ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 31 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 601 - 620 จากข้อมูลทั้งหมด 1093 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
601 | รายงานประจำปี 2554 ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) | ศธ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) [The International Institute for Trade and Development (Public Organization) : ITD] สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. อำนาจหน้าที่ของ ITD คือ การจัดการศึกษาอบรม และให้การสนับสนุนเพื่อการค้นคว้าวิจัยแก่บุคลากรของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ทั้งในด้านการค้าระหว่างประเทศ การเงิน การคลัง การลงทุน การพัฒนา และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานในหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับกระแสโลกาภิวัตน์และแนวทางการยกเลิกข้อจำกัดทางการค้าต่าง ๆ รวมทั้งให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในเรื่องการกำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจที่เหมาะสมร่วมกันและมาตรการทางกฎหมายต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าว โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ ซึ่ง ITD จะเป็นศูนย์กลางในการจัดฝึกอบรมและสร้างกิจกรรมเสริมศักยภาพต่าง ๆ ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา และองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้อง ๒. ผลการดำเนินงานของ ITD ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบด้วย ๒.๑ งานฝึกอบรม ได้ดำเนินการจัดฝึกอบรม ประชุม และสัมมนา โดยร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งสิ้น ๔๑ กิจกรรม อาทิ ร่วมกับธนาคารพัฒนาเอเชียและสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ จัดฝึกอบรมเรื่อง Trade Facilitation and Logistics Development in the GMS ร่วมกับองค์การการค้าโลก สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดฝึกอบรมเรื่อง World Trading System at Risk : Impacts and Implications on National Policies, Firms and Industries และการสัมมนาเรื่อง World Trading System at Risk! Why? What''s next! เป็นต้น ๒.๒ งานวิจัย ได้ดำเนินงานด้านบริการวิชาการรวม ๗ โครงการ ได้แก่ โครงการจัดทำ FTA Guidebook I (Trade in Goods) โครงการศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนาศักยภาพเส้นทาง R3A/E และผลกระทบต่อประเทศไทย โครงการศึกษาวิจัยเรื่องผลกระทบและโอกาสจากมาตรการทางการค้าของสหภาพยุโรปที่ส่งผลต่อการพัฒนาสินค้าและเทคโนโลยีของไทย : กรณีศึกษามาตรการตรวจสอบย้อนกลับอาหารและฉลากร่องรอยคาร์บอนในผลิตภัณฑ์อาหาร โครงการศึกษาวิจัยเรื่องเก็บภาษีคาร์บอน : เครื่องมือลดโลกร้อน โครงการศึกษาวิจัยเรื่องความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน โครงการศึกษาวิจัยเรื่องกลไกความช่วยเหลือผู้รับผลกระทบการเปิดเสรีทางการค้า และโครงการแปลและสรุปงานวิชาการเด่นด้านการค้าและการพัฒนาในอาเซียน ๒.๓ งานสารสนเทศและเผยแพร่วิชาการ ดำเนินการเผยแพร่งานและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ ITD จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปรับปรุงและพัฒนาหน้าเว็บไซต์ มีการประชาสัมพันธ์และสื่อสารข้อมูลองค์กร โดยผู้บริหารและนักวิชาการของ ITD ทั้งกิจกรรมที่ ITD จัดขึ้นและตามที่ได้รับเชิญจากหน่วยงานภายนอก รวมทั้งผ่านสื่อสาธารณะทั่วไป เช่น สื่อวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เป็นต้น ๓. การตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงานของ ITD โดยคณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผล และผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ดังนี้ ๓.๑ คณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลได้ดำเนินการสอบทานงบการเงินรายไตรมาสและงบการเงินประจำปี สอบทานแนวทางการบริหารความเสี่ยง สอบทานและทบทวนระเบียบสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) ว่าด้วยการตรวจสอบภายใน พ.ศ. ๒๕๕๑ และประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้ตรวจสอบภายในและกำกับดูแลการตรวจสอบภายใน แล้วเห็นว่า ITD ถือนโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดีเป็นสำคัญ มีการบริหารความเสี่ยง มีระบบการควบคุมภายในที่เพียงพอ รายงานทางการเงินแสดงข้อเท็จจริงในส่วนที่เป็นสาระสำคัญครบถ้วนถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชี มีการปฏิบัติตามกฎระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และนโยบายที่คณะกรรมการ ITD กำหนด รวมทั้งไม่พบว่ามีประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ๓.๒ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตได้ตรวจสอบงบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๓ งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน และงบกระแสเงินสดสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปีของ ITD แล้วเห็นว่า มีความถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
|
|||||||||||||||||||||
602 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. แก้ไขปรับปรุงผู้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา โดยให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการ แทนปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ๒. แก้ไขชื่อตำแหน่งกรรมการ จาก “ปลัดกระทรวงการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม” เป็น “ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ”
|
|||||||||||||||||||||
603 | ขอความเห็นชอบ (ร่าง) แผนแม่บทโครงการ "รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน" ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2556 - 2559) | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนแม่บทโครงการ “รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน” ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานโครงการ “รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน” จัดทำแผนงาน/โครงการภายใต้กรอบแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ เพื่อขอสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กรอบการพัฒนาในช่วงแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ เพื่อสนองพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะพื้นที่ป่าต้นน้ำและพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนตามแนวทางการอยู่ร่วมกันของคนกับป่า และเพื่อพัฒนาคนในพื้นที่ลุ่มน้ำ มุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและสมดุลกับการอนุรักษ์ ตามแนวพระราชดำริการพัฒนาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๑.๒ ประเด็นการพัฒนา ๑.๒.๑ จัดตั้งถิ่นฐานถาวรในพื้นที่ลุ่มน้ำตามแนวพระราชดำริ สร้างความเข้มแข็งของชุมชน เสริมสร้างการเรียนรู้ และพัฒนาส่งเสริมอาชีพ ๑.๒.๒ บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม น้ำ ดิน และป่า ในลักษณะองค์รวม มุ่งพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำและสนับสนุนความมั่นคงด้านอาหาร ๑.๒.๓ สร้างความมั่นคงในการดำเนินชีวิตของประชาชน สร้างโอกาสการเข้าถึงบริการ และใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ และสร้างความมั่นคงในอาชีพ ๑.๒.๔ เตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทุกด้าน ๑.๓ ยุทธศาสตร์การพัฒนา ๑.๓.๑ การพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๑.๓.๒ การพัฒนาและส่งเสริมอาชีพเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ ๑.๓.๓ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคน ๑.๓.๔ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ๑.๔ องค์กรบริหารงาน ๑.๔.๑ ระดับนโยบาย ได้แก่ คณะกรรมการอำนวยการโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานกรรมการ ที่ปรึกษาโครงการพระราชดำริ สำนักราชเลขาธิการ (พลเอก นิพนธ์ ภารัญนิตย์) เป็นรองประธานกรรมการ และมีรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ที่ได้รับมอบหมาย) เป็นกรรมการและเลขานุการ ๑.๔.๒ ระดับบริหารและอำนวยการ ได้แก่ คณะกรรมการบริหารและกำกับดูแลโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกรมป่าไม้ โดยมีหัวหน้าศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ ทั้งนี้ โดยมีศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นศูนย์กลางการดำเนินงานโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน ๑.๔.๓ ระดับปฏิบัติ ได้แก่ คณะทำงานโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน จังหวัด...... รับผิดชอบดำเนินงานในระดับจังหวัดแต่ละจังหวัด โดยมีเกษตรและสหกรณ์จังหวัดและหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายในแต่ละจังหวัดร่วมเป็นฝ่ายเลขานุการคณะทำงานฯ และเป็นแกนกลางดำเนินงานระดับจังหวัด ๒. ให้ประธานกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูงหรือผู้แทน ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการอำนวยการโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน และให้ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือผู้แทน ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารและกำกับดูแลโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน ๓. สำหรับการดำเนินการตามแผนแม่บทโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน ให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รับไปพิจารณาในคณะกรรมการโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ร่วมกับคณะกรรมการและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาในรายละเอียดและค่าใช้จ่ายของโครงการต่าง ๆ และบูรณาการการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการปลูกป่าของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นระบบ มีเอกภาพ และไม่เกิดความซ้ำซ้อน และดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ ในระดับนโยบาย/ระดับบริหารและอำนวยการ ควรมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบริหารจัดการและผลักดันการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ ให้ครอบคลุมประเด็นทั้งด้านสุขภาพอนามัย ด้านการศึกษาในท้องถิ่นทุรกันดาร และการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และควรมีกลไกทำงานเชิงรุก ประสานและบูรณาการร่วมกับแผนแม่บท/แผนปฏิบัติการ/กิจกรรมในพื้นที่เป้าหมายที่หน่วยงานทั้งภายในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงต่าง ๆ ที่มีอยู่เพื่อดำเนินการให้บรรลุตามเป้าหมายของแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดข้อมูลและความรู้ในการประกอบอาชีพให้กับเกษตรกรเพื่อสร้างศักยภาพในการพึ่งพาตนเอง และพัฒนาผู้นำกลุ่มและเครือข่ายการผลิตให้มีความเข้มแข็ง สามารถเข้าใจและเชื่อมโยงกับหน่วยงานรัฐในกระบวนการผลิตที่สอดคล้องกับสภาพนิเวศน์บนพื้นที่สูง ส่งเสริมและสนับสนุนการทำเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่บริเวณต้นน้ำเพื่อแก้ปัญหาดินขาดอินทรีย์วัตถุและป้องกันการปนเปื้อนสารเคมีไปยังปลายน้ำ และการนำวัตถุดิบที่เหลือใช้จากการเกษตรมาผลิตพลังงานทดแทนสำหรับใช้ในระดับครัวเรือนและชุมชน รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถมีส่วนร่วมในการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับภาครัฐมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยในส่วนของกระทรวงพลังงานให้เน้นการส่งเสริมการปลูกป่าที่เป็นพืชพลังงานทดแทน ๕. ให้คณะกรรมการโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษาฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงข้อมูลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ กบอ. ให้เหมาะสมสอดคล้องกันต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
604 | ขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติสนับสนุนให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจและองค์การมหาชน รวมทั้งเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐเข้าศึกษาในหลักสูตร ประกาศนียบัตร ไทยกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยไม่ถือเป็นวันลา และเบิกค่าใช้จ่ายจากต้นสังกัดได้ | พป | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการสนับสนุนให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจและองค์การมหาชน รวมทั้งเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐเข้าศึกษาในหลักสูตรประกาศนียบัตร ไทยกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เพื่อเป็นการเตรียมตัวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน สร้างความตระหนักและความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโอกาสที่ประเทศไทยจะได้รับจากการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ตลอดจนเป็นการวิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างรอบด้านและเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ระยะเวลาในการศึกษาอบรมโดยรวมประมาณ ๖ เดือน โดยไม่ถือเป็นวันลา และเบิกค่าใช้จ่ายจากต้นสังกัดได้ ตามที่สถาบันพระปกเกล้าเสนอ โดยให้เป็นไปตามดุลพินิจของหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน รวมทั้งหน่วยงานอื่นของรัฐที่จะพิจารณาโดยคำนึงถึงประโยชน์ของหน่วยงานภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรร ๒. ให้หน่วยงานต่าง ๆ รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ผู้ที่เข้ารับการศึกษาในหลักสูตรประกาศนียบัตร ไทยกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมีการเผยแพร่ความรู้ดังกล่าวภายในหน่วยงานที่สังกัด เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่บุคลากรภายในหน่วยงาน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
605 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว สำหรับโครงการพัฒนาถนนจากเมืองหงสา - บ้านเชียงแมน (เมืองจอมเพชร แขวงหลวงพระบาง) สปป.ลาว | กค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการพัฒนาถนนจากเมืองหงสา - บ้านเชียงแมน (เมืองจอมเพชร แขวงหลวงพระบาง) สปป.ลาว ทั้งนี้ เพื่อให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการศึกษา สำรวจออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างให้เสร็จเรียบร้อย แล้วนำผลศึกษาประมาณราคาค่าใช้จ่ายเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติรูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงินที่เหมาะสมแก่โครงการดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรหารือกับ สปป.ลาว กำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์เส้นทางคมนาคมอย่างยั่งยืน อาทิ การวางระบบและจัดหาเครื่องมือกำกับดูแลน้ำหนักของรถบรรทุก การพัฒนาศักยภาพการบำรุงรักษาเส้นทาง การจัดตั้งสถานีบริการน้ำมัน และจุดแวะพักริมทาง โดยอาจพิจารณากำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้ เพื่อให้การใช้ประโยชน์จากเส้นทางที่ได้รับการพัฒนาจากความช่วยเหลือของประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
606 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2555 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2555 | กค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานะหนี้สาธารณะของประเทศ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ มีหนี้สาธารณะคงค้าง จำนวน ๔,๔๗๓,๒๐๖.๘๘ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๑.๔๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) แบ่งเป็นหนี้ของรัฐบาลกู้โดยตรง จำนวน ๓,๒๖๘,๓๙๙.๘๑ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน ๑,๐๓๖,๐๘๒.๒๗ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) จำนวน ๑๖๒,๕๔๔.๘๐ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๖,๑๘๐.๐๐ ล้านบาท ส่วนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไม่มีหนี้คงค้าง ๒. คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และปรับปรุงแผนฯ ในระหว่างปี เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงินกู้และบริหารหนี้ โดยหลังการปรับปรุงแผนในครั้งที่ ๒ ทำให้วงเงินรวมในแผนฯ ที่จะบริหารจัดการมีจำนวนทั้งสิ้น ๒,๒๔๒,๐๓๙.๔๘ ล้านบาท และในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้แล้ว เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๔๘๐,๗๓๔.๓๕ ล้านบาท ๓. การดำเนินงานในช่วง ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (ตุลาคม ๒๕๕๔ - มีนาคม ๒๕๕๕) ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินรวม ๑๗๑,๐๖๖.๒๒ ล้านบาท การก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจ วงเงินรวม ๖๓,๑๕๓.๑๖ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ วงเงินรวม ๒๘๗,๐๙๖.๓๘ ล้านบาท แผนการบริหารความเสี่ยง วงเงินรวม ๒,๔๕๒.๐๐ ล้านบาท แผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ วงเงินรวม ๑๐,๑๑๙.๗๕ ล้านบาท และแผนการก่อหนี้ใหม่ของหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ : สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) กู้เงินจำนวน ๑๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ๔. สรุปผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในช่วง ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะตามกรอบแผนฯ เป็นจำนวน ๔๖๐,๖๑๔.๖๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๑.๙๕ ของแผนฯ โดยผลการกู้เงินและบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ รวมทั้งสิ้น ๑๐,๑๑๙.๗๕ ล้านบาท และผลการกู้เงินของหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๑๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ การกู้เงินและการบริหารหนี้ตามแผนฯ แบ่งเป็นหนี้ของรัฐบาล จำนวน ๓๓๙,๙๔๑.๕๔ ล้านบาท หนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน จำนวน ๑๐๓,๐๔๐.๐๐ ล้านบาท หนี้ที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน จำนวน ๒๓,๔๔๙.๗๕ ล้านบาท และการกู้ต่อจากกระทรวงการคลัง จำนวน ๑๔,๓๐๓.๐๖ ล้านบาท ผลของการบริหารหนี้ที่ได้ดำเนินการทั้งในส่วนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙๑,๗๑๘.๓๘ ล้านบาท สามารถลดยอดหนี้ได้ทั้งสิ้น ๓๑,๙๒๒.๘๕ ล้านบาท ประหยัดดอกเบี้ยได้ จำนวน ๙๕๓.๑๖ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
607 | แนวทางการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนโดยการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจ | ทส | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานตามแนวทางการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนโดยการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจในส่วนที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยต่อสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๑ ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ณ สาธารณรัฐอินเดีย ทั้งนี้ การรายงานความก้าวหน้าฯ ดังกล่าวต้องเป็นเพียงการแสดงความตั้งใจของประเทศไทยที่จะดำเนินการให้สนองต่อเป้าหมายของแผนกลยุทธ์อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ระยะ ๒๐๑๑ - ๒๐๒๐ และทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพขององค์การสหประชาชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ โดยไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีหรือมีผลผูกพันต่องบประมาณหรือการต้องออกกฎหมายใหม่ และอยู่ภายใต้กฎหมายภายในของประเทศไทย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) รวมทั้งหน่วยงาน คณะกรรมการ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาทบทวนและบูรณาการการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพให้ชัดเจน ครบถ้วน ครอบคลุมถึงการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ การอนุรักษ์ การพัฒนาอย่างยั่งยืน ประโยชน์ที่จะได้รับ สิทธิชุมชน และการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่เกิดความซ้ำซ้อน ๓. ให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรทำการสำรวจและวิเคราะห์ถึงศักยภาพของภาคธุรกิจในประเทศไทยที่สามารถจะเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ และกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อปรับปรุง (ร่าง) แนวทางการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพดังกล่าวให้ถูกต้องครบถ้วนและสามารถประเมินความเป็นไปได้จากการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งควรเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจที่ได้กำหนดเป็นกลุ่มเป้าหมายเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดแนวคิดและแนวทางดำเนินการตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อให้มีความสอดคล้องกับศักยภาพของภาคธุรกิจ และมีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
|||||||||||||||||||||
608 | แนวทางการดำเนินงานด้านการสื่อสาร การให้การศึกษา และการเสริมสร้างความตระหนักแก่สาธารณชนเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ (CEPA) เพื่อตอบสนองต่อทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพขององค์การสหประชาชาติ พ.ศ. 2554-2563 | ทส | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานด้านการสื่อสาร การให้การศึกษา และการเสริมสร้างความตระหนักแก่สาธารณชนเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ (CEPA) เพื่อตอบสนองต่อทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพขององค์การสหประชาชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ ในส่วนที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยต่อสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๑ ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ณ สาธารณรัฐอินเดีย ทั้งนี้ การรายงานความก้าวหน้าฯ ดังกล่าวต้องเป็นเพียงการแสดงความตั้งใจของประเทศไทยที่จะดำเนินการให้สนองต่อเป้าหมายของแผนกลยุทธ์อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพระยะ ๒๐๑๑ - ๒๐๒๐ และทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพขององค์การสหประชาชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ โดยไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีหรือมีผลผูกพันต่องบประมาณหรือการต้องออกกฎหมายใหม่และอยู่ภายใต้กฎหมายภายในของประเทศไทย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) รวมทั้งหน่วยงาน คณะกรรมการ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาทบทวนและบูรณาการการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพให้ชัดเจน ครบถ้วน ครอบคลุมถึงการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์การอนุรักษ์ การพัฒนาอย่างยั่งยืน ประโยชน์ที่จะได้รับสิทธิชุมชน และการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่เกิดความซ้ำซ้อน ๓. ให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรดำเนินการบูรณาการรวบรวมและจัดทำกรอบประเด็นที่จะต้องรายงานต่อสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๑ ณ สาธารณรัฐอินเดีย ให้ครบถ้วน เพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในคราวเดียวกันและเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด และใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานของทุกภาคส่วนในการปฏิบัติและการจัดสรรงบประมาณสนับสนุน รวมทั้งทำการประเมินสถานภาพของความตระหนักถึงความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพที่มีอยู่ในสังคมไทยอย่างแท้จริง พร้อมปรับวัตถุประสงค์กับตัวชี้วัดให้สอดคล้องกัน และมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เพื่อให้แนวทางการดำเนินการสามารถวัดผลได้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ และขอความร่วมมือภาคเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อให้การสนับสนุนแนวทางการดำเนินงานด้านการติดต่อสื่อสารฯ โดยกำหนดแผนงาน แนวทาง กฎระเบียบ และมาตรการสร้างแรงจูงใจให้กับภาคเอกชนในการเข้าร่วมที่ชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
|||||||||||||||||||||
609 | แนวทางการวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพที่จำเป็นและสนองต่อเป้าหมายของแผนกลยุทธ์อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ระยะ 2011 - 2020 (พ.ศ. 2554 - 2563) | ทส | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานตามแนวทางการวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพที่จำเป็นและสนองต่อเป้าหมายของแผนกลยุทธ์อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ระยะ ๒๐๑๑ - ๒๐๒๐ (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓) ในส่วนที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยต่อสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๑ ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ณ สาธารณรัฐอินเดีย ทั้งนี้ การรายงานความก้าวหน้าฯ ดังกล่าวต้องเป็นเพียงการแสดงความตั้งใจของประเทศไทยที่จะดำเนินการให้สนองต่อเป้าหมายของแผนกลยุทธ์อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ระยะ ๒๐๑๑ - ๒๐๒๐ และทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพขององค์การสหประชาชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ โดยไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีหรือมีผลผูกพันต่องบประมาณหรือการต้องออกกฎหมายใหม่ และอยู่ภายใต้กฎหมายภายในของประเทศไทย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) รวมทั้งหน่วยงาน คณะกรรมการ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาทบทวนและบูรณาการการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพให้ชัดเจน ครบถ้วน ครอบคลุมถึงการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ การอนุรักษ์ การพัฒนาอย่างยั่งยืน ประโยชน์ที่จะได้รับ สิทธิชุมชน และการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่เกิดความซ้ำซ้อน ๓. ให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรทำการศึกษาประเมินสถานการณ์งานวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศอย่างละเอียด เพื่อให้ทราบถึงสถานภาพของข้อมูลและงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพฯ รวมทั้งจัดทำยุทธศาสตร์การวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อกำหนดประเด็นการวิจัยสำคัญที่ต้องเร่งรัดดำเนินการ เพื่อการรักษาผลประโยชน์ของประเทศและใช้เป็นกรอบในการจัดสรรทรัพยากร กำลังคน และงบประมาณอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ควรมีแผนงานที่มีรายละเอียดแสดงถึงเป้าหมายและประโยชน์ต่อหน่วยธุรกิจและระดับชาติที่จะได้รับอย่างชัดเจน พร้อมทั้งมีมาตรการเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมสนับสนุนการวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพฯ อาทิ มาตรการทางด้านภาษี มาตรการส่งเสริมการตลาดและการดำเนินธุรกิจ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
|||||||||||||||||||||
610 | กรอบแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ | มท | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่คณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้ ๑.๑ กรอบการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ ๑.๑.๑ คณะกรรมการบูรณาการฯ ทำหน้าที่ในการบูรณาการการทำงานของทุกส่วนราชการในการจัดการและกระจายการถือครองที่ดินทั่วประเทศให้เหมาะสมและสอดคล้องต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ โดยมีสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดินเป็นกลไก ซึ่งมีแผนปฏิบัติการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ โดยการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่ดินระดับจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ๑.๑.๒ ให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.) เสนอขอแปรญัตติเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๕๗๐,๕๓๕,๒๐๐ บาท ๑.๑.๓ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ รวม ๓ คณะ โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) เป็นประธาน ประกอบด้วยคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาด้านกฎหมาย คณะอนุกรรมการจัดรูปที่ดิน และคณะอนุกรรมการบริหารจัดการที่ดิน ๑.๑.๔ จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการบูรณาการฯ อย่างน้อยทุก ๆ ๒ เดือน หากมีความจำเป็นเร่งด่วน อาจจัดให้มีการประชุมเดือนละ ๑ ครั้ง แล้วแต่กรณี ๑.๑.๕ คณะกรรมการบูรณาการฯ จะเป็นผู้แต่งตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่ดินระดับจังหวัดในภาพรวม โดยให้คณะอนุกรรมการบริหารจัดการที่ดินเป็นผู้พิจารณาเสนอ ๑.๒ การดำเนินงานของ บจธ. คณะกรรมการบูรณาการฯ ได้พิจารณาถึงกรอบอำนาจหน้าที่ของ บจธ. ประกอบกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบูรณาการฯ แล้ว เห็นว่า บจธ. มีความเหมาะสมและเป็นกลไกสำคัญสำหรับการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการฯ ควรให้มีการดำเนินงานตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ ต่อไป ๒. เห็นชอบการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่ดินระดับจังหวัด ตามที่คณะกรรมการบูรณาการฯ เสนอ โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นกรรมการ เพิ่มเติม และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ ให้คณะกรรมการบูรณาการฯ ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการบูรณาการฯ รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และคณะกรรมการประสานงานเพื่อให้มีโฉนดชุมชน เกี่ยวกับการพิจารณาให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ การผลักดันร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... ซึ่งเป็นกฎหมายที่จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เป็นองค์กรกลางทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินของประเทศให้มีผลบังคับใช้ การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ ควรมีเป้าหมายสำคัญร่วมกันในการบูรณาการการแก้ไขปัญหาที่ดินอย่างเป็นระบบ การให้ความสำคัญในเรื่องการรับรองสิทธิของชุมชนในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการปฏิรูปการจัดการที่ดินโดยให้มีการกระจายสิทธิที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน รวมทั้งการรับรองสิทธิของชุมชนในการจัดการทรัพยากร ที่ดิน น้ำ ป่าไม้ ทะเล การจัดทำระบบฐานข้อมูลที่ดินของประเทศ และมีแนวเขตการถือครองที่ดินของรัฐที่ชัดเจน การเร่งดำเนินการปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐทั่วประเทศให้เป็นแนวเดียวกัน การกำหนดโครงสร้างและบทบาทหน้าที่ของ บจธ. ที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการฯ การกำหนดรูปแบบและความสัมพันธ์เชื่อมโยงการทำงานระหว่าง บจธ. กับศูนย์ปฏิบัติการที่ดินระดับจังหวัด เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินงานร่วมกัน การวางระบบกลไกการกำกับดูแลและสั่งการของศูนย์ปฏิบัติการที่ดินระดับจังหวัด เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถตอบสนองนโยบายการแก้ไขปัญหาที่ดินเชิงระบบได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งการพิจารณานโยบายการดำเนินงานโฉนดชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ส่วนการให้ บจธ. เป็นกลไกในการขับเคลื่อนการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการฯ นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาทบทวนพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ หากเห็นว่า โครงสร้าง อำนาจหน้าที่ และการดำเนินการของ บจธ. ไม่สอดคล้องกับการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในเรื่องนี้ สมควรปรับปรุงแก้ไขพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
611 | รายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับปรุงถนนในนครหลวง เวียงจันทน์ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย - ยุโรป (ASEM Summit) ครั้งที่ 9 | กค | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้ระหว่างสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สำหรับโครงการปรับปรุงถนนในนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย - ยุโรป (ASEM Summit) ครั้งที่ ๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สพพ. ได้ดำเนินการลงนามในสัญญากู้เงินกับธนาคารออมสิน เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เพื่อนำไปให้กู้ต่อแก่ สปป.ลาว โดยมีเงื่อนไขทางการเงิน ๑.๑ วงเงินกู้ จำนวน ๑๙๐.๗๐ ล้านบาท ๑.๒ อัตราดอกเบี้ยลอยตัวเท่ากับอัตราต่ำสุดของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน บวกส่วนต่างร้อยละ ๑.๖๕ ต่อปี (เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยทุก ๖ เดือน ปัจจุบันคิดเป็นดอกเบี้ยร้อยละ ๔.๐๒๕) ๑.๓ อายุเงินกู้ ๑๐ ปี (นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา) ๑.๔ ระยะเวลาการเบิกเงิน ๒ ปี (นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา) ๒. สพพ. ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้กับรัฐบาล สปป.ลาว สำหรับโครงการฯ เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ โดยมีเงื่อนไขทางการเงิน ๒.๑ วงเงินกู้ จำนวน ๑๙๐.๗๐ ล้านบาท ๒.๒ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๕ ต่อปี ๒.๓ อายุสัญญา ๒๐ ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ ๕ ปี) ๒.๔ กำหนดชำระดอกเบี้ย วันที่ ๒๐ พฤษภาคม และ ๒๐ พฤศจิกายน ของทุกปี ๒.๕ การชำระคืนเงินกู้ เริ่มชำระคืนวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ และสิ้นสุดวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๗๔ ๒.๖ ระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกจ่าย วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||
612 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ผังเมืองกรุงเทพฯ : เมืองน่าอยู่" | สสป | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง "ผังเมืองกรุงเทพฯ : เมืองน่าอยู่" ซึ่งเป็นการพิจารณาอย่างบูรณาการที่เกี่ยวข้องทั้งกฎหมาย ผังเมืองการควบคุมอาคาร การจราจร สิ่งแวดล้อม ฯลฯ โดยมีวัตถุประสงค์ที่ต้องการเห็นกรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่ปลอดภัย น่าอยู่ น่าทำงาน น่าท่องเที่ยว และมีสิ่งแวดล้อมตลอดจนคุณภาพชีวิตดีขึ้นในด้านต่าง ๆ สำหรับประชาชนทุกระดับชั้น สะอาด สวยงามเชิดหน้าชูตา สมกับเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ พัฒนาผังเมืองของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ต้องพิจารณาการจัดทำผังเมืองร่วมกัน ๑.๒ เพิ่มความหนาแน่นการใช้ที่ดินของกรุงเทพมหานคร ๑.๓ เปิดโอกาสให้คนรายได้ปานกลางสามารถซื้อบ้านจัดสรรในกรุงเทพมหานครได้ ๑.๔ ปรับอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (Floor Area Ratio : FAR) ให้เหมาะสม ๑.๕ กำหนดความกว้างเขตทางที่เหมาะสมสำหรับอาคารใหญ่และอาคารสูง ๑.๖ ปรับความสูงอาคารขนาดใหญ่จาก ๒๓ เมตร เป็น ๓๕ เมตร ๑.๗ เพิ่มพื้นที่สวนสาธารณะในกรุงเทพมหานคร ๑.๘ สร้างทางเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ๑.๙ ส่งเสริมให้มีการทำสวนบนหลังคา ๑.๑๐ เพิ่มสะพานข้ามแม่น้ำ ทางด่วน พื้นที่ผิวทางเดินเท้า ทางจักรยาน และการเชื่อมซอยตันและคดเคี้ยว ๑.๑๑ ย้ายโรงงานอุตสาหกรรมที่มีมลพิษ อู่ซ่อมรถ อู่ซ่อมเรือ คลังน้ำมัน ออกนอกเมือง และกำหนดเวลาที่แน่นอนที่ต้องย้ายออกจากบริเวณเขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่น ๑.๑๒ จัดที่อยู่อาศัยให้ประชาชนคนจนเมืองเพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่สาธารณะ ๑.๑๓ รวมข้อบัญญัติควบคุมการใช้ที่ดินไว้ในผังเมืองรวม ๑.๑๔ เพิ่มคลองระบายน้ำและถนนวงแหวน เพื่อป้องกันอุทกภัยขนาดใหญ่ ๑.๑๕ สร้างสวนวัฒนธรรม (Cultural Park) ขนาดใหญ่ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิต การท่องเที่ยว และศิลปวัฒนธรรม ซึ่งประกอบด้วย อาคารพิพิธภัณฑ์ หอชมวิว หอศิลป์ โรงละคร ฯลฯ โดยให้เป็นอาคารที่มีลักษณะเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพมหานคร (Landmark) และประเทศไทย ๑.๑๖ ควรพัฒนากรุงเทพมหานครให้เป็นเมืองสะอาด และมีสุขอนามัยที่ดีด้วยการพัฒนาการจัดเก็บขยะ การบำบัดน้ำเสียในคูคลองต่าง ๆ ให้ได้มาตรฐานสากล เพื่อให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองปลอดหนู แมลงวัน และยุง ๑.๑๗ ส่งเสริมการให้ความรู้เรื่องผังเมืองแก่ประชาชน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงบทบาทภาระหน้าที่ร่วมกัน ในการดูแลกรุงเทพมหานครให้เป็นเมืองน่าอยู่ ๒. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) สมาชิกสภาเกษตรกรุงเทพมหานคร และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สรุปได้ว่า โดยส่วนใหญ่มีความเห็นเช่นเดียวกับข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง "ผังเมืองกรุงเทพฯ : เมืองน่าอยู่" ยกเว้นมีความเห็นแตกต่างจากสภาที่ปรึกษาฯ เกี่ยวกับการเพิ่มความหนาแน่นการใช้ที่ดินของกรุงเทพฯ การเปิดโอกาสให้คนรายได้ปานกลางสามารถซื้อบ้านจัดสรรในกรุงเทพฯ ได้ การปรับอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (Floor Area Ratio : FAR) ให้เหมาะสม การกำหนดความกว้างเขตทางที่เหมาะสมสำหรับอาคารใหญ่และอาคารสูง และการปรับความสูงอาคารขนาดใหญ่จาก ๒๓ เมตร เป็น ๓๕ เมตร เนื่องจากจำนวนประชาชนกรุงเทพ ฯ มีแนวโน้มลดลง แต่จำนวนพื้นที่อาคารเพิ่มมากขึ้นจนเกินความต้องการ และยังมีพื้นที่อาคารที่ถูกทิ้งร้างจำนวนมาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม และเป็นอุปสรรคต่อการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติต่างๆ รวมถึงภัยพิบัติจากอุทกภัยใหญ่ด้วย สำหรับการพิจารณาอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (Floor Area Ratio : FAR) ให้เหมาะสมนั้นจำเป็นต้องศึกษาวิเคราะห์องค์ประกอบหลายด้าน เช่น ระบบสาธารณูปโภค-สาธารณูปการเดิม และขีดจำกัดในการพัฒนา ภาวะเสี่ยงภัยต่าง ๆ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไฟไหม้ ฯลฯ เพื่อพิจารณาสัดส่วนที่เหมาะสมที่สุด
|
|||||||||||||||||||||
613 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 6/2555 | นร | 21/08/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ และเห็นชอบมติคณะกรรมการ กยอ. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กยอ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการโครงการแม่บทประเทศไทย : การจัดระบบบัญชีรายการทรัพยากรพันธุกรรมที่ทรงคุณค่าการใช้ประโยชน์ และการจัดทำระบบฐานข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการด้านการเก็บรักษา การปกป้องคุ้มครอง และการให้บริการ โดยให้สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) (สพภ.) เสนอโครงการฯ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาก่อนและเป็นผู้ลงนามเสนอโครงการถึงประธาน กยอ. เพื่อให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป สำหรับงบประมาณดำเนินการ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินงบประมาณดำเนินการเฉพาะในปีแรก วงเงิน ๓๐๐.๐๔ ล้านบาท จากโครงการเพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตของประเทศ (ภายใต้กรอบวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท) ส่วนปีถัดไปให้ขอรับการจัดสรรงบประมาณตามแผนงานปกติของหน่วยงาน โดยเพิ่มเติมรายละเอียดการดำเนินงานให้เกิดความชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องการบริหารจัดการระบบฐานข้อมูล วิธีการให้ได้มาซึ่งข้อมูล และระบบควบคุมการเข้าถึงฐานข้อมูล ทั้งนี้ ให้ สพภ. จัดทำรายละเอียดตามแบบฟอร์มที่กำหนดในระเบียบฯ มาพร้อมหนังสือนำส่งโครงการฯ รวมทั้งให้จัดทำแผนแม่บทประเทศไทยว่าด้วยทรัพยากรพันธุกรรม ที่เสนอภาพรวมของฐานข้อมูลทรัพยากรพันธุกรรม การนำไปใช้ประโยชน์ และการเชื่อมโยงต่อยอดผลการศึกษาวิจัย และรายงานความก้าวหน้าหรือปัญหาอุปสรรคของการดำเนินงานโครงการฯ ให้ กยอ. เพื่อทราบต่อไป ๑.๒ รับทราบและเห็นด้วยกับข้อเสนอของธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) ในการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการเกี่ยวกับการพัฒนาระบบรถไฟของประเทศไทย โดยให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการตามขั้นตอนรับความช่วยเหลือทางวิชาการต่อไป โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจและตลาดใหม่ การขนส่งสินค้า และการพัฒนาให้สามารถรองรับรถไฟความเร็วสูง ทั้งนี้ ให้ฝ่ายเลขานุการประสานกับ ADB เพื่อรับความเห็นของ กยอ. ไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์และบริหารทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (อยอ.) ประกอบด้วย จังหวัดฉะเชิงเทรา นครนายก ปราจีนบุรี สมุทรปราการ สระแก้ว ชลบุรี จันทบุรี ตราด และระยอง โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ ปรับปรุงคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ตามความเห็นของที่ประชุมแล้วให้นำเสนอประธาน กยอ. พิจารณาลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ต่อไป ๑.๔ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานเพื่อฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ในส่วนของการสำรวจสถานะของผู้ประกอบการในนิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรม และการก่อสร้างเขื่อนหรือพนังกั้นน้ำ และให้ กนอ. กระทรวงอุตสาหกรรม รายงานความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมให้ กยอ. ทราบต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กยอ. ถือเป็นหลักปฏิบัติว่าในกรณีที่ กยอ. ได้พิจารณามีมติเกี่ยวกับแผนงาน/โครงการใด ๆ แล้ว ให้ฝ่ายเลขานุการ กยอ. แจ้งมติให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับแผนงาน/โครงการนั้น ๆ พิจารณาให้ความเห็นก่อนนำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนหรือมีความเห็นแย้งในภายหลัง |
|||||||||||||||||||||
614 | ขออนุมัติโครงการศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติภายใต้ยูเนสโก (International Training Centre on Astronomy under the Auspices of UNESCO) | วท | 07/08/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติภายใต้ยูเนสโก (International Training Centre on Astronomy under the Auspices of UNESCO) เพื่อรองรับการเข้าสู่ความร่วมมือทางวิชาการในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและยกระดับการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทยสู่ระดับสากล ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยแสดงถึงศักยภาพในการเป็นผู้นำด้านการเป็นศูนย์ฝึกอบรมทางด้านดาราศาสตร์ในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ ทั้งนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) จะได้เสนอข้อเสนอโครงการดังกล่าวที่ได้รับการอนุมัติในหลักการจากคณะรัฐมนตรีต่อที่ประชุมคณะผู้บริหาร (Executive Board) ของ UNESCO ต่อไป ๑.๒ เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินงานโครงการศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติภายใต้ยูเนสโก (International Training Centre on Astronomy under the Auspices of UNESCO) ปีละ ๓๐ ล้านบาท (ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป) ๒. ในส่วนของงบประมาณในการดำเนินงานของศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติภายใต้ยูเนสโก สำนักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรให้ตามความจำเป็นและเหมาะสมในแต่ละปีงบประมาณ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติภายใต้ยูเนสโก หรือแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ ให้มีเจ้าหน้าที่ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
615 | การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 กรณี องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) | นร | 07/08/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ ก.พ.ร. รับเรื่อง การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ กรณีองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) เกี่ยวกับข้อเสนอการพัฒนาและปรับปรุง อพท. และการมอบการบริหารจัดการโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีและพื้นที่เชื่อมโยง ไปพิจารณาทบทวนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยให้เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าร่วมพิจารณาด้วย ๒. ให้ ก.พ.ร. รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการควบรวมโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีและพื้นที่เชื่อมโยงเข้ากับองค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ควรมีการศึกษาวัตถุประสงค์เดิมของการจัดตั้งโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีฯ ให้มีความชัดเจน เพื่อให้การพัฒนาปรับปรุงโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีฯ ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถรองรับนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้กับหน่วยงานได้อย่างเพียงพอ และความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ อพท. เกี่ยวกับการควบรวมโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีฯ เข้ากับองค์การสวนสัตว์ฯ ควรมีการจัดทำแผนการควบคุมและแผนธุรกิจที่มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม และสามารถดำเนินโครงการในรูปแบบเชิงธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ ก.พ.ร. หารือและบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนศึกษาความเหมาะสมในเรื่องดังกล่าวร่วมกัน โดยพิจารณารายละเอียด เปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย ข้อจำกัด ประเด็นข้อกฎหมายและผลกระทบจากการดำเนินมาตรการดังกล่าวให้ชัดเจนและครบถ้วน รวมทั้งศึกษาความพร้อมขององค์การสวนสัตว์ฯ ก่อนมีการถ่ายโอน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||
616 | บันทึกความเข้าใจโครงการสาธิตการผลิตเอทานอลจากกากมันสำปะหลังในประเทศไทยระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กับองค์การพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่นต่อคณะรัฐมนตรีตามมติเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2555 | วท | 07/08/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการลงนามบันทึกความเข้าใจโครงการสาธิตการผลิตเอทานอลจากกากมันสำปะหลังในประเทศไทย ระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับองค์การพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น อีกครั้งหนึ่ง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้นำความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและกระทรวงการต่างประเทศมาพิจารณา และได้ดำเนินการตามความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังแล้ว ดังนี้ ๑.๑ สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นผู้ทำหน้าที่นำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุต่าง ๆ ภายใต้โครงการสาธิตการผลิตเอทานอลจากกากมันสำปะหลังในประเทศไทยเอง เพื่อให้สามารถใช้สิทธิขอรับการยกเว้นภาษีอากรเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุต่าง ๆ ที่องค์การพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (New Energy and Industrial Technology Development Organiztion : NEDO) ประเทศญี่ปุ่น จัดหาและนำเข้ามาใช้ในโครงการ ๑.๒ แก้ไขถ้อยคำของบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนของ Article 8 ข้อ ๑ จากเดิม “สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สนช.) ได้รับสิทธิการยกเว้นภาษีอากรเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุต่าง ๆ ที่ NEDO จัดหาและนำเข้ามาใช้ในโครงการ” แก้ไขเป็น “สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้รับสิทธิการยกเว้นภาษีอากรเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุต่าง ๆ ที่ NEDO จัดหาและนำเข้ามาใช้ในโครงการ” ๑.๓ คู่สัญญาตามบันทึกความเข้าใจฯ จะปรากฏเพียงสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ NEDO โดยไม่มีชื่อของ สนช. เข้ามาร่วมเกี่ยวข้องในแต่ละข้อสัญญา ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยให้รับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของตัวแทนจากโรงงานอุตสาหกรรมในกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพ และเห็นควรให้จัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ในระดับรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น โดยรัฐบาลทั้งสองประเทศทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (full power) ให้แก่ผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ในนามรัฐบาลของแต่ละประเทศ เพื่อให้บันทึกความเข้าใจฯ เป็นสัญญาที่ประเทศไทยทำกับนานาประเทศซึ่งเข้าลักษณะที่จะขอรับยกเว้นภาษีอากรตามรายการของที่ได้รับยกเว้นอากรภาค ๔ ประเภทที่ ๑๐ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
617 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง | วธ | 07/08/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรม โดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง โดยกำหนดมาตรการในการฟื้นฟูและช่วยเหลือเป็น ๒ มาตรการ ได้แก่ มาตรการระยะสั้น ระยะเวลา ๖-๑๒ เดือน และมาตรการระยะยาว ระยะเวลา ๑-๓ ปี เน้นประเด็นเรื่อง อัตลักษณ์ ชาติพันธุ์และวัฒนธรรม การจัดการทรัพยากร สิทธิในสัญชาติ การสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม และการศึกษา ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการตามมาตรการระยะสั้น ๑.๑ ประเด็นอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์และวัฒนธรรม การดำเนินการในระดับพื้นที่มีโครงการที่หลากหลาย ได้แก่ ด้านการส่งเสริมอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมประเพณีกะเหรี่ยง เช่น การแสดงดนตรีพื้นบ้าน ด้านการรวบรวมองค์ความรู้ เช่น จัดทำข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นชาวกะเหรี่ยง และด้านการเพิ่มพูนทักษะชีวิตและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เช่น ฝึกอบรมการทำอิฐ ๑.๒ ประเด็นการจัดการทรัพยากร การดำเนินการในระดับพื้นที่มีกิจกรรมที่ขับเคลื่อนเรื่องการจัดการทรัพยากร ได้แก่ กิจกรรมด้านการแก้ไขปัญหาที่ดินและการสำรวจการถือครองที่ดิน เช่น โครงการจัดทำโฉนดชุมชน กิจกรรมด้านการยุติการจับกุมและให้ความคุ้มครองกับชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงท้องถิ่นดั้งเดิม เช่น นโยบายยุติการจับกุมและให้ความคุ้มครองกับชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และกิจกรรมการส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในชุมชนบนพื้นที่สูง เช่น การให้ความรู้ทางการเกษตรชีวภาพ ๑.๓ ประเด็นสิทธิในสัญชาติ ได้ดำเนินการออกบัตรประจำตัวประชาชนและการให้สิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น ทำบัตรประจำตัวให้กับชาวกะเหรี่ยง ประชาสัมพันธ์ให้ชาวกะเหรี่ยงนำเอกสารหลักฐานมาขอลงทะเบียนผู้มีสิทธิประกันสุขภาพ รวมถึงสำรวจและทำทะเบียนประวัติบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ ๑.๔ ประเด็นการสืบทอดมรดกวัฒนธรรม การดำเนินงานในระดับพื้นที่ ได้แก่ กิจกรรมการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมชุมชนชาวกะเหรี่ยง เช่น จัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนกะเหรี่ยง กิจกรรมส่งเสริมและสืบทอดศิลปวัฒนธรรม เช่น ส่งเสริมเวทีลานวัฒนธรรมชาวกะเหรี่ยงในวันสำคัญ และกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้และเพิ่มพูนทักษะชีวิต เช่น ส่งเสริมการเรียนรู้การประกอบอาชีพตามแนวพระราชดำริ ๑.๕ ประเด็นการศึกษา มีการดำเนินกิจกรรม ได้แก่ การพัฒนาศักยภาพชาวกะเหรี่ยง/บุคลากร/ครู/คณะกรรมการสถานศึกษา และการสนับสนุนทุนการศึกษา เช่น อบรมเผยแพร่องค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมและด้านอาชีพ การพัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมกะเหรี่ยง เช่น พัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นโดยปรับสาระการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ๒. ปัญหาและอุปสรรค ได้แก่ การไม่มีเป้าหมายและแผนการดำเนินการอย่างชัดเจน ความไม่เข้าใจของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในมาตรการการฟื้นฟู การไม่มีงบประมาณดำเนินงาน เนื่องจากไม่ได้เสนอไว้ล่วงหน้า และบางหน่วยงานไม่สามารถเจียดจ่ายเงินจากงบปกติได้ การยึดถือกฎระเบียบของหน่วยงานของตนที่มีอยู่แล้วและไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งการขาดแนวคิดและทักษะในการทำงานร่วมกับชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานราชการในระดับต่าง ๆ ๓. ข้อเสนอแนะต่อแนวทางการทำงานฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ๓.๑ ควรตั้งหน่วยงานสำหรับการผลักดันเรื่องนี้โดยเฉพาะ พร้อมทั้งการจัดสรรงบประมาณพิเศษ โดยหน่วยงานนี้มีบทบาทในการทำงานเชิงบูรณาการ โดยมีการวางแผนปฏิบัติการหลัก (Master plan) ที่มีเป้าหมาย แผนการดำเนินการและการประเมินผลอย่างชัดเจนที่ทุกหน่วยงานสามารถปฏิบัติการได้ และมีงบประมาณสนับสนุน เพื่อประกันว่ามติคณะรัฐมนตรีจะได้ผลในระยะ ๓ ปีภายหน้า ๓.๒ การดำเนินงานของคณะกรรมการระดับจังหวัดควรมีทิศทางที่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีมากขึ้น มีการกำหนดแผนงานการดำเนินงาน ติดตามแก้ปัญหาในพื้นที่ โดยวางแผนให้มีความสอดคล้องกับแผนระดับชาติ และได้รับงบประมาณสนับสนุน ๓.๓ ดำเนินแผนการประชาสัมพันธ์ การสื่อสารกับสังคม รวมทั้งการอบรม และการสร้างความเข้าใจในรูปแบบอื่น ๆ ทั้งกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ชุมชน นักเรียนนักศึกษา และบุคคลทั่วไปในประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับการฟื้นฟูวิถีชีวิตของกะเหรี่ยง เช่น ประเด็นอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ มรดกทางวัฒนธรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดการทรัพยากร ระบบไร่หมุนเวียน การจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ๓.๔ การเพิ่มพื้นที่และโอกาสการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดอคติที่มีต่อกันทั้งในรูปแบบของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ การวางแผนการทำกิจกรรม และการติดตามประเมินผลร่วมกัน
|
|||||||||||||||||||||
618 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การเตรียมความพร้อมของประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" | สสป | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การเตรียมความพร้อมของประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเตรียมความพร้อมด้านประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประกอบด้วย ๑.๑ การเป็นตลาดเดียวและฐานการผลิตร่วมกัน เช่น ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายพันธมิตร ระหว่างภาคธุรกิจไทยและอาเซียน พัฒนาระบบติดตามเงินทุน และการเคลื่อนย้ายเงินทุน เป็นต้น ๑.๒ การมีขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจสูง เช่น การเร่งปฏิรูปกฎหมายเศรษฐกิจ ให้เอื้อประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจการค้า การลงทุน อย่างเป็นธรรม และผลักดันให้มีการประกาศใช้กฎหมายใหม่ ๆ เพื่อรองรับการเปิดเสรี และพัฒนาระบบขนส่งและโครงข่ายการขนส่งสินค้า ทั้งทางถนน ทางราง และทางน้ำอย่างเป็นระบบ และมีการให้บริการที่ได้มาตรฐาน เป็นต้น ๑.๓ การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเสมอภาค โดยพัฒนาระบบความร่วมมือระหว่างประเทศด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในเชิงสร้างสรรค์ รวมทั้งสนับสนุนเงินทุนให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กปรับโครงสร้างระบบการผลิต ๑.๔ การบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก โดยมุ่งเน้นยุทธศาสตร์การเจริญเติบโตรูปแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการเจริญเติบโตอย่างสมดุล เท่าเทียม ยั่งยืน บนพื้นฐานนวัตกรรม และความมั่นคงของภูมิภาค รวมทั้งสนับสนุนให้มีการจัดตั้งกองทุนเงินสำรองเอเชีย เพื่อช่วยเหลือประเทศในเอเชียที่จะประสบกับปัญหาสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ และเป็นการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของเอเชีย ๒. การเตรียมความพร้อมด้านประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ประกอบด้วย ๒.๑การพัฒนามนุษย์ เช่น การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง ให้รองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และเร่งรัดการจัดทำหลักสูตรอาเซียนศึกษาในการศึกษาทุกระดับ เป็นต้น ๒.๒ การคุ้มครองสวัสดิการ เช่น ให้ความสำคัญกับการลดความยากจนอย่างเป็นรูปธรรมตามหลักการพัฒนาแห่งสหัสวรรษของสหประชาชาติ และกำหนดให้ประเทศไทยเป็นสังคมสวัสดิการ เพื่อให้คนไทยทุกคนได้รับสวัสดิการสังคมที่เป็นประโยชน์ อย่างเป็นธรรมและมั่นคง เป็นต้น ๒.๓ การยุติธรรมและสิทธิ เช่น กำหนดนโยบายที่ชัดเจนในการคุ้มครองประชาชนให้ได้สิทธิในกระบวนการยุติธรรม การคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิชุมนุมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ อย่างแท้จริง และส่งเสริมปกป้องการให้ค่าแรงที่เป็นธรรมและเหมาะสม เป็นต้น ๒.๔ การส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการส่งเสริมการประสานงานในการดำเนินงานกับพันธกรณีที่เกี่ยวข้องกับความตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อม (MEAs) ให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทราบอย่างกว้างขวาง และเพิ่มการประสานงานในระดับภูมิภาค และการแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ และความสามารถในการจัดการของเสียอันตรายระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน เป็นต้น ๒.๕ การสร้างอัตลักษณ์อาเซียน เช่น เร่งประชาสัมพันธ์เรื่องการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนให้ประชาชนได้รับรู้และเข้าใจอย่างเร่งด่วน และการเพิ่มการเชื่อมโยงระหว่างเมืองใหญ่ เมืองเล็กของอาเซียน โดยเฉพาะเมืองที่มีศิลปะและมรดกวัฒนธรรมอย่างจริงจัง เป็นต้น ๒.๖ การลดช่องว่างทางการพัฒนา โดยส่งเสริมสนับสนุนนโยบายการลดช่องว่างทางการพัฒนา ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกัน และการลดช่องว่างทางการพัฒนาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) และเร่งรัดพัฒนาประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าในทุก ๆ ด้านอย่างสมดุลและยั่งยืน รวมทั้งการใช้มาตรการทางภาษีและการสร้างโอกาสให้คนยากจนเข้าถึงทรัพยากรของรัฐ ตลอดจนให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นในการลดช่องว่างทางการพัฒนาตามความเหมาะสมต่อไป ๓. การขับเคลื่อนการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยสนับสนุนและผลักดัน เรื่อง "การเตรียมความพร้อมของประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน" เป็นวาระแห่งชาติ เร่งเผยแพร่ความรู้ และประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับ "ประชาคมอาเซียน" ให้กับทุกภาคส่วนของสังคม การน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ชี้นำถึงแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ มาใช้เป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน อย่างมีประสิทธิภาพ และมีประสิทธิผล รวมทั้งสนับสนุนให้มีการพิจารณาทบทวนกฎบัตรอาเซียนเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศสมาชิกอาเซียน
|
|||||||||||||||||||||
619 | แนวทางการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชน | นร | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชน ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผู้อำนวยการ กรณีเลิกจ้าง ให้จ่ายค่าชดเชยโดยระบุในสัญญาจ้างหรือระเบียบข้อบังคับ ๑.๒ ผู้อำนวยการ กรณีสิ้นสุดสัญญาจ้าง ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยโดยระบุในสัญญาจ้าง ๑.๓ เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้าง กรณีเลิกจ้าง ให้จ่ายค่าชดเชยโดยระบุในสัญญาจ้างหรือระเบียบข้อบังคับ ๑.๔ ลูกจ้างโครงการ กรณีเลิกจ้าง ไม่มีการจ่ายค่าชดเชย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นด้วยกับหลักการของการกำหนดแนวทางการจ่ายค่าชดเชยตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ซึ่งเป็นการวางหลักเกณฑ์ในการจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชนให้สอดคล้องกัน อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินจำนวนนี้เป็นเรื่องสิทธิประโยชน์อย่างอื่นจึงไม่ควรใช้คำว่าเงินค่าชดเชย ซึ่งอาจจะเกิดความสับสนว่าเป็นการจ่ายเงินตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และอาจเป็นเหตุให้มีการฟ้องเรียกร้องในภายหลังขึ้นได้ ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมเงื่อนไขการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชนกรณีที่ไม่ได้กระทำความผิด การกำหนดระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการจ่ายค่าชดเชยเพื่อรองรับการจ่ายค่าชดเชยตามสัญญาจ้างขององค์การมหาชนต้องเป็นไปตามมาตรา ๓๘ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ต้องไม่ต่ำกว่าที่กำหนดในกฎหมายแรงงานซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการจ้างงาน การทบทวนการกำหนดค่าตอบแทนของผู้อำนวยการองค์การมหาชนให้เหมาะสมเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์เท่าเทียมกับเจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชน รวมถึงการทบทวนโครงสร้างค่าตอบแทนของผู้อำนวยการองค์การมหาชนเพื่อเป็นสิ่งจูงใจในการสรรหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การมหาชน การเพิ่มแนวปฏิบัติในกรณีเลิกจ้างผู้อำนวยการ ในส่วนของนิยาม “การเลิกจ้างผู้อำนวยการ” หมายความว่า การกระทำใดที่องค์การมหาชนไม่ใช้ผู้อำนวยการทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ ด้วยเหตุที่องค์การมหาชนถูกยุบเลิกและไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ หรือเหตุอื่นที่มิได้เป็นความผิดของผู้อำนวยการหรือเหตุอื่นที่กำหนดในสัญญาจ้าง และเพิ่มเป็นข้อ ๔ ว่า ภายหลังคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว แต่องค์การมหาชนยังไม่ได้แก้ไขสัญญาจ้างผู้อำนวยการ หากมีการเลิกจ้างผู้อำนวยการให้อนุโลมชดเชยในอัตราเทียบเคียงตามที่กำหนดในกฎหมายแรงงาน หรือตามอัตราที่คณะกรรมการองค์การมหาชนให้ความเห็นชอบ รวมทั้งการกำหนดแนวทางการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชนโดยรวมที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับองค์การมหาชนทุกแห่ง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและลดการพิพาทกรณีการเลิกจ้างงาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
620 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา พ.ศ. .... | สผ | 17/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และผลการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการตามข้อสังเกตดังกล่าว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป ดังนี้
๑. ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา พ.ศ. .... มีดังนี้ ๑.๑ การจัดตั้งสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนานอกจากจะมุ่งเน้นด้านดนตรีคลาสลิกแล้ว เมื่อสถาบันมีความพร้อมควรดำเนินการขยายสาขาวิชาที่เกี่ยวกับดนตรีประเภทอื่นให้มีความหลากหลายมากขึ้น ๑.๒ การแบ่งส่วนงานของสถาบัน ควรมีสำนักงานสภาสถาบันเพื่อให้การดำเนินงานของสภาสถาบันมีความสะดวก คล่องตัว ปราศจากการครอบงำ ตลอดจนเป็นเกียรติและศักดิ์ศรีของสถาบัน และเป็นการรองรับการขยายตัวของสถาบันในอนาคต ๑.๓ การประเมินส่วนงานต่าง ๆ ของสถาบัน ควรตั้งผู้ประเมินอิสระจากบุคคลภายนอกร่วมกับบุคคลภายในสถาบันเข้ามาประเมิน ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของนักศึกษา เพื่อจะทำให้ระบบการประเมินมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างแท้จริง ๑.๔ สถาบันต้องสนับสนุนกิจการนักศึกษา โดยการจัดตั้งสโมสรนักศึกษาหรือองค์การนักศึกษา เพื่อเป็นการพัฒนาการเรียนรู้และการเสริมสร้างคุณภาพนักศึกษา ๒. ผลการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา พ.ศ. .... มีดังนี้ ๒.๑ สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนามีนโยบายที่จะขยายสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับดนตรีประเภทอื่นให้หลากหลายมากขึ้นในอนาคต ๒.๒ สถาบันจะกำหนดให้มีสำนักงานสภาสถาบันในเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้การดำเนินงานของสภาสถาบันมีความสะดวก คล่องตัว ปราศจากการครอบงำ ตลอดจนเป็นเกียรติและศักดิ์ศรีของสถาบัน และเป็นการรองรับการขยายตัวของสถาบันในอนาคต ๒.๓ การประเมินส่วนงานของสถาบันฯ จะกำหนดให้มีการประเมินทั้งภายในและภายนอกตามเกณฑ์ของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) โดยจะคำนึงถึงการรับฟังความคิดเห็นของนักศึกษาด้วย เพื่อให้ระบบการประเมินมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างแท้จริง ๒.๔ สถาบันจะสนับสนุนกิจการนักศึกษาโดยการจัดตั้งสโมสรนักศึกษา (ระดับสถาบัน) จัดให้มีคณะกรรมการนักศึกษา (ระดับส่วนงานหรือคณะวิชา) เพื่อเป็นการพัฒนาการเรียนรู้และการเสริมสร้างคุณภาพนักศึกษา
|
.....