ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1524 จากทั้งหมด 6224 หน้า แสดงรายการที่ 30461 - 30480 จากข้อมูลทั้งหมด 124467 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 30461 | การกำหนดค่าตอบแทนอนุกรรมการ และที่ปรึกษาคณะกรรมการ ในคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ | ยธ | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย แรงงาน และประชาสัมพันธ์) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการกลั่นกรองฯ เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติเห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดค่าตอบแทนอนุกรรมการ และที่ปรึกษาคณะกรรมการ ในคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ซึ่งอัตราค่าตอบแทนที่กำหนดขึ้นดังกล่าวสอดคล้องกับอัตราค่าตอบแทนของคณะกรรมการอื่น ๆ ที่มีอำนาจหน้าที่และภารกิจใกล้เคียงกันของกระทรวงยุติธรรม และอัตราเบี้ยประชุมตามประกาศกระทรวงการคลัง โดยค่าตอบแทนอนุกรรมการ และที่ปรึกษาคณะกรรมการ ใน คอ.นธ. ที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ มีดังนี้ ๑.๑ ประธานอนุกรรมการให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือน ในอัตราเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท เฉพาะเดือนที่มีการประชุม หากเดือนใดไม่มีการประชุมหรือมีการประชุมแต่ไม่เข้าร่วมประชุม ให้งดจ่าย ๑.๒ อนุกรรมการให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือน ในอัตราเดือนละ ๔,๐๐๐ บาท เฉพาะเดือนที่มีการประชุม หากเดือนใดไม่มีการประชุมหรือมีการประชุมแต่ไม่ได้เข้าร่วมประชุม ให้งดจ่าย ๑.๓ เลขานุการให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายครั้ง ในอัตราครั้งละ ๕๐๐ บาท โดยได้รับค่าตอบแทนเพียงครั้งเดียวในหนึ่งวัน ทั้งนี้ อนุกรรมการผู้ใดเป็นเลขานุการด้วยให้เบิกค่าตอบแทนได้เพียงตำแหน่งเดียว ๑.๔ ผู้ช่วยเลขานุการให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายครั้ง ในอัตราครั้งละ ๕๐๐ บาท โดยได้รับค่าตอบแทนเพียงครั้งเดียวในหนึ่งวัน ทั้งนี้ อนุกรรมการผู้ใดเป็นผู้ช่วยเลขานุการด้วยให้เบิกค่าตอบแทนได้เพียงตำแหน่งเดียว ๑.๕ ที่ปรึกษา คอ.นธ. ที่ คอ.นธ. แต่งตั้งและมอบหมายให้ดำเนินการ ให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเหมาจ่ายรายเดือน เดือนละ ๘,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ได้มีการแต่งตั้ง ๒. สำหรับงบประมาณเพื่อเบิกจ่ายเป็นค่าตอบแทนดังกล่าว รวมทั้งภารกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รายการค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||
| 30462 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่างๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ(ค.ต.ป.) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของ ค.ต.ป. ในภาพรวมพบว่า ส่วนราชการและจังหวัดมีการพัฒนาการดำเนินงานทั้ง ๕ ด้าน อย่างต่อเนื่อง และได้มีข้อค้นพบที่สำคัญและข้อเสนอแนะ ซึ่งหากมีการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ก็จะทำให้การดำเนินงานของส่วนราชการและจังหวัดมีประสิทธิภาพและบังเกิดประสิทธิผลมากขึ้น ๒. เห็นชอบข้อเสนอแนะตามความเห็นของ ค.ต.ป. เกี่ยวกับข้อค้นพบที่สำคัญและข้อเสนอแนะ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการทุก ๖ เดือน ต่อ ค.ต.ป. คณะต่าง ๆ ตามที่รับผิดชอบ ๓. รับทราบรายงานผลการประเมินตนเองของ ค.ต.ป. คณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งพบว่ามีผลการประเมินตนเองในภาพรวมรายคณะอยู่ในเกณฑ์ระดับดีเยี่ยม โดยมีแผนการดำเนินงานในอนาคต ดังนี้ ๓.๑ บูรณาการงานสอบทานและประเมินผลแต่ละด้านให้มีความเชื่อมโยง เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งในระดับกรม ระดับกระทรวง และระดับจังหวัดตามเจตนารมณ์ของ ค.ต.ป. โดยจะให้ความสำคัญกับการสอบทานข้อมูลทางการเงินเพราะเป็นการสะท้อนภาพการบริหารที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ จะได้พัฒนารายงานด้านการตรวจสอบและประเมินผลด้านต่าง ๆ ให้ชัดเจน สามารถเสนอข้อสังเกตและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว และมีการนำผลการตรวจสอบและประเมินผลไปปรับปรุงแก้ไขอย่างแท้จริง สำหรับการสอบทานกรณีพิเศษจะได้นำประเด็นยุทธศาสตร์สำคัญมาพิจารณาติดตาม ตรวจสอบและประเมินผล เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ในยุทธศาสตร์นั้น ๆ ๓.๒ ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่การปฏิบัติงานของ ค.ต.ป. ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง พร้อมทั้งส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในงานด้านการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง และเน้นการลงพื้นที่เพื่อพบปะหารือ แลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดเห็นอันจะก่อให้เกิดประโยชน์ในการปฏิบัติราชการ ๓.๓ ปรับปรุงเทคนิคในการตรวจสอบและประเมินผล และกำหนดเกณฑ์การพิจารณา (Criteria) ที่ชัดเจนถูกต้อง พร้อมทั้งส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาปรับปรุงระบบและกระบวนการสอบทานงานด้านต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30463 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง(นายศุภชัย ศิริวัฒนเจริญชัย) | อก | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายศุภชัย ศิริวัฒนเจริญชัย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงอุตสาหกรรม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30464 | มาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาตลาดทุนไทย (ร่างกฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการ กรณีการแลกหุ้น) | กค | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา และร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท สำหรับผลประโยชน์ที่ได้รับจากการที่ผู้ประกอบกิจการซึ่งเป็นบริษัทควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน โดยโอนหุ้นเพื่อแลกกับหุ้นในบริษัทใหม่อันได้ควบเข้ากันหรือบริษัทผู้รับโอนกิจการทั้งหมด ทั้งนี้ เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินทุน และการโอนหุ้นที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีเดียวกันกับการควบรวมเข้ากันหรือการโอนกิจการทั้งหมด ๒. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ผลประโยชน์ที่ผู้ถือหุ้นได้รับจากการที่ผู้ประกอบกิจการซึ่งเป็นบริษัทควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน โดยโอนหุ้นเพื่อแลกกับหุ้นในบริษัทใหม่อันได้ควบเข้ากันหรือบริษัทผู้รับโอนกิจการทั้งหมด ทั้งนี้ เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินทุน และการโอนหุ้นที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีเดียวกันกับการควบเข้ากันหรือการโอนกิจการทั้งหมด เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30465 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และสารตั้งต้น เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบและอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ฝ่ายไทย รวมทั้งอนุมัติให้มีการแก้ไขในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหากมีความจำเป็น | ยธ | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และสารตั้งต้น มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดขอบข่ายความร่วมมือเพื่อต่อต้านยาเสพติด โดยใช้มาตรการต่าง ๆ ร่วมกัน รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข้อสนเทศ และผลงานวิจัยต่าง ๆ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หรือเลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ฝ่ายไทย ๓. อนุมัติให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงาน ป.ป.ส. หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ พิจารณาปรับแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หากมีความจำเป็น โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้ง |
|||||||||||||||||||||||||||
| 30466 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 1718 (ค.ศ. 2006) เกี่ยวกับการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ | กต | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการรับรองประกาศรายการสิ่งของและรายชื่อคณะบุคคลเพิ่มเติม ตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๑๗๑๘ (ค.ศ. ๒๐๐๖) เรื่อง การคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ ที่มีมาตรการเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อมติดังกล่าวเพิ่มเติม ประกอบด้วย รายการสิ่งของต่าง ๆ ตามที่ระบุในเอกสาร S/2012/235 และ INFCIRC/254/Rev.10/Part1 และรายชื่อบุคคลและคณะบุคคล จำนวน ๓ รายการ ได้แก่ ๑) Amroggang Development Banking Corporation ๒) Green Pine Association Corporation และ ๓) Korea Heungjin Trading Company ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องของไทย ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ การท่าเรือแห่งประเทศไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าว และปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวให้เป็นไปตามประกาศล่าสุดของสหประชาชาติโดยเร็วที่สุด ๒. ให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการให้หน่วยงานต่าง ๆ บูรณาการฐานข้อมูลร่วมกัน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 30467 | การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น | นร | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานปลัดกระทรวงทุกกระทรวง โดยให้เป็นส่วนราชการตามมาตรา ๓๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดไว้ในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักงานปลัดกระทรวงทุกกระทรวง และให้รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และรองปลัดกระทรวงทำหน้าที่เป็นหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นอีกตำแหน่งหนึ่ง ๑.๒ ให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นในส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี และส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง ทุกส่วนราชการ โดยให้เป็นส่วนราชการตามมาตรา ๓๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดไว้ในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของส่วนราชการนั้น ๆ และให้รองหัวหน้าส่วนราชการทำหน้าที่เป็นหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นอีกตำแหน่งหนึ่ง ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการตามความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฯ เป็นส่วนราชการภายในกรม ตามมาตรา ๓๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม จะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งจะมีเป็นจำนวนมาก ทำให้การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฯ ดำเนินไปด้วยความล่าช้า ดังนั้น ในระหว่างที่ยังมิได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในของหน่วยงานใด ให้หน่วยงานนั้นดำเนินการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฯ เป็นหน่วยงานภายในไปพลางก่อน เพื่อให้การดำเนินนโยบายของรัฐบาลในเรื่องนี้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. ประสานกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวงทุกกระทรวง ส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี และส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง ในการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฯ มิให้ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานของแต่ละส่วนราชการที่มีอยู่แล้ว ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเกลี่ยอัตรากำลังที่มีอยู่เดิมสำหรับการปฏิบัติงานในศูนย์ปฏิบัติการฯ โดยไม่เป็นการเพิ่มอัตราใหม่ การเตรียมความพร้อมให้หน่วยงานต่าง ๆ ในการดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฯ การจัดทำประมาณการภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้น การวางระบบการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการฯ ในการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งมิติของประสิทธิภาพและประสิทธิผล และรายงานผลการดำเนินงาน รวมทั้งปัญหา อุปสรรค และแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีอย่างสม่ำเสมอ การจัดระบบงานให้มีการประสานข้อมูลและกิจกรรมร่วมกับกลุ่มงานคุ้มครองจริยธรรม การกำหนดขอบเขต อำนาจ หน้าที่ ความรับผิดชอบ และขั้นตอนการปฏิบัติของศูนย์ปฏิบัติการฯ ให้ชัดเจน รวมทั้งการวางแนวทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ (Career Path) ของบุคลากรในศูนย์ปฏิบัติการฯ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 30468 | ขออนุมัติก่อสร้างโครงการเร่งรัดขยายทางสายหลักเป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) ทางหลวงสาย 359 อำเภอพนมสารคาม - สระแก้ว จังหวัดสระแก้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดปราจีนบุรี ภายใต้โครงการเงินกู้ ADB | คค | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมทางหลวงเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าก่อสร้างทางหลวงสาย ๓๕๙ อำเภอพนมสารคาม - สระแก้ว จังหวัดสระแก้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดปราจีนบุรี รวม ๓ ตอน จากวงเงินเดิม ๙๖๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๔ เป็นวงเงิน ๑,๒๓๒,๗๙๔,๓๓๐ บาท ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๗ จำแนกเป็นใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จำนวน ๖๓๗,๒๔๑,๕๑๓.๕๘ บาท และเงินนอกงบประมาณ (เงินกู้ ADB) จำนวน ๕๙๕,๕๕๒,๘๑๖.๔๒ บาท โดยในส่วนของเงินงบประมาณให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ได้รับจัดสรรแล้ว จำนวน ๔๖,๐๔๒,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๕๙๑,๑๙๙,๕๑๓.๕๘ บาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๗ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและกรมทางหลวงรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมทางหลวงเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการเร่งรัดขยายสายทางหลัก ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ระยะทาง ๔๓๓ กิโลเมตร เพื่อให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และให้กระทรวงคมนาคมติดตามและรายงานผลการดำเนินงานโครงการฯ ให้คณะรัฐมนตรีทราบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 30469 | รายงานผลการพิจารณา เรื่อง การจัดหารถยนต์บรรทุกพร้อมเครน ในแผนงานเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่เพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน | นร | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณา เรื่อง การจัดหารถยนต์บรรทุกพร้อมเครนในแผนงานเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่เพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงบประมาณได้เชิญรักษาการเลขาธิการสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) และคณะฯ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชุมและหารือกันเมื่อวันที่ ๑๖ และ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณาเหตุผลความจำเป็น และตรวจสอบสถานะครุภัณฑ์ที่มีอยู่ ของส่วนราชการที่ได้เสนอขอรับจัดสรรในการจัดหาครุภัณฑ์ยานพาหนะ ประกอบด้วย ครุภัณฑ์ยานพาหนะ รายการรถยนต์บรรทุก ๑๐ ล้อ พร้อมเครน จำนวน ๒ คัน วงเงิน ๑๑.๐๐๐ ล้านบาท ของกองทัพเรือ กระทรวงกลาโหม และครุภัณฑ์ยานพาหนะ รายการรถยนต์บรรทุก ๖ ล้อ พร้อมเครน จำนวน ๑๔ คัน วงเงิน ๔๒.๐๐๐ ล้านบาท ของกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. สำนักงบประมาณได้พิจารณาถึงเหตุผลความจำเป็นตามลักษณะของภารกิจของแต่ละหน่วยงาน และเห็นเป็นการสมควรที่จะให้ส่วนราชการได้ดำเนินการขอรับจัดสรรงบประมาณครุภัณฑ์ยานพาหนะดังกล่าวให้เป็นไปตามจำนวนและกรอบวงเงินตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ยกเว้นครุภัณฑ์ยานพาหนะ รายการรถยนต์บรรทุก ๖ ล้อ พร้อมเครน จำนวน ๑๔ คัน วงเงิน ๔๒.๐๐๐ ล้านบาท ของกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำเนินการเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30470 | ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. .... | อส | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. .... ไปตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้รับความเห็นของสำนักงานศาลยุติธรรมที่เห็นควรให้ตัดความในร่างมาตรา ๒๑ วรรคสาม และร่างมาตรา ๒๒ วรรคสี่ ออก เนื่องจากอาจก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการตีความ และเห็นควรกำหนดนิยามศัพท์ของการสะกดรอยในระเบียบของอัยการสูงสุดให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้การสะกดรอยดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล รวมทั้งเพิ่มเติมถ้อยคำว่า “ผู้ต้องหาให้ข้อมูลเองโดยสมัครใจ” ให้ชัดเจนว่า “โดยที่เจ้าพนักงานของรัฐมิได้จูงใจหรือให้คำมั่นสัญญาใด ๆ” เพื่อมิให้ร่างมาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ขัดต่อมาตรา ๒๒๖ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา นอกจากนี้ เห็นควรเพิ่มเติมถ้อยคำว่า “โดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร” ในร่างมาตรา ๒๙ และร่างมาตรา ๓๐ เทียบเคียงกับมาตรา ๓๖๘ แห่งประมวลกฎหมายอาญา และเพิ่มถ้อยคำว่า “การได้มาซึ่งเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารโดยได้รับอนุญาตจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาตามร่างมาตรา ๑๙ และการเคลื่อนย้ายภายใต้การควบคุมตามร่างมาตรา ๒๒” ในร่างมาตรา ๓๒ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป เมื่ออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พิธีสารเพื่อป้องกัน ปราบปราม และลงโทษการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก เสริมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และพิธีสารว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบขนผู้ย้ายถิ่น โดยทางบก ทางทะเล และทางอากาศ เสริมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แล้ว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งรัดการนำอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พิธีสารเพื่อป้องกัน ปราบปราม และลงโทษการค้ามนุษย์โดยเฉพาะสตรีและเด็ก เสริมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และพิธีสารว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบขนผู้ย้ายถิ่น โดยทางบก ทางทะเล และทางอากาศ เสริมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 30471 | รายงานผลความคืบหน้าการขุดลอกพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา พื้นที่กลางน้ำถึงปลายน้ำ | มท | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลความคืบหน้าการขุดลอกพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา พื้นที่กลางน้ำถึงปลายน้ำ ของจังหวัด ๙ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ สิงห์บุรี อุทัยธานี พระนครศรีอยุธยา ชัยนาท อ่างทอง นนทบุรี สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดนครสวรรค์ ได้ดำเนินการเริ่มการขุดลอกสันดอนทรายกลางแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณหมู่ที่ ๖ ตำบลบางมะฝ่อ อำเภอโกรกพระ ความกว้างประมาณ ๓๒๐ เมตร ยาวประมาณ ๗๕๐ เมตร และโครงการขุดลอกแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณ หมู่ที่ ๑ ตำบลโกรกพระ ความกว้างที่จะทำการขุดลอกประมาณ ๑๕๐ เมตร ยาวประมาณ ๖๗๐ เมตร พื้นที่ขุดลอกประมาณ ๓๕ ไร่ ๒. จังหวัดสิงห์บุรี ได้ดำเนินการปรับแผนการขุดลอกจากเดิมมีพื้นที่ในการขุด จำนวน ๖ จุด เหลือเพียง ๒ จุด ได้แก่ บริเวณหาดทรายวัดปลาไหล - หาดทรายวัดดอกไม้ หมู่ที่ ๒ - ๓ ตำบลประศุก อำเภออินทร์บุรี และบริเวณหาดทรายหลังวัดประศุก หมู่ที่ ๕ ตำบลประศุก อำเภออินทร์บุรี โดยดำเนินการขุดลอกเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ๓. จังหวัดอุทัยธานี ไม่มีโครงการขุดลอกพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ๔. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เริ่มดำเนินโครงการบริเวณพื้นที่ที่มีความลึกน้อยกว่า ๗ เมตร จำนวน ๔ จุด ได้แก่ บริเวณตำบลบ้านป้อม ตำบลสำเภาล่ม ตำบลคลองตะเคียน อำเภอพระนครศรีอยุธยา ตำบลบ้านโพ อำเภอบางปะอิน และบริเวณที่มีความกว้างของแม่น้ำน้อยกว่า ๑๐๐ เมตร จำนวน ๕ จุด ในเขตอำเภอมหาพราหมณ์ อำเภอบางบาล ตำบลบ้านป้อม ตำบลปากกราน ตำบลสำเภาล่ม อำเภอพระนครศรีอยุธยา และดำเนินการสำรวจพื้นที่เพิ่มเติมในบริเวณตำบลสำเภาล่ม ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จนถึงตำบลบางกระสั้น ตำบลเกาะเกิด อำเภอบางปะอิน รวมระยะทาง ๑๙ กิโลเมตร ๕. จังหวัดชัยนาท ได้มอบหมายให้อำเภอสรรพยาดำเนินการขุดลอกสันดอนบริเวณบ้านท่าทราย หมู่ที่ ๕ ตำบลหาดอาษา และบ้านศรีมงคล หมู่ที่ ๖ ตำบลหาดอาษา เริ่มดำเนินการแล้วระหว่างวันที่ ๒๓ - ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ๖. จังหวัดอ่างทอง ได้ดำเนินการสำรวจและขุดลอกแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ช่วงวัดตะเคียน ตำบลเทวราช อำเภอไชโย ถึงอำเภอป่าโมก ระยะทางประมาณ ๓๐ กิโลเมตร และดำเนินการขุดลอกสันดอนในแม่น้ำเจ้าพระยา (โครงการเร่งด่วน Flagship) บริเวณวัดไชโย ตำบลไชยภูมิ อำเภอไชโย ความกว้าง ๑๔๐ เมตร ลึก ๒.๐๐ เมตร ความยาว ๒,๐๐๐ เมตร ผลการดำเนินการ ๙๔% ๗. จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดปทุมธานี ไม่มีการขุดลอกพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เนื่องจากลำน้ำมีความลึกมากเพียงพอ โดยทางจังหวัดจะดำเนินการสำรวจพื้นที่น้ำกัดเซาะตลิ่งเพื่อก่อสร้างเขื่อนป้องกันน้ำกัดเซาะต่อไป ๘. ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการขุดลำน้ำเจ้าพระยาเพื่อการเดินเรือบริเวณตั้งแต่สะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ ถึงป้อมพระจุลจอมเกล้าเป็นประจำอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามจังหวัดจะได้มอบหมายให้สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดไปดูแลพื้นที่ช่วงบริเวณที่เป็นกระเพาะหมู เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำกัดเซาะตลิ่ง ๙. ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร การท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการขุดลอกลำน้ำเจ้าพระยาบริเวณตอนใต้สะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ ไปแล้ว สำหรับการขุดลอกพื้นที่ลำน้ำตอนเหนือสะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ ขึ้นไปจนถึงจังหวัดนนทบุรี กรมเจ้าท่าเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการขุดลอกบริเวณดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันลำน้ำเจ้าพระยาในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครสามารถระบายน้ำได้ดี
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30472 | รายงานสถานการณ์และความคืบหน้าการป้องกัน ควบคุมโรค มือ เท้า ปาก ชนิดรุนแรงในเด็ก | สธ | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานการณ์และความคืบหน้าการป้องกัน ควบคุมโรคมือ เท้า ปากชนิดรุนแรงในเด็ก ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สถานการณ์การระบาดของโรคมือ เท้า ปาก ชนิดรุนแรงในเด็ก ๑.๑.๑ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานว่าตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม - ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ พบผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก ทั่วประเทศ รวม ๑๔,๔๕๒ ราย ในจำนวนนี้พบผู้ป่วยสงสัยเป็นโรคมือ เท้า ปาก ที่มีอาการรุนแรงอยู่หลายราย บางรายเสียชีวิตแล้ว จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด คือ จังหวัดพะเยา เชียงราย ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และระยอง ส่วนสถานการณ์โรคมือ เท้า ปาก ในสถานศึกษา พบผู้ป่วยในโรงเรียนอนุบาลและประถมศึกษาในหลายจังหวัดทั่วประเทศ โดยหลายโรงเรียนได้ดำเนินการปิดเรียน เพื่อทำความสะอาดและลดการแพร่กระจายเชื้อแล้ว ๑.๑.๒ ข้อมูลจากการเฝ้าระวังทางห้องปฏิบัติการในประเทศไทย ยังไม่พบการกลายพันธุ์ของเชื้อและสายพันธุ์ใหม่ที่ก่อความรุนแรงผิดปกติ ข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปความสัมพันธ์ระหว่างความรุนแรงของอาการกับสายพันธุ์ย่อยที่ตรวจพบ นอกจากนี้ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานว่าตลอดช่วง ๒ สัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์มีอัตราแพร่ระบาดที่ลดลง โดยพิจารณาจากจำนวนผู้ป่วยเมื่อเทียบในช่วงแรกของการระบาดของโรคมือ เท้า ปาก อย่างไรก็ตามคาดการณ์ว่าแนวโน้มของโรคจะยังคงมีการระบาดต่อไปอีกประมาณ ๖ สัปดาห์ ๑.๒ ความคืบหน้าการป้องกันควบคุมโรคของประเทศไทย ๑.๒.๑ เร่งรัดและดำเนินมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคมือ เท้า ปาก อย่างใกล้ชิด โดยมีทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็ว (Surveillance Rapid Response Team : SRRT) ปฏิบัติงานตลอด ๒๔ ชั่วโมงทั่วประเทศมากกว่า ๑,๐๐๐ ทีม ๑.๒.๒ ให้ดำเนินงานที่เข้มข้นใน ๒ มาตรการ คือ มาตรการที่ ๑ ควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดโดยเร็วที่สุด โดยประสานงานกับโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนประถมศึกษา และศูนย์เด็กเล็กที่อยู่ในพื้นที่เน้นเรื่องการทำความสะอาดป้องกันการแพร่เชื้อ หากพบเด็กป่วยขอให้หยุดเรียนและกลับไปพักที่บ้าน ให้เด็กหมั่นล้างมือ กินอาหารที่สุกและร้อน และมาตรการที่ ๒ ดูแลรักษาผู้ป่วยเพื่อป้องกันการเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด โดยเน้นย้ำผู้ปกครองทุกคน หากพบเด็กมีไข้สูง ๒ วัน ซึมลงหรืออาเจียน ให้รีบไปพบแพทย์ทันที ๑.๒.๓ กำชับแพทย์ในสถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ให้ระมัดระวังภาวะแทรกซ้อนรุนแรงของโรค โดยให้รวมถึงผู้ป่วยที่ไม่มีตุ่มขึ้นที่ปาก หรือฝ่ามือ ฝ่าเท้า ๑.๒.๔ ทำการประชาสัมพันธ์ในทุกช่องทางเพื่อให้ความรู้เรื่องโรคมือ เท้า ปาก แก่ประชาชน เช่น เปิดสายด่วน ๑๔๒๒ ของกรมควบคุมโรคติดต่อตลอด ๒๔ ชั่วโมง ๑.๒.๕ ให้จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากกว่า ๑๐ รายต่อวัน เปิดศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัด (war room) ซึ่งทุกจังหวัดได้ดำเนินการป้องกันและควบคุมโรคในพื้นที่ และมีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการดังกล่าวแล้วหลายจังหวัด ๑.๒.๖ ประชุมผู้เชี่ยวชาญทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย เพื่อทบทวนมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ โดยเน้นการเฝ้าระวังโรค การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การวินิจฉัยและดูแลรักษาพยาบาล การป้องกันควบคุมโรค และการสื่อสารความเสี่ยง เป็นต้น ๑.๒.๗ กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และกรุงเทพมหานคร จัดกิจกรรมรณรงค์ “ร่วมเฝ้าระวังและขจัดโรคมือ เท้า ปาก” โดยมีการมอบคู่มือและชุดอุปกรณ์ป้องกันโรคมือ เท้า ปากให้กับโรงเรียนนำไปทำความสะอาด เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ โดยรณรงค์ทำความสะอาด “Big cleaning day” ในสถานศึกษาทั่วประเทศ เพื่อป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคดังกล่าวอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ติดตามดูแลบุคคลในครอบครัวของเด็กที่เสียชีวิตไปแล้วและอยู่ระหว่างการตรวจวินิจฉัยสาเหตุการเสียชีวิตที่ชัดเจนจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งบุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเพื่อควบคุมสถานการณ์ของโรคไม่ให้แพร่กระจายเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขให้ทั่วถึงในทุกพื้นที่ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30473 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30474 | กรอบระยะเวลาการพิจารณาให้ความช่วยเหลือเกษตรกรของ คชก. | พณ | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบระยะเวลาการพิจารณาให้ความช่วยเหลือเกษตรกรของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรเสนอ ดังนี้
๑. การประเมินสถานการณ์สินค้า ๑.๑ สินค้าเกษตรที่มีคณะกรรมการเฉพาะ ให้คณะกรรมการประเมินสถานการณ์แนวโน้มราคาสินค้าเกษตรที่รับผิดชอบและสภาพปัญหา รวมทั้งเสนอแนวทางป้องกันและมาตรการดำเนินการแก้ไขปัญหาก่อนผลผลิตออกสู่ตลาดไม่น้อยกว่า ๒ เดือน แล้วนำเสนอ คชก. โดยเร็วต่อไป ๑.๒ สินค้าเกษตรที่ไม่มีคณะกรรมการกำกับดูแลเฉพาะ และประสงค์จะของบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบประเมินสถานการณ์แนวโน้มราคาและสภาพปัญหา พร้อมทั้งจัดทำมาตรการป้องกัน/แก้ไขปัญหาก่อนผลผลิตออกสู่ตลาดไม่น้อยกว่า ๒ เดือน แล้วนำ เสนอ คชก. พิจารณาโดยเร็วต่อไป ๒. การพิจารณาของ คชก. ให้ฝ่ายเลขานุการ คชก. พิจารณาตรวจสอบรายละเอียดข้อมูลโครงการที่จำเป็นให้ครบถ้วนก่อนเสนอประธาน คชก. พิจารณากำหนดวัน เวลา ประชุม คชก. โดยเร็ว ทั้งนี้ ให้ฝ่ายเลขานุการสรุปมติคณะกรรมการ และแจ้งมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบภายใน ๓ วันทำการ ๓. การดำเนินการตามมติ คชก. ให้หน่วยงานที่ได้รับอนุมัติโครงการจาก คชก. เตรียมความพร้อมเพื่อสามารถดำเนินการตามมติ คชก. ได้ทันที โดยให้สามารถดำเนินการได้ภายใน ๗ วันทำการนับตั้งแต่ได้รับแจ้งมติ คชก. จากฝ่ายเลขานุการ ดังนี้ ๓.๑ เปิดบัญชีธนาคาร พร้อมทั้งประสานกรมบัญชีกลางในการรับโอนเงิน ๓.๒ เตรียมแผนการดำเนินการตามโครงการเพื่อให้สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้โดยเร็ว ๓.๓ จัดสรรและโอนเงินให้หน่วยงานดำเนินการในระดับพื้นที่ เพื่อให้หน่วยงานในท้องถิ่นและเกษตรกรดำเนินการได้โดยเร็ว และสามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ทันเหตุการณ์
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30475 | การแต่งตั้งที่ปรึกษาพิเศษในคณะที่ปรึกษาพิเศษ และประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการบริหารศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (จำนวน 12 คน 1. นายศรีภูมิ ศุขเนตร ฯลฯ) | พณ | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งที่ปรึกษาพิเศษในคณะที่ปรึกษาพิเศษ และประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการบริหารศูนย์ส่งเสริม
ศิลปาชีพระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้ ที่ปรึกษาพิเศษในคณะที่ปรึกษาพิเศษ จำนวน ๖ คน ประกอบด้วย ๑. นายศรีภูมิ ศุขเนตร ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด การบริหาร และศิลปกรรม ๒. นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด การบริหาร และศิลปกรรม ๓. นางอรนุช โอสถานนท์ ผู้แทนศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ๔. นางสาวกฤษณา รวยอาจิณ ผู้แทนศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ๕. นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล ผู้แทนสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ๖. นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการบริหารศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ จำนวน ๖ คน ประกอบด้วย ๑. นายการุณ กิตติสถาพร ประธานกรรมการ ๒. นายวิชัย อัศรัสกร กรรมการผู้แทนสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ๓. นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล กรรมการผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ๔. พลตรี เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ กรรมการผู้แทนศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ๕. นายสมาน คลังจัตุรัส กรรมการผู้แทนศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ๖. นางสาวพจนา สีมันตร กรรมการผู้แทนศูนย์ศิลปาชีพบางไทร
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30476 | การแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย | วท | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (ร่าง) คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ องค์ประกอบของคณะกรรมการ มีดังนี้ ๑.๑.๑ ประธาน กบอ. เป็นประธาน ๑.๑.๒ กรรมการโดยตำแหน่ง จำนวน ๑๐ คน ได้แก่ ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และประธานคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ๑.๑.๓ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย นายอภิชาติ อนุกูลอำไพ นายรอยล จิตรดอน นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา นายวัยวุฒิ หล่อตระกูล และนางสาววิลาวรรณ วนดุรงค์วรรณ โดยให้ประธานแต่งตั้งเลขานุการหนึ่งคนและผู้ช่วยเลขานุการไม่เกินสองคน ๑.๒ อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ มีดังนี้ ๑.๒.๑ พิจารณาคัดเลือกข้อเสนอกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทยที่สอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนของประเทศไทยมากที่สุด ๑.๒.๒ เสนอแนะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการเพื่อให้มีการนำกรอบแนวคิดที่ได้รับการคัดเลือกไปดำเนินการต่อไป ๑.๒.๓ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือดำเนินการในเรื่องที่ได้รับมอบหมาย ทั้งนี้ ให้หน่วยงานของรัฐสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกตามที่ได้รับการร้องขอ ๒. ให้เพิ่มผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นกรรมการโดยตำแหน่งในคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30477 | ผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ซึ่งร่วมกันพิจารณาแผนงานเร่งด่วน การติดตั้งตะแกรงกันขยะ การขยายเขตไฟฟ้า การติดตั้งแพลูกบวบสำหรับเครื่องสูบน้ำของกรมชลประทาน โดยอนุมัติให้กรมชลประทานใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการส่งคืนงบประมาณ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ดังนี้ ๑.๑ ติดตั้งตะแกรงกันขยะสำหรับเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ ๑๒๐ เครื่อง ของสถานีสูบน้ำฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน ๔๙ แห่ง เป็นเงิน ๑๐๓.๖๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ติดตั้งตะแกรงกันขยะสำหรับเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ ๑๒๐ เครื่อง ของสถานีสูบน้ำฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน ๓๓ แห่ง เป็นเงิน ๘๙.๖๖๙๐ ล้านบาท ๑.๓ ติดตั้งแพลูกบวบสำหรับเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ จำนวน ๔๑ แห่ง ความยาวทั้งสิ้น ๑,๖๐๑ เมตร เป็นเงิน ๕๖.๒๐๗๐ ล้านบาท ๒. ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเร่งรัดการดำเนินการจัดทำแผนการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำและเครื่องสูบน้ำ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย) ให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30478 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (จำนวน 11 ราย 1. นายมนตรี จุฬาวัฒนทล ฯลฯ) | ศธ | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน ๑๑ คน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายมนตรี จุฬาวัฒนทล ประธานกรรมการ ๒. นายสุพจน์ หารหนองบัว กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นายณรงค์ ปั้นนิ่ม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. นายประสาท สืบค้า กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. นายทรงศักดิ์ เปรมสุข กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๗. นายช่วงโชติ พันธุเวช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๘. นางประคอง กลิ่นจันทร์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ครูผู้สอนด้านวิทยาศาสตร์ ภาคเหนือ ๙. นางรำเพย ภาณุสิทธิกร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ครูผู้สอนด้านวิทยาศาสตร์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๑๐. นายสมประสงค์ สิงคชาติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ครูผู้สอนด้านวิทยาศาสตร์ ภาคกลาง ๑๑. นางศิริวรรณ ตรีพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ครูผู้สอนด้านคณิตศาสตร์ ภาคใต้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30479 | การดำเนินการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรม ที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดำเนินการเอง | อก | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ รวมทั้งผลการหารือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการดำเนินการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดำเนินการเอง ซึ่งประธานกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เห็นชอบแล้ว ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการกลั่นกรองฯ เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขอเพิ่มเติมงบประมาณลงทุนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (ครั้งที่ ๒) เพื่อก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมในนิคมอุตสาหกรรมของ กนอ. รวม ๖ แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง นิคมอุตสาหกรรมบางชัน นิคมอุตสาหกรรมบางปู นิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร นิคมอุตสาหกรรมบางพลี และนิคมอุตสาหกรรมพิจิตร วงเงิน ๓,๕๔๖.๒๔ ล้านบาท โดยให้กู้ยืมเงินจากธนาคารออมสิน จำนวน ๓,๕๔๖.๒๔ ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี ระยะเวลา ๑๕ ปี และให้จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยโดยไม่ต้องจ่ายคืนเงินต้นใน ๕ ปีแรก ๑.๒ ให้ กนอ. พิจารณานำเงินส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามปกติ โดยไม่ต้องหักยอดเงินต้นและดอกเบี้ยที่จะต้องชำระคืนในแต่ละปีออก ๑.๓ ให้ กนอ. รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการพิจารณาเก็บค่าบริการส่วนกลาง ไปดำเนินการต่อไป ๑.๔ ให้ กนอ. จัดทำรายละเอียดผลกระทบที่เกิดขึ้นเสนอคณะกรรมการจัดทำบันทึกข้อตกลงและประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจพิจารณาต่อไป ๑.๕ ให้ กนอ. รับภาระภาษีโรงเรือน ภาษีบำรุงท้องที่หรือภาษีอื่นใดที่หน่วยงานท้องถิ่นจัดเก็บ เนื่องจากการประมาณการภาระภาษีอยู่ในระดับที่ฐานะทางการเงินของ กนอ. สามารถรองรับได้ ๒. ในกรณีที่การดำเนินการโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. ดำเนินการเอง ส่งผลกระทบต่อต้นทุนของ กนอ. ให้คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยพิจารณาปรับอัตราค่าบริการส่วนกลางจากผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยให้มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการน้อยที่สุด |
|||||||||||||||||||||||||||
| 30480 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ซาอุดีอาระเบีย | คค | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของประเทศไทยและซาอุดีอาระเบีย ดังนี้ ๑.๑ สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ได้แก่ ๑.๑.๑ ความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันเกี่ยวกับข้อบทในความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ ๒ ประเด็น คือ ๑.๑.๑.๑ การแต่งตั้งสายการบินที่กำหนด โดยปรับปรุงข้อบทเรื่องการแจ้งแต่งตั้งสายการบินที่กำหนดจากเดิมที่ระบุให้ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายสามารถแจ้งแต่งตั้งสายการบินที่กำหนดได้เพียงหนึ่งสาย ให้เป็นหลายสาย เพื่อส่งเสริมให้มีสายการบินดำเนินบริการระหว่างกันมากขึ้น โดยทั้งสองฝ่ายตกลงระบุให้สายการบินซาอุดีอาระเบียเป็นสายการบินที่กำหนดของซาอุดีอาระเบีย และบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นสายการบินที่กำหนดของไทย ๑.๑.๑.๒ ความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัยการบิน ได้เพิ่มข้อบทว่าด้วยความปลอดภัย (Safety) และการรักษาความปลอดภัย (Security) การบินในความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างกัน โดยร่างข้อบททั้งสองเป็นไปตามร่างมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ๑.๑.๒ ใบพิกัดเส้นทางบิน ได้ปรับปรุงใบพิกัดเส้นทางบิน โดยเพิ่มจุดเจดดาห์ และเปลี่ยนแปลงจุด “ดาห์รัน” เป็นจุด “ดัมมัม” ในเส้นทางบินของฝ่ายไทย และระบุจุดที่มีท่าอากาศยานระหว่างประเทศ ๗ แห่งของไทย ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ เชียงราย หาดใหญ่ ภูเก็ต กระบี่ อู่ตะเภา เป็นจุดในเส้นทางบินของฝ่ายซาอุดีอาระเบีย สำหรับจุดระหว่างทางและจุดพ้น ทั้งสองฝ่ายตกลงระบุเป็นสองจุดใด ๆ ที่จะระบุภายหลัง โดยเส้นทางดังกล่าวจะใช้ได้สำหรับทั้งบริการขนส่งผู้โดยสารและบริการขนส่งเฉพาะสินค้า ๑.๑.๓ ความจุความถี่ของบริการ ปรับปรุงสิทธิความจุความถี่ของบริการไว้ ดังนี้ ๑.๑.๓.๑ สายการบินที่กำหนดของไทย สามารถทำการบินด้วยอากาศยานแบบใด ๆ ระหว่างจุดใด ๆ ในไทยและริยาด ได้ถึง ๕ เที่ยวต่อสัปดาห์ ระหว่างจุดใด ๆ ในไทยและเจดดาห์ ได้ถึง ๕ เที่ยวต่อสัปดาห์ และระหว่างจุดใด ๆ ในไทยและดัมมัม ได้ไม่จำกัดจำนวน ๑.๑.๓.๒ สายการบินที่กำหนดของซาอุดีอาระเบีย สามารถทำการบินด้วยอากาศยานแบบใด ๆ จากเจดดาห์และริยาด ไปยังจุดใด ๆ ในไทย ได้ถึง ๙ เที่ยวต่อสัปดาห์ และระหว่างดัมมันและจุดใด ๆ ในไทย ได้ไม่จำกัดจำนวน ๑.๑.๔ สิทธิรับขนการจราจร ทั้งสองฝ่ายตกลงให้สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓ และ ๔ แก่สายการบินของแต่ละฝ่ายอย่างเต็มที่ ภายใต้ความจุความถี่ที่กำหนด สำหรับสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ให้เป็นไปโดยการตกลงระหว่างเจ้าหน้าที่การเดินอากาศของทั้งสองฝ่ายต่อไป ๑.๑.๕ เที่ยวบินพิเศษ ทั้งสองฝ่ายตกลงระบุข้อความเกี่ยวกับเที่ยวบินพิเศษว่า การขอทำการเที่ยวบินพิเศษสามารถกระทำได้ โดยการส่งรายละเอียดของเที่ยวบินไปยังเจ้าหน้าที่การเดินอากาศเพื่อการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษต่อไป ๑.๑.๖ การทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายตกลงระบุข้อบทเรื่องการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ทั้งในส่วนของการทำการบินร่วมกันกับสายการบินของประเทศคู่ภาคี ประเทศที่สาม และสายการบินในประเทศเดียวกัน เพื่อให้สายการบินของแต่ละฝ่ายมีทางเลือกที่จะร่วมมือด้านการบินกับสายการบินอื่น ๆ ได้อย่างเต็มที่ ๑.๑.๗ การรวมบันทึกความเข้าใจฉบับต่าง ๆ ทั้งสองฝ่ายตกลงรวมบันทึกความเข้าใจฉบับต่าง ๆ ที่ได้จัดทำขึ้นเป็นฉบับเดียว เพื่อให้สะดวกแก่การอ้างและง่ายต่อผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งบันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะมีผลใช้แทนบันทึกความเข้าใจฉบับก่อนหน้านี้ทั้งหมด ๑.๒ สาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ได้แก่ ตัวบทความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ กรอบด้านการปฏิบัติการ และใบพิกัดเส้นทางบิน ๒. ให้นำเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ ต่อไป โดยในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
