ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 7 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 121 - 140 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
121 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของสถาบันการบินพลเรือน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 | คค. | 03/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของสถาบันการบินพลเรือน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน
และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
122 | การขอความเห็นชอบการจัดทำตราสารการยอมรับของไทยต่อบทเพิ่มเติมสนธิสัญญาว่าด้วยเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ | กต. | 03/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดทำตราสารการยอมรับของไทยต่อบทเพิ่มเติมสนธิสัญญาว่าด้วยเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งการจัดทำตราสารการยอมรับของไทยต่อบทเพิ่มเติมสนธิสัญญาฯ
ถือเป็นการสนับสนุนกระบวนการภาคยานุวัติเข้าร่วมเป็นรัฐภาคีของสนธิสัญญาฯ ในอนาคต และเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการสนับสนุนการลดอาวุธและการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์
และเป็นการเน้นย้ำบทบาทของไทยในฐานะรัฐผู้เก็บรักษาสนธิสัญญาฯ
ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของไทยและยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ
โดยไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีทางกฎหมายเพิ่มเติมแก่ไทย ดังนั้น
การจัดทำตราสารยอมรับต่อบทเพิ่มเติมสนธิสัญญาฯ เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
แต่ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
123 | ผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในปีงบประมาณ 2567 นโยบายของคณะกรรมการ และโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต | คค. | 03/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
ในปีงบประมาณ ๒๕๖๗ นโยบายของคณะกรรมการ
และโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต โดยมีสาระสำคัญ
ประกอบด้วย ๑) ผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ ๒๕๖๗ (ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗) เช่น ด้านพัฒนาบริการและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนทุกกลุ่มเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในการเดินทาง
๒) นโยบายของคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน (รฟม.) เช่น ให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนด้วยความสะดวก
รวดเร็ว ปลอดภัย ตรงเวลา ราคาสมเหตุสมผล
โดยศึกษาแนวทางการปรับลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า และนำเทคโนโลยีมาพัฒนาปรับปรุงการให้บริการ
รวมถึงนำระบบตั๋วร่วมมาใช้พัฒนาบัตรโดยสาร
โดยคำนึงถึงความพึงพอใจของผู้ใช้บริการทุกกลุ่ม และเร่งรัดดำเนินโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายต่าง
ๆ ตามที่ได้รับมอบหมายให้แล้วเสร็จ เปิดบริการได้ตามแผนงาน และในการศึกษาระบบรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายและในเมืองหลักอื่น
ให้คำนึงถึงความคุ้มค่าในการลงทุน ภาระงบประมาณผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
และความพึงพอใจของประชาชนในพื้นที่ดำเนินโครงการเป็นหลักด้วย และ ๓) โครงการและแผนงานของ
รฟม. ในอนาคต โดยคณะกรรมการ รฟม. ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๗
ได้มีมติเห็นชอบผลการทบทวน/ปรับปรุงแผนวิสาหกิจ ปีงบประมาณ ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐
ฉบับปรับปรุงปีงบประมาณ ๒๕๖๘ และแผนปฏิบัติการ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘
โดยในช่วงปีงบประมาณ ๒๕๖๘ - ๒๕๗๐ รฟม. มีโครงการแผนงานที่สำคัญของ รฟม. เช่น ด้านพัฒนาบริการและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนทุกกลุ่ม
มีแผนที่จะพัฒนาเชื่อมโยงระบบการเดินทางและพัฒนาการบริการด้านต่าง ๆ
เพื่อตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ และด้านสร้างสรรค์ระบบโครงข่ายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่มีผลิตภาพสูง
และล้ำสมัย มีเป้าหมายว่าการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าจะต้องมีความสำเร็จตามแผน
เป็นต้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
124 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รายการค่าเช่ารถยนต์พร้อมพนักงานขับรถยนต์ 5 คัน และรายการค่าเช่ารถยนต์พร้อมพนักงานขับรถยนต์ 3 คัน รายการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณ 5 ปี (ปี 2568-2573) | คค. | 03/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ จากรายการค่าเช่ารถยนต์พร้อมพนักงานขับรถยนต์ ๕ คัน (รถนั่งส่วนกลาง)
ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๓ เป็นรายการค่าเช่ารถยนต์ ๕ คัน
(รถนั่งส่วนกลาง) ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๓ และเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ จากรายการค่าเช่ารถยนต์พร้อมพนักงานขับรถยนต์ ๓ คัน (รถนั่งโดยสาร ๑๒
ที่นั่ง) ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๖๕๗๓ เป็นรายการค่าเช่ารถยนต์ ๓ คัน (รถนั่งโดยสาร
๑๒ ที่นั่ง) ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๖๕๗๓ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
ที่เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์
เสถียรภาพและความมั่งคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกอบด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
125 | รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีลากิจ ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 | นร.05 | 03/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งว่า รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีได้ลากิจในวันพุธที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๘ ตั้งแต่เวลา ๑๔.๐๐ น. เป็นต้นไป ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้จัดทำหนังสือเวียนแจ้งให้รัฐมนตรีทุกท่านทราบแล้ว ทั้งนี้ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ๔๑ กำหนดให้การลาทุกประเภทของนายกรัฐมนตรีให้อยู่ในดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี และแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
126 | การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี | นร.04 | 03/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ตามลำดับ ดังนี้ ๑. นายภูมิธรรม เวชยชัย ๒. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ๓. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ๔. นายพิชัย ชุณหวชิร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
127 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน และรายงานการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินของกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 | คค. | 03/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน
ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน งบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน
และงบกระแสเงินสด และรายงานการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินของกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๖ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองรายงานการเงิน
และสรุปนโยบายการบัญชีที่สำคัญตามรายงานการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินแล้ว
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้เสนอรัฐสภาทราบต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมนำรายงานในเรื่องนี้ไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อรัฐสภาได้รับทราบรายงานดังกล่าวแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
128 | ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน สำหรับโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 3702 ตอน บ้านบางควาย–บ้านเขาดิน (สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง) ตำบลท่าสะอ้าน และตำบลเขาดิน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา | คค. | 03/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่
๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ (เรื่อง รายงานการศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลนและปะการังของประเทศ)
วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เรื่อง
การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ
ครั้งที่ ๓/๒๕๔๓ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน)
เพื่อใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนตามมติคณะรัฐมนตรี รวมเนื้อที่ ๑ - ๑ - ๒๓.๗๑ ไร่
สำหรับโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๓๗๐๒ ตอน บ้านบางควาย - บ้านเขาดิน
(สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง) ตำบลท่าสะอ้าน และตำบลเขาดิน อำเภอบางปะกง
จังหวัดฉะเชิงเทรา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้ดำเนินการตามระเบียบ
กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงบประมาณ เห็นว่าภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเพื่อดำเนินการปลูกป่าทดแทนและการบำรุงป่า
ควรให้กระทรวงคมนาคม
โดยกรมทางหลวงร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๕ เรื่อง
ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ เรื่อง การดำเนินการโครงการใด ๆ
ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นจะต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า
ให้ได้ข้อยุติก่อน ซึ่งหากมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการปลูกป่าทดแทนและบำรุงป่าดังกล่าว
ให้หน่วยงานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามผลการสำรวจและคัดเลือกพื้นที่ดำเนินการตามระเบียบฯ
ก่อนเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
129 | การทบทวนการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2568 | รง. | 01/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง
อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ ๑๔) ลงวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๘ เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๑ กรกฎาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
130 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ เขตเลือกตั้งที่ 5 แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... | กกต. | 01/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ
เขตเลือกตั้งที่ ๕ แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... เนื่องจากสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ
นายอมรเทพ สมหมาย สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๐๑ (๒) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
131 | โครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) | คค. | 01/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
ดำเนินโครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น
การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ของผู้ประกอบการรายที่ ๒ โดยโครงการฯ ของผู้ประกอบการรายที่ ๒ มีสาระสำคัญเพื่อพิจารณาให้สิทธิกับผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติเหมาะสมล่วงหน้าก่อนที่สัญญาของผู้ประกอบการรายที่
๒ จะสิ้นสุดลง (สิ้นสัญญาปี ๒๕๖๙) ตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
พ.ศ. ๒๕๖๒ (บัญญัติให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำแนวทางการดำเนินโครงการภายหลังจากสัญญาร่วมลงทุนสิ้นสุดลงอย่างน้อย
๕ ปี ก่อนที่สัญญาจะสิ้นสุด) เพื่อให้การบริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น ณ
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและมีความต่อเนื่องในการให้บริการ
และเพื่อให้มีจำนวนผู้ประกอบการที่เหมาะสมและเพียงพอสำหรับรองรับการเติบโตของจราจรทางอากาศที่เพิ่มสูงขึ้น
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
พ.ศ. ๒๕๖๒ รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และประธานกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและครบถ้วนต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอน
กฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป
รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมกำกับให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
ดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนด้วย
โดยเฉพาะประเด็นการดำเนินการรองรับช่วงการเปลี่ยนผ่านของสัญญา
เพื่อให้โครงการให้บริการลานจอดฯ รายที่ ๒ มีความต่อเนื่องและไม่กระทบกับผู้รับบริการ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม บริษัท
ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และคณะกรรมการคัดเลือก
รับความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปดำเนินการอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งควรมีการจัดทำแผนการปฏิบัติงานในภาพรวมของโครงการ เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
และเป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ตลอดจนการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วน
มีความโปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ และมีกลไกในการบริหารความเสี่ยงและป้องกันการทุจริตหรือกรณีที่ทางราชการจะเสียผลประโยชน์อย่างรอบคอบในทุกขั้นตอนของการดำเนินโครงการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
132 | องค์กรร่วมไทย-มาเลเซียขอความเห็นชอบร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 4 ของสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ แปลง B-17-01 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย | พน. | 01/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ๔
ของสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ แปลง B - 17 - 01 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย
เพื่อให้ออกเป็นร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ๔ ของสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแปลง
B - 17 - 01 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย และให้องค์กรร่วมฯ
โดยหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารองค์กรร่วมฯ ลงนามในร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่
๔ ของสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ แปลง B - 17 - 01
กับผู้ซื้อก๊าซธรรมชาติ และรองหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารองค์กรร่วมฯ
ลงนามในฐานะพยาน เมื่อร่างสัญญาดังกล่าวได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว
โดยร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ๔
ของสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติของแปลง B - 17 - 01 มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มเติมรายละเอียดและแก้ไขในส่วนของบทบัญญัติต่าง
ๆ เพื่อรองรับปริมาณก๊าซธรรมชาติส่วนเพิ่ม ๓
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ให้กระทรวงพลังงานและองค์กรร่วมไทย -
มาเลเซียรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุดไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติและโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่เกี่ยวข้อง
ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ที่กำหนดในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม อย่างเคร่งครัด และหากการผลิตก๊าซธรรมชาติส่วนเพิ่มเติมตามสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่
๔ ของสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ แปลง B - 17 - 01 ทำให้ต้องมีการทบทวนมาตรการต่าง ๆ
เพื่อป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและเป็นการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงาน
EIA เจ้าของโครงการจะต้องดำเนินการตามแนวปฏิบัติและกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นควรที่คณะรัฐมนตรีจะเร่งรัดให้กระทรวงพลังงานดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการลงนามในสัญญาดังกล่าวโดยเร็วด้วย
เนื่องจากก๊าซธรรมชาติจากแหล่งดังกล่าวมีความสำคัญและมีผลกระทบต่อราคาพลังงานของประเทศ
และความสามารถในการแข่งขันของประเทศในภาพรวม |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
133 | ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-สหภาพยุโรป ครั้งที่ 1 | กต. | 01/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-สหภาพยุโรป
ครั้งที่ ๑ ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๘ ณ กรุงบรัสเซลส์
ราชอาณาจักรเบลเยียม และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายสามารถร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ กับผู้แทนของฝ่ายสหภาพยุโรป ในการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมของไทยและสหภาพยุโรปเพื่อส่งเสริมและขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกันในสาขาต่าง
ๆ ที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน และอยู่บนหลักการและค่านิยมสากลที่ทั้ง ๒ ฝ่าย มีร่วมกันทั้งด้านการเมือง
เศรษฐกิจ และสังคม เช่น การยึดมั่นในหลักพหุภาคีนิยมและกฎระเบียบระหว่างประเทศที่อิงกฎเกณฑ์
ค่านิยมประชาธิปไตย และหลักการสิทธิมนุษยชน ความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การจัดการกับความท้าทายจากความมั่นคงอุบัติใหม่
การร่วมกันแก้ไขปัญหาและประเด็นท้าทายในระดับภูมิภาค
และการรับรองการจัดตั้งคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญ (Specialised
Working Groups) ภายใต้คณะกรรมการร่วม ฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรติดตาม ประเมินผล และสื่อสารผลลัพธ์ของการดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
134 | โครงการพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์พร้อมระบบไมโครกริดในพื้นที่เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี | มท. | 01/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคดำเนินการตามโครงการพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์พร้อมระบบไมโครกริดในพื้นที่เกาะสีชัง
จังหวัดชลบุรี วงเงินลงทุนรวม ๒๕๕ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ในประเทศ ๑๙๑ ล้านบาท
(ร้อยละ ๗๕) และเงินรายได้ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ๖๔ ล้านบาท (ร้อยละ ๒๕) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพลังงาน (หนังสือกระทรวงพลังงาน ที่ พน ๐๖๐๓/๐๕๑ ลงวันที่ ๑๘ มีนาคม
๒๕๖๘) สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๑๕/๓๐๐๙ ลงวันที่ ๒๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๖/๔๐๗
ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๘) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคใช้เงินรายได้เป็นลำดับแรก หากต้องกู้เงินให้พิจารณารูปแบบใหม่
เช่น Green Bond และควรเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อจัดทำรายงานประมวลหลักการปฏิบัติ (Code of Practice : รายงาน
CoP) และรายงานเกี่ยวกับการศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย
(Environmental Safety Assessment : รายงาน ESA) ประกอบการขอใบอนุญาต
รวมทั้งเร่งบูรณาการแผนการลงทุนร่วมกับหน่วยงานอื่นและพัฒนาระบบสมาร์ทกริด ให้ทันสมัยเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยไม่ซ้ำซ้อน สำนักงบประมาณ เห็นควรให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีมาตรการควบคุมและเร่งรัดการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของแผนงานตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด
และจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนงาน
และสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมรูปแบบใหม่ (Disruptive Technology) ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้พลังงานไฟฟ้า
รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน อย่างมีประสิทธิภาพ
โปร่งใสและตรวจสอบได้ ตลอดจนดำเนินการก่อหนี้และบริหารหนี้ในทุกมิติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
135 | มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม "โครงการคุณสู้ เราช่วย ระยะที่ 2" และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเพิ่มเติมของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค. | 01/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการคุณสู้
เราช่วย ระยะที่ ๒ ของธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
โดยใช้กรอบวงเงินงบประมาณตามที่ได้รับการจัดสรรเพื่อดำเนินโครงการคุณสู้
เราช่วยตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๗
และได้มีการปรับปรุงกรอบวงเงินงบประมาณของแต่ละสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions : SFIs) ให้สอดคล้องกับจำนวนผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการและภาระที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแล้ว
ทั้งนี้ มอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ทั้ง ๖ แห่ง ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ
เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมโดยคำนึงถึงสภาพคล่องของสถาบันการเงินเฉพาะกิจแต่ละแห่งต่อไป
และเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ตามมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และรับทราบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้โครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาล
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งรับทราบเป้าหมายลูกหนี้ที่จะได้รับการช่วยเหลือลดภาระหนี้ผ่านมาตรการของกระทรวงการคลัง
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและตามผลการดำเนินงานจริงตามขั้นตอนต่อไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นว่ามาตรการดังกล่าวอาจก่อให้เกิดภาระทางการคลังของรัฐทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
ขอให้หน่วยงานปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
และปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
อย่างเคร่งครัดและรอบคอบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
136 | การปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด | ดศ. | 01/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับขยายเพดานอัตราค่าจ้างขั้นสูงของพนักงานบริษัท
ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
(ครรส.) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๗ และความเห็นของสำนักงาน
ก.พ. โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ กรกฎาคม ๒๕๖๘) เห็นชอบ ดังนี้ ๑)
ระดับ ๑๒ จากอัตรา ๑๑๓,๕๒๐ บาท ขยายเป็นอัตรา ๑๔๒,๘๓๐ บาท ๒) ระดับ ๑๑ จากอัตรา ๑๐๘,๘๑๐ บาท
ขยายเป็นอัตรา ๑๓๓,๗๗๐ บาท และ ๓) ระดับ ๑๐ จากอัตรา ๑๐๔,๓๑๐ บาท ขยายเป็นอัตรา ๑๒๔,๗๗๐ บาท เพื่อให้การปรับปรุงบัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนค่าจ้างพนักงาน
ปณท เป็นไปตามมาตรา ๑๓ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.
๒๕๔๓ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและบริษัท
ไปรษณีย์ไทย จำกัด รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ.ร.
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรพิจารณาค่าใช้จ่ายบุคลากรให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
โดยคำนึงถึงสถานะทางการเงินและผลดำเนินงานของหน่วยงานอย่างรอบคอบ มีการจัดทำแผนเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานหรือเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งแผนบริหารความเสี่ยง เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในทุกมิติ
เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณและเงินนำส่งรายได้แผ่นดิน รวมถึงฐานะทางการเงินในอนาคต
โดยคำนึงถึงหลักความคุ้มค่าและประหยัดในการใช้จ่ายงบประมาณพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่า
เพื่อให้การขยายเพดานอัตราเงินเดือนครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐในภาพรวม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมควรกำกับให้บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด
ปฏิบัติตามแผนการจัดหารายได้ แผนการประหยัดค่าใช้จ่าย
และแผนการบริหารความเสี่ยงทางการเงินจากการปรับปรุงอัตราเงินเดือนของพนักงานอย่างเคร่งครัด
และกำหนดตัวชี้วัดเพื่อติดตามประเมินผลสำเร็จของแผนดังกล่าว เช่น
กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ
และสามารถเพิ่มรายได้เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
137 | เอกสารผลลัพธ์การประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการระดมทุนเพื่อการพัฒนา ครั้งที่ 4 | กต. | 01/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการต่อร่าเอกสารผลลัพธ์การประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการระดมทุนเพื่อการพัฒนา
ครั้งที่ ๔ (ร่างสุดท้าย) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ
มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมการระดมและจัดสรรเงินทุนจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน
ทั้งภายในและระหว่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนและบรรลุเป้าหมาย SDGs ภายในปี ค.ศ. ๒๐๓๐
ซึ่งมีประเด็นสำคัญ เช่น ๑) การปฏิรูปสถาปัตยกรรมทางการเงินระหว่างประเทศและการบริหารจัดการเศรษฐกิจโลกเพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนามีส่วนร่วมมากขึ้น
๒) การส่งเสริมการระดมทุนผ่านแหล่งเงินภาครัฐในประเทศ และจากภาคเอกชนทั้งภายในและนอกประเทศ
และ ๓) การเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ โดยกระตุ้นให้ประเทศพัฒนาเพิ่มความช่วยเหลือทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ
เป็นต้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรติดตามประเมินผล
และสื่อสารผลลัพธ์ของการดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
138 | การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและข้าวที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการบริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ภาคการเกษตร | สภช. | 01/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและข้าวที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมของสภาเกษตรกรแห่งชาติ
ประกอบด้วย (๑) มาตรการระยะสั้น ได้แก่ ๑) ขอให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้มีคณะกรรมการกลไกกลางในระดับชาติออกกฎหมาย
หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๒) ขอให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายพิจารณาสัดส่วนอ้อยสดและอ้อยเผาที่จะเข้าโรงงาน
จากเดิมร้อยละ ๒๕ เป็นร้อยละ ๓๐ หรือยกเลิกสัดส่วนดังกล่าว และ ๓)
ขอให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับลดระยะเวลาตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เรื่อง มาตรการบริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ภาคการเกษตร
จากเดิม ที่กำหนดตั้งแต่วันที่ ๑๗ มกราคม ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๘ เป็น
ตั้งแต่วันที่ ๑๗ มกราคม ถึงวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๘ และ (๒) มาตรการระยะยาว ได้แก่ ๑)
ให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้มีคณะกรรมการกลางที่บูรณาการหน่วยงานระดับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง
และ ๒) ขอให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์บริหารจัดการน้ำในพื้นที่ในเขตชลประทานอย่างเพียงพอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอฯ ของสภาเกษตรกรแห่งชาติเฉพาะในส่วนของมาตรการระยะยาว รวมทั้งความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการ ตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้องและเหมาะสมต่อไป
เช่น กระทรวงพาณิชย์
เห็นควรให้คงสัดส่วนอ้อยเผาที่จะเข้าโรงงานตามเดิมที่ร้อยละ ๒๕ และเพื่อให้การบริหารจัดการการตัดอ้อยสดลดการเผาอ้อย
และการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM2.5 เป็นไปอย่างยั่งยืน
เกษตรกรชาวไร่อ้อยควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๘ (ตามข้อ
๔.๗) ที่ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งกำหนดมาตรการเพิ่มเติม เพื่อให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายงดการรับซื้ออ้อยเผาอย่างเด็ดขาด
รวมทั้งกำกับดูแลโรงงานผลิตน้ำตาลในการงดรับซื้ออ้อยเผา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
139 | มาตรการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรบริเวณชายแดน | นร. | 01/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
จากการลงพื้นที่ตรวจราชการในหลายจังหวัด รวมทั้งได้รับรายงานจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยว่า
ปัจจุบันมีปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรหลายชนิดบริเวณชายแดนในหลายพื้นที่
ส่งผลให้ระดับราคาพืชผลทางการเกษตรในประเทศตกต่ำและจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วนเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงการคลัง
(กรมศุลกากร)
กำชับให้ด่านศุลกากรทุกแห่งยกระดับมาตรฐานการดำเนินการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรบริเวณชายแดนให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้อง ละเอียดรอบคอบ
เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ ให้เพิ่มมาตรการเชิงรุกโดยการลาดตระเวนและตรวจสอบพื้นที่ในความรับผิดชอบที่อาจถูกใช้เป็นสถานที่จัดเก็บสินค้าเกษตรที่ลักลอบนำเข้ามาดังกล่าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ให้มากขึ้นด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง
(กรมศุลกากร) เร่งจัดตั้งกลไกในการประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการนำเข้า
การส่งออก และการนำผ่าน
เพื่อแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงอุตสาหกรรม กลุ่มผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรต่าง ๆ เพื่อให้สามารถดำเนินมาตรการป้องกันและปราบปรามการนำเข้าและส่งออกสินค้าเกษตรที่ผิดกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๓.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์ในการพิจารณากำหนดโควตา การนำเข้าสินค้าเกษตร
เพื่อควบคุมปริมาณสินค้าเกษตรที่นำเข้าจากต่างประเทศและปกป้องราคาพืชผลทางการเกษตรในประเทศ
ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
โดยไม่ให้ขัดต่อพันธกรณีของไทยภายใต้กรอบความตกลงขององค์การการค้าโลก (WTO) รวมถึงองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องด้วย ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดดำเนินการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชที่ต้านทานโรคได้ดี
เช่น มันสำปะหลัง เพื่อปรับปรุงการเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรของไทยให้มีคุณภาพและมีผลผลิตต่อไร่สูงมากขึ้น
รวมทั้งให้จัดทำแผนการจัดหาต้นพันธุ์มันสำปะหลังให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกรในประเทศด้วย
แล้วให้รายงานผลการดำเนินการต่อนายกรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
140 | การจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland | นร. | 01/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว
โดยในปี ๒๕๖๘ ได้ประกาศให้เป็นปี Amazing
Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025
เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
โดยใช้กลยุทธ์วัฒนธรรมด้านดนตรีและศิลปะการแสดงผ่านการจัดงานและกิจกรรมต่าง ๆ
ในระดับนานาชาติ นั้น งานเทศกาลดนตรี Tomorrowland เป็นเทศกาลดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์
(Electronic Dance Music : EDM) ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก
ซึ่งจะสามารถดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวจากนานาประเทศให้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้มากยิ่งขึ้น
อันจะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวตลอดจนขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ขยายตัวมากยิ่งขึ้นด้วย
จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้
(Feasibility Study) ในการจัดงานเทศกาลดนตรี
Tomorrowland ให้แล้วเสร็จ โดยให้จัดทำรายละเอียดต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงภาระค่าใช้จ่าย ประโยชน์ และความคุ้มค่า
และการบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ แล้วให้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปโดยเร็ว
|