ในมิติต่าง ๆ ได้แก่ (๑) ความร่วมมือด้านพลังงาน อาทิ
ปิโตรเลียม ก๊าซ ไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
และปิโตรเคมี (๒) การพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนและเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำเพื่อลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อาทิ เทคโนโลยีการดักจับคาร์บอน การนำกลับมาใช้ซ้ำ การแปรสภาพและการกักเก็บคาร์บอน
และเชื้อเพลิงไฮโดรเจน (๓)
การส่งเสริมการปรับเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัลและนวัตกรรมด้านพลังงาน (๔)
การดำเนินการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนเชิงคุณภาพระหว่างคู่ภาคี เพื่อใช้ประโยชน์วัสดุ
ผลิตภัณฑ์ และบริการในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่คุณค่า
และเทคโนโลยีด้านพลังงาน (๕)
การเสริมสร้างความร่วมมือกับบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านพลังงาน (๖)
การดำเนินความร่วมมือในการพัฒนาการใช้ประโยชน์จากวัสดุที่มีความยั่งยืนในภาคการก่อสร้างและภาคอื่น
ๆ (๗) การดำเนินการวิจัยด้านพลังงานร่วมกันกับมหาวิทยาลัย ศูนย์วิจัย
และหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงการจัดประชุม การจัดอภิปราย งานสัมมนา
และการประชุมพหุภาคี (๘)
การเสริมสร้างขีดความสามารถบุคลากรผ่านการฝึกอบรมและแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับด้านพลังงาน
และ (๙) ด้านอื่น ๆ ที่ตกลงกันภายใต้กรอบของบันทึกความเข้าใจนี้ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒. ให้กระทรวงพลังงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5376 | ร่างบันทึกความร่วมมือว่าด้วยการลงทุนในธุรกิจต้นน้ำของก๊าซธรรมชาติเหลวระหว่างไทยและญี่ปุ่น และข้อริเริ่มความร่วมมือด้านถังเก็บก๊าซธรรมชาติเหลว ระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น | พน. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือว่าด้วยการลงทุนในธุรกิจต้นน้ำของก๊าซธรรมชาติเหลวระหว่างไทยและญี่ปุ่น
และข้อริเริ่มความร่วมมือด้านถังเก็บก๊าซธรรมชาติเหลว
ระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม
ประเทศญี่ปุ่น (Memorandum of Cooperation on Thailand-Japan
LNG Upstream Investment and LNG Tank Cooperation Initiative between the
Ministry of Energy of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Economy,
Trade and Industry of Japan) และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
(หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน)
เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือฯ โดยร่างบันทึกความร่วมมือฯ มีสาระสำคัญเป็นการขยายความร่วมมือด้านการลงทุนในธุรกิจต้นน้ำของก๊าซธรรมชาติเหลวและความร่วมมือด้านถังเก็บก๊าซธรรมชาติเหลวในประเทศไทย
เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานระหว่างคู่ภาคีและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้
ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งคำนึงถึงแนวทางการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ ๒
ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๔
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงพลังงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5377 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต หนังสือเดินทางราชการ และหนังสือเดินทางพิเศษ | กต. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑
การจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต
หนังสือเดินทางราชการ และหนังสือเดินทางพิเศษ พร้อมคำแปลอย่างไม่เป็นทางการ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดยกเว้นการตรวจลงตราให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางทูต
หนังสือเดินทางราชการ และหนังสือเดินทางพิเศษของประเทศคู่ภาคี
เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้า เดินทางผ่าน พำนัก
และเดินทางออกจากดินแดนของภาคี เป็นระยะเวลาไม่เกิน ๙๐ วัน ภายในระยะเวลา ๑๘๐ วัน
นับจากวันที่เดินทางเข้าอาณาเขตประเทศภาคีเป็นครั้งแรก
โดยมีการกำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ ๑.๒
ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทน
ให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนามดังกล่าว ๑.๓
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ ๒.
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๓.
ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5378 | ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็งระหว่างไทย-เวียดนาม พ.ศ. 2565–2570 | กต. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็งระหว่างไทย-เวียดนาม
พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๗๐ (Plan of Action on Implementing the
Thailand-Viet Nam Strengthened Strategic Partnership 2022-2027) และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้แทนฝ่ายไทยในการลงนามแผนปฏิบัติการฯ ในวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ โดยร่างแผนปฏิบัติการฯ
มีสาระสำคัญในการกำหนดแนวทางการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันอย่างรอบด้าน
ร่วมกันระบุถึงสาขาความร่วมมือทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง
และความสัมพันธ์ในระดับประชาชน ที่ทั้งสองฝ่ายมุ่งมั่นส่งเสริมและต่อยอดความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็ง
ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาความร่วมมือกับแผนงานความร่วมมือต่าง ๆ
ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยเฉพาะแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
๖ ประเทศ (GMS) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนปฏิบัติการฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
กระทรวงการต่างประเทศจำเป็นต้องวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานตามร่างแผนปฏิบัติการฯ
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานดังกล่าวให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5379 | การรับรองร่างแผนพัฒนาร่วมระหว่าง ACMECS กับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา | กต. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างแผนพัฒนาร่วมระหว่างยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง
(Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic
Coopertion Strategy : ACMECS) กับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา (Development
Partners : DPs) ของ ACMECS กลุ่มที่ ๑ ทั้ง ๖
ฉบับ คือ (๑) ร่างแผนพัฒนาร่วมระหว่าง ACMECS กับเครือรัฐออสเตรเลีย
(๒) ร่างแผนพัฒนาร่วมระหว่าง ACMECS กับสาธารณรัฐประชาชนจีน
(๓) ร่างแผนพัฒนาร่วมระหว่าง ACMECS กับสาธารณรัฐอินเดีย (๔)
ร่างแผนพัฒนาร่วมระหว่าง ACMECS กับญี่ปุ่น (๕)
ร่างแผนพัฒนาร่วมระหว่าง ACMECS กับสาธารณรัฐเกาหลี และ (๖)
ร่างแผนพัฒนาร่วมระหว่าง ACMECS กับสหรัฐอเมริกา
และให้เจ้าหน้าที่อาวุโสกรอบ ACMECS กระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้แทน ร่วมให้การรับรองแผนพัฒนาร่วมฯ ในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสระหว่าง ACMECS
กับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา ในวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
ตามที่ประเทศสมาชิก ACMECS และหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา
รายประเทศ มีฉันทามติ โดยเป็นการประกาศรับรอง
และไม่มีการลงนามในร่างเอกสารดังกล่าว โดยสาระสำคัญของร่างแผนพัฒนาร่วมฯ เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของความร่วมมือระหว่าง
ACMECS กับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา รายประเทศ กำหนดเป้าหมายของ
ACMECS กลไกความร่วมมือ บทบาทของหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา
แนวทางการดำเนินความร่วมมือกับกรอบภูมิภาคและอนุภูมิภาคอื่น ๆ
และสาขาความร่วมมือที่แนะนำระหว่างทั้งสองฝ่าย
เพื่อหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาให้การสนับสนุนทั้งด้านการเงินและ/หรือด้านเทคนิคแก่กลไกและโครงการต่าง
ๆ ของ ACMECS ให้มีความก้าวหน้าเป็นรูปธรรม
โดยร่างแผนพัฒนาร่วมฯ
เป็นเอกสารที่ทั้งสองฝ่ายสามารถปรับปรุงให้ทันสมัยได้ต่อไปในอนาคต
รวมทั้งกิจกรรมและความร่วมมือต่าง ๆ
อยู่บนพื้นฐานของความสมัครใจและฉันทามติร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก ACMECS กับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนพัฒนาร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
กระทรวงการต่างประเทศจำเป็นต้องวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานร่างแผนพัฒนาฯ
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานดังกล่าวให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5380 | ร่างแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่นในระยะ 5 ปี และร่างถ้อยแถลงร่วมระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น เรื่อง การยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน | กต. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติร่างแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่นในระยะ
๕ ปี และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามในแผนปฏิบัติการร่วมฯ
ในห้วงวันที่ ๑๖-๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ และเห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น
เรื่อง การยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน และให้นายกรัฐมนตรีร่วมรับรองในร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
ในการหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในห้วงวันที่ ๑๗-๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่นในระย
๕ ปี และร่างถ้อยแถลงร่วมระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น เรื่อง
การยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้ดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
และจะต้องวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานกรอบความร่วมมือที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานดังกล่าวให้สาธารณสุขและภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|