ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1523 จากทั้งหมด 6224 หน้า แสดงรายการที่ 30441 - 30460 จากข้อมูลทั้งหมด 124467 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 30441 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง (บ้านหลังแรก) | กค | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง (บ้านหลังแรก) โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการตราเป็นพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร และประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ดังนี้
๑. พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๕๒๘) พ.ศ. ๒๕๕๔ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดินหรือห้องชุดในอาคารชุดที่มีมูลค่าไม่เกิน ๕ ล้านบาท เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของตน ในระหว่างวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นจำนวนเท่ากับภาษีเงินได้ที่คำนวณจากเงินได้สุทธิหรือที่ต้องชำระก่อนการคำนวณเครดิตภาษี แต่ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์นั้น ๒. ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ ๒๑๓) เรื่อง กำหนดวิธีการและเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย กำหนดวิธีการ เงื่อนไข และหลักฐานประกอบการยกเว้นภาษีเงินได้ที่ต้องยื่นต่อกรมสรรพากร ๓. จากการประมวลผลการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี ๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๕ มีผู้ใช้สิทธิประโยชน์ในการยื่นแบบแสดงรายการฯ ประมาณ ๙,๖๐๐ ราย และเป็นจำนวนเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้รับการยกเว้นประมาณ ๒๒๔.๑๙ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30442 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | นร | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุกทกภัยอย่างบูรณการ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรแล้ว เป็นเงิน ๑๑๗,๗๑๓.๗๐๗๙ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๐๔,๖๔๕.๕๒๘๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๖๑๐.๔๒๓๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๕๙ ผลการเบิกจ่ายจากระบบ GFMIS เป็นเงิน ๗๖,๔๒๑.๙๓๗๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๔.๙๒ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน โดยมิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๘ กระทรวง ที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๙ กระทรวง สำหรับมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๓๕ จังหวัด ส่วนจังหวัดที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๓๘ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายเงินที่แจ้งส่งคืน ๑.๓.๑ ส่วนราชการฯ ส่งคืนในระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๕,๐๕๒.๖๑๗๕ ล้านบาท และเงินที่ส่วนราชการจะใช้จ่ายจริงน้อยกว่ากรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ เป็นเงิน ๑๓๙.๐๐๖๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะจัดสรรเพิ่มเติมได้อีก จำนวน ๕,๑๙๑.๖๒๓๕ ล้านบาท ๑.๓.๒ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรวม ๔ ครั้ง เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔,๕๗๕.๑๐๑๖ ล้านบาท (สำนักงบประมาณจัดสรรแล้ว ๒,๖๔๑.๗๕๓๓ ล้านบาท) คงเหลือวงเงินจากการส่งคืนงบประมาณที่จะนำไปจัดสรรเพิ่มเติม เป็นเงิน ๖๑๖.๕๒๑๙ ล้านบาท ๒. การจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ได้อนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๘,๙๑๘.๘๖๑๒ ล้านบาท สำนักงบประมาณได้จัดสรรเงินกู้ฯ ให้ส่วนราชการ จำนวน ๑๙,๖๖๗.๘๘๗๖ ล้านบาท คงเหลือ จำนวน ๙,๒๕๐.๙๗๓๖ ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงคมนาคม จำนวน ๕,๒๘๑.๖๒๗๐ ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๗๑๕.๓๒๗๖ ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๒๓๖.๖๙๔๐ ล้านบาท กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๐.๒๐๐๐ ล้านบาท และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗.๑๒๕๐ ล้านบาท ผลการเบิกจ่ายจากระบบ GFMIS เป็นเงิน ๑๘๗.๕๙๓๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๙๕ ของยอดจัดสรร
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30443 | รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2554 (องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย) | ส.ส.ท | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ตามที่ ส.ส.ท. เสนอ โดยรายงานผลการปฏิบัติงานฯ ประกอบด้วย
๑. การดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีผลการดำเนินงานในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ และเป็นไปตามกรอบนโยบายและเป้าหมายที่วางไว้ ๒. ด้านการบริหาร ๓. ด้านรายการ ได้แก่ การจัดทำแผนการจัดทำรายการและดำเนินการตามที่กำหนด และการจัดทำแผนจัดทำรายการประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๔. ผลการดำเนินงานด้านงบประมาณและการเงิน ๕. รายงานคณะกรรมการตรวจสอบ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๖. รายงานของผู้สอบบัญชี (แสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔) ๗. การสร้างพันธมิตรผู้ผลิตสื่อสร้างสรรค์เพื่อสาธารณะ ๘. การนำเสนอข่าว ๙. บทบาทในฐานะกลไกขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสังคม ๑๐. การวัดผลสัมฤทธิ์รายการ ข้อมูลภาพรวมการรับชมปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑๑. การพัฒนาเครือข่าย ๑๒. การพัฒนาการให้บริการผ่านทางสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ๑๓. บทบาทการเป็นองค์กรสื่อระดับสากล ๑๔. การก้าวสู่การเป็นสื่อสาธารณะ ๑๕. รายงานการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการรับและพิจารณาเรื่องร้องเรียนจากประชาชน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30444 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - อิสราเอล | คค | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและรัฐอิสราเอล และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของประเทศไทยและอิสราเอล ดังนี้ ๑.๑ สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ได้แก่ ๑.๑.๑ ใบพิกัดเส้นทางบิน ผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ตกลงแก้ไขใบพิกัดเส้นทางบิน ดังนี้ ฝ่ายไทย จุดใด ๆ ในไทย - จุดระหว่างทางใด ๆ - จุดใด ๆ ในอิสราเอล - จุดพ้นใด ๆ ฝ่ายอิสราเอล จุดใด ๆ ในอิสราเอล - จุดระหว่างทางใด ๆ ในไทย - จุดพ้นใด ๆ ๑.๑.๒ สิทธิความจุความถี่ ผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ตกลงปรับปรุงสิทธิความจุความถี่ จากเดิมที่ให้สิทธิสายการบินที่กำหนดของแต่ละฝ่ายทำการบินเที่ยวบินขนส่งผู้โดยสารได้ฝ่ายละ ๗ เที่ยวต่อสัปดาห์ เป็นไม่จำกัดจำนวนความจุความถี่ ด้วยอากาศยานแบบใด ๆ ๑.๑.๓ สิทธิในการทำการบินเชื่อมจุด ผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ตกลงให้สายการบินของแต่ละฝ่ายมีสิทธิในการทำการบินเชื่อมจุด ๒ จุดใด ๆ ในประเทศคู่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งในเที่ยวบินเดียวกันได้ ๑.๑.๔ สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ผู้แทนทั้งสองฝ่ายตกลงให้สายการบินที่กำหนดของไทยมีสิทธิทำการบินรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ช่วงเส้นทางระหว่างอิสราเอลและหนึ่งจุดพ้นที่ฝ่ายไทยจะเลือกในภายหลัง ได้ถึง ๓ เที่ยวต่อสัปดาห์ และสายการบินที่กำหนดของอิสราเอลมีสิทธิทำการบินรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ช่วงเส้นทางระหว่างประเทศไทยและสิงค์โปร์ ได้ถึง ๓ เที่ยวต่อสัปดาห์ ๑.๑.๔ ข้อบทการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ตกลงเพิ่มเติมข้อบทการทำการบินใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันระหว่างสายการบินของประเทศคู่ภาคี ๑.๒ สาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ได้แก่ ใบพิกัดเส้นทางบิน ความจุและความถี่ สิทธิทำการบินเชื่อมจุด ข้อบทการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน และสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ๒. ให้นำเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ ต่อไป โดยในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30445 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - เนเธอร์แลนด์ | คค | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของประเทศไทยและเนเธอร์แลนด์ ดังนี้ ๑.๑ สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ได้แก่ ๑.๑.๑ ปรับปรุงข้อบทว่าด้วยการแต่งตั้งสายการบินที่กำหนด การให้อนุญาตและการเพิกถอนใบอนุญาต และข้อบทว่าด้วยสิทธิเกี่ยวกับการควบคุมเชิงกำกับดูแลเรื่องความปลอดภัย ทั้งสองฝ่ายตกลงปรับปรุงข้อบทโดยยึดร่างแม่บทที่ไทยได้ตกลงไว้กับประชาคมยุโรปเป็นหลัก และผนวกสาระของข้อบทในความตกลงฯ เดิมเพิ่มเติม เพื่อความสมบูรณ์ของเงื่อนไขที่เคยตกลงกันไว้ ๑.๑.๒ ใบพิกัดเส้นทางบก ปรับปรุงเป็นดังนี้ ฝ่ายไทย จุดใด ๆ ในไทย - จุดระหว่างทางใด ๆ - จุดใด ๆ ในเนเธอร์แลนด์ - จุดพ้นใด ๆ ฝ่ายเนเธอร์แลนด์ จุดใด ๆ ในเนเธอร์แลนด์ - จุดระหว่างทางใด ๆ - จุดใด ๆ ในไทย - จุดพ้นใด ๆ ๑.๑.๓ สิทธิความจุความถี่ ทั้งสองฝ่ายตกลงให้สิทธิความจุความถี่สำหรับการทำการบินระหว่างกันโดยไม่จำกัด ทั้งในส่วนของบริการขนส่งผู้โดยสารผสมสินค้าและบริการขนส่งเฉพาะสินค้า โดยคงเงื่อนไขห้ามมิให้สายการบินของเนเธอร์แลนด์ทำการบินพ้นจากจุดใด ๆ ในประเทศไทยไปยังออสเตรเลียเกินกว่า ๒ เที่ยวต่อสัปดาห์ไว้เช่นเดิม ๑.๑.๔ สิทธิรับขนการจราจร ทั้งสองฝ่ายตกลงคงหลักการที่ให้สายการบินที่กำหนดของทั้งสองฝ่ายสามารถใช้สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓ และ ๔ ได้อย่างเต็มที่ไว้เช่นเดิม ในส่วนของสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ มีการปรับปรุงให้สิทธิอย่างเต็มที่ในส่วนของเที่ยวบินขนส่งเฉพาะสินค้า สำหรับเที่ยวบินขนส่งผู้โดยสารผสมสินค้า ตกลงให้สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ฝ่ายละ ๗ เที่ยวต่อสัปดาห์ โดยการจราจรพักค้างที่จุดต่าง ๆ ในประเทศไทย หรือจุดต่าง ๆ ในเนเธอร์แลนด์ เป็นเวลา ๗๒ ชั่วโมงหรือน้อยกว่า ไม่ถือว่าเป็นการขนส่งการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ๑.๑.๖ ข้อบทว่าด้วยการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายตกลงปรับปรุงข้อบทว่าด้วยการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ให้ครอบคลุมถึงความร่วมมือระหว่างสายการบินของประเทศเดียวกัน ๑.๒ สาระสำคัญของหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ได้แก่ การแต่งตั้งสายการบินที่กำหนด การให้อนุญาต และการเพิกถอนใบอนุญาต ความปลอดภัยการบิน ใบพิกัดเส้นทางบิน ความจุและความถี่ สิทธิรับขนการจราจร และการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ๒. ให้นำเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ ต่อไป โดยในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าว ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30446 | รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานโครงการสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ ภายใต้แผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น | นร | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานโครงการสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ ภายใต้แผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยผลการดำเนินงานที่ผ่านมา คณะกรรมการกลั่นกรองข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ ซึ่งมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นประธาน ได้มีการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ โดยให้ส่วนราชการและจังหวัดนำเสนอข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ ต่อคณะกรรมการกลั่นกรองข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิด้านการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เมื่อวันที่ ๙ และ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามลำดับ โดยมีผลการพิจารณาข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ ดังนี้
๑. ส่วนราชการ (ระดับกรม) ๑.๑ ส่วนราชการระดับกรม มีจำนวนทั้งสิ้น ๑๔๔ กรม เสนอข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการแล้ว จำนวน ๑๔๒ กรม และยังไม่ได้เสนอ จำนวน ๒ กรม ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานกิจการยุติธรรม ๑.๒ ข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการที่ผ่านในเบื้องต้น มีจำนวน ๓๓ กรม ได้แก่ ข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการที่ไม่ได้ของบประมาณสนับสนุน จำนวน ๑๒ กรม และข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการที่ของบประมาณสนับสนุน จำนวน ๒๑ กรม ๑.๓ ข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการที่ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขบางส่วน หรือต้องมีการทบทวนดำเนินการใหม่ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๑๐๗ กรม ๒. จังหวัด ๒.๑ จังหวัด มีจำนวนทั้งสิ้น ๗๖ จังหวัด เสนอข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการแล้วทุกจังหวัด ๒.๒ ข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการที่ผ่านในเบื้องต้น มีจำนวน ๑๓ จังหวัด ได้แก่ ข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการที่ไม่ได้ของบประมาณสนับสนุน จำนวน ๑ จังหวัด และข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการที่ของบประมาณสนับสนุน จำนวน ๑๒ จังหวัด ๒.๓ ข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการที่ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขบางส่วน หรือต้องมีการทบทวนดำเนินการใหม่ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๖๑ จังหวัด ๓. การดำเนินงานในระยะต่อไป ๓.๑ ส่วนราชการและจังหวัดที่เสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลั่นกรองข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ และผู้ทรงคุณวุฒิฯ ในเบื้องต้นแล้ว จำนวนรวมทั้งสิ้น ๔๖ หน่วยงาน จะเริ่มดำเนินการได้ในวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ๓.๒ ส่วนราชการและจังหวัดที่ข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการยังต้องมีการปรับปรุงแก้ไขบางส่วน หรือต้องมีการทบทวนการดำเนินการใหม่ จำนวนรวมทั้งสิ้น ๑๖๘ หน่วยงาน ซึ่งเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลั่นกรองข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ และผู้ทรงคุณวุฒิฯ แล้ว จะเริ่มดำเนินการได้ครบทั้งหมดภายในวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30447 | แนวทางการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชน | นร | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชน ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผู้อำนวยการ กรณีเลิกจ้าง ให้จ่ายค่าชดเชยโดยระบุในสัญญาจ้างหรือระเบียบข้อบังคับ ๑.๒ ผู้อำนวยการ กรณีสิ้นสุดสัญญาจ้าง ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยโดยระบุในสัญญาจ้าง ๑.๓ เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้าง กรณีเลิกจ้าง ให้จ่ายค่าชดเชยโดยระบุในสัญญาจ้างหรือระเบียบข้อบังคับ ๑.๔ ลูกจ้างโครงการ กรณีเลิกจ้าง ไม่มีการจ่ายค่าชดเชย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นด้วยกับหลักการของการกำหนดแนวทางการจ่ายค่าชดเชยตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ซึ่งเป็นการวางหลักเกณฑ์ในการจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชนให้สอดคล้องกัน อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินจำนวนนี้เป็นเรื่องสิทธิประโยชน์อย่างอื่นจึงไม่ควรใช้คำว่าเงินค่าชดเชย ซึ่งอาจจะเกิดความสับสนว่าเป็นการจ่ายเงินตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และอาจเป็นเหตุให้มีการฟ้องเรียกร้องในภายหลังขึ้นได้ ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมเงื่อนไขการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชนกรณีที่ไม่ได้กระทำความผิด การกำหนดระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการจ่ายค่าชดเชยเพื่อรองรับการจ่ายค่าชดเชยตามสัญญาจ้างขององค์การมหาชนต้องเป็นไปตามมาตรา ๓๘ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ต้องไม่ต่ำกว่าที่กำหนดในกฎหมายแรงงานซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการจ้างงาน การทบทวนการกำหนดค่าตอบแทนของผู้อำนวยการองค์การมหาชนให้เหมาะสมเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์เท่าเทียมกับเจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชน รวมถึงการทบทวนโครงสร้างค่าตอบแทนของผู้อำนวยการองค์การมหาชนเพื่อเป็นสิ่งจูงใจในการสรรหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การมหาชน การเพิ่มแนวปฏิบัติในกรณีเลิกจ้างผู้อำนวยการ ในส่วนของนิยาม “การเลิกจ้างผู้อำนวยการ” หมายความว่า การกระทำใดที่องค์การมหาชนไม่ใช้ผู้อำนวยการทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ ด้วยเหตุที่องค์การมหาชนถูกยุบเลิกและไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ หรือเหตุอื่นที่มิได้เป็นความผิดของผู้อำนวยการหรือเหตุอื่นที่กำหนดในสัญญาจ้าง และเพิ่มเป็นข้อ ๔ ว่า ภายหลังคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว แต่องค์การมหาชนยังไม่ได้แก้ไขสัญญาจ้างผู้อำนวยการ หากมีการเลิกจ้างผู้อำนวยการให้อนุโลมชดเชยในอัตราเทียบเคียงตามที่กำหนดในกฎหมายแรงงาน หรือตามอัตราที่คณะกรรมการองค์การมหาชนให้ความเห็นชอบ รวมทั้งการกำหนดแนวทางการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชนโดยรวมที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับองค์การมหาชนทุกแห่ง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและลดการพิพาทกรณีการเลิกจ้างงาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 30448 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นโจรสลัดและการปล้นโดยใช้อาวุธบริเวณน่านน้ำนอกชายฝั่งโซมาเลีย | กต | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๐๒๐ (ค.ศ. ๒๐๑๑) ขยายเวลาการดำเนินมาตรการเกี่ยวกับการปราบปรามการกระทำอันเป็นโจรสลัดและการปล้นโดยใช้อาวุธบริเวณน่านน้ำนอกชายฝั่งโซมาเลีย ออกไปจนถึงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีที่ไทยมีต่อสหประชาชาติ โดยสอดคล้องกับกฎหมายภายในของไทย ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพเรือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงคมนาคม กรมประมง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยถือปฏิบัติ และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 30449 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก | กต | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๐๒๑ (ค.ศ. ๒๐๑๑) ขยายเวลาการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกออกไปจนถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีที่ไทยมีต่อสหประชาชาติ โดยสอดคล้องกับกฎหมายภายในของไทย ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทยถือปฏิบัติ และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักข่าวกรองแห่งชาติและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มการตรวจสอบตู้สินค้าที่มีปลายทางหรือส่งมาจากคองโกผ่านท่าเรือคลองเตยและท่าเรือแหลมฉบังของไทย เพื่อป้องกันการลักลอบขนส่งอาวุธจากประเทศในเอเชียไปยังประเทศในแอฟริกาตะวันออก และตรวจสอบพฤติกรรมของชาวคองโกที่เดินทางเข้าประเทศไทยซึ่งมีแนวโน้มมีความเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและอาชญากรรมข้ามชาติที่อาจมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มบุคคลที่ถูกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติประกาศห้ามเดินทางและอายัดทรัพย์สิน นอกจากนี้ ควรระมัดระวังและเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวและสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสันติภาพและเสถียรภาพ รวมถึงการเสริมสร้างความร่วมมือและประสานงานในการแลกเปลี่ยนข่าวสารและข่าวกรองกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในภูมิภาคเกี่ยวกับกิจกรรมและความเคลื่นไหวของบุคคลและกลุ่มบุคคลที่ปรากฏอยู่ตามข้อมติคณะมนตรีฯ ดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 30450 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยสีโท เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยสีโท เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยสีโท ในท้องที่ตำบลหนองมะแซว ตำบลสร้างนกทา และตำบลคึมใหญ่ อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำอย่างเต็มที่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30451 | ร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ส่งใบสั่งทางไปรษณีย์) | มท | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมการจราจรโดยใช้อุปกรณ์ตรวจจับการฝ่าฝืนกฎจราจรหรือสัญญาณจราจร มีอำนาจส่งใบสั่งพร้อมหลักฐานจากอุปกรณ์ตรวจจับไปยังภูมิลำเนาของเจ้าของหรือผู้ครอบครองรถทางไปรษณีย์ลงทะเบียนได้ในกรณีมีการตรวจพบการกระทำผิด แต่ไม่ทราบตัวผู้ขับขี่หรือไม่สามารถออกใบสั่งให้ผู้ขับขี่ในขณะนั้นได้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30452 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัย ราชภัฏบุรีรัมย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยาฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ดังต่อไปนี้
๑. แก้ไขเพิ่มเติมปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา เพื่อกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาศิลปกรรมศาสตร์ ๒. กำหนดสีประจำสาขาวิชาของสาขาวิชาศิลปกรรมศาสตร์
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30453 | ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายค่าทดแทนการขาดรายได้ กรณีทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน | รง | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายค่าทดแทนการขาดรายได้ กรณีทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ลูกจ้างซึ่งประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงานเป็นเหตุให้สูญเสียอวัยวะหรือสูญเสียสมรรถภาพของอวัยวะ หรือของร่างกายอย่างถาวร หรือสูญเสียสภาวะปกติของจิตใจอย่างถาวร จนไม่สามารถทำงานได้ เมื่อประเมินการสูญเสียสมรรถภาพอย่างถาวรได้ตั้งแต่ร้อยละ ๕๐ ขึ้นไปของสมรรถภาพทั้งร่างกาย หากประสงค์จะขอรับค่าทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องมาจากการทำงาน จะต้องแจ้งต่อนายจ้างเพื่อขอรับการตรวจและวินิจฉัยจากคณะแพทย์ที่นายจ้างแต่งตั้งจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม จำนวน ๓ คน ๒. ตัดสวัสดิการเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลกรณีทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องจากการทำงานออก ๓. ให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องจากการทำงานแก่ลูกจ้างที่ทุพพลภาพเป็นรายเดือนในอัตราร้อยละ ๓๓.๓๓ ของเงินเดือนค่าจ้างเต็มเดือนสุดท้ายที่ลูกจ้างได้รับอยู่เป็นเวลา ๑๕ ปี ๔. กรณีการทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องจากการทำงานที่เกิดขึ้นก่อนวันประกาศนี้ใช้บังคับ หรือลูกจ้างผู้ใดมีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน ตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายค่ารักษาพยาบาลและเงินทดแทนการขาดรายได้ฯ ลงวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๔ อยู่ก่อนวันที่ประกาศฉบับนี้ใช้บังคับให้ได้รับสิทธิตามประกาศฉบับนี้ ๕. ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 30454 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างและขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4137 สายแยกทางหลวง แผ่นดินหมายเลข 406 (ทุ่งตำเสา) - บรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 416 (แประ) ตอนบ้านซอย 4 - บ้านสวนเทศ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างและขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๑๓๗ สายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๖ (ทุ่งตำเสา) - บรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๑๖ (แประ) ตอนบ้านซอย ๔ - บ้านสวนเทศ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างและขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๑๓๗ สายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๖ (ทุ่งตำเสา) - บรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๑๖ (แประ) ตอนบ้านซอย ๔ - บ้านสวนเทศ ในท้องที่อำเภอควนกาหลง และอำเภอท่าแพ จังหวัดสตูล เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30455 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2555 | ทก | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๙.๐๑ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๘.๒๗ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๓.๕๙ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๓.๘๐ แสนคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๖.๕ แสนคน (จาก ๓๘.๓๖ ล้านคน เป็น ๓๙.๐๑ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๘.๒๗ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๔.๕ แสนคน (จาก ๓๗.๘๒ ล้านคน เป็น ๓๘.๒๗ ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๒ โดยผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาการเกษตร เพิ่มขึ้นจำนวน ๗.๖ แสนคน สาขาการบริหารราชการป้องกันประเทศและการประกันสังคมภาคบังคับ จำนวน ๓.๓ แสนคน สาขาการผลิต จำนวน ๑.๒ แสนคน สาขากิจกรรมด้านการเงินและการประกันภัย จำนวน ๕.๐ หมื่นคน และสาขาบริการอื่นๆ ได้แก่ กิจกรรมบริการเพื่อสุขภาพ การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีดซักแห้ง เป็นต้น ส่วนผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาการก่อสร้าง ลดลงจำนวน ๒.๒ แสนคน สาขาโรงแรมและบริการด้านอาหาร จำนวน ๑.๕ แสนคน สาขาการขนส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ จำนวน ๑.๕ แสนคน สาขาการศึกษา จำนวน ๑.๔ แสนคน สาขากิจกรรมด้านสุขภาพและงานสังคมสงเคราะห์ จำนวน ๓.๐ หมื่นคน และสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า จำนวน ๑.๐ หมื่นคน ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ มีจำนวน ๓.๕๙ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๙ ของกำลังแรงงานรวม (เพิ่มขึ้น ๑.๕๕ แสนคน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔) ประกอบด้วย ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๕๗ แสนคน และผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๒.๐๒ แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการผลิต ๘.๓ หมื่นคน ภาคการบริการและการค้า ๘.๑ หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม ๓.๘ หมื่นคน ผู้ว่างงานเป็นผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา จำนวน ๑.๕๒ แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๘.๔ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๔.๙ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๔.๘ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๒.๖ หมื่นคน ผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๑.๑๔ แสนคน ภาคกลาง ๗.๗ หมื่นคน ภาคเหนือ ๗.๕ หมื่นคน ภาคใต้ ๕.๓ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๔.๐ หมื่นคน หากคิดเป็นอัตราการว่างงานกรุงเทพมหานคร ภาคใต้ และภาคเหนือมีอัตราการว่างงานสูงสุด ร้อยละ ๑.๐ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราการว่างงาน ร้อยละ ๐.๙ ภาคกลางมีอัตราการว่างงาน ร้อยละ ๐.๘
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30456 | การเสนองบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี 2556 ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย | พน | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบงบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย จำนวน ๔,๓๑๔,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operation Expenditure) จำนวน ๔,๑๔๘,๗๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ และค่าใช้จ่ายที่เป็นทุน (Capital Expenditure) จำนวน ๑๖๕,๓๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ โดยเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๐.๓๘ หรือ ๑๖,๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ จากงบประมาณที่ได้รับอนุมัติในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับที่มาของเงินงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้เสนอขอใช้เงินจากปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไรในไตรมาสสุดท้ายของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๔,๐๒๖,๑๗๗.๕๗ ดอลลาร์สหรัฐ และงบประมาณเหลือจ่ายของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒๘๗,๘๒๒.๔๓ ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ องค์กรร่วมจะมีรายได้จากค่าภาคหลวง จำนวน ๒๗๑.๗๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไร จำนวน ๕๙๓.๕๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๘๖๕.๒๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30457 | รายงานประจำปีและรายงานงบการเงินขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย ประจำปี 2554 | พน | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีและรายงานงบการเงินขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย (Malaysia - Thailand Joint Authority : MTJA) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีและได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการในการประชุมองค์กรร่วมครั้งที่ ๙๘ และที่ประชุมสามัญประจำปี (Annual General Meeting of MTJA) ครั้งที่ ๒๐ เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ แล้ว ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยรายงานประจำปีและรายงานงบการเงินขององค์กรร่วมฯ ประกอบด้วย
๑. กิจกรรมที่สำคัญประกอบด้วยกิจกรรมด้านการสำรวจ การประเมินผลปิโตรเลียม การประเมินปริมาณสำรอง การพัฒนา การผลิตปิโตรเลียม และการกำกับดูแลด้านชีวอนามัย ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่พัฒนาร่วมแปลง A-18 แปลง B-17 และแปลง B-17-01 โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแปลง A-18 รวมทั้งสิ้น ๓๐๘.๐๔ พันล้านลูกบาศก์ฟุต ในอัตราเฉลี่ยวันละ ๘๔๔ ล้านลูกบาศก์ฟุต และจากแปลง B-17 รวมทั้งสิ้น ๑๒๖ พันล้านลูกบาศก์ฟุต ในอัตราเฉลี่ยวันละ ๓๔๕ ล้านลูกบาศก์ฟุต ๒. ผลประกอบการในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ขององค์กรร่วมได้จากการขายปิโตรเลียมโดยการผลิตปิโตรเลียมจากแปลง A-18 และแปลง B-17 ก่อให้เกิดรายได้ขององค์กรร่วมในรูปของค่าภาคหลวง ๒๖๒,๐๗๙,๗๙๒ ดอลลาร์สหรัฐ ปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไร ๖๑๐,๖๗๐,๗๓๑ ดอลลาร์สหรัฐ และรายได้อื่น ๓,๔๔๖,๒๘๗ ดอลลาร์สหรัฐ สถานะของกองทุนองค์กรร่วม ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ มียอดรวม ๑๕๕,๔๑๔,๔๕๔ ดอลลาร์สหรัฐ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30458 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายสุรชัย สราญฤทธิชัย) | สธ | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสุรชัย สราญฤทธิชัย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาศัลยกรรม) กลุ่มงานศัลยกรรม โรงพยาบาลขอนแก่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30459 | การประชุมร่วมระหว่างภาคเอกชนและรัฐมนตรีประเทศลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ครั้งที่ 5 ภายใต้กรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม | นร | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมร่วมระหว่างภาคเอกชนและรัฐมนตรีประเทศลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๕ ภายใต้กรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี กรุงเทพมหานคร ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และรัฐมนตรีประจำกรอบความร่วมมือประเทศลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม (Mekong Japan Economic and Industrial Cooperation : MJ-CI) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมร่วมระหว่างภาคเอกชนและรัฐมนตรีประเทศลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๕ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๔ เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ณ กรุงโตเกียว ซึ่งมีเรื่องที่สำคัญ ได้แก่ การที่ผู้นำให้ความเห็นชอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น (Tokyo Strategy for Mekong - Japan Cooperation) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์หลักฉบับใหม่ใช้แทนแผนปฏิบัติการ ๖๓ ข้อ ในฐานะแผนงานหลักของ Mekong - Japan Cooperation สำหรับปัจจุบันจนถึงการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี ๒๕๕๘ และองค์ประกอบของ Tokyo Strategy เป็นการกำหนดเสาหลักความร่วมมือของ Mekong - Japan Cooperation ขึ้นใหม่ ๓ เสา ได้แก่ เสาที่ ๑ การเสริมสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เสาที่ ๒ การพัฒนาไปพร้อมกัน และเสาที่ ๓ การสร้างความมั่นใจในด้านความมั่นคงของมนุษย์และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน รวมทั้งรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานภายใต้ MJ-CI Action Plan ที่ครอบคลุมประเด็นสำคัญ อาทิ การอำนวยความสะดวกการค้าและพัฒนาระบบโลจิสติกส์ การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการสนับสนุนการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม ๑.๒ รับทราบผลการสำรวจความต้องการภาคธุรกิจและยุทธศาสตร์การพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ปี ๒๕๕๕ ที่ครอบคลุมประเด็นสำคัญ อาทิ ภาพรวมของการดำเนินธุรกิจและการผลิตในประเทศลุ่มน้ำโขงที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในรูปแบบการลงทุนใหม่และการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง การอำนวยความสะดวกทางการค้าและพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่จำเป็นต้องปรับปรุงประสิทธิภาพ เนื่องจากยังคงมีปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินธุรกิจอันเนื่องมาจากพิธีการศุลกากร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีคุณภาพดีขึ้น และการสนับสนุนการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพควบคู่ไปกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ๑.๓ รับทราบข้อเสนอจากภาคเอกชนในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงและญี่ปุ่นซึ่งขอให้รัฐบาลของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น เร่งสนับสนุนการค้าการลงทุนในอนุภูมิภาค ได้แก่ ข้อเสนอการเร่งพัฒนาเส้นทางคมนาคมที่ยังไม่สมบูรณ์ตามแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตก (East West Economic Corridor : EWEC) และแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจตอนใต้ (Southern Economic Corridor : SEC) การพัฒนาเส้นทางรถไฟ การพัฒนาท่าเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศบนสองฝั่งมหาสมุทร คือ ฝั่งอันดามัน และทะเลจีนใต้ ข้อเสนอการอำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดน โดยให้มีการเดินรถข้ามพรมแดนระหว่างกันได้สะดวก ทำการตรวจปล่อย ณ จุดเดียว เพื่อลดจำนวนและความซับซ้อนของเอกสารที่เกี่ยวข้อง ปรับปรุงกระบวนการข้ามพรมแดนและผ่านแดนให้มีประสิทธภาพ และให้ศุลกากรขยายเวลาปฏิบัติงานตลอด ๒๔ ชั่วโมง ข้อเสนอการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในการเพิ่มความสามารถการแข่งขันและการเข้าถึงแหล่งเงิน โดยจัดตั้งกองทุนพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs Development Fund) และร่วมมือกับสถาบันทางการเงินของญี่ปุ่น โดยใช้แนวทางการปล่อยกู้ต่อ (Two - step Loan) ข้อเสนอการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและประสิทธิภาพการผลิตในภาคบริการและอุตสาหกรรมใหม่ และข้อเสนอการสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาแรงงานที่มีการปรับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่มีความเชื่อมโยงกับภูมิภาคและโลกเพิ่มมากขึ้นในสิ่งแวดล้อมที่มีความทันสมัย โปร่งใส และเสรีมากขึ้น ๑.๔ รัฐมนตรี MJ-CI และภาคเอกชนได้ร่วมกันพิจารณาเอกสาร Input to “Mekong - Japan Action Plan for Realization of the Tokyo Strategy 2012” ซึ่งมีองค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่ การอำนวยความสะดวกการค้าและพัฒนาระบบโลจิสติกส์ การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการสนับสนุนการพัฒนาของภาคอุตสาหกรรมและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะทำงานความร่วมมือประเทศลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมรับข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อประกอบการจัดทำแผนปฏิบัติการฉบับใหม่เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมระดับรัฐมนตรี MJ-CI ที่จะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ณ ประเทศกัมพูชา และนำเสนอต่อที่ประชุมระดับผู้นำเพื่อให้ใช้เป็นแผนปฏิบัติการสำหรับการดำเนินงานในด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่อไป ๒. ข้อเสนอของฝ่ายไทยในการประชุมฯ ๒.๑ ยืนยันบทบาทประเทศไทยร่วมกับญี่ปุ่นในการพัฒนาประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยเน้นการดำเนินงานของไทยในการให้ความช่วยเหลือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้านและการดำเนินงานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ๒.๒ เน้นความสำคัญของการร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ ๒.๓ เน้นย้ำถึงการดำเนินงานของรัฐบาลในการผลักดันกระบวนการอนุวัตรกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อสนับสนุนการอำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดน โดยไทยได้ให้สัตยาบันภาคผนวกและพิธีสารแนบท้าย (annexes and protocols) ภายใต้ความตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Cross Border Transport Agreement : CBTA) เพิ่มเติมอีก ๓ ฉบับ ทำให้ไทยได้ให้สัตยาบันไปแล้ว จำนวน ๑๔ ฉบับ เหลืออีกเพียงจำนวน ๖ ฉบับ ที่จะต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องในการผลักดันกระบวนการออกกฎหมายให้แล้วเสร็จโดยเร็ว |
|||||||||||||||||||||||||||
| 30460 | การกำหนดค่าตอบแทนกรรมการในคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) | ยธ | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย แรงงาน และประชาสัมพันธ์) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการกลั่นกรองฯ เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๗ [เรื่อง การกำหนดค่าตอบแทนกรรมการในคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) และอนุกรรมการ] ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และกำหนดค่าตอบแทนกรรมการใน กคพ. และคณะอนุกรรมการ ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.พ. ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังพิจารณาเห็นว่า การปฏิบัติหน้าที่ของ กคพ. มีลักษณะเป็นการประชุมคณะกรรมการเช่นเดียวกับคณะกรรมการตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่พิจารณาว่าหากอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดใดสมควรได้รับเบี้ยประชุมรายเดือนและมีองค์ประกอบของคณะกรรมการโดยมีนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ให้ได้รับเบี้ยประชุมไม่เกินเดือนละ ๗,๕๐๐ บาท รองประธานกรรมการไม่เกินเดือนละ ๖,๗๕๐ บาท และกรรมการไม่เกินเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท คณะอนุกรรมการได้รับในอัตราไม่เกินกึ่งหนึ่งของอัตราที่คณะกรรมการมีสิทธิได้รับ จึงเห็นควรให้ กคพ. และคณะอนุกรรมการใน กคพ. ได้รับค่าตอบแทน ดังนี้ ๑.๑ ประธานกรรมการให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเดือนละ ๗,๕๐๐ บาท กรรมการอื่นให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ๑.๒ ประธานคณะอนุกรรมการให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเดือนละ ๓,๗๕๐ บาท อนุกรรมการให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้ได้รับค่าตอบแทนเฉพาะในเดือนที่ได้เข้าร่วมประชุม ๒. สำนักงาน ก.พ. พิจารณาเห็นว่า การกำหนดอัตราเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทนของ กคพ. ควรเปรียบเทียบและยึดโยงกับคณะกรรมการที่มีองค์ประกอบคล้ายคลึงกัน และสอดคล้องกับแนวทางตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดอัตราค่าเบี้ยประชุม ดังนี้ ๒.๑ กำหนดอัตราเบี้ยประชุม กคพ. โดยเทียบเคียงกับคณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยกำหนดให้ประธานกรรมการได้รับเบี้ยประชุมในอัตราเดือนละ ๗,๕๐๐ บาท กรรมการได้รับเบี้ยประชุมในอัตราเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ กรรมการมีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนเฉพาะในเดือนที่ได้ร่วมประชุม ๒.๒ กำหนดอัตราเบี้ยประชุมของคณะอนุกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งจาก กคพ. โดยกำหนดให้ประธานอนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุมเดือนละ ๓,๗๕๐ บาท อนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุมเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ อนุกรรมการมีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนเฉพาะเดือนที่ได้ร่วมประชุม |
|||||||||||||||||||||||||||
.....
