ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 8 จากทั้งหมด 6220 หน้า แสดงรายการที่ 141 - 160 จากข้อมูลทั้งหมด 124394 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 141 | คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี รวม 3 ฉบับ (คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 301/2568-303/2568) | นร.04 | 24/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี
รวม ๓ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑. คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๐๑/๒๕๖๘ เรื่อง
มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
ลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๘ ๒. คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๐๒/๒๕๖๘ เรื่อง
มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ
และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ
รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย
และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๘ ๓. คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๐๓/๒๕๖๘ เรื่อง
มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค
ลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๘
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 142 | คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา | นร.05 | 24/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา
และมอบอำนาจให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณาปรับแก้ไขร่างคำแถลงนโยบายฯ
ให้มีความเหมาะสมและชัดเจนมากยิ่งขึ้น ก่อนนำเสนอไปยังรัฐสภาต่อไป ๒.
มอบหมายให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรับไปประสานเพื่อแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบว่า คณะรัฐมนตรีมีความพร้อมที่จะแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาได้ตั้งแต่วันที่
๒๙ กันยายน ๒๕๖๘ เป็นต้นไป ๓.
มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแปลคำแถลงนโยบายฯ เป็นภาษาอังกฤษ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 143 | การเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 | นร. | 24/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการไปได้ตามความจำเป็นเหมาะสมเพื่อรักษาประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน
ทั้งยังเป็นความจำเป็นเร่งด่วนเพราะการประชุมสมัชชาสหประชาชาติมีกำหนดการแน่นอนไม่อาจเลื่อนได้
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอว่า
ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ
สมัยที่ ๘๐ (UNGA 80) ในช่วงสัปดาห์ผู้นำ (High-Level
Week) ระหว่างวันที่ ๒๓ - ๓๐ กันยายน ๒๕๖๘ ณ นครนิวยอร์ก
ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีกำหนดการไปกล่าวถ้อยแถลงต่อสมัชชาสหประชาชาติในวันที่ ๒๗
กันยายน ๒๕๖๘ และพบปะหารือกับเลขาธิการสหประชาชาติ รวมทั้งจะใช้โอกาสนี้ชี้แจงท่าทีไทยต่อที่ประชุมและประชาคมโลกในประเด็นไทย-กัมพูชา
ให้ทราบข้อมูล ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ที่ถูกต้องและชัดเจนเพื่อมิให้ฝ่ายกัมพูชาใช้เวทีสหประชาชาติในการผลักดันท่าทีของตนหรือเสนอข้อมูลฝ่ายเดียว เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้แจงว่า
คณะรัฐมนตรีได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณเรียบร้อยแล้วในวันนี้
จึงเข้ารับหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินได้ตามมาตรา ๑๖๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
แต่โดยที่มาตรา ๑๖๒ ของรัฐธรรมนูญฯ
ได้บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งต้องสอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ
แนวนโยบายแห่งรัฐ และยุทธศาสตร์ชาติ และก่อนแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
หากมีกรณีที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วนซึ่งหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะกระทบต่อประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน
คณะรัฐมนตรีที่เข้ารับหน้าที่จะดำเนินการไปพลางก่อนเพียงเท่าที่จำเป็นก็ได้
ดังนั้น
กรณีการเดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติดังกล่าวของกระทรวงการต่างประเทศ
หากคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า
เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วนที่ได้มีการกำหนดช่วงเวลาไว้แล้ว
จึงสามารถดำเนินการได้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าว
เพื่อรักษาประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน รองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ)
ชี้แจงเพิ่มเติมว่า การเดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติฯ ในครั้งนี้
เป็นไปเพื่อรักษาประโยชน์สำคัญของประเทศและจะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย
นอกจากนี้ การอนุมัติให้เดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติฯ
ก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในทำนองเดียวกันนี้
ในอดีตได้เคยมีการดำเนินการมาแล้วดังเช่นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน
๒๕๕๑ รับทราบการมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
(ในขณะนั้น) เดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ ๖๓ ระหว่างวันที่ ๒๖
กันยายน - ๓ ตุลาคม ๒๕๕๑ ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยมีกำหนดกล่าวถ้อยแถลงต่อสมัชชาสหประชาชาติในวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๑ ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
(ในขณะนั้น) ก็มีความเห็นว่า
การเดินทางไปร่วมการประชุมดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วนที่ได้มีการกำหนดช่วงเวลาไว้แล้ว
จึงน่าจะดำเนินการได้ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
มาตรา ๑๗๖ วรรคสอง ที่บัญญัติให้ก่อนแถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามวรรคหนึ่ง
หากมีกรณีที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วน
ซึ่งหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะกระทบต่อประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน
คณะรัฐมนตรีที่เข้ารับหน้าที่จะดำเนินการไปพลางก่อนเพียงเท่าที่จำเป็นก็ได้
รวมทั้งปลัดกระทรวงการต่างประเทศ (ในขณะนั้น) ก็มีความเห็นว่าการประชุมดังกล่าวจะมีผู้แทนไทยไปร่วมการประชุมทุกปีและถือเป็นพันธกรณี
การไปร่วมประชุมจะเป็นประโยชน์
ถ้อยแถลงที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะไปกล่าวต่อที่ประชุมตามปกติจะเป็นการแสดงทัศนคติในประเด็นต่าง
ๆ ด้วย ซึ่งจะไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐบาลแต่ประการใด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 144 | การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตรวจพิจารณาร่างมติคณะรัฐมนตรีและกลั่นกรองเรื่องคดีและเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายก่อนเสนอนายกรัฐมนตรี | นร.05 | 24/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
เรื่อง
การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตรวจพิจารณาร่างมติคณะรัฐมนตรีและกลั่นกรองเรื่องคดีและเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายก่อนเสนอนายกรัฐมนตรี
ดังนี้ ๑. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ)
เป็นผู้ตรวจพิจารณาร่างมติคณะรัฐมนตรีที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์
อุวรรณโณ) เป็นผู้พิจารณากลั่นกรองเรื่องคดี และเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไปในเรื่องต่อไปนี้ ๒.๑ เรื่องการดำเนินคดีในศาลปกครองในกรณีที่คณะรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีถูกฟ้องในคดีปกครองที่เกี่ยวข้องกับมติคณะรัฐมนตรี ๒.๒
เรื่องการดำเนินคดีในศาลรัฐธรรมนูญในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ถูกร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ๒.๓ เรื่องเกี่ยวกับกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติ
พระราชกำหนด และพระราชกฤษฎีกายกเว้นเรื่องพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 145 | การกำหนดวิธีการประชุมคณะรัฐมนตรี | นร.05 | 24/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการกำหนดวิธีการประชุมคณะรัฐมนตรี
ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
ดังนี้ ๑. วัน เวลา และสถานที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ๑.๑ จัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการกรณีปกติในทุกวันอังคาร
ตั้งแต่เวลา ๑๐.๐๐ น. เป็นต้นไป ณ ห้องประชุม ๕๐๑ ชั้น ๕ ตึกบัญชาการ ๑
ทำเนียบรัฐบาล ๑.๒
การประชุมคณะรัฐมนตรีกรณีปกติอาจเปลี่ยนแปลงวัน เวลา และสถานที่ได้ตามที่นายกรัฐมนตรีกำหนด ๒. องค์ประกอบของการประชุมคณะรัฐมนตรี ๒.๑
องค์ประชุมคณะรัฐมนตรี ๒.๑.๑
การประชุมคณะรัฐมนตรีในกรณีปกติให้ดำเนินการได้เมื่อมีรัฐมนตรีเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนคณะรัฐมนตรีทั้งหมดที่มีอยู่
(ตามนัยพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ มาตรา
๘ วรรคหนึ่ง)
โดยจำนวนผู้เข้าร่วมประชุมให้รวมถึงผู้เข้าร่วมประชุมโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
ซึ่งสามารถปรึกษาหารือกันได้แม้จะมิได้อยู่ในสถานที่เดียวกัน (ตามนัยพระราชกฤษฎีกาฯ
มาตรา ๘ วรรคสาม) ๒.๑.๒
ในกรณีจำเป็นเพื่อเป็นการรักษาประโยชน์สำคัญของประเทศหรือมีกรณีฉุกเฉินหรือเพื่อประโยชน์ในการรักษาความลับ
นายกรัฐมนตรีอาจพิจารณาเรื่องใดกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องตามที่นายกรัฐมนตรีเห็นสมควรเพื่อมีมติของคณะรัฐมนตรีในเรื่องนั้นได้
และเมื่อมีการประชุมเป็นกรณีปกติให้นายกรัฐมนตรีแจ้งให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบมติของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย
(ตามนัยพระราชกฤษฎีกาฯ มาตรา ๘ วรรคสอง) ๒.๒
ผู้เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย ๒.๒.๑
ข้าราชการการเมือง ได้แก่
๒.๒.๑.๑ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี
๒.๒.๑.๒ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย)
๒.๒.๑.๓ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
๒.๒.๑.๔ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ๒.๒.๒
ข้าราชการประจำระดับสูง ได้แก่
๒.๒.๒.๑ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
๒.๒.๒.๒ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
๒.๒.๒.๓ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
๒.๒.๒.๔ ตำแหน่งอื่น ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีกำหนด ๒.๓ ฝ่ายเลขานุการ
ประกอบด้วย ๒.๓.๑
เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ๒.๓.๒
รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีมอบหมาย) ปฏิบัติหน้าที่ในการนำเสนอระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมกับเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ๒.๓.๓
เจ้าหน้าที่ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมอบหมาย)
ปฏิบัติหน้าที่ในห้องประชุมคณะรัฐมนตรี เช่น ผู้อำนวยการกองที่เกี่ยวข้อง
เจ้าหน้าที่จดบันทึกการประชุมคณะรัฐมนตรี
เจ้าหน้าที่ประสานงานและรับส่งเอกสารในห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ๓. ระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย ๓.๑
เรื่องที่ประธานแจ้งที่ประชุม ๓.๒
เรื่องวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (ถ้ามี) ๓.๓
เรื่องเพื่อพิจารณา ๓.๔
เรื่องเพื่อทราบ
(หากไม่มีข้อทักท้วงให้ถือเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ/อนุมัติ) ๓.๕ เรื่องเพื่อทราบ ๓.๖
เรื่องอื่น ๆ ๔. ประเภทแฟ้มระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี
ประกอบด้วย ๔.๑
เรื่องเพื่อพิจารณา แฟ้มสีชมพู ๔.๒
เรื่องเพื่อทราบ (หากไม่มีข้อทักท้วงฯ) แฟ้มสีส้ม ๔.๓
เรื่องเพื่อทราบ แฟ้มสีฟ้า ๕. การส่งระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะจัดส่งระเบียบวาระการประชุมฯ
พร้อมด้วยเอกสารที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งเผยแพร่เอกสารการประชุมผ่านระบบเรียกดูระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีด้วยเครื่องแท็บเล็ต
(ระบบ M-VARA) หรืออาจจัดส่งเอกสารการประชุมผ่านระบบ
M-VARA ช่องทางเดียว
โดยจะส่งให้คณะรัฐมนตรีทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหนึ่งวันก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ตามนัยพระราชกฤษฎีกาฯ มาตรา
๙) ซึ่งมีแนวทางการจัดส่งวาระการประชุมฯ ดังนี้ ๕.๑
การประชุมคณะรัฐมนตรีในกรณีปกติทุกวันอังคาร จะส่งระเบียบวาระการประชุม (ปกติ) ให้คณะรัฐมนตรีในวันศุกร์
และส่งระเบียบวาระการประชุม (เพิ่มเติม) ในวันจันทร์ ๕.๒
กรณีที่มีการเลื่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรี จะส่งระเบียบวาระการประชุมฯ ให้คณะรัฐมนตรีล่วงหน้าไม่น้อยกว่า
๑ วันก่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้
ระเบียบวาระการประชุม (วาระจร)
หรือเรื่องที่มีความอ่อนไหวและมีผลกระทบสูงเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เศรษฐกิจ ความมั่นคง ประโยชน์สาธารณะ หรือประโยชน์ของประเทศชาติ และเข้าข่ายเป็นข้อมูลข่าวสารที่ไม่ต้องเปิดเผยตามมาตรา
๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งหากถูกนำไปเปิดเผยต่อสาธารณชนแล้วจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์แห่งรัฐอย่างร้ายแรง
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะเผยแพร่ผ่านระบบ M-VARA ในวันประชุมคณะรัฐมนตรีเท่านั้น ๖. คณะกรรมการรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีจะแต่งตั้งคณะบุคคลประกอบด้วยรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และบุคคลอื่นที่มีความรู้ความชำนาญในเรื่องที่จะพิจารณา
เพื่อพิจารณากลั่นกรองเรื่องใดก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีก็ได้
เพื่อให้เรื่องที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีได้มีการพิจารณาอย่างละเอียด รอบคอบ และประหยัดเวลาการประชุมคณะรัฐมนตรี
(ตามนัยพระราชกฤษฎีกาฯ มาตรา ๕) ๗. การลาประชุมคณะรัฐมนตรี
ให้รัฐมนตรีแจ้งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อแจ้งให้นายกรัฐมนตรีและที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบ
ซึ่งรวมถึงกรณีการลาประชุมเป็นช่วงเวลาหรือกรณีไม่สามารถเข้าร่วมจนสิ้นสุดการประชุมได้ ๘. สรุปผลการประชุมคณะรัฐมนตรี
ในการประชุมคณะรัฐมนตรีโดยเปิดเผย สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะจัดทำสรุปผลการประชุมคณะรัฐมนตรีทุกครั้งที่มีการประชุม
โดยจะจัดทำในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และถ่ายโอนข้อมูลไปยังระบบ M-VARA แล้วแจ้งให้รัฐมนตรีทราบ
กรณีมีข้อทักท้วงหรือแก้ไขประการใด
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 146 | แนวทางปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี | นร.05 | 24/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี
ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑. ประเภทเรื่องที่ให้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีได้เป็นไปตามมาตรา
๔ แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ๒.
ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องนำเรื่องเสนอนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรีพิจารณาก่อน
และเมื่อได้รับความเห็นชอบหรืออนุมัติให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีแล้ว
ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องส่งเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๒.๑
ผู้ลงนามในหนังสือนำส่งเรื่อง ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องดำเนินการให้เป็นไปตามนัยมาตรา
๖ แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ที่บัญญัติให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเป็นผู้ลงนามเสนอเรื่อง
โดยให้ระบุในหนังสือนำส่งเรื่องด้วยว่าได้รับความเห็นชอบหรืออนุมัติจากนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีแล้ว ๒.๒
กรณีเรื่องที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีเป็นเรื่องที่จะต้องได้รับความเห็นชอบหรืออนุมัติจากหน่วยงานของรัฐแห่งอื่นก่อน
(ตามระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ข้อ ๙)
ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องขอความเห็นชอบหรือขออนุมัติจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้เสร็จสิ้น
แล้วจึงส่งเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพร้อมกับความเห็นชอบหรือคำอนุมัตินั้น ๓.
กรณีเป็นเรื่องที่มีกรอบระยะเวลาในการดำเนินการอย่างชัดเจน
ซึ่งหน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องทราบล่วงหน้าอยู่แล้ว เช่น
การจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ที่ทราบกำหนดเวลาการประชุม/รับรอง/ลงนาม ที่ชัดเจนล่วงหน้าอยู่แล้ว
ให้เสนอเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีก่อนถึงระยะเวลาที่กำหนดของเรื่องนั้น
ๆ อย่างน้อย ๑๕ วัน สำหรับกรณีที่เป็นเรื่องเร่งด่วน
ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องส่งเรื่องให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอย่างน้อย ๗
วัน ก่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 147 | แนวทางปฏิบัติในการรักษาความลับของทางราชการที่เกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรีและการให้ข่าวสารแก่สื่อมวลชน | นร.05 | 24/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติในการรักษาความลับของทางราชการที่เกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรี
และการให้ข่าวสารแก่สื่อมวลชน ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.
ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดูแลและระมัดระวังมิให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเอกสารการประชุมคณะรัฐมนตรีเปิดเผยเอกสารดังกล่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีโดยให้รักษาความลับหรือเอกสารของทางราชการที่เกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรี
ตามประเภทชั้นความลับที่ได้กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.
๒๕๔๐ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒
ซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ ชั้น คือ ๑.๑ “ลับที่สุด”
หมายความถึง ข้อมูลข่าวสารลับซึ่งหากเปิดเผยทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์แห่งรัฐอย่างร้ายแรงที่สุด ๑.๒ “ลับมาก”
หมายความถึง
ข้อมูลข่าวสารลับซึ่งหากเปิดเผยทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์แห่งรัฐอย่างร้ายแรง ๑.๓ “ลับ”
หมายความถึง
ข้อมูลข่าวสารลับซึ่งหากเปิดเผยทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์แห่งรัฐ ทั้งนี้ เอกสารและข้อมูลในวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีถือว่ามีชั้นความลับเป็น
“ลับมาก” ไม่ว่าจะเป็นเอกสารที่ส่วนราชการเจ้าของเรื่องไม่ได้กำหนดชั้นความลับ
หรือกำหนดชั้นความลับไว้เป็น “ลับ” หรือ “ลับมาก” ก็ตาม ๒. ในการจัดทำระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี
หากหน่วยงานเจ้าของเรื่องเห็นว่าเรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรีเป็นเรื่องที่มีชั้นความลับ
มีความอ่อนไหว และมีผลกระทบสูงเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ
ความมั่นคง ประโยชน์สาธารณะ
หรือประโยชน์ของประเทศชาติหรือเข้าข่ายเป็นเรื่องที่ห้ามเปิดเผยข้อมูลตามมาตรา ๑๔
และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องระบุไว้ในหนังสือนำส่งเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีให้ชัดเจนว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีชั้นความลับ
มีความอ่อนไหว และมีผลกระทบสูงอย่างไร หรือหากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องที่เข้าลักษณะดังกล่าว
ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาจัดทำระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี
โดยจะเผยแพร่เอกสารเรื่องดังกล่าวผ่านระบบเรียกดูระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีด้วยเครื่องแท็บเล็ต
(ระบบ M-VARA) เฉพาะในการประชุมคณะรัฐมนตรีเท่านั้น
และหลังจากพิจารณาแล้วเสร็จ ให้ถอนเรื่องดังกล่าวออกจากระบบ M-VARA ทันที ๓. ในการประชุมคณะรัฐมนตรี
การพิจารณาหารือหรืออภิปรายของคณะรัฐมนตรีให้ถือเป็นความลับของทางราชการ
โดยไม่อนุญาตให้มีการบันทึกภาพและเสียง ดังนั้น รัฐมนตรีทุกท่าน
ผู้เข้าร่วมการประชุม และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรี
พึงระมัดระวังและไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ
เกี่ยวกับเรื่องที่พิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ๔. กรณีมีผู้นำเอกสารหรือข้อความซึ่งเป็นความลับของทางราชการไปเผยแพร่จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ
หรือเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องที่ได้รับความเสียหายพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย เช่น
กรณีข้าราชการพลเรือนไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติตามมาตรา ๘๒ (๖) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งบัญญัติให้ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องรักษาความลับของทางราชการ
โดยหากไม่ปฏิบัติตาม ข้าราชการพลเรือนผู้นั้นถือเป็นผู้กระทำผิดวินัยตามมาตรา ๘๔ และหากการกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
กรณีจะถือว่าข้าราชการพลเรือนผู้นั้นกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา ๘๕ (๗)
ทั้งนี้ จะต้องถูกดำเนินการทางวินัยตามมาตรา ๙๗
กล่าวคือให้ลงโทษปลดออกหรือไล่ออกตามความร้ายแรงแห่งกรณี อนึ่ง
ตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๔
ได้วางหลักเกณฑ์ในการประพฤติปฏิบัติอย่างมีคุณธรรมในเรื่องการรักษาความลับของราชการไว้เช่นเดียวกันตามข้อ
๗ (๓) กล่าวคือ
ข้าราชการการเมืองต้องยึดถือประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติโดยอย่างน้อยต้องไม่นำข้อมูลข่าวสารอันเป็นความลับของราชการซึ่งตนได้มาในระหว่างอยู่ในตำแหน่งไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่เอกชน
ทั้งในระหว่างการดำรงตำแหน่งและเมื่อพ้นจากตำแหน่ง และข้อ ๘ (๕) กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องรักษาความลับของราชการ
เว้นแต่เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย ๕. เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติแล้ว
ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องที่รับผิดชอบเป็นหน่วยงานหลักในการพิจารณาความเหมาะสมและชี้แจงต่อสาธารณชนและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงเพิ่มเติมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
กรณีเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหรืออนุมัติตามมติของคณะกรรมการต่าง ๆ
แล้ว
ให้ประธานกรรมการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการชี้แจงในทำนองเดียวกันด้วย ๖. ให้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่และอำนาจให้ข่าวสารเกี่ยวกับการประชุมคณะรัฐมนตรี
มติคณะรัฐมนตรี การดำเนินงานของคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือกระทรวง กรม ตลอดจนชี้แจงเมื่อปรากฏว่ามีการเสนอข่าวคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริงหรือไม่ถูกต้อง
ครบถ้วน อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคลากรหรือรัฐบาล
หรือการปฏิบัติผิดพลาดได้ ทั้งนี้ อาจขอให้โฆษกกระทรวงเป็นผู้แถลงข่าว
หรือออกคำชี้แจงเอง หรือร่วมกันแถลงข่าวหรือชี้แจงด้วยก็ได้
และมอบให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบกระทรวงพิจารณาแต่งตั้งโฆษกกระทรวงเพื่อดำเนินการดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 148 | การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี | นร.04 | 24/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑. ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้
คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ
ดังนี้ ๑.๑
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ๑.๒
นายโสภณ ซารัมย์ ๑.๓
นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ๑.๔
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ๑.๕
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ๑.๖
นายสุชาติ ชมกลิ่น ๒. ในระหว่างการรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
ผู้รักษาราชการแทนข้างต้นจะสั่งการใดเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลและการอนุมัติเงินงบประมาณอันอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรีต้องได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีเสียก่อน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 149 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล) | นร.04 | 24/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล
เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๒๔ กันยายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 150 | แนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 4 (8) - (20) และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | นร.05 | 24/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๓ มติ
ดังนี้ ๑.๑
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ (เรื่อง การเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง) ๑.๒
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๔ [เรื่อง
ขอความเห็นชอบให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
(เรื่อง แนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง) ต่อไป] ๑.๓ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒ [เรื่อง ขอความเห็นชอบให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ (เรื่อง แนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง)
ต่อไป] ๒. เห็นชอบแนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔ (๘) - (๒๐) ดังนี้ ๒.๑
ให้ทุกส่วนราชการที่จะเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมืองตรวจสอบประวัติและรับรองประวัติของบุคคลที่จะเสนอแต่งตั้งเป็นข้าราชการการเมือง
โดยให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๗ [เรื่อง
แนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔ (๘) - (๒๐)] ที่เห็นชอบให้ทุกส่วนราชการที่จะเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมืองดำเนินการตรวจสอบประวัติของผู้ที่จะเสนอแต่งตั้งจากหน่วยงาน
๗ หน่วยงาน ได้แก่ (๑) สำนักงานศาลยุติธรรม (๒) กรมบังคับคดี (๓)
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (๔)
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (๕) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
(๖) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ (๗)
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
และรับรองประวัติตามแบบรับรองประวัติบุคคลประกอบการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔ (๘) - (๒๐) จำนวน ๑๔
ข้อ อย่างเคร่งครัด ๒.๒
ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดนำเรื่องเสนอนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรีพิจารณาก่อนและเมื่อได้รับความเห็นชอบให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีแล้ว
ให้ส่งเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีล่วงหน้าก่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรี
โดยให้ระบุในหนังสือเสนอเรื่องด้วยว่า
นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว
ส่วนกรณีการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี
เมื่อนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้เสนอเรื่องแล้ว
ให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามในหนังสือเสนอเรื่อง
โดยให้ระบุในหนังสือเสนอเรื่องด้วยว่านายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว ทั้งนี้
ในการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองให้ระบุชื่อบุคคลและตำแหน่งที่จะเสนอแต่งตั้งให้ชัดเจน
พร้อมทั้งให้กำหนดวันเริ่มต้นการดำรงตำแหน่ง เช่น ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ....
เป็นต้นไป หรือให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป
โดยยังไม่ต้องดำเนินการออกคำสั่งแต่งตั้ง ๒.๓
การเสนอเรื่องตามข้อ ๒.๒
ให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องส่งเอกสารไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย ๒.๓.๑
หนังสือเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ๒.๓.๒
แบบสรุปประวัติการเสนอเรื่องแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ๒.๓.๓ แบบข้อมูลประกอบการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
โดยกรอกข้อมูลและรับรองข้อมูลให้ครบถ้วน ๒.๓.๔
เอกสารแสดงผลการตรวจสอบประวัติบุคคลจาก ๗ หน่วยงาน (ตามข้อ ๒.)
ของบุคคลที่จะเสนอแต่งตั้งเป็นการข้าราชการการเมือง ๒.๓.๕
แบบรับรองประวัติบุคลประกอบการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔ (๘) - (๒๐) จำนวน ๑๔
ข้อ ๒.๓.๖ เอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น
เอกสารรับรองการเปลี่ยนชื่อและ/หรือชื่อสกุล ๒.๔
เมื่อคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งข้าราชการการเมืองแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องดำเนินการออกคำสั่งแต่งตั้ง
และส่งสำเนาคำสั่งแต่งตั้งดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๒.๕
กรณีที่ข้าราชการการเมืองซึ่งได้รับแต่งตามข้อ ๒.๒
ลาออกหรือมีเหตุต้องพ้นจากตำแหน่ง ให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องดำเนินการออกคำสั่งให้ข้าราชการการเมืองนั้นพ้นจากตำแหน่ง
และส่งสำเนาคำสั่งดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓.
เห็นชอบแนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๖
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้ ๓.๑
เมื่อนายกรัฐมนตรีเห็นสมควรแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิใดเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีแล้ว
ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดทำรายชื่อพร้อมด้วยประวัติของผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีเสนอไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีล่วงหน้าก่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรี
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป ทั้งนี้
ให้ตรวจสอบประวัติของผู้ที่จะเสนอแต่งตั้งจากหน่วยงาน ๗ หน่วยงาน (ตามข้อ ๒.๑)
และบริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด
รวมทั้งรับรองประวัติตามแบบรับรองประวัติบุคคลประกอบการพิจารณาแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
กรณีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ กันยายน ๒๕๖๗ [เรื่อง แนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔ (๘) - (๒๐)]
อย่างเคร่งครัด ๓.๒ การสนอเรื่องตามข้อ ๓.๑ ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีส่งเอกสารไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ประกอบด้วย ๓.๒.๑
หนังสือเสนอเรื่องการแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ๓.๒.๒
แบบสรุปประวัติผู้ได้รับการเสนอแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ๓.๒.๓
เอกสารแสดงผลการตรวจสอบประวัติบุคคล (ตามข้อ ๓.๑) ของบุคคลที่จะเสนอแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ๓.๒.๔
แบบรับรองประวัติบุคคลประกอบการพิจารณาแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
กรณีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน ๑๔ ข้อ ๓.๒.๕ เอกสารเกี่ยวกับคุณสมบัติ
ตามข้อ ๔ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๖
และที่แก้ไขเพิ่มเติม เช่น เอกสารแสดงคุณวุฒิการศึกษา หนังสือรับรองประสบการณ์การทำงานตามที่ระเบียบดังกล่าวกำหนดไว้ ๓.๓
เมื่อคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีแล้ว ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีดำเนินการออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง
แล้วจัดส่งสำเนาประกาศดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๔. รับทราบความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา
(ที่ประชุมร่วมคณะที่ ๑ และคณะที่ ๒) เรื่องเสร็จที่ ๘๘๒/๒๕๖๒ เรื่อง
การแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองซึ่งมิใช่รัฐมนตรีในขณะเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 151 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี | นร.05 | 24/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้คณะกรรมการต่าง ๆ
ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีชุดเดิม จำนวน ๑๓๗ คณะ
อยู่ปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่องต่อไปได้จนถึงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ และให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องเร่งแจ้งยืนยันการคงอยู่ของคณะกรรมการดังกล่าวไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายใน
๗ วัน (วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๘) หลังจากนั้นให้ถือว่าคณะกรรมการต่าง ๆ ที่มิได้แจ้งยืนยันการคงอยู่มีผลสิ้นสุดลง ๒. ในกรณีที่ส่วนราชการใดพิจารณาเห็นว่าคณะกรรมการฯ
คณะใด (ตามข้อ ๑) มีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงองค์ประกอบ หน้าที่และอำนาจ
เพื่อให้มีความถูกต้องและเป็นปัจจุบัน
หรือมีความจำเป็นที่จะต้องเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการโดยมติคณะรัฐมนตรีขึ้นใหม่ก็ให้เสนอเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วนเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
โดยให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง
แนวทางการใช้ระบบคณะกรรมการเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล)
อย่างเคร่งครัด และหากเป็นกรณีที่มีการเสนอแต่งตั้งบุคคลเป็นกรรมการในคณะกรรมการที่จะเสนอแต่งตั้งด้วย
ให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องระบุชื่อ/ชื่อสกุล และตำแหน่ง (ถ้ามี)
ของบุคคลที่จะเสนอแต่งตั้งให้ชัดเจน พร้อมทั้งจัดทำเอกสารต่าง ๆ
ประกอบการพิจารณาด้วย ดังนี้ ๒.๑
แบบสรุปประวัติของบุคคลที่จะเสนอแต่งตั้งเป็นกรรมการในคณะกรรมการนั้น ๆ ๒.๒
แบบตรวจสอบประวัติบุคคลเพื่อประกอบการนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่าง
ๆ ๓. การเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้น
ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป
โดยส่วนราชการเจ้าของเรื่องไม่ต้องออกเป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีหรือคำสั่งของส่วนราชการเพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวขึ้นอีก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 152 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) | กค. | 09/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับการขายสินค้า
การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
(ฉบับที่ ๖๔๖) พ.ศ. ๒๕๖๐
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๗๙๐) พ.ศ. ๒๕๖๗
ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๘ โดยยังคงจัดเก็บ ในอัตราร้อยละ ๖.๓ (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น)
หรือร้อยละ ๗ (รวมภาษีท้องถิ่น) ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา ๑ ปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๑
ตุลาคม ๒๕๖๘ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๙ เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี
๒๕๖๘ ยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงจากภาระหนี้สินของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้น
ประกอบกับอัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำและการปรับตัวลดลงของอัตราดอกเบี้ย
รวมทั้งผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา
ตลอดจนยังมีความผันผวนของระบบเศรษฐกิจการค้าโลก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรพิจารณากำหนดแผนการทยอยการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มให้มีความชัดเจน
โดยอาจเริ่มจากการปรับเพิ่มแบบเฉพาะรายกลุ่มสินค้าในช่วงเวลาที่ภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
ควบคู่ไปกับการกำหนดแนวทางการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง (fiscal consolidation) อย่างเป็นรูปธรรม
โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ
เพื่อลดข้อจำกัดทางการคลังและเตรียมพื้นที่ทางการคลังไว้สำหรับรองรับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเงินโลก
การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยและการเปลี่ยนแปลงของของสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 153 | ผลสำรวจความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานของรัฐ ปี 2567 | นร.12 | 09/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 154 | การลงนามในปฏิญญาเพื่อก่อตั้งที่ประชุมอัยการสูงสุดอาเซียน | อส. | 09/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญาเพื่อก่อตั้งที่ประชุมอัยการสูงสุดอาเซียน (ASEAN Prosecutors/Attorney General Meeting : APAGM) และร่างข้อกำหนดอำนาจหน้าที่แนบท้ายร่างปฏิญญาฯ
และมอบหมายอัยการสูงสุดหรือผู้แทนลงนามในร่างปฏิญญาฯ โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการประกาศจัดตั้งที่ประชุม
APAGM ให้เป็นองค์กรระดับรัฐมนตรีอาเซียนเฉพาะสาขา
และมีข้อกำหนดอำนาจหน้าที่แนบท้ายร่างปฏิญญาฯ เช่น สนับสนุนความร่วมมือด้านการดำเนินคดีระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน
อำนวยความสะดวกในการประสานงานด้านคดีหากกฎหมายภายในของประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถกระทำได้
ซึ่งสมาชิกที่ประชุม APAGM ประกอบด้วยอัยการสูงสุดของภาคีสมาชิกอาเซียนทั้ง
๑๐ ประเทศ ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 155 | รายงานสรุปคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและการดำเนินคดี | อส. | 09/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและการดำเนินคดี
ที่สำนักงานอัยการสูงสุดจัดทำขึ้น มีสาระสำคัญเป็นการรายงานผลการพิจารณาชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ
และรัฐวิสาหกิจด้วยกันเอง และการดำเนินคดีในรอบ ๖ เดือน (ตั้งแต่เดือนกันยายน
๒๕๖๗ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๖๘) รวม ๖๓ เรื่อง ตามที่คณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและการดำเนินคดีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 156 | การทบทวนสัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 | กค. | 09/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการทบทวนสัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ
ตามมาตรา ๕๐
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามมติการประชุมคณะกรรมการฯ
ครั้งที่ ๔/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๗ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ประกอบด้วย ๑)
สัดส่วนหนี้สาธารณะ ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๗
อยู่ที่ร้อยละ ๖๓.๓๒
ยังอยู่ภายใต้กรอบสัดส่วนปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องไม่เกินร้อยละ ๗๐ ๒) สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาล
ต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ มีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เป็นต้นมา ตามการกู้เงินของรัฐบาลที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ๓) สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด
ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๗ อยู่ที่ร้อยละ ๑.๐๕ ยังอยู่ภายใต้กรอบสัดส่วนปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องไม่เกินร้อยละ ๑๐ และ ๔) สัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศ
ต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๗ อยู่ที่ร้อยละ ๐.๐๕
ยังอยู่ภายใต้กรอบสัดส่วนปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องไม่เกินร้อยละ ๕ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐเสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ
กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับแนวทางการดำเนินมาตรการต่าง
ๆ เพื่อรักษาระดับความสามารถในการชำระหนี้
เพื่อให้การบริหารหนี้สาธารณะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
และไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศในระยะยาว สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าการปรับกรอบสัดส่วนดังกล่าวควรเป็นการปรับกรอบเป็นการชั่วคราว
โดยภาครัฐควรมีเป้าหมายและแนวทางการเร่งรัดการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง
โดยเฉพาะการให้ความสำคัญต่อการลดขนาดการขาดดุลงบประมาณ การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ
ตลอดจนการจัดสรรงบชำระหนี้ของรัฐบาลให้สอดคล้องกับขนาดของมูลหนี้และดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีงบประมาณ
โดยเฉพาะการจัดสรรงบชำระคืนต้นเงินกู้ของรัฐบาลให้เพิ่มขึ้นเพื่อลดภาระหนี้ของรัฐบาลในระยะต่อไปที่ชัดเจน
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินการด้านวินัยการเงินการคลังของรัฐและการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในภาพรวมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 157 | รายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 | กค. | 09/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ
ตามมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ณ วันที่ ๓๑
มีนาคม ๒๕๖๘ ซึ่งสัดส่วนหนี้สาธารณะยังคงอยู่ภายใต้กรอบในการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด
โดยมีรายละเอียด ดังนี้ (๑) สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
(คณะกรรมการนโยบายการเงินฯ กำหนดไม่เกินร้อยละ ๗๐) สัดส่วนหนี้ที่เกิดขึ้นจริง
ร้อยละ ๖๔.๕๙ (๒) สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ (คณะกรรมการนโยบายการเงินฯ
กำหนดไม่เกินร้อยละ ๕๐) สัดส่วนหนี้ที่เกิดขึ้นจริง ร้อยละ ๔๒.๔๗ (๓) สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด
(คณะกรรมการนโยบายการเงินฯ กำหนดไม่เกินร้อยละ ๑๐) สัดส่วนหนี้ที่เกิดขึ้นจริง
ร้อยละ ๐.๘๙ และ (๔)
สัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ
(คณะกรรมการนโยบายการเงินฯ กำหนดไม่เกินร้อยละ ๕) สัดส่วนหนี้ที่เกิดขึ้นจริง
ร้อยละ ๐.๐๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 158 | รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2567 สภาองค์กรของผู้บริโภค | สอบ. | 09/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี
๒๕๖๗ สภาองค์กรของผู้บริโภค สรุปได้ ดังนี้ (๑)
ผลการดำเนินงานตามขอบเขตอำนาจและแผนงาน ได้แก่ ๑) การสนับสนุน คุ้มครอง
และพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค ๒) การพัฒนานโยบายและมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค ๓)
การสนับสนุนสมาชิก หน่วยงานประจำจังหวัด หน่วยงานเขตพื้นที่ และองค์กรผู้บริโภค ๔)
การสื่อสารเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค และ ๕) การบริหารจัดการสำนักงานและพัฒนาศักยภาพองค์กรของผู้บริโภค
(๒) ปัญหาอุปสรรค และความท้าทาย เช่น การแก้ไขปัญหาหรือยุติเรื่องร้องเรียนมีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น
เนื่องจากมีข้อจำกัดตามขั้นตอนหรือกระบวนการตามที่กฎหมายกำหนด สำหรับความท้าทายของงานคุ้มครองผู้บริโภค
ปี ๒๕๖๗ สภาองค์กรของผู้บริโภค จะมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการรับเรื่องร้องเรียน
รวมถึงขับเคลื่อนนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้บริโภค (๓)
ผลการดำเนินงานที่เป็นกรณีเด่น รวม ๓ มาตรการ ได้แก่ ๑) มาตรการเปิดก่อนจ่าย ๒)
มาตรการหน่วงเงินก่อนโอน และ ๓) มาตรการรถรับส่งนักเรียนปลอดภัย และ (๔) รายงานการเงินของสภาองค์กรของผู้บริโภคสำหรับปีสิ้นสุด
ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ ประกอบด้วย
งบแสดงฐานะการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน และงบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน
โดยบริษัท สำนักงานสามสิบสี่ ออดิต จำกัด เป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบบัญชีแล้วเห็นว่า
งบการเงินที่แสดงฐานะการเงินของสภาองค์กรของผู้บริโภค
ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่สภาองค์กรของผู้บริโภคเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 159 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ ครั้งที่ 1/2568 | กค. | 09/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐในคราวประชุม
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๘
เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณและรัฐวิสาหกิจดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ
เพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐเป็นไปตามเป้าหมาย
และเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป โดยรายงานผลการดำเนินการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ
ตามมติ คณะกรรมการฯ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๗ เป็นการรายงานผลการดำเนินการต่าง ๆ
ของฝ่ายเลขานุการร่วม ประกอบด้วย กรมบัญชีกลาง
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ซึ่งได้จัดทำหนังสือแจ้งเวียนเพื่อให้หน่วยงานของรัฐปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ
มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณต่าง ๆ ตลอดจนการติดตามและรายงานผลการเบิกจ่ายเงินลงทุน
และรายงานการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ มีสาระสำคัญ
ดังนี้ ๑) ภาพรวมการเบิกจ่ายเงิน ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๘
วงเงินรวม ๔,๒๔๙,๓๑๐.๔๒ ล้านาท มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒,๔๙๐,๖๕๑.๖๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๘.๖๑ ๒) ผลการเบิกจ่ายงบลงทุน จากทั้งหมด ๒,๙๗๒ หน่วยงาน มีหน่วยงานเบิกจ่ายไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ณ เดือน เมษายน ๒๕๖๘
จำนวน ๘๕๒ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๒๘.๖๗ ๓)
การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีบัญชี ๒๕๖๘ กรอบงบลงทุน ๒๕๘,๓๗๑.๙๑ ล้านบาท จนถึงสิ้นเดือน มีนาคม ๒๕๖๘ มีผลการเบิกจ่าย ๗๙,๑๗๒.๗๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๐๖.๒๒ ของแผนการเบิกจ่าย และ ๔)
การเบิกจ่ายเงินลงทุนภาครัฐที่ใช้เงินกู้ ๑๐๖ โครงการ ณ สิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๘
มีผลการเบิกจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ อยู่ที่ ๖๓,๔๔๐.๓๗
ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๓.๑๗ ของแผน พ.ศ. ๒๕๖๘ จำนวน ๑๑๙,๓๒๕.๔๒
ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 160 | แนวทางแก้ไขปัญหานมกล่องค้างสต๊อกเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม | สภช. | 09/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบแนวทางแก้ไขปัญหานมกล่องค้างสต๊อกเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม
ของสภาเกษตรกรแห่งชาติ ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรต้องพิจารณาในรายละเอียดตามกระบวนการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความเหมาะสม
และควรพิจารณาการดำเนินการให้ครอบคลุมสต๊อกนมกล่องคงค้างขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ประสบปัญหาในเรื่องดังกล่าวเช่นเดียวกันด้วย
นอกจากนี้ การแก้ปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาดอาจต้องมีการทบทวนโครงสร้างและกลไกการกำกับดูแลให้เหมาะสมกับบริบทการแข่งขันในอุตสาหกรรมปัจจุบันและควรมีมาตรการในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินงานของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม
รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
