ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 40 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารสำนักงานกรมชลประทานสามเสน สูง 11 ชั้น พื้นที่ไม่น้อยกว่า 8,800 ตารางเมตร แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร | กษ. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้เพิ่มกรอบวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
สำหรับรายการก่อสร้างอาคารสำนักงานกรมชลประทานสามเสน สูง ๑๑ ชั้น
พื้นที่ไม่น้อยกว่า ๘,๘๐๐ ตารางเมตร แขวงถนนนครไชยศรี
เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร (อาคารสำนักงานกรมชลประทานสามเสนฯ) จากวงเงิน ๒๖๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๓๓๔,๒๗๕,๐๐๐ บาท และให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
สำหรับรายการดังกล่าว จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ - ๒๕๖๙ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ -
๒๕๗๐ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่ากรมชลประทานควรดำเนินการติดตามตรวจสอบการดำเนินงานในส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จอย่างละเอียดรอบคอบ
โดยคำนึงถึงความจำเป็นและความคุ้มค่าเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อราชการและประชาชน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
เร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างอาคารสำนักงานกรมชลประทานสามเสนฯ
ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๗๐ ตามกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติไว้ในครั้งนี้อย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลและตรวจสอบการดำเนินการก่อสร้างอาคารสำนักงานกรมชลประทานสามเสนฯ
ให้เป็นไปตามหลักวิศวกรรมและตามแบบก่อสร้างที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากลด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายฐิติพันธ์ จูจันทร์โชติ) | สธ. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายฐิติพันธ์ จูจันทร์โชติ
เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
(นายอนุชา สะสมทรัพย์)] โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
23 | การมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
ดังนี้ ๑. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์
๒๕๖๘ (เรื่อง
การมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) ๒.
อนุมัติมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้
ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จำนวน ๒
ราย ตามลำดับ ดังนี้ ๒.๑
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล) ๒.๒
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร
สินธุไพร)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
24 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายสราวุธ อ่อนละมัย และนายมนตรี ปาน้อยนนท์) | มท. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
จำนวน ๒ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑. นายสราวุธ อ่อนละมัย ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
(นายเดชอิศม์ ขาวทอง) ๒. นายมนตรี ปาน้อยนนท์ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
(นายเดชอิศม์ ขาวทอง)]
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการ โครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี | กษ. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการ โครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดปราจีนบุรี จากเดิม ๑๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ - พ.ศ. ๖๕๖๗) เป็น ๑๘ ปี
(ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ - พ.ศ. ๒๕๗๐)
ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม ๙,๐๗๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยกรมชลประทานจะเร่งรัดดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้
รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ
ตลอดจนประโยชน์และความคุ้มค่าที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากรมชลประทานควรมีแผนการติดตามตรวจสอบและเร่งรัดให้การดำเนินการก่อสร้างในส่วนที่ยังคงเหลือให้แล้วเสร็จตามแผนและระยะเวลาที่ขอขยายในครั้งนี้
โดยไม่ต้องขอขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการเพิ่มเติมอีก
เพื่อให้การก่อสร้างโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี
เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ เนื่องจากเป็นโครงการที่เป็นการสร้างแหล่งน้ำต้นทุน
สามารถเพิ่มพื้นที่ชลประทานในฤดูฝน
และส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำปราจีนบุรีและลุ่มน้ำสาขา ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
เร่งรัดดำเนินโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี
ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติในครั้งนี้อย่างเคร่งครัดและให้ถือเป็นการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริจังหวัดปราจีนบุรี
ครั้งสุดท้าย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. .... | กค. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลัง
ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงระเบียบกระทรวงการคลัง
ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยยังคงหลักการเดิม
และปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับบทนิยาม
วงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
หน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอและจังหวัด
และขยายระยะเวลาในการจัดส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงิน
และการกำหนดบทเฉพาะกาล ตลอดจนการปรับปรุงถ้อยคำ
เพื่อให้การดำเนินการและการใช้จ่ายเงินทดรองราชการฯ
เป็นไปอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ชัดเจน ถูกต้อง และเหมาะสม
รวมทั้งสอดคล้องกับสภาพการณ์ของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เห็นควรให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาดำเนินการปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือด้านที่พักอาศัยผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย สำนักงบประมาณ เห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ และบรรลุตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
27 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม 2568 และแนวทางการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 30 - 31 กรกฎาคม 2568 | ปสส. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันอังคารที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๘
ซึ่งพิจารณาเรื่องที่คณะรัฐมนตรีส่งมาให้วิปรัฐบาลพิจารณา ได้แก่
ร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. .... ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28 | ร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม 2568 และแนวทางการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 30-31 กรกฎาคม 2568) | ปสส. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันอังคารที่ ๒๙ กรกฎาคม
๒๕๖๘ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. ....
ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29 | การให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา และสถานการณ์อุทกภัย | นร. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม
เวชยชัย) รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีเสนอว่า
สืบเนื่องจากสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
และสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต
รวมทั้งประชาชนอีกจำนวนมากได้รับความเดือดร้อนในการดำรงชีวิต ทรัพย์สินเสียหาย
และต้องอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย
ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือดูแลอย่างเร่งด่วน จึงขอมอบหมายการดำเนินการ
ดังนี้ ๑. ให้รัฐมนตรีทุกท่านใช้เวลาที่ว่างเว้นจากภารกิจประจำลงพื้นที่ที่เกิดสถานการณ์ดังกล่าว
เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบ
ตลอดจนกำกับดูแล และอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่าง ๆ
ในความรับผิดชอบที่อยู่ในพื้นที่ รวมทั้งบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ
ในพื้นที่ เพื่อให้การดูแลช่วยเหลือประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ขอให้รัฐมนตรีหลีกเลี่ยงการดำเนินการใด ๆ
ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่าง ๆ
ในพื้นที่หน้างานด้วย ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น
เช่น อาหาร เครื่องนอน เครื่องนุ่งห่ม เวชภัณฑ์ น้ำสะอาด
เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ในการดำรงชีพในช่วงวิกฤตได้อย่างเหมาะสมและเพียงพอ
รวมทั้งให้กำกับดูแลการบริหารจัดการขยะในพื้นที่ให้เหมาะสมและไม่เกิดมลภาวะด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดหาเครื่องใช้หรืออุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ
ผู้พิการ และผู้ป่วยติดเตียง เช่น รถเข็น ให้เพียงพอต่อความต้องการ
เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้าย และดูแลผู้ประสบภัยกลุ่มเปราะบางได้อย่างเหมาะสม ๔.
ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดเตรียมบุคลากรทางการแพทย์ให้เพียงพอ
เพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยในพื้นที่ รวมทั้งให้กำหนดมาตรการในการดูแลและคัดแยกผู้ป่วยที่ติดเชื้อออกจากผู้ป่วยอื่นและบุคคลทั่วไป
เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในพื้นที่พักพิงและสถานพยาบาลด้วย ๕. ให้กระทรวงมหาดไทย (จังหวัดที่เกี่ยวข้อง)
เร่งประสานกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อดำเนินการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือ/เยียวยา/ชดเชยให้แก่ผู้บาดเจ็บ
ทายาทของผู้เสียชีวิต หรือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น ตามแต่กรณี
ให้ถูกต้อง ครบถ้วน และแล้วเสร็จโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
30 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิบัติการรักษาสันติภาพภายใต้กรอบสหประชาชาติ ครั้งที่ 6 | กห. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31 | ผลการเจรจาหาข้อยุติสถานการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา | นร. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม
เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีรายงานว่า
ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
ต่อมาได้รับการประสานจากนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนให้ฝ่ายไทยเดินทางไปเจรจากับฝ่ายกัมพูชาเพื่อยุติข้อขัดแย้งดังกล่าว
โดยนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน
เสนอตัวเป็นเจ้าภาพอำนวยความสะดวกในการเจรจา ดังนั้น
จึงได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นกรณีเร่งด่วน ตามนัยมาตรา ๘ วรรคสอง
แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘
โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุม
เพื่อรับทราบและประเมินสถานการณ์ความมั่นคง
รวมทั้งกำหนดแนวทางในการไปเจรจา โดยยึดหลักว่า ทั้งสองฝ่ายต้องหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไขและร่วมกันหาทางออกผ่านกลไกคณะกรรมการชายแดนทั่วไป
(General Border Committee :
GBC) และเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘ จึงได้เดินทางไปยังเมืองปุตราจายา
(Putrajaya) ประเทศมาเลเซีย เพื่อเข้าร่วมการเจรจากับพลเอก
ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยมี นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
ในฐานะประธานอาเซียนเป็นเจ้าภาพอำนวยความสะดวกในการเจรจา
และมีผู้แทนจากสหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย
ซึ่งในการเจรจาฝ่ายไทยได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน
โดยประณามการกระทำของฝ่ายกัมพูชาที่ล่วงล้ำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยและยิงโจมตีพื้นที่ที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร
เช่น โรงพยาบาล สถานีบริการน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บ
เสียชีวิต และทรัพย์สินเสียหายเป็นจำนวนมากซึ่งถือเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยของไทย
ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน และละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ทั้งนี้
ในการเจรจาดังกล่าวมีความเข้าใจร่วมกัน (Common Understanding) ว่า ทั้งสองฝ่ายจะหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข ตั้งแต่เวลา ๒๔.๐๐ น. ของคืนวันที่
๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นไป ฝ่ายไทยได้ยืนยันการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัดและได้หยุดยิงในทุกพื้นที่
แต่โดยที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า กองกำลังฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยมีการใช้อาวุธยิงโจมตีกองกำลังฝ่ายไทยในหลายพื้นที่ภายหลังเวลา
๒๔.๐๐ น. ดังกล่าว ทหารฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องตอบโต้อย่างเด็ดขาดและเหมาะสม
เพื่อปกป้องอธิปไตยและชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ พร้อมกันนี้
รัฐบาลไทยได้ทำหนังสือประท้วงไปยังประธานอาเซียน รวมทั้งสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีน
ซึ่งเป็นสักขีพยานในการเจรจา
เพื่อให้ทราบว่าการละเมิดข้อตกลงนี้เป็นเหตุจากการไม่ซื่อตรงและไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชาอย่างชัดเจน จนถึงขณะนี้ รัฐบาลได้มอบหมายให้ทุกเหล่าทัพตรึงกำลังเพื่อรักษาอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนอย่างเต็มที่
ในขณะเดียวกันได้มีการหารือระหว่างแม่ทัพภาคของทั้งสองประเทศในวันนี้ เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น.
ซึ่งได้ทราบว่าทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจร่วมกันในการคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนที่ยังคงตึงเครียดอยู่
รวม ๖ ประเด็น ดังนี้ (๑) หยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข (๒) คุ้มครองประชาชน (๓) งดการเสริมกำลัง
(๔) ห้ามเคลื่อนย้ายกำลัง (๕) อำนวยความสะดวกการส่งกลับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต
และ (๖) จัดตั้งชุดประสานงานเฉพาะกิจ ทั้งนี้
จะได้นำผลการหารือดังกล่าวเสนอที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ในวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๘ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม เพื่อพิจารณารับรองและให้มีผลใช้บังคับในระดับนโยบายของทั้งสองประเทศต่อไป ๒. มอบหมายให้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ข้อเท็จจริง
และความเคลื่อนไหวต่าง ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
ในลักษณะข่าวด่วน (Breaking News) ให้รวดเร็ว ทันการณ์
ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ นอกเหนือจากที่ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
(ศบ.ทก.) ได้จัดแถลงข่าวประจำวันในเวลา ๑๒.๐๐ น. อยู่แล้ว โดยให้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีประสานข้อมูล
และดำเนินการในเรื่องนี้กับกระทรวงกลาโหม เหล่าทัพ ศบ.ทก.
กรมประชาสัมพันธ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
32 | การสิ้นสุดหน้าที่ของกงสุลกิตติมศักดิ์สหภาพคอโมโรสประจำประเทศไทย (นายชีวะภัฐณ์ คงพรวิวัฒน์) | กต. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการสิ้นสุดหน้าที่ของ นายชีวะภัฐณ์ คงพรวิวัฒน์ กงสุลกิตติมศักดิ์สหภาพคอโมโรสประจำประเทศไทย
ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๕ เนื่องจากขอลาออกจากตำแหน่ง
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33 | การสิ้นสุดหน้าที่ของกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ นครซานฮวน เปอร์โตริโก สหรัฐอเมริกา (นายโรลันโด เจ. เปียร์เนส-อัลฟองโซ) | กต. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการสิ้นสุดหน้าที่ของ นายโรลันโด เจ. เปียร์เนส-อัลฟองโซ
(Mr. Rolando J. Piernes Alfonso) กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์
ณ นครซานฮวน เปอร์โตริโก สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๘
เนื่องจากสูงอายุและสมัครใจไม่ต่อวาระการดำรงตำแหน่ง
โดยไม่ปิดสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ นครซานฮวน เปอร์โตริโก สหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีกงสุลกิตติมศักดิ์
ณ นครซานฮวน เปอร์โตริโก สหรัฐอเมริกา
ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหัวหน้าสถานทำการทางกงสุล ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. .... | พน. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
35 | สถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา | นร.08 | 24/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่าจากสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
ปัจจุบันได้มีการยกระดับสู่การใช้กำลังทหารปะทะกัน
โดยเฉพาะตามแนวชายแดนบริเวณจังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดบุรีรัมย์
ซึ่งส่งผลกระทบต่อเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขต
ความปลอดภัยของประชาชนของประเทศไทย ซึ่งตามมาตรา ๘ วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๕๔๘ บัญญัติให้ในกรณีจำเป็นเพื่อเป็นการรักษาประโยชน์สำคัญของประเทศ หรือมีกรณีฉุกเฉิน
นายกรัฐมนตรีอาจพิจารณาเรื่องใดกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องตามที่นายกรัฐมนตรีเห็นสมควรเพื่อมีมติของคณะรัฐมนตรีในเรื่องนั้นได้
นั้น รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
จึงได้ประชุมกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ
จึงรุ่งเรืองกิจ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วให้ความเห็นชอบ
ตามที่เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงการต่างประเทศเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญกลับประเทศไทยและลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตลง ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้การดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
อย่างเต็มที่ โดยในส่วนการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวให้พิจารณาจากกลไกที่มีอยู่แล้ว
เช่น กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย
ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับบริจาคและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย
พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๓. ให้กระทรวงการคลังพิจารณามาตรการทางภาษีเพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในครั้งนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นางสาวสกาวใจ พูนสวัสดิ์ และนายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์) | วธ. | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย
ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
ดังนี้ ๑. นางสาวสกาวใจ พูนสวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
37 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา ๔๒
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จำนวน ๒ ราย ตามลำดับ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสุชาติ
ชมกลิ่น)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
38 | รายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment: ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | ปช. | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ
(Integrity & Transparency Assessment : ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ๒. ให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรมบัญชีกลาง ผู้ว่าราชการจังหวัด
และนายอำเภอ
ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่กำกับติดตามและผลักดันการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐตามมติคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๔ มกราคม ๒๕๖๕ ดำเนินการสนับสนุน ส่งเสริม
และให้ความช่วยเหลือแก่หน่วยงานภาครัฐที่ยังมีผลการประเมิน ITA ไม่ผ่านตามค่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
ประเด็น (๒๑) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๖๕๘๐)
(ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) ให้สามารถยกระดับผลการดำเนินงานให้ผ่านค่าเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน
ก.พ.ร. และข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ควรนำข้อมูลของหน่วยงานที่มีผลการประเมินอยู่ในระดับผ่านดีเยี่ยมมาถอดบทเรียนปัจจัยความสำเร็จ
และจัดทำเป็นกรณีศึกษาของหน่วยงานที่มีแนวปฏิบัติที่ดีสำหรับหน่วยงานแต่ละประเภท
ทั้งในการดำเนินการภาพรวม
และการดำเนินการรายตัวชี้วัดเพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาให้กับหน่วยงานที่ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน
ให้สามารถนำแนวทางการดำเนินงานไปศึกษาและต่อยอดปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของหน่วยงาน
รวมทั้งควรมีการวิเคราะห์สาเหตุหรือจุดอ่อนของตัวชี้วัดที่ไม่ผ่านเกณฑ์
(ตัวชี้วัดที่ ๘ การปรับปรุงระบบการทำงาน) เพื่อให้หน่วยงานสามารถเร่งพัฒนาการดำเนินการในตัวชี้วัดดังกล่าวนำไปสู่การบรรลุค่าเป้าหมายของแผนย่อยของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
ประเด็น (๒๑) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบได้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
เห็นว่าการกำหนดหลักเกณฑ์การประเมิน ITA ไม่ควรใช้หลักเกณฑ์เดียวกันในการประเมินกับทุกหน่วยงาน ควรพิจารณาหลักเกณฑ์การประเมินให้สอดคล้องกับลักษณะงานหรือภารกิจของแต่ละหน่วยงานเพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เช่น
หน่วยงานที่ให้บริการทางวิชาการไม่ควรใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับหน่วยงานที่มีหน้าที่พิจารณาอนุมัติ
อนุญาต เพื่อจะได้สะท้อนผลการปฏิบัติงานที่ตรงต่อภารกิจงานของหน่วยงานนั้น ๆ ๓. ให้ส่งความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร.
และข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
39 | การเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 | นร.07 | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ และมอบหมายให้สำนักงบประมาณนำเรื่อง การเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว
เสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
และให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรพิจารณาให้ความสำคัญกับการปรับลดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๙ ในส่วนที่เห็นว่าไม่จำเป็นหรือไม่เหมาะสม เพื่อลดแรงกดดันต่อฐานะการคลังและเพื่อให้มีพื้นที่ทางการคลังเพียงพอต่อการรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลกที่อาจมีความรุนแรงมากขึ้นในระยะต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
40 | วิธีการคำนวณประโยชน์ที่ได้รับหรือที่ต้องเสียไปเป็นจำนวนเงินค่าทดแทนที่ต้องลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามข้อ 1 วรรคสอง แห่งกฎกระทรวงกำหนดการลด เพิ่ม หรือหักเงินค่าทดแทนอันเนื่องมาจากผลของการเวนคืน หรือสภาพที่ดินที่เปลี่ยนแปลงไป พ.ศ. 2564 | คค. | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติวิธีการคำนวณประโยชน์ที่ได้รับหรือที่ต้องเสียไปเป็นจำนวนเงินค่าทดแทนที่ต้องลดลงหรือเพิ่มขึ้น
ตามข้อ ๑ วรรคสอง แห่งกฎกระทรวงกำหนดการลด เพิ่ม
หรือหักเงินค่าทดแทนอันเนื่องมาจากผลของการเวนคืน หรือสภาพที่ดินที่เปลี่ยนแปลงไป
พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒
(ด้านการต่างประเทศ การคมนาคม การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ
จึงรุ่งเรืองกิจ) เป็นประธานกรรมการพิจารณาเรื่องดังกล่าวในคราวประชุมครั้งที่
๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ มีประเด็นอภิปรายและมีมติ ดังนี้ ๑. ประเด็นอภิปราย โดยที่ปัจจุบันบุคคลธรรมดาผู้เป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีหน้าที่ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามอัตราที่กฎหมายกำหนดตามรูปแบบการใช้งานของที่ดิน
เช่น ภาษีที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย ภาษีที่ดินเพื่อพาณิชยกรรม
ฯลฯ สำหรับประเด็นวิธีการคำนวณประโยชน์ที่ได้รับหรือที่ต้องเสียไปเป็นจำนวนค่าทดแทนที่ต้องลดลงหรือเพิ่มขึ้น ตามข้อ ๑ วรรคสอง
แห่งกฎกระทรวงกำหนดการลด เพิ่ม หรือหักเงินค่าทดแทนอันเนื่องมาจากผลของการเวนคืน
หรือสภาพที่ดินที่เปลี่ยนแปลงไป พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ที่กำหนดให้ในกรณีที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินมีหน้าที่ต้องเสียภาษีที่เรียกเก็บสำหรับที่ดินแปลงนั้น
จากการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
มิให้นำราคาที่สูงขึ้นของที่ดินที่เหลือจากการเวนคืนมาหักออกจากเงินค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืน
นั้น เป็นหลักการตามมาตรา ๒๒ วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒
ประกอบกับผู้แทนกระทรวงคมนาคมชี้แจงว่า ในกรณีที่มีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ
(เช่น รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง ทางด่วน สนามบิน เป็นต้น) อันเป็นเหตุให้ที่ดินที่ถูกตัดผ่านหรือที่ดินบริเวณใกล้เคียงมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
ที่ดินส่วนที่เหลือได้รับประโยชน์จะไม่มีการหักราคาที่สูงขึ้นออกจากเงินค่าทดแทนแต่อย่างใด ๒. มติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เห็นชอบกำหนดวิธีการคำนวณประโยชน์ที่ได้รับหรือที่ต้องเสียไปเป็นจำนวนเงินค่าทดแทนที่ต้องลดลง
หรือเพิ่มขึ้น ตามข้อ ๑ วรรคสอง แห่งกฎกระทรวงกำหนดการลด เพิ่ม
หรือหักเงินค่าทดแทนอันเนื่องมาจากผลของการเวนคืน หรือสภาพที่ดินที่เปลี่ยนแปลงไป
พ.ศ. ๒๕๖๔ และให้หน่วยงานของรัฐนำวิธีการคำนวณดังกล่าวมาใช้ประกอบการกำหนดเงินค่าทดแทนการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชนผู้ถูกเวนคืนและสังคมต่อไป
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม
กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ร่วมกันเผยแพร่และประชาสัมพันธ์วิธีการคำนวณประโยชน์ฯ ให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ
อันจะช่วยลดข้อขัดแย้งระหว่างหน่วยงานภาครัฐและผู้ได้รับผลกระทบจากการเวนคืนที่ดินในอนาคต
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |