ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1529 จากทั้งหมด 6224 หน้า แสดงรายการที่ 30561 - 30580 จากข้อมูลทั้งหมด 124467 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 30561 | ขออนุมัติตั้งงบประมาณชดเชยเพื่อชำระเงินคืนกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรโครงการแก้ไขปัญหาเมล็ดพันธุ์หญ้าล้นตลาด ปี พ.ศ. 2550 | กษ | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กรมปศุสัตว์ขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร โครงการแก้ไขปัญหาเมล็ดพันธุ์หญ้าล้นตลาดปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ออกไปจนกว่ากรมปศุสัตว์จะได้รับการจัดสรรงบประมาณชดเชยเพื่อชำระคืนเงินกองทุนฯ เป็นกรณีพิเศษ ตามมติคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ สำหรับงบประมาณเพื่อชำระคืนเงินกองทุนฯ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รองรับไว้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดเตรียมแนวทางในการบริหารจัดการเมล็ดพันธุ์หญ้าที่เหลืออยู่ไปใช้ประโยชน์ในภารกิจของกรมปศุสัตว์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า ในการดำเนินโครงการในลักษณะนี้ในครั้งต่อไป กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) ควรพิจารณาวางแผนและเตรียมการดำเนินการล่วงหน้าเพื่อมิให้เกิดปัญหาเมล็ดพันธุ์ตกค้างจนเสื่อมสภาพอีก |
||||||||||||||||||||||||
| 30562 | กรอบการเจรจาการเพิ่มประสิทธิภาพมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี | กค | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. กรอบการเจรจาการเพิ่มประสิทธิภาพมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี และให้นำเสนอขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาก่อนดำเนินการต่อไป โดยสาระสำคัญของการเจรจาฯ มีดังนี้ ๑.๑ การเพิ่มวงเงินของกองทุนภายใต้มาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chaing Mai Initiative Multilateralisation : CMIM) ให้สูงขึ้นเป็น ๒ เท่า จาก ๑๒๐ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น ๒๔๐ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในส่วนของประเทศไทยจะเพิ่มวงเงินผูกพันเงินทุนสำรองระหว่างประเทศใน CMIM จากเดิม ๔.๕๕๒ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น ๙.๑๐๔ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ๑.๒ การเพิ่มสัดส่วนการให้ความช่วยเหลือกรณีไม่เข้าโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF De - Linked Portion) ซึ่งภายใต้เงื่อนไขของ CMIM ปัจจุบันกำหนดให้ประเทศสมาชิกได้รับความช่วยเหลือได้ จำนวนร้อยละ ๒๐ ของจำนวนเงินสูงสุดหากสมาชิกไม่เข้าร่วมโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งการเพิ่มสัดส่วนที่ไม่เชื่อมโยงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศให้มากกว่าร้อยละ ๒๐ จะเป็นการเพิ่มจำนวนเงินที่ประเทศจะได้รับความช่วยเหลือในระยะแรกจากสมาชิก CMIM ด้วยกัน ๑.๓ การจัดตั้งกลไกการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อป้องกันการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ (Crisis - prevention Facility) จากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและของภูมิภาคในช่วงที่ผ่านมาประเทศสมาชิกอาเซียน+๓ ได้เห็นควรให้มีการพิจารณาจัดตั้งกลไกการให้ความช่วยเหลือทางการเงินก่อนการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเพิ่มจากเดิมที่ CMIM จะให้ความช่วยเหลือภายหลังจากที่สมาชิกประสบวิกฤตเศรษฐกิจแล้ว โดยมอบหมายให้คณะทำงานหารือในรายละเอียดที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยผูกพันเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในวงเงินไม่เกิน ๙.๑๐๔ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมที่คณะรัฐมนตรีและรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบการผูกพันเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไว้ที่ ๕ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ |
||||||||||||||||||||||||
| 30563 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการค้ำประกันการชำระหนี้ของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐ | กค | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการค้ำประกันการชำระหนี้ของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐไปหารือร่วมกันในรายละเอียดเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์การค้ำประกันว่า ในกรณีทั่วไปหน่วยงานต้องมีโครงการหรือแผนงานในการกู้เงิน และกรณีใดเป็นข้อยกเว้นจากหลักเกณฑ์ทั่วไปที่ไม่จำเป็นต้องมีโครงการหรือแผนงานในการกู้เงิน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||
| 30564 | ร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดอุปกรณ์เพื่อช่วยในการแสดงสัญญาณจราจร และกำหนดข้อสันนิษฐานกรณีผู้ขับขี่ไม่ยอมให้ทดสอบโดยไม่มีเหตุอันควร) | ยธ | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ใช้ไฟฉายเรืองแสงหรืออุปกรณ์เรืองแสงอื่นในการแสดงสัญญาณจราจรได้ ๒. กำหนดให้เจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้มีการทดสอบผู้ขับขี่ว่าหย่อนความสามารถในอันที่จะขับหรือเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น และให้มีอำนาจกักตัวผู้ขับขี่ที่มีพฤติการณ์ดังกล่าวและไม่ยอมให้ทดสอบในกรณีผู้ขับขี่ถูกกักตัวไว้ทดสอบแล้ว หากผู้นั้นไม่ยอมให้ทดสอบโดยไม่มีเหตุอันสมควรให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น |
||||||||||||||||||||||||
| 30565 | ร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรมกับทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ ในท้องที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... | คค | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรมกับทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ ในท้องที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรมกับทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ โดยให้ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เป็นเจ้าหน้าที่เวนคืน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 30566 | ผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเกี่ยวกับการซักซ้อมความช่วยเหลือและให้ความรู้แก่ประชาชนในการเผชิญเหตุภายใต้แผนงานเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่เพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน จำนวน ๗๓.๓๖๕๐ ล้านบาท ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประกอบด้วย การพัฒนาระบบการบัญชาการ (Incident Command System : ICS) จำนวน ๕๓.๘๑๒๐ ล้านบาท และการศึกษาและอบรมตามวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้สามารถอยู่กับสภาพน้ำท่วม จำนวน ๑๙.๕๕๓๐ ล้านบาท ๑.๒ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดทำคันกั้นน้ำและทำนบชั่วคราว ของกรมชลประทาน รวม ๒ รายการ จำนวน ๕๕.๙๕๑๑ ล้านบาท ประกอบด้วย คันกั้นน้ำชั่วคราวบริเวณปากคลองบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๓๙.๙๖๘๙ ล้านบาท และทำนบชั่วคราวคลองพระอุดม จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๑๕.๙๘๒๒ ล้านบาท ๑.๓ ค่าใช้จ่ายของสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของ สบอช. จำนวน ๓๘.๗๑๒๔ ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติติดตามสถานการณ์น้ำ ของ สบอช. จำนวน ๑๕๑.๘๙๐๐ ล้านบาท ๒. ยกเว้นค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการศึกษาออกแบบระบบการเผชิญเหตุเพื่อบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย จำนวน ๔๗.๕๑๐๐ ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยในลุ่มน้ำภาคกลาง จำนวน ๑๑๗.๔๓๐๐ ล้านบาท ของ สบอช. ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย รับไปพิจารณาทบทวน โดยรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่าการดำเนินการเกี่ยวกับระบบการเผชิญเหตุควรบูรณาการการดำเนินการร่วมกับแผนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 30567 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | นร | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ๑.๑ การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นเงิน ๑๑๗,๖๙๒.๐๗๐ ล้านบาท ลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว จำนวน ๔.๗๘๗ ล้านบาท เนื่องจากสำนักงบประมาณได้ดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนในระบบ GFMIS จากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้แจ้งส่งคืนงบประมาณอย่างเป็นทางการ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจมีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงมิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๘๗,๙๘๗.๔๙๘ ล้านบาท ๑.๒ สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๑.๒.๑ มิติส่วนราชการ (Function) ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ จากระบบ GFMIS เป็นเงิน ๗๑,๘๘๕.๓๔๑ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้น ๒,๒๕๑.๗๔๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓.๒๓ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๐๒,๙๖๑.๔๘๑ ล้านบาท (ร้อยละ ๘๗.๔๘ ของวงเงินจัดสรร) เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑,๕๕๒.๓๔๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑.๕๓ ๑.๒.๒ มิติพื้นที่ (Area) จำแนกตามจังหวัดที่ดำเนินการ ผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ จากระบบรายงานแผน/ผลการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย สำนักงบประมาณ จำนวน ๗๓ จังหวัด เป็นเงิน ๕๖,๑๑๖.๗๒๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๓.๗๘ ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ๑.๓.๑ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจแจ้งอย่างเป็นทางการส่งคืนเงินงบประมาณเหลือจ่ายและเงินงบประมาณของโครงการ/รายการ ซึ่งยังมิได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกาศประกวดราคา หรือกรณีงานดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำนวน ๔๓ หน่วยงาน รวมเป็นเงิน ๕,๐๓๒.๔๑๑ ล้านบาท สำนักงบประมาณดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับคืนในระบบ GFMIS แล้ว จำนวน ๔,๒๖๑.๒๒๘ ล้านบาท ๑.๓.๒ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ อนุมัติจัดสรรงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียว ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ เพิ่มเติม โดยให้ใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืนเป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น ๓,๕๘๑.๓๐๔ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรแล้ว ๑,๙๗๑.๕๓๔ ล้านบาท คงเหลือวงเงินเพื่อรอการจัดสรรเพิ่มเติม จำนวน ๑,๔๕๑.๑๐๗ ล้านบาท ๑.๔ การติดตามผลการปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ๑.๔.๑ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดต้นน้ำ จำนวน ๑๑ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๑,๔๔๔ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๒,๗๑๗.๒๙๙ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๑,๒๗๐.๗๑๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๖.๗๖ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๖๗.๖๐ ๑.๔.๒ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดกลางน้ำ จำนวน ๖ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๒,๑๕๒ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๖,๒๓๐.๖๖๗ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๒,๙๔๐.๖๑๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๙.๗๗ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๓๙.๒๖ ๑.๔.๓ การปฏิบัติงานกลุ่มจังหวัดปลายน้ำ จำนวน ๑๕ จังหวัด คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ มีทั้งสิ้น ๖,๖๒๑ รายการ วงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๒๐,๖๑๙.๘๔๘ ล้านบาท เบิกจ่ายทั้งสิ้น ๖,๖๔๗.๐๒๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๓.๙๕ ของแผนการใช้จ่ายสะสม มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานโดยเฉลี่ยร้อยละ ๖๐.๖๗ ๒. การจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ อนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๘,๙๑๘.๘๖๑ ล้านบาท สำนักงบประมาณได้จัดสรรเงินกู้ฯ ให้ส่วนราชการ ณ วันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑๙,๖๖๗.๘๘๗ ล้านบาท ส่วนราชการกำลังอยู่ระหว่างการขอรับการจัดสรรเงินกู้ฯ จำนวน ๙,๒๓๓.๖๔๙ ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงคมนาคม จำนวน ๕,๒๘๑.๖๒๗ ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๗๑๕.๓๒๘ ล้านบาท และกระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๒๓๖.๖๙๔ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
| 30568 | รายงานการอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย การพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัย อย่างบูรณาการ ในงานฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัด | กค | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานการอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ในการจัดหาพัสดุสำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ในงานฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัด วงเงิน ๑,๕๕๕.๖๓๓๙ ล้านบาท เพื่อให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานต่าง ๆ สามารถดำเนินการจัดหาพัสดุได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามนโยบายรัฐบาล โดยคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) ได้เพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๔๙ ในการจัดหาพัสดุสำหรับงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในอนาคต ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานที่จัดหาพัสดุพิจารณาแม้จะได้รับงบประมาณและดำเนินการจัดหาพัสดุตามนัยหนังสือคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวพอ) ๐๔๒๑.๓/ว ๓๔ ลงวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งลดระยะเวลาในการจัดหาพัสดุ จากประมาณ ๘๕ วัน เหลือประมาณ ๒๘ วันแล้วก็ตาม หน่วยงานยังไม่สามารถดำเนินการจัดหาพัสดุจนได้พัสดุหรือสิ่งก่อสร้างพร้อมใช้งาน เพื่อใช้ในการป้องกันอุทกภัยภายในระยะเวลาตามแผนงานที่กำหนดไว้ และหากความต้องการใช้พัสดุดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วนล่าช้าอาจจะเสียหายแก่ราชการ หน่วยงานก็ชอบที่จะดำเนินการจัดหาโดยวิธีพิเศษ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการพัสดุของหน่วยงานนั้น ๑.๒ ให้หัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณดังกล่าว ควบคุม กำกับดูแล ในการพิจารณาคัดเลือกผู้ขายหรือผู้รับจ้างที่มีศักยภาพ และมีความพร้อมที่จะดำเนินงาน/โครงการต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และระยะเวลาที่กำหนดไว้ และหากเป็นงาน/โครงการที่เกี่ยวกับการขุดลอกคูคลอง ให้หน่วยงานถือปฏิบัติตามหนังสือคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวพ) ๐๔๒๑.๓/ว ๑๔๗ ลงวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕ เรื่อง การซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานการตรวจรับงานโครงการขุดลอกคูคลองอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาในส่วนของการจัดหาพัสดุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยให้ถือปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||
| 30569 | รายงานผลการแปลงตั๋วเงินคลังเป็นพันธบัตรรัฐบาล ในไตรมาสที่ 1 - 2 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการแปลงตั๋วเงินคลังเป็นพันธบัตรรัฐบาล ในไตรมาสที่ ๑ - ๒ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังมีวงเงินตั๋วเงินคลังเพื่อใช้ในการบริหารเงินสดรับ - จ่ายของรัฐบาล ณ ต้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๒๕,๖๙๑ ล้านบาท ซึ่งวงเงินดังกล่าวแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่ ๑ เป็นวงเงินที่ได้ขออนุมัติเพิ่มเติมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ เพื่อนำมาใช้ในการบริหารเงินสดของรัฐบาล จำนวน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท และส่วนที่ ๒ เป็นวงเงินที่เกิดจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปีที่ผ่านมา จำนวน ๔๕,๖๙๑ ล้านบาท โดยในไตรมาสที่ ๑ - ๒ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการแปลงตั๋วเงินคลังในส่วนที่เกิดจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปีที่ผ่านมาเป็นพันธบัตรรัฐบาล จำนวนรวม ๕,๗๘๒.๓๓๕ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๑ พันธบัตรรัฐบาลสำหรับนักลงทุนประเภทสถาบัน จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ (LB616A) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๔.๘๕ ต่อปี อายุคงเหลือ ๔๙.๔๖ ปี ซึ่งเป็นการ Re-open พันธบัตรรัฐบาล ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๙ อายุ ๕๐.๓๒ ปี โดยจัดประมูลในวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๕ ทำให้ปริมาณพันธบัตรรุ่นดังกล่าวมีจำนวน ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ พันธบัตรออมทรัพย์สำหรับนักลงทุนรายย่อย จำนวน ๗๘๒.๓๕๕ ล้านบาท โดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อรายย่อยพิเศษ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๗๕ ต่อปี อายุคงเหลือ ๒.๙๓ ปี ซึ่งเป็นการ Re-open พันธบัตรรัฐบาลเพื่อรายย่อยพิเศษ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๔ อายุ ๓ ปี โดยจำหน่ายผ่านเคาน์เตอร์และเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ (เครื่อง ATM) ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ - ๙ มีนาคม ๒๕๕๕ ๒. ภายหลังจากที่ได้ดำเนินการแปลงตั๋วเงินคลังเป็นพันธบัตรรัฐบาลในไตรมาสที่ ๑ - ๒ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวนรวม ๕,๗๘๒.๓๓๕ ล้านบาท แล้ว ทำให้กระทรวงการคลังมีวงเงินตั๋วเงินคลังคงเหลือเพื่อใช้ในการบริหารเงินสดรับ - จ่ายของรัฐบาล จำนวน ๑๑๙,๙๐๘.๖๖๕ ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่ ๑ เป็นวงเงินที่ได้ขออนุมัติเพิ่มเติมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ เพื่อนำมาใช้ในการบริหารเงินสดของรัฐบาล จำนวน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท และส่วนที่ ๒ เป็นวงเงินที่เกิดจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปีที่ผ่านมา จำนวน ๓๙,๙๐๘.๖๖๕ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
| 30570 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิสูจน์และการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น พ.ศ. .... | มท | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิสูจน์และการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดขั้นตอนการดำเนินการ ระยะเวลา สถานที่รับคำขอ และพยานหลักฐานประกอบคำขอพิสูจน์และรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น ๑.๒ กำหนดให้อธิบดีกรมการปกครองหรือผู้ว่าราชการจังหวัดตรวจสอบและพิจารณาความถูกต้องของคำขอและพยานหลักฐานให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับเรื่อง ๑.๓ กำหนดให้คณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นประชุมพิจารณาคำขอพิสูจน์ความเป็นคนไทยพลัดถิ่นภายใน ๓๐ วัน โดยให้อธิบดีกรมการปกครองเป็นผู้ออกหนังสือรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น หรือหนังสือแจ้งเหตุผลที่ไม่รับรอง รวมทั้งวิธีการและระยะเวลายื่นคำฟ้อง ๑.๔ กำหนดแบบคำขอ ใบรับ และหนังสือรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และเครือข่ายการแก้ปัญหาคืนสัญชาติคนไทยไปพิจารณาว่าจะมีแนวทางการแก้ไขปัญหา อุปสรรคสำหรับผู้ที่อ้างว่าเป็นคนไทยพลัดถิ่นในกรณีอื่นที่ประสงค์จะได้รับการรับรองเป็นคนไทยพลัดถิ่น และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายเพื่อมิให้ประชาชนเสียสิทธิดังกล่าว ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
| 30571 | ขออนุมัติเอกสารผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ 5 และการประชุมรัฐมนตรีมิตรของประเทศลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 2 | กต | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบเอกสาร จำนวน ๔ ฉบับ ซึ่งจะเป็นเอกสารผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง และการประชุมรัฐมนตรีมิตรของประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ประกอบด้วย ๑.๑ ร่างแถลงการณ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๕ รับทราบถึงความคืบหน้าในการดำเนินงานที่ผ่านมา และระบุถึงแนวทางและกลไกในการดำเนินงานในอนาคต ในสาขาความร่วมมือต่าง ๆ โดยยินดีที่สหรัฐอเมริกาจะให้งบประมาณเพิ่มอีก ๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ มุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในภูมิภาค เพื่อจัดการกับความท้าทายข้ามพรมแดนและสนับสนุนการเชื่อมโยงในเรื่องกฎระเบียบและประชาชนต่อประชาชนในอนุภูมิภาค นอกจากนั้น ยังตกลงที่จะหารือในการพัฒนาเครือข่ายประสานงานข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงระดับภูมิภาค ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกรอบความร่วมมือผ่านการเจรจาระดับนโยบายและการแลกเปลี่ยนข้อมูล ๑.๒ ร่างแถลงการณ์ร่วมเรื่องความเท่าเทียมกันด้านเพศและการเสริมสร้างบทบาทของสตรี ที่มุ่งส่งเสริมบทบาทของสตรีในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ๑.๓ เอกสารแนวคิดและแผนปฏิบัติการกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงตอนล่าง (ฉบับแก้ไข) ที่เพิ่มเติมเมียนมาร์ในฐานะสมาชิกใหม่ของกรอบข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง และเพิ่มเติมสาขาความร่วมมือเรื่องน้ำอีก ๑ สาขา ๑.๔ ร่างแถลงการณ์ของการประชุมรัฐมนตรีมิตรของประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๒ ระบุถึงแนวทางในการดำเนินงานต่อไปในอนาคตสำหรับเวทีมิตรของประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่างซึ่งมุ่งหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาต่าง ๆ ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าว ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก |
||||||||||||||||||||||||
| 30572 | ผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนงานเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่เพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน ประกอบด้วย เครื่องผลักดันน้ำ ๘๔ เครื่อง เป็นเงิน ๑๖๖.๗๔๐๐ ล้านบาท ของกองทัพเรือ เครื่องสูบน้ำไฮดรอลิก ขนาด ๓๐ นิ้ว ๒๔ เครื่อง เป็นเงิน ๒๑๖.๐๐๐๐ ล้านบาท ของกรมทรัพยากรน้ำ และค่าปรับปรุงห้องบัญชาการ ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นเงิน ๑๕.๐๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ สมทบตามหลักเกณฑ์โครงการตามแผนฟื้นฟูการอนุรักษ์ป่าและดิน และการทำฝาย ของกรมพัฒนาที่ดิน เป็นเงิน ๓๖.๙๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย การเพาะกล้าหญ้าแฝก ๓๐ ล้านกล้า เป็นเงิน ๓๐.๖๐๐๐ ล้านบาท และการขนย้ายและการปลูก ๑๐ ล้านกล้า เป็นเงิน ๖.๓๐๐๐ ล้านบาท ๒. ยกเว้นค่าใช้จ่ายในส่วนของรถบรรทุก ๑๐ ล้อ พร้อมเครน ๒ คัน จำนวน ๑๑.๐๐๐๐ ล้านบาท ของกองทัพเรือ และรถบรรทุก ๖ ล้อ พร้อมเครน ๑๔ คัน จำนวน ๔๒.๐๐๐๐ ล้านบาท ของกรมทรัพยากรน้ำ ให้สำนักงบประมาณรวบรวมข้อมูลการมีอยู่และใช้งานได้ของรถบรรทุกที่ใช้เพื่อการป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำอุทกภัยของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งหมด รวมทั้งความต้องการและความจำเป็นที่ต้องมีรถบรรทุกเพิ่มขึ้นเพื่อการดังกล่าวของทุกหน่วยงาน และให้กระทรวงกลาโหม (กองทัพเรือ) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำ) รวมทั้งหน่วยงานอื่นที่มีความจำเป็นต้องใช้รถบรรทุกขอตกลงรายละเอียดและความจำเป็นในการมีรถบรรทุกเพิ่มขึ้นดังกล่าวกับสำนักงบประมาณเพื่อเป็นการบูรณาการและลดความซ้ำซ้อน แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ และให้รายงานผลการพิจารณาให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย ๓. ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อกำหนดจุดที่ตั้งปัจจุบันของเครื่องผลักดันน้ำและเครื่องสูบน้ำที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันและที่จะจัดหาเพิ่มขึ้นให้เหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 30573 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (นายยรรยง พวงราช) | กค | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีอนุมัติแต่งตั้งนายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร แทนนายอำนวย ปะติเส ที่อายุครบ ๖๕ ปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 30574 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 สำหรับค่าเช่าอาคารเพื่อดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา | วธ | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยเช่าอาคารจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา และก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - พ.ศ. ๒๕๘๕ ภายในวงเงิน ๑,๐๖๒,๐๒๐,๑๐๐ บาท โดยค่าเช่าในปีแรกให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามอัตราค่าเช่าที่จะต้องจ่ายจริง จำนวน ๑๐ เดือน ซึ่งได้เสนอขอตั้งงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๑๘,๕๗๕,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีและเสนอตั้งงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. สำหรับการใช้ชื่อ “โครงการพัฒนาศูนย์หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา” ให้กระทรวงวัฒนธรรมหารือสำนักราชเลขาธิการก่อน ตามความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ๓. ให้กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร ดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบบริเวณพื้นที่ที่จะพัฒนาเป็นศูนย์หอศิลป์ร่วมสมัยทั้งสองฝั่ง โดยให้มีการจัดระเบียบร้านค้า แผงลอยที่ผิดกฎหมาย เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวให้บรรลุเป้าหมายและมีความเหมาะสมในการเป็นที่ตั้งของหอศิลป์ร่วมสมัยต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 30575 | แผนแม่บทการแก้ปัญหาและพัฒนางานสาธารณสุขชายแดน พ.ศ. 2555 - 2559 | สธ | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแผนแม่บทการแก้ปัญหาและพัฒนางานสาธารณสุขชายแดน ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่ายใช้แผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานสาธารณสุขชายแดนร่วมกัน และเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณและทรัพยากรอื่น ๆ จากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยมีประเด็นยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาและพัฒนางานสาธารณสุขชายแดน ประกอบด้วย ๔ ประเด็นยุทธศาสตร์ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบบริการสุขภาพ : สถานบริการสุขภาพทุกระดับผ่านเกณฑ์มาตรฐานและมีเพียงพอต่อการให้บริการ, ผู้มารับบริการมีความพึงพอใจ, มีระบบการส่งต่อและติดตามผู้ป่วยข้ามแดนและผู้ป่วยจากพื้นที่พักพิงชั่วคราวเพื่อการตรวจวินิจฉัย และรักษาโรค, มีระบบการส่งเสริมสุขภาพ อนามัยสิ่งแวดล้อม การเฝ้าระวัง การป้องกันและควบคุมโรคในพื้นที่ชายแดน และมีระบบการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีประสิทธิผลในพื้นที่ชายแดน ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การเข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน : มีระบบประกันสุขภาพที่เหมาะสมเพื่อรองรับกลุ่มประชากรที่ไม่มีหลักประกันสุขภาพ, ขยายการประกันสุขภาพให้มีความครอบคลุมแรงงานต่างด้าวทุกกลุ่มในรูปแบบที่เหมาะสม, ขยายบริการสาธารณสุขเชิงรุกในกลุ่มประชากรที่เข้าไม่ถึงบริการด้านสุขภาพ และมีข้อมูลการให้บริการด้านสุขภาพของกลุ่มประชากรต่างด้าวทุกกลุ่ม ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน : มีเครือข่ายความร่วมมือระหว่างชุมชนและหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาชน ภาคเอกชน องค์การระหว่างประเทศในการดำเนินงานด้านสาธารณสุขชายแดนทุกระดับที่เข้มแข็ง และความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมระหว่างประเทศไทยกับเพื่อนบ้านทั้งในระดับพื้นที่และระดับประเทศ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การบริหารจัดการ : มีนโยบาย แผนยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการ และงบประมาณในการดำเนินงานด้านสาธารณสุขชายแดน, มีกลไกการขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติ รวมถึงการกำกับ ติดตาม และประเมินผล, มีโครงสร้างและอัตรากำลังที่มีเพียงพอและมีศักยภาพในการดำเนินงานสาธารณสุขชายแดน, มีระบบสารสนเทศด้านสุขภาพชายแดน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องมีความรู้ ความเข้าใจ และมีทักษะในการดำเนินงานสาธารณสุขชายแดน ๒. ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้อง และสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเกี่ยวกับการนำผลการประเมินความสำเร็จของแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๑ ปัญหาและอุปสรรคมาใช้ประกอบการพิจารณาจัดทำแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ ให้มีความสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติ การเชื่อมโยงและบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับแผนอื่น ๆ ของกระทรวงสาธารณสุข เช่น แผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อม ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) การสร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพในกลุ่มผู้ประกอบการและแรงงานต่างด้าว การประสานความร่วมมือระหว่างประเทศในการส่งเสริมสุขภาพและการลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ การป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำที่อาจเกิดขึ้นจากการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี การจัดระบบบริการสาธารณสุขและระบบประกันสุขภาพที่เหมาะสมให้แก่กลุ่มคนต่างด้าว การให้ความสำคัญกับการพัฒนาดูแลคน ชุมชน และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ การพัฒนากรอบความร่วมมือทางสุขภาพกับประเทศเพื่อนบ้านและองค์กรระหว่างประเทศในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขชุมชน และการบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ โดยเน้นเรื่องการเสริมสร้างสุขภาพเชิงรุกในชุมชนแรงงานต่างด้าวที่อยู่ติดกับชายแดนไทย รวมทั้งการส่งเสริมให้สถานบริการสาธารณสุขตามแนวชายแดนแต่ละพื้นที่ร่วมกับภาคธุรกิจในพื้นที่ (เช่น สภาหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) เป็นแกนกลางในการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการปัญหาสาธารณสุขชายแดนในพื้นที่รับผิดชอบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนปฏิบัติการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ กลุ่มเป้าหมาย และแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาและพัฒนางานสาธารณสุขชายแดน รวมทั้งให้กระทรวงสาธารณสุขหารือร่วมกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงในการดำเนินการตามแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 30576 | ขอให้รัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการร่วม กับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ | วท | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติตอบรับการเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ Workshop on Establishing a National Strategy for Education and Training in Radiation, Transport and Waste Safety ร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ภายใต้กรอบโครงการภูมิภาค RAS/9/066 “Strengthening Education and Training Infrastructure and Building Competence in Radiation Safety” [การสร้างความแข็งแกร่งของโครงสร้างพื้นฐานในกระบวนการเรียนรู้และฝึกอบรมและเสริมสมรรถนะเกี่ยวกับความปลอดภัยทางรังสี] ๑.๒ เห็นชอบร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเชิงปฏิบัติการฯ และหากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่มิใช่สารัตถะของร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เพื่อพิจารณาดำเนินการแทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๑.๓ อนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการแก้ไขถ้อยคำในร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ของฝ่ายไทยไปดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 30577 | การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ 56 พ.ศ. 2558 | ศธ | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการที่ประเทศไทยจะรับเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ ๕๖ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่ International Mathematic Olympiad Advisory Board ให้การตอบรับ ๑.๒ อนุมัติระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่การเตรียมการก่อนปีที่เป็นเจ้าภาพ ๒ ปี และหลังจากสิ้นสุดการแข่งขัน ๑ ปี รวมระยะเวลาทั้งสิ้น ๔ ปี ๒. งบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ให้สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ - พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้ สสวท. ขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความเหมาะสมและความจำเป็นในแต่ละปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับแผนการเตรียมความพร้อมในด้านวิชาการ ทั้งเชิงความรู้และทักษะของผู้ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และใช้ประโยชน์จากการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความคิดเห็นกับครูและเยาวชนจากนานาชาติ เพื่อนำมาพัฒนาหลักสูตร วิธีการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ รวมทั้งมีกลไก กระบวนการดำเนินงานและติดตามประเมินผลที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม โดยนำประสบการณ์/บทเรียนจากการที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกระหว่างประเทศด้านต่าง ๆ อาทิ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คอมพิวเตอร์ มาประกอบการพิจารณา เพื่อให้การดำเนินงานทั้งการเตรียมความพร้อมด้านวิชาการและการเป็นเจ้าภาพบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการขอพระราชทานพระราชานุญาตในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ ๕๖ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ ก่อนดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 30578 | แผนพัฒนากำลังคนในระดับประเทศ พ.ศ. 2555 - 2559 | รง | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการแผนพัฒนากำลังคนในระดับประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการพัฒนากำลังคนตามแนวทางที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนากำลังคนฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ทั้งนี้ แผนพัฒนากำลังคนฯ ประกอบด้วยประเด็นยุทธศาสตร์/กลยุทธ์ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การผลิตและพัฒนาศักยภาพกำลังคนทุกระดับต่อเนื่องตลอดชีวิต ประกอบด้วย กลยุทธ์ ๑.๑ ปรับปรุงหลักสูตรในระบบการศึกษาทุกระดับให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษารอบ ๒ กลยุทธ์ ๑.๒ สร้างแหล่งเรียนรู้และส่งเสริมให้มีช่องทางการศึกษาเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองได้ตลอดชีวิต กลยุทธ์ ๑.๓ บูรณาการระบบการศึกษาร่วมกันระหว่างหน่วยงานทางด้านการศึกษาเพื่อเร่งส่งเสริมทักษะทางด้านภาษาต่างประเทศ (เช่น ภาษาอังกฤษ จีน และภาษาเพื่อนบ้าน) กลยุทธ์ ๑.๔ ส่งเสริมการวิจัย และการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงาน และกลยุทธ์ ๑.๕ ส่งเสริมสนับสนุนให้ใช้ระบบเทคโนโลยีเสมือนจริงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการศึกษาและพัฒนาคน ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การสร้างความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานด้านกำลังคนทุกภาคส่วน ประกอบด้วย กลยุทธ์ ๒.๑ พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้ตรงต่อความต้องการของตลาดเพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษา (Education Hub) ของอาเซียน กลยุทธ์ ๒.๒ ส่งเสริมให้มีการเรียนการสอนในรูปแบบ Work Intergrated Learning (WIL) มากขึ้นในทุกระดับ เพื่อพัฒนาทักษะในการทำงานจริง กลยุทธ์ ๒.๓ จัดเตรียมกำลังคนในบางสาขาที่ขาดแคลนทั้งด้านปริมาณและคุณภาพเพื่อรองรับการเป็นตลาดเดียวในอาเซียน และกลยุทธ์ ๒.๔ เพิ่มความพร้อมให้กับคนไทยในวัยแรงงานให้มีโอกาสเพิ่มเติมทักษะฝีมือแรงงานได้ตลอดเวลาโดยผ่านระบบ ICT ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนากำลังคนให้มีศักยภาพสูงและมีความสามารถในระดับสากล ประกอบด้วย กลยุทธ์ ๓.๑ เตรียมความพร้อมกำลังคนเพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดสินค้าและบริการอันเนื่องมาจากการรวมกลุ่มในภูมิภาคอาเซียน กลยุทธ์ ๓.๒ ส่งเสริมและพัฒนากำลังคนให้มีศักยภาพ ความรู้ความสามารถ ทักษะฝีมือและทักษะด้านภาษาเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการย้ายฐานการผลิตที่จะเข้ามาในประเทศไทย และกลยุทธ์ ๓.๓ พัฒนาทักษะใหม่ ๆ (ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี) เพื่อสร้างโอกาสแก่แรงงานให้มีศักยภาพเท่าทันและใช้โอกาสจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การสร้างเสริมเครือข่ายในการพัฒนากำลังคน ประกอบด้วย กลยุทธ์ ๔.๑ สนับสนุนการสร้างเครือข่ายในการพัฒนากำลังคนอย่างเป็นรูปธรรม กลยุทธ์ ๔.๒ จัดระบบการวางแผนพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ กลยุทธ์ ๔.๓ เสริมความรู้ด้านการวางแผนและบริหารจัดการทรัพยากรที่เหมาะสมให้กับทุกภาคส่วน กลยุทธ์ ๔.๔ เสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาเครือข่ายภาคีด้านสังคม และกลยุทธ์ ๔.๕ พัฒนาและขยายเครือข่ายข้อมูลข่าวสารตลาดแรงงาน ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การสนับสนุนให้กำลังคนมีความมั่นคงและหลักประกันในชีวิต ประกอบด้วย กลยุทธ์ ๕.๑ ปรับปรุงระบบบริหารจัดการด้านสวัสดิการและค่าตอบแทนเพื่อให้แรงงานมีหลักประกันที่มั่นคง/คุณภาพที่ดี กลยุทธ์ ๕.๒ ผลักดันนโยบายที่เกี่ยวกับการส่งเสริมความมั่นคงทางอาชีพและสวัสดิการสังคมให้เกิดผลในทางปฏิบัติที่เป็นธรรมให้แก่แรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ กลยุทธ์ ๕.๓ สนับสนุนการมีส่วนร่วมขององค์กรเกี่ยวกับนายจ้างและลูกจ้าง และกลยุทธ์ ๕.๔ สร้างความเข้มแข็งแก่หน่วยงานกลางที่ดูแลด้านแรงงาน ๑.๖ ยุทธศาสตร์ที่ ๖ การสนับสนุนให้กำลังคนมีคุณธรรม ประกอบด้วย กลยุทธ์ ๖.๑ พัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างเป็นองค์รวมทั้งด้านสติปัญญา อารมณ์ คุณธรรม และจริยธรรม กลยุทธ์ ๖.๒ สร้างจิตสำนึกของคนในทุกสาขาอาชีพให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม และกลยุทธ์ ๖.๓ สร้างเสริมความศรัทธาในสถาบันศาสนาเพื่อให้มีบทบาทสำคัญต่อการส่งเสริมศีลธรรม และสร้างความเป็นปึกแผ่นในสังคม ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเน้นให้ภาคผลิตและบริการเข้ามามีบทบาทในการพัฒนากำลังคนของประเทศทั้งด้านการลงทุน การร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในการพัฒนาหลักสูตรและการจัดอบรม/จัดการเรียนการสอน การประสานและผลักดันให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการระหว่างภาคีที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน การให้ลำดับความสำคัญก่อนหลัง (priorities) ในการดำเนินงานและผลักดันในแต่ละโครงการอย่างมียุทธศาสตร์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ การจัดทำฐานข้อมูลกำลังคนให้บูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ อย่างแท้จริง โดยฐานข้อมูลที่จัดทำขึ้นควรมีความหลากหลายมิติทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างแท้จริง การให้ความสำคัญและเพิ่มเติมประเด็นการผลิตและพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับโครงสร้างการผลิตและบริการ บนฐานความรู้และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ รวมทั้งการผลักดันบทบาทและการมีส่วนร่วมของภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจและบริการในฐานะกลุ่มผู้ต้องการใช้กำลังคนร่วมกำหนดนโยบาย และควรมีแนวทาง กลไกการขับเคลื่อนแผนสู่การปฏิบัติตลอดจนการติดตามประเมินผลที่ชัดเจน เพื่อการบรรลุผลตามเป้าหมายของแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงแรงงานหารือร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และภาคเอกชน เพื่อพิจารณาปรับยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการผลิตและการพัฒนากำลังคนในระยะยาว เพื่อรองรับโครงสร้างการผลิตและบริการ บนฐานความรู้และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community - AEC) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และวิกฤติเศรษฐกิจยุโรป ตลอดจนการปรับหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 30579 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะทำการสำรวจเพื่อการวางและจัดทำผังเมืองรวม ในท้องที่ 70 จังหวัด พ.ศ. .... | นร | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะทำการสำรวจเพื่อการวางและจัดทำผังเมืองรวม ในท้องที่ ๗๐ จังหวัด ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินที่จะทำการสำรวจเพื่อการวางและจัดทำผังเมืองรวมในท้องที่จังหวัดกระบี่ กาญจนบุรี กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย ตรัง ตราด ตาก นครนายก นครปฐม นครพนม นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ นราธิวาส น่าน บุรีรัมย์ บึงกาฬ ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พังงา พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ พะเยา มหาสารคาม แม่ฮ่องสอน มุกดาหาร ยะลา ยโสธร ร้อยเอ็ด ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สงขลา สตูล สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระแก้ว สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อุดรธานี อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ รวม ๗๐ จังหวัด เพื่อให้เจ้าพนักงานการผังหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานการผังเข้าไปทำการอันจำเป็นเพื่อการสำรวจและกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินได้ต่อไป เพื่อประโยชน์ในการวางและจัดทำผังเมืองรวมตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการผังเมือง และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 30580 | แนวทางสำหรับการดำเนินโครงการป้องกันปัญหาจากอุทกภัยในพื้นที่ชุ่มน้ำ | ทส | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับเรื่อง แนวทางสำหรับการดำเนินโครงการป้องกันปัญหาจากอุทกภัยในพื้นที่ชุ่มน้ำ ไปพิจารณาทบทวนเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติทั้งโครงการระยะสั้นและระยะยาวร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย คณะอนุกรรมการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
.....
