ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 268 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 5341 - 5360 จากข้อมูลทั้งหมด 123968 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
5341 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องทอดโดนัทและเครื่องทอดน้ำมันท่วมปริมาณน้ำมันสูงสุดเกิน 5 ลิตร แต่ไม่เกิน 12 ลิตร หรือเครื่องทอดโดนัทและเครื่องทอดน้ำมันท่วมที่มีความดันไม่เกิน 50 กิโลปาสกาล และผลคูณของความดันกับปริมาตรเป็นลิตรไม่เกิน 200 ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก. | 22/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องทอดโดนัทเชิงพาณิชย์และเครื่องทอดน้ำมันท่วมเชิงพาณิชย์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องทอดโดนัทและเครื่องทอดน้ำมันท่วมปริมาณน้ำมันสูงสุดเกิน
๕ ลิตร แต่ไม่เกิน ๑๒ ลิตร
หรือเครื่องทอดโดนัทและเครื่องทอดน้ำมันท่วมที่มีความดันไม่เกิน ๕๐ กิโลปาสกาล และผลคูณของความดันกับปริมาตรเป็นลิตรไม่เกิน
๒๐๐ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีคุณภาพและความปลอดภัยสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5342 | การแก้ไขสัญญาร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท โรงงานอุตสาหกรรมกระดาษบางปะอิน จำกัด | อก. | 22/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแก้ไขสัญญาร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท โรงงานอุตสาหกรรมกระดาษบางปะอิน จำกัด โดยขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาร่วมทุนในข้อ ๑๐
และชื่อคู่สัญญาร่วมทุน ดังนี้ (๑) ให้มีการแก้ไขสัญญาร่วมทุนจัดตั้งบริษัท
โรงงานอุตสาหกรรมกระดาษบางปะอิน จำกัด ข้อ ๑๐ จากเดิมที่ระบุว่า
“...คณะกรรมการบริษัท
ซึ่งประกอบด้วยคณะกรรมการที่มาจากการเสนอชื่อของคู่สัญญาแต่ละฝ่าย
โดยจำนวนสัดส่วนของกรรมการนั้นให้เป็นไปตามสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่ถือ ทั้งนี้
จำนวนกรรมการฝ่ายรัฐต้องมีไม่น้อยกว่า ๓ คน โดยเป็นผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรม ๒
คน และผู้แทนจากกระทรวงการคลัง ๑ คน เป็นกรรมการ
โดยผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานกรรมการ” และ (๒)
ให้มีการแก้ไขชื่อคู่สัญญาร่วมทุนจากเดิม “บริษัท บวรกิจร่วมทุน จำกัด” เป็น “บริษัท
สนิทเสถียร จำกัด”
โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานอัยการสูงสุดไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปให้ถูกต้อง
เหมาะสม เป็นไปตาม กฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งให้คำนึงถึงบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา ๗๕ วรรคสอง
ที่บัญญัติให้รัฐต้องประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชน
เว้นแต่กรณีที่มีความจำเป็น เพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐ
การรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม การจัดให้มีสาธารณูปโภค หรือการจัดทำบริการสาธารณะ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5343 | ร่างพระราชบัญญัติความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า พ.ศ. .... | นร.03 | 22/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดความรับผิดชอบของผู้ประกอบธุรกิจในความชำรุดบกพร่องของสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ส่วนบุคคล และรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล
เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองสิทธิของประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภค ตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับข้อสังเกตของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาและความเห็นของสำนักงานศาลยุติธรรม
ที่เห็นว่า
หากคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคได้ทบทวนแล้ว
ควรส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง และการกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจอาจปฏิเสธที่จะซ่อมแซมสินค้าโดยเปลี่ยนสินค้าใหม่
ซึ่งเป็นประเภทและชนิดเดียวกันให้แก่ผู้บริโภคได้นั้น อาจไม่สอดรับกับข้อ ๔.๖
ที่กำหนดให้เป็นสิทธิของผู้บริโภคในการเลือกว่าจะเรียกร้องให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่
รวมทั้งอาจขัดกับหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัตินี้ที่มุ่งประสงค์จะคุ้มครองสิทธิของประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภค
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5344 | ร่างพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ ..... และร่างพระราชบัญญัติอื่นที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษา รวม 4 ฉบับ | อว. | 22/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาทบทวนร่างพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา (ฉบับที่
..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติอื่นที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษา
รวม ๔ ฉบับ ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
ให้สอดคล้องกับผลการประชุมหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๓๐
กันยายน ๒๕๖๕ แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป โดยให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่าร่างพระราชบัญญัติ รวม ๔
ฉบับ ดังกล่าวเป็นร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด ๑๖
การปฏิรูปประเทศ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒.
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมปรับปรุงแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
ให้สอดคล้องกับผลการพิจารณาทบทวนของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดังกล่าว
แล้วส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5345 | ผลการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) ของพื้นที่กลุ่มที่ 2 จำนวน 11 จังหวัด | นร16 | 22/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบและรับทราบผลการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ
มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐ (One Map) ของพื้นที่กลุ่มที่ ๒ จำนวน ๑๑ จังหวัด และให้หน่วยงานที่มีดินอยู่ในความรับผิดชอบปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามผลการดำเนินการปรับปรุงแผนที่ตามแนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการฯ
ดังกล่าว ให้แล้วเสร็จ ภายใน ๓๖๐ วัน โดยอาจขอขยายระยะเวลาการดำเนินการต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติได้ตามเหตุผลความจำเป็นแต่ไม่เกิน
๑๘๐ วัน หากมีผู้ใดได้รับผลกระทบดังกล่าว
ให้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง
รวดเร็ว เหมาะสม ตามควรแก่กรณี โดยเป็นไปตามกฎหมาย
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ดำเนินการตามระเบียบ
กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด
สำหรับพื้นที่ที่ไม่มีราษฎรถือครองทำกิน พื้นที่ที่มีศักยภาพทำการเกษตรไม่คุ้มค่า
พื้นที่หล่อแหลมคุกคามต่อระบบนิเวศ และพื้นที่ที่ควรอนุรักษ์ไว้เพื่อให้ชุมชนใช้ประโยชน์ร่วมกันนั้น
ขอให้กันไว้ใช้ในกิจกรรมของกรมป่าไม้ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม
๒๕๓๗ ในการเสนอออกกฎหมายของหน่วยงาน
ควรพิจารณาประเด็นข้อกฎหมายที่จะให้การรับรองและความคุ้มครองหน่วยงานของรัฐ
เจ้าหน้าที่รัฐ
และผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งต้องดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจในการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐ
และควรมีการกำกับและติดตามผลการดำเนินการเพื่อให้สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จเป็นไปตามแผนที่วางไว้และเกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(กรมพัฒนาที่ดิน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดพิจารณาแนวทางการดำเนินการ
กรณีพื้นที่กันออกจากป่าสงวนแห่งชาติ เขตอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
ที่ทับซ้อนกับป่าไม้ถาวร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ [เรื่อง
การจำแนกประเภทที่ดินจังหวัดขอนแก่น (เฉพาะแห่ง)] ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน
ถูกต้อง ตรงกัน รวมทั้งให้เร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวให้แล้วเสร็จและเป็นรูปธรรมโดยเร็วด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5346 | การปรับลดปริมาณงานภายใต้โครงการพัฒนาระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้า ระยะที่ 9 ส่วนที่ 3 (คพส.9.3) และโครงการพัฒนาระบบส่งและจำหน่าย ระยะที่ 1 (คพจ.1) | มท. | 22/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการปรับลดปริมาณงานภายใต้โครงการพัฒนาระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้า
ระยะที่ ๙ ส่วนที่ ๓ (คพส.๙.๓) และโครงการพัฒนาระบบส่งและจำหน่าย
ระยะที่ ๑ (คพจ.๑) ในวงเงินลงทุนรวม ๑,๘๒๙.๖๐ ล้านบาท ได้แก่ ปรับลดแผนงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าและสายส่ง ๑๑๕ kV
จำนวน ๕ แห่ง วงเงินลงทุนรวม ๑,๖๙๗.๗๑ ล้านบาท
และปรับลดปริมาณงานจัดซื้อที่ดินล่วงหน้าที่มีการอนุมัติยกเลิกจัดซื้อแล้ว จำนวน
๑๐ แห่ง วงเงินลงทุนรวม ๑๓๑.๘๙ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทย
(การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) รับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงาน ที่เห็นควรพิจารณาปรับลดวงเงินจากแหล่งเงินกู้ในประเทศเป็นอันดับแรก
และเร่งการดำเนินโครงการทั้ง ๒ โครงการ ให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้
พร้อมทั้งติดตามและประเมินความต้องการการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาครับผิดชอบอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อรักษาประสิทธิภาพและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศในระยะยาวต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการตอ่ไป ๒. ให้กระทรวงพลังงานและคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเร่งจัดทำระเบียบ
และข้อบังคับที่ชัดเจน เพื่อให้ Prosumer รายงานข้อมูลการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองหรือขายให้แก่ลูกค้าโดยตรง
ซึ่งจะช่วยให้ภาครัฐมีข้อมูลในการกำกับและติดตามสถานการณ์ รวมถึงให้ทั้ง ๓
การไฟฟ้าสามารถเตรียมแผนรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างเหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5347 | ขออนุมัติกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 29 และการประชุมระหว่างคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กับกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ 27 | นร.14 | 22/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี
คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๙ และการประชุมระหว่างคณะมนตรี
คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กับกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ ๒๗ กำหนดจัดขึ้นในวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ กรอบการหารือดังกล่าว มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินงานและความร่วมมือของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
ภายใต้พันธกรณีของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มน้ำโขงอย่างยั่งยืน
พ.ศ. ๒๕๓๘ และตามแผนยุทธศาสตร์ชาติการพัฒนาลุ่มน้ำโขง พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๗๓ และเห็นชอบให้คณะผู้แทนไทยหารือกับประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงตามประเด็นในกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี
คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๙ และการประชุมระหว่างคณะมนตรี
คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กับกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ ๒๗
เพื่อสนับสนุนให้การดำเนินงานและความร่วมมือเป็นไปตามพันธกรณีของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืนพ.ศ.
๒๕๓๘ และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ)
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเป็นผู้ลงนามรับรองในรายงานการประชุม
โดยที่เอกสารดังกล่าวมิได้ใช้ถ้อยคำที่ก่อให้เกิดพันธกรณีกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และไม่เข้าข่ายหนังสือสัญญา ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ที่เห็นควรจะต้องมีการออกพระราชบัญญัติ
หรือหนังสือสัญญานั้นอาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม
หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก็จะต้องเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5348 | กรอบท่าทีไทยและเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมการว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา สมัยที่ 7 (The Seventh Session of the Committee on Environment and Development: CED 7) ระดับรัฐมนตรี | ทส. | 22/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบท่าทีไทยและเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมการว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา
สมัยที่ ๗ (The Seventh Session of the Committee on
Environment and Development : CED 7) ระดับรัฐมนตรี
เห็นชอบในหลักการต่อร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีฯ และภาคผนวกของปฏิญญาระดับรัฐมนตรีฯ (Annex) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๙
พฤศจิกายน -๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร
และผ่านระบบการประชุมทางไกล มีสาระสำคัญเป็นการสร้างความเข้มแข็งและความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านมลพิษทางอากาศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
ตามหลักการที่กำหนดไว้ในปฏิญญาริโอว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา
และวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ และอนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทย
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีฯ และภาคผนวกของปฏิญญาระดับรัฐมนตรีฯ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการปกป้องโลกของเราผ่านความร่วมมือระดับภูมิภาคและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
และร่างแผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคว่าด้วยมลพิษอากาศ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นว่าร่างปฏิญญาฯ
แผนการดำเนินงานฯ ไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐
และให้ดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5349 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) Re-Open ธุรกิจโรงแรมและ Supply Chain ของโรงแรม | กค. | 22/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
(Soft Loan) Re-Open ธุรกิจโรงแรมและ Supply
Chain ของโรงแรม
เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium
Enterprises : SMEs) ในธุรกิจโรงแรมและ Supply Chain ของโรงแรมให้มีเงินทุนเพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับปรุงระยะเวลาชำระเงินกู้กรณีให้สินเชื่อเพื่อปรับปรุงซ่อมแซมสถานประกอบกิจการและลงทุนในอุปกรณ์ต่าง
ๆ จากเดิมไม่เกิน ๗ ปี เป็นไม่เกิน ๑๐ ปี
รวมทั้งให้พิจารณาขยายคุณสมบัติของผู้กู้ให้ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการรายย่อยในแต่ละท้องถิ่นที่ประกอบกิจการอาหารหรือกิจการอื่นที่มีเอกลักษณ์/อัตลักษณ์ของท้องถิ่นนั้น
ๆ เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการได้อย่างยั่งยืนต่อไป ๒.
ให้กระทรวงการคลัง ธนาคารออมสิน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น
ควรมีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินโครงการ
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงมาตรฐานการสนับสนุนผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ต่อไป ควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการและโครงการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลาง
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานการดำเนินงานตามมาตรการและโครงการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ควรเร่งประชาสัมพันธ์ และสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการ เพื่อให้การดำเนินโครงการบรรลุเป้าหมายภายในระยะเวลาที่กำหนด
และควรเร่งพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจโรงแรมและ Supply Chain ของโรงแรมได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์
เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการฟื้นฟูรายได้ในช่วงที่ภาคการท่องเที่ยวกำลังฟื้นตัว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5350 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นางสุพร ตรีนรินทร์ ฯลฯ จำนวน 3 ราย) | กร | 22/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
(สำนักงาน กปร.) ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย
เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักงาน
กปร. เสนอ ดังนี้ ๑. นางสุพร ตรีนรินทร์ ที่ปรึกษาด้านการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน กปร.
ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ กปร. สำนักงาน กปร. ๒. นางพิชญดา หัสภาค ที่ปรึกษาด้านการพัฒนา
(นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน กปร. ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ กปร.
สำนักงาน กปร.
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5351 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นางสาววันทนา แจ้งประจักษ์) | กก. | 22/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาววันทนา แจ้งประจักษ์
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5352 | สรุปรายงานการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 17 (ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2564-31 สิงหาคม 2565) | นร.04 | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๑๗ (ระหว่างวันที่
๑ มกราคม ๒๕๖๔-๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๕) สรุปได้ ดังนี้ (๑) ผลการดำเนินงานตามนโยบายหลัก ๘ ด้าน เช่น
การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์
การสร้างความมั่นคงความปลอดภัยของประเทศและความสงบสุขของประเทศ การทำนุบำรุงศาสนา
ศิลปะและวัฒนธรรม การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย
การพัฒนาระบบสาธารณสุขและหลักประกันทางสังคม เป็นต้น และ (๒) นโยบายเร่งด่วน ๑๐
เรื่อง เช่น การแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน
การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม การยกระดับศักยภาพแรงงาน
การวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต
การแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ตามที่คณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5353 | สรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย สมัยที่ 15 | กษ. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่ด้วยการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย
สมัยที่ ๑๕ (United Nations Convention to Combat
Desertification : UNCCD COP 15) ระหว่างวันที่ ๙-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ณ
เมืองอาบีจาน สาธารณรัฐโกตดิวัวร์ ทวีปแอฟริกา ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.
ผลการประชุม UNCCD COP 15 เช่น ๑.๑
การพัฒนาที่ยั่งยืนในบริบทที่เกี่ยวข้องกับ UNCCD
COP 15 ให้มีการพัฒนากระบวนการสื่อสารและสร้างความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเป้าหมายความสมดุลของการจัดการทรัพยากรที่ดิน ๑.๒
การพัฒนาการดำเนินงานความสมดุลของการจัดการทรัพยากรที่ดินและการพัฒนาวิชาการ
นโยบาย และการเผยแพร่ความรู้
ผ่านการส่งเสริมการจัดการที่ดินอย่างยั่งยืนและพัฒนาฐานข้อมูล
และองค์ความรู้ในมิติต่าง ๆ เช่น มิติด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ๑.๓
แผนการดำเนินงาน UNCCD ระยะ ๔ ปี (๒๕๖๕-๒๕๖๘)
โดยเห็นชอบให้กลไกทางการเงินของ UNCCD สนับสนุนแผนงานที่เกี่ยวกับเป้าหมายความสมดุลของการจัดการทรัพยากรที่ดินเพื่อการลดพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากความเสื่อมโทรมของที่ดินและการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย ๒. ประเด็นสำคัญที่จะต้องดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น ๒.๑ ทบทวนและจัดทำแผนปฏิบัติการแห่งชาติของ UNCCD ปี ๒๕๖๔-๒๕๗๓
เพื่อเชื่อมโยงเป้าหมายความสมดุลของการจัดการทรัพยากรที่ดิน เช่น
การเพิ่มสัดส่วนพื้นที่ป่าไม้ของประเทศด้วยการปลูกป่าและฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำ ๒.๒
สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาคประชาสังคมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อสร้างสมดุลของการจัดการทรัพยากรที่ดิน
การถือครองที่ดิน ภัยแล้ง และการมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม ๒.๓
พัฒนาแผนงานโครงการที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับพื้นที่เพื่อให้เกิดการจัดการทรัพยากรที่ดินอย่างเป็นรูปธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5354 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล และน้ำมันอื่น ๆ
ที่คล้ายกัน ในบัญชีพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ประเภทที่
๐๑.๐๕ รายการน้ำมันดีเซลที่มีกำมะถัน
และรายการน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าว
รวมถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซลที่สะท้อนต้นทุนตามข้อเท็จจริง เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงภาระการชดเชยต้นทุนส่วนต่าง
ตลอดจนความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับ ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการดำเนินการ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเสนอมาตรการจัดหารายได้เพื่อชดเชยการสูญเสียรายได้ที่เกิดจากการลดภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันดีเซลและน้ำมันอื่น
ๆ ที่คล้ายกันให้มีความชัดเจน หรืออาจทยอยผ่อนคลายการดำเนินมาตรการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการช่วยเหลือประชาชนในมิติอื่น
เพื่อบรรเทาค่าครองชีพของประชาชนที่จะปรับตัวสูงขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5355 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ทางเลือกเชิงนโยบายในการช่วยเหลือและสนับสนุนด้านการเงินแก่ผู้ประกันตนและนายจ้าง ของคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา | สว. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
ทางเลือกเชิงนโยบายในการช่วยเหลือและสนับสนุนด้านการเงินแก่ผู้ประกันตนและนายจ้าง
ของคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณารายงานผลการศึกษาดังกล่าว
โดยเห็นว่าการปรับปรุงหรือพัฒนากฎหมาย โดยใช้หลักการจัดระบบเงินสมทบ (Define Contribution)
ควบคู่ไปกับการจัดระบบประโยชน์ทดแทน (Define Benefit)
ที่เหมาะสม อาจเกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้ประกันตนที่มีสัญชาติไทยและผู้ประกันตนที่ไม่มีสัญชาติไทยและอาจไม่เป็นไปตามหลักสากล
รวมถึงการเยียวยาภัยพิบัติเชิงรุกในรูปแบบต่าง ๆ ควรมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เป็นภารกิจหลักโดยตรงดำเนินการ และการจัดตั้งธนาคารเพื่อแรงงาน
ควรมีการวิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย และผลกระทบ
รวมทั้งแหล่งที่มาของเงินทุนอย่างครบถ้วน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5356 | รายงานสรุปผลการดำเนินการตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 และพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ณ เดือนตุลาคม 2565 | นร.11 สศช | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
และพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ณ เดือนตุลาคม ๒๕๖๕
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.
การบริหารกรอบวงเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ พ.ศ. ๒๕๖๓ และพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ.
๒๕๖๔ โดยกรอบวงเงินกู้แผนงานด้านฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-๑๙
ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่แผนงานด้านการแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิด-๑๙
สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
และแผนงานด้านการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ ๒.
ภาพรวมการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้ โดยพระราชกำหนดฯ พ.ศ. ๒๕๖๓ วงเงินกู้
๑,๐๐๐,๐๐๐ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายแล้ว ๙๕๐,๑๙๓.๗๒๒๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๖.๗๓
และพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ วงเงินกู้ ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายแล้ว
๔๒๗,๑๒๒.๙๗๘๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๕.๔๓ ๓.
ผลการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการ ได้แก่ ด้านการแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิด-๑๙
เช่น ค่าใช้จ่ายสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข มีผลการเบิกจ่าย ๖,๒๒๒.๑๓๙๕ ล้านบาท
ด้านการเยียวยาและช่วยเหลือประชาชน เช่น การบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค
(ค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา) มีผลการเบิกจ่าย ๗๕๓,๖๐๓.๗๐๑๙ ล้านบาท
และด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม เช่น การสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรให้เข้าถึงปัจจัยการผลิต
มีผลการเบิกจ่าย ๒๓,๓๕๖.๘๘๓๖ ล้านบาท ๔.
ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน เช่น ความล่าช้าในการดำเนินโครงการ ๕. ผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจประเทศโดยรวม เช่น การรักษากำลังซื้อของประเทศ และการพัฒนาข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5357 | ผลการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ 7 | กษ. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค
ครั้งที่ ๗ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๕ ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ผ่านระบบการประชุมทางไกล
โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุม ซึ่งมีสรุปผลการประชุมฯ
เช่น (๑) การประกาศแถลงการณ์ประธานสำหรับการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาหารเอเปค
ครั้งที่ ๗ โดยผลักดันนโยบายสำคัญ เช่น การสนับสนุนความปลอดภัยอาหารและการอำนวยความสะดวกทางการค้า
การปรับปรุงการดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี
และการส่งเสริมความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น (๒)
การกล่าวถ้อยแถลงเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการภายใต้แผนงานความมั่นคงอาหารมุ่งสู่ปี ค.ศ.
๒๐๓๐ ของประเทศต่าง ๆ เช่น เครือรัฐออสเตรเลีย
ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สาธารณรัฐประชาชนจีน
ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการเกษตรในพื้นที่ชนบท และสหรัฐอเมริกา ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโมเดลต้นแบบเมืองคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์
เป็นต้น (๓) การร่วมรับรองแผนปฏิบัติการภายใต้แผนงานความมั่นคงอาหารมุ่งสู่ปี ค.ศ.
๒๐๓๐ ของประเทศสมาชิก และ (๔)
ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางในการพัฒนาระบบอาหารที่ยั่งยืน เช่น
การส่งเสริมความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาความมั่นคงด้านอาหาร
การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ และการส่งเสริมการลงทุนด้านการเกษตร เป็นต้น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5358 | ผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 25 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กก. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน
ครั้งที่ ๒๕ และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๕ ณ
ราชอาณาจักรกัมพูชา ในรูปแบบผสมผสาน (One-site และ Online)
โดยมีสาระสำคัญ เช่น (๑) การรับรองปฏิญญาพนมเปญว่าด้วยการพลิกโฉมการท่องเที่ยวอาเซียนซึ่งเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนต่อการส่งเสริมการฟื้นฟูการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ทั้งนี้ เอกสารดังกล่าวจะต้องนำเสนอต่อผู้นำอาเซียนในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน
ครั้งที่ ๔๐ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ณ กัมพูชา (๒)
การรับรองแถลงข่าวร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนบวกสามเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและมุมมองต่อมาตรการในการบรรเทาผลกระทบที่ดำเนินการโดยประเทศสมาชิกฯ
และหารือถึงแนวทางในการเตรียมความพร้อมสำหรับภูมิภาคเพื่อการเปิดภาคการท่องเที่ยวใหม่อีกครั้ง
(๓) การรับรองแผนงานความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอาเซียน-อินเดีย ปี ๒๕๖๔-๒๕๖๕
และยินดีต่อการกำหนดให้ปี ๒๕๖๕ เป็นปีแห่งความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดีย
ในการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ ๙ และ (๔)
การรับรองแผนงานความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอาเซียน-รัสเซีย ปี ๒๕๖๕-๒๕๖๗
และยินดีต่อการยกระดับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอาเซียน-รัสเซีย
เป็นระดับรัฐมนตรีในการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน-รัสเซีย
ครั้งที่ ๑ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5359 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการปรับปรุงและจัดทำนโยบายอัตราค่าไฟฟ้า ของคณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา | สว. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการปรับปรุงและจัดทำนโยบายอัตราค่าไฟฟ้า
ของคณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยสรุปผลการพิจารณาได้ว่า ร่างนโยบายการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าของประเทศไทย
ปี ๒๕๖๔-๒๕๖๘ มีความสอดคล้องกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา ประกอบกับกระทรวงมหาดไทยโดยการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเห็นว่า
รายงานดังกล่าวครอบคลุมต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์และการดูแลสังคมผู้ด้อยโอกาส
รวมทั้งรองรับการเปลี่ยนแปลงบริบทของอุตสาหกรรมไฟฟ้ากระทรวงอุตสาหกรรมเห็นว่า สะท้อนต้นทุนในการให้บริการของกิจการไฟฟ้าอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมทั้งผู้รับใบอนุญาตและผู้ใช้ไฟฟ้าทุกกลุ่ม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นว่า
ควรเร่งศึกษาและดำเนินการพัฒนาพลังงานทดแทน (Renewable
Energy) ให้สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของแต่ละพื้นที่
และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเห็นว่า
จะนำรายงานดังกล่าวมาศึกษาและวิเคราะห์ความเหมาะสมประกอบการดำเนินงานให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน
พ.ศ. ๒๕๕๐ ต่อไป ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5360 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา รายงานผลการดำเนินงาน เรื่อง ติดตามการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 และติดตามการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 (ห้วงเวลาการดำเนินการ 1 กรกฎาคม 2563 - 31 ธันวาคม 2564) ของคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา | สว. | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
รายงานผลการดำเนินงาน เรื่อง ติดตามการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
และติดตามการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ (ห้วงเวลาการดำเนินการ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓-๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔)
ของคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยเห็นชอบกับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว สรุปได้ว่า (๑)
โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ “โคก
หนอง นา โมเดล” กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน มีการกำหนดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการคัดเลือกพื้นที่เป้าหมายและผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ
(๒) โครงการ “๑ ตำบล ๑ กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่”
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ผลักดันโครงการดังกล่าวให้เป็นโครงการสำคัญเพื่อให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ
(๓) โครงการ “ยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่ และเชื่อมโยงตลาด”
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ปรับปรุงกลุ่มเป้าหมายและวงเงินของโครงการอันเกิดจากอุปสรรคในพื้นที่ที่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผนงานสำหรับการส่งเสริมคุณภาพสินค้าเพื่อยกระดับมาตรฐานให้กับกลุ่มเกษตรกร
(๔) โครงการสร้างรายได้ด้วยแฟรนไชส์ฝ่าโควิด-๑๙ และโครงการรถ Mobile พาณิชย์...ลดราคา! ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก กระทรวงพาณิชย์ได้ขอปรับแก้ไขรายละเอียดในโครงการดังกล่าวให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง
โดยโครงการดังกล่าวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศรวม ๙๓.๑๓ ล้านบาท (๕)
โครงการเราเที่ยวด้วยกัน และ (๖) โครงการกำลังใจ
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้มีการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำผิดตามโครงการเราเที่ยวด้วยกันที่มีการกระทำการทุจริตฉ้อโกงที่เกิดขึ้นตามแหล่งท่องเที่ยวในภาคต่าง
ๆ ทั่วประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|