ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 10 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 181 - 200 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
181 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 | กค. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว
เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
182 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ | ศร. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗
ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน
และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว
เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
183 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2567 | กค. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๗
สรุปได้ดังนี้ ๑) เศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงินของไทย โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี
๒๕๖๘ มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ เศรษฐกิจขยายตัวแตกต่างกันมากขึ้น
โดยบางภาคเศรษฐกิจ (เช่น ท่องเที่ยว อิเล็กทรอนิกส์) มีแนวโน้มดีขึ้น
และบางภาคเศรษฐกิจ (เช่น ยานยนต์ สินค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันจากจีน)
มีพัฒนาการแย่ลงเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมีความไม่แน่นอนสูงขึ้นจากนโยบายของสหรัฐฯ
สินเชื่อโดยรวมปรับลดลง ๒) ภาวะการเงิน ในไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๗ ค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ เฉลี่ยอยู่ที่ ๓๓.๙๖ แข็งค่าขึ้นจากไตรมาสก่อน
และ ๓) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๗ คณะกรรมการนโยบายการเงิน กนง. ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๗
คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ ๒.๒๕ ต่อปี ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่า
อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังควรสอดคล้องกับจุดยืนของนโยบายการเงินที่เป็นกลาง (Broadly Neutral Stance) เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับศักยภาพเงินเฟ้อที่ทยอยเข้าสู่กรอบเป้าหมาย
และการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
184 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 1/2568 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์และแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดินเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ : เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) | สกพอ. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(กพอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๘ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์และแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดินเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ
: เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
(Eastern Economic Corridor of Innovation : EECi) ทั้งนี้
หากคณะรัฐมนตรีรับทราบโดยไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น ให้ถือว่าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหรือเห็นชอบตามมติ
กพอ. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๘
มกราคม ๒๕๖๘ เพื่อ กพอ.
จะออกประกาศเปลี่ยนแปลงเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของกระทรวงพลังงานไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ มาตรการที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งต้องสอดคล้องกับแผนและผังการดำเนินงานที่กำหนด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรให้ความสำคัญกับการกำกับ
ติดตามการดำเนินมาตรการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
และการพัฒนา/ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่เขต EECi ให้สามารถรองรับการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างคุ้มค่า
เกิดประโยชน์สูงสุด และมีผลกระทบต่อชุมชนน้อยที่สุด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
185 | ร่างกฎกระทรวงการขนส่งน้ำมันโดยถังขนส่งน้ำมัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พน. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขนส่งน้ำมันโดยถังขนส่งน้ำมัน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การออกแบบถังขนส่งน้ำมัน
การทดสอบและตรวจสอบถังขนส่งน้ำมัน
วิธีการปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับการรับหรือจ่ายน้ำมัน
และเครื่องหมายที่แสดงไว้บนถังขนส่งน้ำมัน
เพื่อให้มีความปลอดภัยในการประกอบกิจการถังขนส่งน้ำมัน และป้องกันไม่ให้เกิดอัคคีภัยหรืออันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
รวมถึงเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการประกอบกิจการถังขนส่งน้ำมันในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้กระทรวงพลังงานพิจารณาความเหมาะสมสำหรับการยกเว้นให้ผู้ประกอบกิจการขนส่งน้ำมันโดยถังขนส่งน้ำมันที่อยู่ระหว่างยื่นคำขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติ
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
186 | รายงานการทบทวนการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ระดับชาติ โดยสมัครใจของไทย พุทธศักราช 2568 | กต. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานการทบทวนการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน
ค.ศ. ๒๐๓๐ ระดับชาติ
โดยสมัครใจของไทย พุทธศักราช ๒๕๖๘
และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดส่งรายงานให้ UN DESA ต่อไป และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายนำเสนอรายงานฯ
และตอบข้อซักถาม (ถ้ามี) ต่อที่ประชุม HLPF ประจำปี ๒๕๖๘
ซึ่งร่างรายงาน VNR ประจำปี ๒๕๖๘
มีสาระสำคัญครอบคลุมการดำเนินงานด้าน SDGs ของไทยทั้ง ๑๗
เป้าหมาย โดยเน้นประเด็นสำคัญ ๓ ด้าน ได้แก่ ๑)
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติเพื่อสะท้อนความคืบหน้าการดำเนินการตาม SDGs ของไทยในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมา (๒๕๕๘ - ๒๕๖๘) โดย สศช. และสำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมปรับปรุงข้อมูลตัวชี้วัด
SDGs ให้เป็นปัจจุบัน
และประเมินความก้าวหน้าของประเทศไทยในภาพรวม ๒)
การนำเสนอแนวปฏิบัติที่ดีในการขับเคลื่อน SDGs ของไทย และ ๓)
การวิเคราะห์ความท้าทายและแนวทางการดำเนินการเพื่อเร่งรัดการบรรลุวาระการพัฒนา
ค.ศ. ๒๐๓๐ โดยมีความท้าทายที่สำคัญ เช่น ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐาน
การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรและการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ
และการใช้เทคโนโลยีใหม่ รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรายงานการทบทวนการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน
ค.ศ. ๒๐๓๐ ระดับชาติ โดยสมัครใจของไทย พุทธศักราช ๒๕๖๘
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรสื่อสารผลลัพธ์จากการนำเสนอรายงานฯ
ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
187 | ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 30 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | คค. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๓๐
และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๑ - ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้ (๑) ที่ประชุมได้พิจารณาความคืบหน้าการดำเนินโครงการความร่วมมือด้านการขนส่งตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งอาเซียน ปี ๒๕๕๙ - ๒๕๖๘
การทบทวนระยะสุดท้ายของแผนยุทธศาสตร์ฯ
และความคืบหน้าการจัดทำร่างแผนงานรายสาขาการขนส่งของอาเซียน ปี ๒๕๖๙ - ๒๕๗๓ มุ่งเน้นให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน
ทั้งทางอากาศ ทางน้ำ ทางถนน และทางรถไฟ
ตลอดจนส่งเสริมและผลักดันการขนส่งที่ยั่งยืนในอาเซียน และ (๒)
ที่ประชุมได้พิจารณาผลการดำเนินความร่วมมือด้านการขนส่งกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียน
เช่น ๑) นิวชีแลนด์ การเตรียมการสำหรับการลงนามร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างอาเซียนกับนิวซีแลนด์
ที่จะมีขึ้นในปี ๒๕๖๘ และ ๒) ญี่ปุ่น ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนงานความเป็นหุ้นส่วนด้านการขนส่งระหว่างอาเซียน
- ญี่ปุ่นปี ๒๕๖๖ - ๒๕๖๗ โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยในการขนส่งทางน้ำ เป็นต้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
188 | ร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ทุกขนาด ทุกท้องที่ในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | อก. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม
เรื่อง
ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต
ทุกขนาด ทุกท้องที่ในราชอาณาจักร พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต
ทุกขนาด ทุกท้องที่ในราชอาณาจักร ออกไปอีก เป็นระยะเวลา ๕ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑๐
มกราคม ๒๕๖๘ ถึงวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๗๓ (เดิมสิ้นสุดการใช้บังคับเมื่อวันที่ ๙
มกราคม ๒๕๖๘) โดยขยายมาตรการควบคุมกำลังการผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตและเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต
เพื่อแก้ไขปัญหากำลังการผลิตเกินความต้องการบริโภค (Over Supply) และปัญหาการใช้อัตรากำลังการผลิตต่ำ
(Under Utilization) อันเป็นการรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศและส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจและการจ้างงานในประเทศ
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมาย และร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าคณะรัฐมนตรีอาจพิจารณาอนุมัติหลักการของร่างประกาศดังกล่าวได้
และมีข้อสังเกตว่าการกำหนดให้ร่างประกาศฯ ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันสิ้นสุดกำหนดระยะเวลาการใช้บังคับของประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฯ
พ.ศ. ๒๕๖๒ และมีระยะเวลาบังคับใช้ ๕ ปี นับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ (ร่างข้อ
๔) ซึ่งมีผลทำให้ร่างประกาศฯ ใช้บังคับย้อนหลังตั้งแต่วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๘ เป็นกรณีที่กำหนดวันใช้บังคับให้ต่อเนื่องจากประกาศเดิมที่สิ้นผลใช้บังคับไปแล้วย่อมไม่อาจกระทำได้
เนื่องจากจะทำให้ประกาศฉบับใหม่มีผลย้อนหลังเป็นโทษหรือเป็นผลร้ายแก่ผู้อยู่ในบังคับของประกาศที่จะต้องถูกกระทบต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของบุคคล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เห็นควรพิจารณากำหนดข้อยกเว้นในการใช้มาตรการดังกล่าวในกรณีของการปรับปรุงกระบวนการผลิต
๒.
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรคาดการณ์ความต้องการเหล็กดังกล่าวในระยะต่อไป
เพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กเส้นดังกล่าวให้เหมาะสมควบคู่ไปกับการกำหนดมาตรการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
189 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร [มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Hub) ของโลก] | กค. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....)
ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกำไรส่วนทุน (Capital Gains) จากการขายสินทรัพย์ดิจิทัล
(คริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล) ผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๘ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๗๒ (รวม ๕ ปี)
เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น
รวมทั้งเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัล
(Digital Asset Hub) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่เห็นควรพิจารณาใช้มาตรการภาษีฯ แบบมุ่งเป้าเฉพาะ Investment Token ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนานวัตกรรมในการระดมทุนของภาคธุรกิจ
ควรพิจารณาผลกระทบจากความไม่เท่าเทียมของการจัดเก็บภาษี
ซึ่งจะเป็นช่องโหว่ในการหลบเลี่ยงภาษี และทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้มากกว่าที่คาด
และควรมีมาตรการลดผลกระทบข้างเคียงจากการส่งเสริมให้เป็น Digital Asset Hub โดยบังคับใช้ Travel Rule ตามมาตรฐานของ The
Financial Action Task Force (FATF) เพื่อป้องกันความเสี่ยงเรื่องการฟอกเงินและภัยทางการเงิน
เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องโนโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลให้ถูกต้อง
ครบถ้วน ควบคู่ไปกับการกำหนดแนวทางในการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างรัดกุมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนไปพร้อมกัน
เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่จะพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเงินและศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลของโลกต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
190 | การขอรับความเห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านการศึกษาและระดับรัฐมนตรีด้านการอุดมศึกษา รวมถึงการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในกรอบความร่วมมืออาเซียน | ศธ. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านการศึกษาและระดับรัฐมนตรีด้านการอุดมศึกษา
รวมถึงการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในกรอบความร่วมมืออาเซียนฯ จำนวน ๒ ฉบับ
ได้แก่ ๑) แถลงการณ์ร่วมลังกาวีว่าด้วยเด็กและเยาวชนที่ตกหล่นในอาเซียน [Langkawi Joint Statement of the ASEAN
Education Ministers on ASEAN Out - O - School
Children and Youth (OOSCY)] มีสาระสำคัญเป็นการให้ความสำคัญเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเพื่อให้การศึกษามีความครอบคลุมเข้าถึง
และมีคุณภาพสูงสำหรับเด็กและเยาวชนที่ตกหล่น
โดยให้ประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการเร่งดำเนินการ และ ๒) ปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการอุดมศึกษา
สู่การเป็นอาเซียนที่รวมเป็นหนึ่ง ยั่งยืน และเจริญรุ่งเรือง (ASEAN
Leaders’ Declaration on Higher Education : Towards an
Inclusive, Sustainable and Prosperous ASEAN)
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่องค์กรที่เกี่ยวข้องด้านการอุดมศึกษาของอาเซียน
เช่น สำนักเลขาธิการอาเซียน เครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน การกำหนดนโยบายและดำเนินการเพื่อให้ทุกคนในอาเซียนสามารถเข้าถึงการศึกษาในระดับอุดมศึกษาได้อย่างเท่าเทียม
โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หรือผู้แทนให้การรับรอง (adoption) แถลงการณ์ร่วมลังกาวีฯ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้แทนให้ความเห็นชอบ (endorsement) ปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการอุดมศึกษาฯ ในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ ณ
ประเทศมาเลเซีย รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ในฐานะประธานคณะมนตรีประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน หรือผู้แทน
ร่วมรับรองแถลงการณ์ร่วมลังกาวีฯ และปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการอุดมศึกษาฯ
ครั้งที่ ๔๔ ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๘ และให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายทราบ (for notation) แถลงการณ์ร่วมลังกาวีฯ และรับรองปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการอุดมศึกษาฯ ครั้งที่ ๔๗ ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
ที่เห็นควรให้มีการประกาศเจตนารมณ์สู่การเป็น ASEAN Zero
Dropout ภายในปี ค.ศ. ๒๐๓๐ ตามเป้าหมาย SDG 4
และอาจพิจารณาเพิ่มเติมสาระสำคัญของการสร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษาให้เยาวชนทุกคนได้เรียนต่อระดับอุดมศึกษาอย่างเต็มศักยภาพ
ไม่หลุดจากระบบการศึกษา โดยเฉพาะผู้ที่มาจากครัวเรือนยากจน ด้อยโอกาส
หรือมีปัญหาสุขภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแถลงการณ์ร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
191 | การขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีและขออนุมัติรวมโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม 3 สถานี (สถานีสะพานพระราม 6 สถานีบางกรวย-กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) และโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช เข้าด้วยกันเพื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นสัญญาเดียว | คค. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้รวมโครงการระบบรถไฟชานเมือง
(สายสีแดง) ช่วงตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี (สถานีสะพานพระราม ๖
สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) และโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ช่วงตลิ่งชัน - ศิริราช เข้าด้วยกันเพื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นสัญญาเดียว และเปลี่ยนชื่อโครงการเป็น “โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ช่วงศิริราช - ตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี
(สถานีสะพานพระราม ๖ สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี)”และอนุมัติกรอบวงเงินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ช่วงศิริราช - ตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี (สถานีสะพานพระราม ๖
สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) โดยแบ่งเป็น
ค่าจ้างที่ปรึกษาจัดประกวดราคา จำนวน ๑๔.๗๘ ล้านบาท ค่าจ้างที่ปรึกษาคุมงาน (CSC) จำนวน ๓๙๒.๑๓ ล้านบาท
ค่าจ้างที่ปรึกษาวิศวกรอิสระ (ICE) จำนวน ๓๙.๕๕ ล้านบาท ค่างานโยธาและระบบราง
จำนวน ๑๐,๗๗๔.๗๒ ล้านบาท ค่างานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล จำนวน ๓,๙๕๕.๐๓ ล้านบาท รวมกรอบวงเงินโครงการ จำนวน ๑๕,๑๗๖.๒๑
ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี รวมทั้งอนุมัติรายละเอียดอื่นที่มิได้มีการเปลี่ยนแปลงของทั้งสองโครงการ
ให้ยึดถือตามมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติไว้เดิมเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
และเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๒ ตามลำดับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคมกำกับติดตามการดำเนินงานโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ช่วงศิริราช - ตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี (สถานีสะพานพระราม ๖
สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ให้แล้วเสร็จโดยเร็วและสามารถเปิดให้บริการได้ภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในปี
๒๕๗๒ อย่างเคร่งครัด ตลอดจนให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
บริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการให้อยู่ภายในกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติในครั้งนี้ด้วย ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๐๙/๒๖๑๗ ลงวันที่ ๕
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรให้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องไปยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดด้วย สำนักงบประมาณ เห็นว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยควรให้ความสำคัญในการบริหารความเสี่ยง
รวมถึงการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ
เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลให้การดำเนินโครงการมีความล่าช้า
และกระทรวงคมนาคมควรกำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
192 | ขอความเห็นชอบการกู้เงินในประเทศเพื่อเป็นเงินลงทุนสำหรับการลงทุนในแผนงานระยะยาวและงานรายปีใหม่ ปี 2567 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกู้เงินในประเทศเพื่อเป็นเงินลงทุนสำหรับการลงทุนในแผนงานระยะยาวใหม่
ปี ๒๕๖๗ จำนวน ๖ แผนงาน และงานรายปีใหม่ ปี ๒๕๖๗ จำนวน ๒ งาน ภายในกรอบวงเงินรวม ๙,๙๓๑.๐๐ ล้านบาท โดยให้ทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๑๕/๖๕๒๐ ลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ นร ๑๑๒๔/๓๒๐๑ ลงวันที่
๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๗) และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
และหากได้รับอนุมัติให้กู้เงินแล้วควรดำเนินโครงการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
และข้อบังคับให้ถูกต้อง ครบถ้วน
โดยคำนึงถึงความประหยัดและประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญด้วย กระทรวงพลังงาน เห็นควรมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
ในการวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศ เพื่อลดความซ้ำซ้อนและเกิดการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนในระยะยาวต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
193 | ร่างกฎกระทรวงการขนส่งน้ำมันโดยถังขนส่งน้ำมันแบบยกและเคลื่อนที่ได้ พ.ศ. .... | พน. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขนส่งน้ำมันโดยถังขนส่งน้ำมันแบบยกและเคลื่อนที่ได้
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการขนส่งน้ำมันโดยถังขนส่งน้ำมันแบบยกและเคลื่อนที่ได้
(เพิ่มวิธีการขนส่งน้ำมันนอกจากการนำถังขนส่งน้ำมันไปตรึงหรือสร้างไว้กับโครงรถหรือแคร่รถไฟอย่างถาวร)
เช่น การกำหนดลักษณะและการติดตั้งถังขนส่งน้ำมันแบบยกและเคลื่อนที่ได้
ระบบท่อน้ำมันและอุปกรณ์ การรับหรือจ่ายน้ำมัน การขนส่งน้ำมัน
และการเคลื่อนย้ายถังขนส่งน้ำมันแบบยกและเคลื่อนที่ได้
และการป้องกันและระงับอัคคีภัย
เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมจากรูปแบบการขนส่งน้ำมันที่ใช้ในปัจจุบัน และเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบกิจการ
(ผู้ประกอบกิจการควบคุมประเภทที่ ๓ ถังขนส่งน้ำมัน)
ในการขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศสามารถประกอบกิจการขนส่งน้ำมัน โดยถังขนส่งน้ำมันแบบยกและเคลื่อนที่ได้ให้มีความปลอดภัยและสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและเทคโนโลยีในปัจจุบัน
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม ที่เห็นว่าการกำหนดคุณสมบัติของผู้ขับรถไฟบรรทุกขนส่งน้ำมันเป็นอำนาจของการรถไฟแห่งประเทศไทย
และปัจจุบันกรมการขนส่งทางรางได้กำหนดมาตรฐาน มขร. - O-๐๐๑ - ๒๕๖๕ มาตรฐานการขนส่งสินค้าอันตรายทางรถไฟ
(Carriage of Dangerous Goods by Rails) บังคับใช้ระหว่างที่กฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางรางยังไม่มีผลใช้บังคับ
จึงไม่จำเป็นต้องออกประกาศเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเรื่องของการบรรทุกถังขนส่งน้ำมันด้วยรถไฟ
คุณสมบัติของผู้รับขี่รถไฟบรรทุกถังขนส่งน้ำมัน การจัดวางถังขนส่งน้ำมันทางรถไฟ
และการติดป้ายอักษรภาพและเครื่องหมายของถังขนส่งน้ำมันทางรถไฟ ไปประกอบการพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
194 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี | นร.10 | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
(สคทช.) สำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน ๕ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ
(คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
สำหรับการจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านบุคคลสำหรับอัตราข้าราชการตั้งใหม่ดังกล่าว
ให้ส่วนราชการดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงบประมาณกำหนด
และเพื่อประโยชน์ในการติดตาม
ประเมินผลที่แสดงถึงความคุ้มค่าและประสิทธิภาพของการบริหารอัตรากำลัง ให้ สคทช. กำหนดเป้าหมายผลผลิตและผลลัพธ์จากการได้รับการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ดังกล่าว
และรายงานผลให้สำนักงาน ก.พ. ทราบ เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ๑.๒ มอบหมายให้ สคทช.
จัดทำแผนการสรรหาและบรรจุบุคคลเข้ารับราชการตามแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ และรายงานให้ คปร. ทราบโดยเร็ว ตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป สำนักงบประมาณ เห็นว่าสำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรของอัตราข้าราชการตั้งใหม่
เห็นควรให้ส่วนราชการพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้แล้วในแผนงานบุคลากรภาครัฐไปดำเนินการในลำดับแรกก่อน
และถือปฏิบัติตามนัยหนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๑๘/ว ๘๕ ลงวันที่ ๑๔ มีนาคม
๒๕๖๘ อย่างเคร่งครัด ส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรที่จะเกิดขึ้นในปีต่อไป ให้ส่วนราชการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเท่าที่จำเป็นตามภารกิจ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนของกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควร สคทช. เร่งดำเนินการสรรหา
บรรจุ และแต่งตั้งตำแหน่งนักวิชาการแผนที่ภาพถ่าย ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
และควรกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของข้าราชการใหม่ให้ชัดเจน รวมทั้งพัฒนาองค์ความรู้และทักษะให้กับบุคลากรตำแหน่งดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
เพื่อสร้างความพร้อมและความต่อเนื่องในการปฏิบัติงานที่ทำให้ สคทช.
สามารถดำเนินภารกิจเพื่อบรรลุผลสัมฤทธิ์ในข้างต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
195 | ขอแจ้งเลื่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2568 | นร.04 | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
196 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลกื้ดช้าง ตำบลอินทขิล ตำบลสันมหาพน ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง และตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. .... | กษ. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลกื้ดช้าง ตำบลอินทขิล ตำบลสันมหาพน ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง
และตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลกื้ดช้าง ตำบลอินทขิล ตำบลสันมหาพน
ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง และตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ในการก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่แตง
- แม่งัด อาคารประกอบ พร้อมส่วนประกอบอื่น และระบบท่อส่งน้ำแม่งัด - แม่แตง พร้อมอาคารประกอบ
ตามโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่
เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน
และเพื่อนำที่ดินไปชดเชยให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประชาสัมพันธ์โครงการและดำเนินการมีส่วนร่วมของประชาชน
โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบและผู้นำชุมชน เพื่อบรรเทาปัญหาผลกระทบและความเดือดร้อนของประชาชนและลดความขัดแย้งระหว่างโครงการของหน่วยงานรัฐและชุมชนในพื้นที่โครงการ
รวมทั้งการดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ป่า ขอให้ปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย
มติคณะรัฐมนตรีและนโยบายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
197 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน
การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท (ฉบับที่ ..) พ.ศ.
....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน
การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนและการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท พ.ศ. ๒๕๔๔
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวอาจเปิดช่องว่างให้บริษัทจดทะเบียนสามารถเก็งกำไรโดยสร้างราคาหลักทรัพย์ที่บิดเบือนไปจากกลไกราคาตลาดที่แท้จริง
และเพิ่มความเสี่ยงให้กับนักลงทุนซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนโดยรวมในระยะยาว
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
โดยให้ส่งผลการรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมไปประกอบการพิจารณาในชั้นการตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงฯ
ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
198 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นางจิตรา หมีทอง และนายรังสรรค์ วันไชยธนวงศ์) | นร.04 | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
จำนวน ๒ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑. นางจิตรา หมีทอง ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง [รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล)] ๒. นายรังสรรค์ วันไชยธนวงศ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน
ชาญวีรกูล)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
199 | โครงการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ระยะที่ 13 ส่วนที่ 2 ของการไฟฟ้านครหลวง | มท. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้านครหลวงดำเนินการตามโครงการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า
ระยะที่ ๑๓ ส่วนที่ ๒ วงเงินลงทุนรวม ๖๘,๗๘๓.๙ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๕๐,๙๐๐
ล้านบาท และเงินรายได้ของการไฟฟ้านครหลวง จำนวน ๑๗,๘๘๓.๙
ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้านครหลวง)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๖/๑๐๓๖๓ ลงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๗)
คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (หนังสือสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ด่วนที่สุด
ที่ สกพ ๕๕๐๒/๑๓๒๕๘ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗) และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงพลังงาน เห็นว่าในการดำเนินการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวงในอนาคต
การไฟฟ้านครหลวงอาจพิจารณาจัดทำแนวทางหรือโปรแกรมสำหรับการประเมินสภาพอุปกรณ์ต่าง
ๆ ในระบบจำหน่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง เพื่อใช้ประกอบการวางแผนการบำรุงรักษา
ปรับปรุง และก่อสร้างสายจำหน่ายและสถานีไฟฟ้าได้อย่างเป็นระบบ สำนักงบประมาณ เห็นว่าการไฟฟ้านครหลวงควรมีมาตรการควบคุมและเร่งรัดการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของแผนงานตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดเพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้า
และควรจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนงาน
รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้ ตลอดจนดำเนินการก่อหนี้และบริหารหนี้ในทุกมิติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
200 | การเสนอตัวขอเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ FIA FORMULA ONE WORLD CHAMPIONSHIP ในประเทศไทย ประจำปี 2571 - 2575 (5 ปี) | กก. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการจัดการแข่งขันรถยนต์ Formula One ในประเทศไทย
และผลการศึกษารายละเอียดด้านสนามแข่งขันที่เหมาะสมและการลงทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสนามแข่งขัน
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพโครงการจัดการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์โลก
รายการ FIA FORMULA ONE WORLD CHAMPIONSHIP ประจำปี
๒๕๗๑ - ๒๕๗๕ (๕ ปี) สำหรับกรอบวงเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันดังกล่าว
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (การกีฬาแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
(การกีฬาแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการศึกษารายละเอียดของข้อจำกัดและข้อกำหนดต่าง ๆ ตามกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน เช่น
ข้อจำกัดของผังเมือง การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
การบริหารจัดการจราจร ความพร้อมของเมืองเจ้าภาพ รวมถึงการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างเปิดเผยและโปร่งใส
เพื่อให้การดำเนินการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์โลกดังกล่าวข้างต้นอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องที่ถูกต้อง ครบถ้วน รอบด้าน
และลดความเสี่ยงในการเกิดข้อขัดแย้งในระยะยาว ๔. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
(การกีฬาแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าหากจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ
ก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงคำนึงถึงสถานะของกองทุนฯ ด้วย และให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณจากทุกแหล่งเงินให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งควรมีมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของชุมชนท้องถิ่น
และประเมินผลการจัดการแข่งขันดังกล่าวทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตามขั้นตอนและเป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |