ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 7 จากทั้งหมด 6220 หน้า แสดงรายการที่ 121 - 140 จากข้อมูลทั้งหมด 124394 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 121 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงสาธารณสุข) | สธ. | 07/10/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีชุดเดิม
ของกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๙ คณะ คงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป โดยมีองค์ประกอบ
หน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการคงเดิม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่
๔ ตุลาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมการควบคุมโรคขาดสารไอโอดีนแห่งชาติ ๒. คณะกรรมการพิจารณาจัดสรรนักศึกษาแพทย์ผู้ทำสัญญาการเป็นนักศึกษาแพทย์ ๓. คณะกรรมการพิจารณาจัดสรรนักศึกษาทันตแพทย์ผู้ทำสัญญาการเป็นนักศึกษาทันตแพทย์ ๔.
คณะกรรมการพิจารณาจัดสรรนักศึกษาเภสัชศาสตร์ผู้ทำสัญญาการเป็นนักศึกษาเภสัชศาสตร์ ๕. คณะกรรมการพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ๖.
คณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Wellness and Medical Service Hub) ๗. คณะกรรมการนโยบายการดื้อยาต้านจุลชีพแห่งชาติ ๘. คณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุข ๙. คณะอนุกรรมการพิจารณาพื้นที่พิเศษสำหรับค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย
ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายสำหรับกำลังคนด้านสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในพื้นที่พิเศษ
พ.ศ. ๒๕๔๘
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 122 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ) | นร.14 | 07/10/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย
คงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป โดยมีองค์ประกอบ หน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการคงเดิม
ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๘
เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.
รัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ประธานกรรมการ ๒. เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ รองประธานกรรมการ ๓. ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรรมการ ๔. ปลัดกระทรวงมหาดไทย กรรมการ ๕. ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรรมการ ๖. เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรรมการ ๗. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กรรมการ ๘. เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการ ๙. ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรรมการ ๑๐. อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กรรมการ ๑๑. อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กรรมการ ๑๒. อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กรรมการ ๑๓. อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก กรรมการ ๑๔. อธิบดีกรมชลประทาน กรรมการ ๑๕. อธิบดีกรมเจ้าท่า กรรมการ ๑๖. อธิบดีกรมประมง กรรมการ ๑๗. อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กรรมการ ๑๘. อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กรรมการ ๑๙. อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กรรมการ ๒๐. อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรรมการ ๒๑. เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติ กรรมการ และสิ่งแวดล้อม ๒๒. ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการ ๒๓. ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ กรรมการ ๒๔. เจ้ากรมอุทกศาสตร์ กรรมการ ๒๕. อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กรรมการ ๒๖. นายชัยยุทธ สุขศรี กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารจัดการน้ำ ๒๗. นายวิจารย์ สิมาฉายา กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน ๒๘. รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรรมการ และเลขานุการ ๒๙. ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการ ๓๐. ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ ผู้ช่วยเลขานุการ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 123 | โครงการเพิ่มวงเงินสวัสดิการให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2568 | กค. | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการเพิ่มวงเงินสวัสดิการให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ปี ๒๕๖๘ เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าครองชีพ และจัดประชารัฐสวัสดิการเพิ่มเติมเป็นการชั่วคราวให้แก่ผู้มีบัตรฯ
ตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๖๕ จำนวน ๑๓.๔ ล้านคน
ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางสูงและได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว
และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๒,๗๘๐ ล้านบาท ให้แก่สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง สำหรับกองทุนฯ
สำหรับโครงการเพิ่มวงเงินฯ ตามที่คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมเสนอ
และให้คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมและกระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังมุ่งเน้นการกำกับดูแลการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ
ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ รวมถึงรักษากรอบวินัยการเงินการคลังอย่างรอบคอบ
เคร่งครัด และจัดให้มีระบบติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ และรายงานปัญหา
อุปสรรคและแนวทางการแก้ไข การดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ทั้งนี้ ได้ยกเลิกชั้นความลับนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๓๐ กันยายน ๒๕๖๘)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 124 | ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | กค. | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น
จำนวน ๓๕,๙๖๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลดยอดลูกหนี้รอการชดเชยของรัฐบาลให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์
การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยเบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น โดยเมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้แก่ ธ.ก.ส.
แล้ว ให้สำนักงบประมาณอนุมัติเงินจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ไปยัง ธ.ก.ส.
โดยสอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ตามที่กำหนดในระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่าย งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป ทั้งนี้
การดำเนินการดังกล่าวจะทำให้ ธ.ก.ส. มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นและสามารถมีเงินทุนหมุนเวียนในการให้ความช่วยเหลือประชาชนและเกษตรกรที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น
ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่ารัฐบาลควรพิจารณาทยอยชำระยอดลูกหนี้รอการชดเชยให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ได้ดำเนินโครงการหรือมาตรการของรัฐบาลต่าง
ๆ ไปแล้ว นอกจากนี้ การดำเนินโครงการตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ในระยะต่อไป ควรพิจารณาอนุมัติเท่าที่จำเป็นและสอดคล้องกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและการคลัง
เพื่อให้ภาครัฐมีพื้นที่ทางการคลังเพียงพอสำหรับการรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 125 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รายการกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา เพิ่มเติม | สผ. | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
รายการกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา เพิ่มเติม ๒๘๗,๓๓๙,๑๐๐ บาท ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
และให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๕/๑๐๘๙๘ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๘)
ที่เห็นว่าวงเงินที่อนุมัติเกินกว่าหนึ่งร้อยล้านบาท
ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรดำเนินการนำเรื่องดังกล่าวเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี
โดยเสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีเจ้าสังกัด หรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล
แล้วแต่กรณี ตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙ (๓)
และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว และสำนักงบประมาณจะได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 126 | ระบบผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) | นร 05 | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบระบบผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา
(ปคร.) ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 127 | การดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 4 วรรคสอง (มติคณะรัฐมนตรีที่มีลักษณะเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี) | นร.05 | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ยืนยันมติคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดเดิมที่มีลักษณะเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี
เพื่อถือปฏิบัติต่อไป จำนวน ๒๕ มติ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมาตรา ๔ วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๕๔๘ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 128 | ขอขยายระยะเวลาการประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร | นร.51 | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบสรุปผลการประเมินพื้นที่ปรากฎเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๕๑ ในเขตพื้นที่อำเภอยี่งอ
อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส อำเภอยะหริ่ง
อำเภอปะนาเระ อำเภอมายอ อำเภอไม้แก่น
อำเภอทุ่งยางแดง อำเภอกะพ้อ และละอำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี อำเภอเบตง
อำเภอยะหา อำเภอรามัน อำเภอกาบัง และอำเภอกรงปินัง จังหวัดยะลา และอำเภอนาทวี
อำเภอจะนะ อำเภอเทพา และอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเสนอ ๒.
อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ในเขตพื้นที่อำเภอยี่งอ อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน
จังหวัดนราธิวาส อำเภอยะหริ่ง
อำเภอปะนาเระ อำเภอมายอ อำเภอไม้แก่น อำเภอทุ่งยางแดง อำเภอกะพ้อ และอำเภอแม่ลาน
จังหวัดปัตตานี อำเภอเบตง อำเภอยะหา อำเภอรามัน อำเภอกาบัง และอำเภอกรงปินัง
จังหวัดยะลา และอำเภอนาทวี อำเภอจะนะ อำเภอเทพา และอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา
ออกไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๙ ๓. เห็นชอบ ๓.๑
ร่างประกาศ เรื่อง พื้นที่ปรากฎเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ๓.๒
ร่างประกาศ เรื่อง
การให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ๓.๓
ร่างประกาศ เรื่อง กำหนดลักษณะความผิดอันมีผลกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ตามมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ๓.๔
ร่างข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๑๘
แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ รวม
๔ ฉบับ ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 129 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2569 | กค. | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบและอนุมัติตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ
ดังนี้ ๑.๑
อนุมัติและรับทราบตามข้อเสนอของคณะกรรมการฯ ตามมติที่ประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๘ เมื่อวันที่
๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๘ ดังนี้ ๑.๑.๑
อนุมัติแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๙ ที่ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินรวม ๑,๒๐๗,๓๐๖.๗๕ ล้านบาท
แผนการบริหารหนี้เดิม วงเงินรวม ๑,๘๗๖,๙๑๕.๑๔
ล้านบาท และแผนการชำระหนี้ วงเงินรวม ๕๐๓,๐๕๖.๙๕ ล้านบาท ๑.๑.๒
อนุมัติให้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๔ แห่ง ได้แก่ กยท. ขสมก. รฟท. และ บมจ. อสมท. ที่มีสัดส่วน
DSCR ต่ำกว่า ๑ เท่า สามารถกู้เงินและบริหารหนี้ภายใต้แผนฯ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๙ โดยให้รัฐวิสาหกิจทั้ง ๔
แห่งดังกล่าวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการด้วย รวมทั้งเห็นควรให้หน่วยงานที่บรรจุกรอบวงเงินกู้ภายใต้แผนฯ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๙ เร่งรัดการดำเนินการตามแผนฯ ดังกล่าวด้วย ๑.๑.๓
รับทราบแผนความต้องการเงินกู้ระยะปานกลาง ๕ ปี (ปีงบประมาณ ๒๕๖๙ - ๒๕๗๓) และมอบหมายให้กระทรวงเจ้าสังกัดประสานงานกับรัฐวิสาหกิจที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการในกลุ่มโครงการที่ยังขาดความพร้อมในการดำเนินการ
เพื่อเร่งรัดการดำเนินการและการลงทุนเพื่อเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐในระยะต่อไป ๑.๒ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่
การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้
และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่ง พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะฯ
มาตรา ๗ แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗ แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อลงทุนในโครงการพัฒนา
และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๙ และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข
และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน
การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น
ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง
ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากระทรวงการคลังควรพิจารณาความเหมาะสมสมมติฐานที่ใช้ในการคำนวณสัดส่วนหนี้สาธารณะ
และกำหนดแนวทางการบริหารการกู้เงินของรัฐเพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการของแผนการบริหารหนี้สาธารณะเป็นไปตามนัยของพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นว่ารัฐบาลควรมีการบริหารจัดการเครื่องมือในการระดมทุนให้หลากหลายและเหมาะสม
ภายใต้ภาวะตลาดการเงินที่อาจมีความผันผวนสูงขึ้น
ควบคู่กับการสื่อสารกับตลาดอย่างชัดเจนและสม่ำเสมอ เพื่อลดผลกระทบที่จะมีต่อตลาดการเงินและต้นทุนการกู้ยืมของภาครัฐและเอกชน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 130 | แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร.04 | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่ ๓๐๙/๒๕๖๘ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๘ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
(วิปรัฐบาล) โดยมีนายชาดา ไทยเศรษฐ์ เป็นประธานกรรมการ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 131 | เงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนผู้ประสบภัยตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา | นร. | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้ประชาชนผู้ประสบภัยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาจากภาครัฐอย่างถูกต้อง
เหมาะสม เป็นธรรม และครบถ้วนตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
จึงขอมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์) รับไปสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย
(กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เร่งพิจารณาทบทวนและปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไข
วิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ
ให้เหมาะสม ชัดเจน
และครอบคลุมทุกมิติของความเดือดร้อนของประชาชนผู้ประสบภัยดังกล่าว
รวมถึงวงเงินช่วยเหลือที่ต้องใช้เพื่อการนี้ด้วย แล้วดำเนินการต่อไปโดยด่วน ทั้งนี้
ขอให้รายงานผลความคืบหน้าในการดำเนินการเรื่องนี้ต่อนายกรัฐมนตรีเป็นระยะ ๆ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 132 | มาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์ - ตลิ่งชัน) และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์ - รังสิต) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | คค. | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘
กรกฎาคม ๒๕๖๘ เฉพาะในส่วนของข้อ ๑.๑ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
เพื่อขยายกรอบเวลาของการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด ๒๐ บาท ตลอดสาย
ตามนโยบายรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์-ตลิ่งชัน)
และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์-รังสิต) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง)
ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เป็นสิ้นสุดในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งแต่งตั้งคณะทำงานขึ้น
โดยให้มีผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นองค์ประกอบของคณะทำงานอย่างครบถ้วน
เพื่อศึกษา วิเคราะห์ และประเมินความเหมาะสมและคุ้มค่าของการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด
๒๐ บาท ตลอดสาย และพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินมาตรการในระยะต่อไปให้เหมาะสม
มีความยั่งยืน
เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและไม่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังเกินความจำเป็น
แล้วให้นำผลการพิจารณาเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายในวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย
และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมประเมินผลและความคุ้มค่าของการดำเนินมาตรการดังกล่าว
โดยเปรียบเทียบปริมาณผู้โดยสารและรายได้ที่เพิ่มขึ้น กับภาระค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐต้องชดเชยหรือสูญเสียรายได้
เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินมาตรการ หรือนโยบายด้านคมนาคมขนส่งของประเทศในอนาคต
รวมทั้งเร่งดำเนินการปรับปรุงวิธีการเก็บค่าโดยสาร
และการใช้บัตรโดยสารร่วมสำหรับการเดินทางข้ามโครงข่าย
ให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติตั๋วร่วม พ.ศ. ....
เพื่ออำนวยความสะดวกและลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วยโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าของประชาชนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 133 | พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรี เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. 2568 | ลต. | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรม เวชยชัย) ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ได้อาศัยอำนาจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๗ กันยายน ๒๕๖๗ [เรื่อง
การมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบ
หรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา
สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัดตามมาตรา ๗
แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘] โดยเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรี
เขตเลือกตั้งที่ ๔ แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ต่อไป บัดนี้
ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้นำพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรี
เขตเลือกตั้งที่ ๔ แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. ๒๕๖๘ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๔๒
ตอนที่ ๕๙ ก วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๘ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 134 | การให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ | นร. | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการ
ณ อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๘ เพื่อตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ซึ่งในเบื้องต้นได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้ความช่วยเหลือเป็นค่าครองชีพแก่ครอบครัวผู้ประสบภัยเป็นกรณีพิเศษ
นั้น
เพื่อให้การดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติในภาพรวมเป็นไปอย่างถูกต้อง
รวดเร็ว มีประสิทธิภาพเป็นเอกภาพ ไม่เกิดความซ้ำซ้อน
และครอบคลุมครบถ้วนทุกมิติทั้งในระยะสั้นและระยะยาว จึงขอมอบหมายการดำเนินการ
ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงมหาดไทย
(กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เร่งสั่งการไปยังจังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องทุกแห่งเพื่อตรวจสอบและขึ้นทะเบียนผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติในพื้นที่รับผิดชอบให้ถูกต้อง
ครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน
เพื่อให้สามารถดำเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประสบภัยดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว
ทั่วถึง และไม่เกิดความซ้ำซ้อนกันต่อไป ๒. ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐส่งเรื่องมาตรการหรือแนวทางการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ
(ตามข้อ ๑) ไปยังศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศชภ.)
โดยด่วน เพื่อรวบรวมและพิจารณากลั่นกรองในภาพรวมให้ถูกต้อง เหมาะสม และครบถ้วนก่อนนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้ ศชภ.
จัดทำข้อเสนอมาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ประชาชนซึ่งเป็นผู้เสียสละพื้นที่ในกรรมสิทธิ์ของตนหรือที่ตนครอบครองทำประโยชน์เพื่อใช้เป็นพื้นที่รับน้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก/น้ำท่วมเป็นประจำทุกปี
ขึ้นเป็นการเฉพาะ ให้ชัดเจนและเหมาะสมเพื่อใช้เป็นกรอบหลักเกณฑ์ในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ประชาชนกลุ่มนี้ได้อย่างรวดเร็ว
เท่าทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละปี โดยมิต้องนำเรื่องเสนอขอความเห็นชอบ/อนุมัติเป็นรายกรณี
ๆ ในแต่ละปีเดิมอีก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 135 | การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี | นร. | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้การดำเนินการประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเพื่อให้การพิจารณาตัดสินใจเรื่องต่าง
ๆ ที่เสนอสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเป็นไปด้วยความรอบคอบ ถูกต้อง
ตามนัยพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘
และระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘
รวมทั้งเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีเวลาเพียงพอในการเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีได้อย่างเหมาะสมและครบถ้วนด้วย
จึงขอกำชับให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่า
การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีต้องเป็นประเภทเรื่องตามมาตรา ๔
แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และต้องเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นลายลักษณ์อักษร
โดยให้จัดทำเป็นหนังสือนำส่งเรื่องให้ถูกต้อง ชัดเจน และครบถ้วน ตามนัยระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๕๔๘ รวมทั้งมิให้เสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร ยกเว้นกรณีเป็นเรื่องฉุกเฉินและมีความจำเป็นเพื่อรักษาประโยชน์สำคัญของประเทศหรือประชาชน
หรือกรณีเป็นคำสั่งหรือข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เท่านั้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 136 | แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระ และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา | นร. | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการ
ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระ และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับญัตติ รายงาน
และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา จำนวน ๒ เรื่อง
ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติต่อไป
ดังนี้ ๑. แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการ
ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระ ๑.๑
เมื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับมาตรการ ความเห็น
และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑.๑
ในกรณีที่มาตรการ ความเห็น
และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระเกี่ยวข้องกับส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐใด
ให้เสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระ และมอบหมายให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามมาตรการ
ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระในเรื่องใดได้หรือไม่ประการใดก่อน ๑.๑.๒
ในกรณีที่มาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระ มีส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเกี่ยวข้องหลายแห่ง
ให้พิจารณาว่าส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐใดสมควรเป็นหน่วยงานหลัก แล้วให้เสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบมาตรการ
ความเห็น และข้อเสนอแนะขององค์กรอิสระ
และมอบหมายให้มีหน่วยงานหลักในการรวบรวมผลการดำเนินการดังกล่าวของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาสรุปเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้
โดยให้เสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
และหากไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่นให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีตามที่เสนอ ๑.๒
ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐแจ้งผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการตามข้อ ๑.๑.๑
หรือข้อ ๑.๑.๒ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ ภายใน ๓๐
วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง ๑.๓
เมื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการตามข้อ ๑.๒ แล้ว
ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
และหากไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่นให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีตามที่เสนอ ทั้งนี้
กรณีเป็นมาตรการ ความเห็น
และข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตามมาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. ๒๕๖๑ ต้องดำเนินการก่อนครบ ๙๐ วัน
นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ๒. แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับญัตติ รายงาน
และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ๒.๑
เมื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับญัตติ รายงาน
และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑.๑
ในกรณีที่ญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเกี่ยวข้องกับส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐใด
ให้รายงานนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐนั้น
เพื่อพิจารณาสั่งการให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามญัตติ
รายงาน
และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาในเรื่องใดได้หรือไม่ประการใดก่อน ๒.๑.๒
ในกรณีที่ญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
มีส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเกี่ยวข้องหลายแห่ง
ให้พิจารณาว่าส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐใดสมควรเป็นหน่วยงานหลัก
แล้วให้รายงานนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการหน่วยงานหลักนั้น
เพื่อพิจารณาสั่งการให้มีหน่วยงานหลักในการรวบรวมผลการดำเนินการดังกล่าวของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาสรุปเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒.๒
ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐแจ้งผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการตามข้อ ๒.๑.๑
หรือข้อ ๒.๑.๒ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ ภายใน ๓๐
วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง ๒.๓ เมื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการตามข้อ
๒.๒ แล้ว ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำญัตติ รายงาน
และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
พร้อมผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
และหากไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่นให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีตามที่เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 137 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ) | นร.04 | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ
เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ กันยายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 138 | การมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบ หรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 | นร 05 | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม
๒๕๖๓ (เรื่อง การมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ
ให้ความเห็นชอบ หรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา
สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัด ตามมาตรา ๗
แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘) ต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 139 | แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาพิจารณาก่อนรับหลักการ | นร.05 | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 140 | คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 300/2568 | นร.04 | 24/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่
๓๐๐/๒๕๖๘ ลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๘ เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีและมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง
ลงวังวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๘ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
